หมอดูยอดอัจฉริยะ 566 จุดเด่น (2)

Now you are reading หมอดูยอดอัจฉริยะ Chapter 566 จุดเด่น (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เอ่อ ผมว่า คุณอย่ามาล้อเล่นแบบนี้ได้ไหมครับ?” เยี่ยเทียนตกใจกับคำพูดของแม่

อวี๋ชิงหย่าก็รู้ ความสัมพันธ์ของเขากับถังเสวี่ยเสวี่ย แต่ว่าเฉินจิ้งหลันคือดาราภาพยนตร์และโทรทัศน์  แม้ว่าอวี๋ชิงหย่าจะรู้ว่าพวกเขารู้จักกัน แต่ว่าผู้หญิงบางครั้งก็หึงหวง จึงยากที่จะอธิบายให้เข้าใจได้

“โอเค เห็นลูกตกใจแบบนี้ แม่ก็แค่ล้อเล่นกับลูกเท่านั้นเอง”

คำพูดของซ่งเวยหลันทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกโล่งใจขึ้น ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกไม่สบายใจ เพราะเธอเป็นแม่ไม่ใช่เหรอ แต่ทำไมถึงชอบเอาตัวเองมาพูดเล่นแบบนี้?

“คุณหญิงซ่ง พวกคุณคือ?” ความสนุกของเยี่ยเทียนยังไม่จบ หลังจากที่เหวินหลนสงกับหวาเซิ่งมานั้น หลี่เชาเหรินก็พาคนกลุ่มหนึ่งมา

พวกคนที่อยู่ด้านหลังของเขาก็รู้จักฐานะของซ่งเวยหลัน จึงอยากใกล้ชิดกับฮาณราจักรธุรกิจใหญ่โตของตระกูลซ่งที่อยู่ต่างประเทศเป็นธรรมดา เพื่ออำนวยความสะดวกในการพัฒนาธุรกิจในยุโรปและอเมริกาในอนาคต

เมื่อได้เห็นหลี่เชาเหรินกำลังทำทายซ่งเวยหลัน เหวินหลนสงทั้งสองคนก็ให้ความสนใจพ่อแม่ของเยี่ยเทียน เพราะการที่สามารถทำให้มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยคนนี้เดินตามมาจากประตูได้ ฐานะของพ่อแม่เยี่ยเทียนจะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน

“คุณหลี่ นี้คือลูกชายของฉัน เยี่ยเทียน เรียกคุณลุง”

ซ่งเวยหลันดึงเยี่ยเทียนเข้ามา แม้ว่าเธอจะรู้ว่าลูกชายไม่สนใจวงการธุรกิจ แต่สามารถได้รู้จักกับผู้นำธุรกิจชาวจีนอย่างหลี่เชาเหริน ถือว่าเป็นผลดีสำหรับเขามาก

“คุณลุงหลี่ สวัสดีครับ!”

เยี่ยเทียนเรียกอย่างมีมารยาท แต่ภายในใจกลับส่งเสียงโหวกเหวกโวยวาย เวลาที่อยู่กับแม่ ระดับความอาวุโสของตัวเองก็ลดลงมาเยอะ ต้องรู้ว่า อายุของถังเหวินหย่วนกับหลี่เชาเหรินยังมากกว่าเท่าไร แต่เยี่ยเทียนก็เรียกแค่เหล่าถัง

“ดี…ดี เป็นเด็กหนุ่มที่น่าประสบความสำเร็จจริงๆ คุณหญิงซ่ง ต่อไปคุณก็มีทายาทรับช่วงต่อแล้ว

หลี่เชาเหรินยิ้มให้เยี่ยเทียน แต่ภายในใจก็ไม่ได้สนใจเขาเท่าไร ถึงอย่างไรเขากับพี่ชายของซ่งเวยหลันก็มีความสัมพันธ์ค่อนข้างดี ลูกหลานอย่างเยี่ยเทียนก็จึงไม่อยู่ในสายตาของเขา

อีกทั้งเยี่ยเทียนแม้ว่ารูปร่างดีสมส่วน หน้าตาก็หล่อเหลา แต่สีหน้าที่ดูป่วยไม่สบาย กลับทำให้หลี่เชาเหรินไม่สนใจเขาเลย คนที่สภาพร่างกายไม่แข็งแรง ทำอะไรก็ไม่ดีหรอก

“แน่นอน เยี่ยเทียนลูกคนนี้ถือว่าใช้ได้เลยค่ะ…”

ซ่งเวยหลันไม่เหมือนกับแม่คนอื่นๆ เธอชื่นชมลูกชายตัวเองขึ้นมา โดยไม่มีความถ่อมตัวแม้แต่น้อย และสีหน้าก็รู้สึกยินดีมาก

“เอ่อ นี่เรียกว่าเรื่องอะไรกัน?” เยี่ยเทียนรู้สึกอายขณะที่ยืนอยู่ข้างๆ

ครั้งนี้สายตาของคนในงาน เกือบแปดสิบเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ต่างมองมาที่มุมของพวกเขา ยิ่งทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกไม่ค่อยสบายไปทั่วทั้งตัว

“คุณซ่งมาแล้ว…”

ในเวลานี้ เสียงทักทายดังมาจากข้างหลัง ทำให้ความสนใจของทุกคนเปลี่ยนไป เยี่ยเทียนจึงมองเช่นกัน ที่แท้ก็คือลุงที่ชอบเอาเปรียบตัวเอง อดไม่ได้ที่จะเบะปาก

แม้ว่าฐานะทางสังคมของซ่งจือเจี้ยนจะไม่ธรรมดา แต่ว่าเขามาอยู่ฮ่องกงเพียงแค่ยี่สิบกว่าปี ในอ่องกงจึงถือว่าเป็นสมาชิกใหม่ แต่เบื้องหลังที่ลึกซึ้งที่อยู่ในประเทศจีนของเขา จึงส่งผลกระทบมากมาย ทำให้มีคนทักทายเขาตลอดทาง

“จือเจี้ยนน้องรัก เธอกับน้องสาวออกงานด้วยกันไม่ค่อยบ่อยเท่าไรนะ”

หลี่เชาเหรินก็หันหมุนตัวไปทักทาย จับมือกับซ่งจือเจี้ยน ทั้งสองคนเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมาก เขขาได้ช่วยเหลืออย่างมากในช่วงที่ซ่งจือเจี้ยนเริ่มทำธุรกิจในตอนแรก

“น้องใหญ่ เธอก็มาด้วยเหรอ?”

ซ่งจือเจี้ยนได้ยินก็รู้สึกงงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงมองเห็นซ่งเวยหลันกับเยี่ยตงผิงยืนอยู่ด้วยกัน จึงอดทำสีหน้าหม่นลงไม่ได้ เพราะตอนนั้นเขาเป็นคนคัดค้านการคบหาระหว่างน้องสาวกับเยี่ยตงผิงถึงที่สุด

“พี่ใหญ่ สวัสดีค่ะ!”

ซ่งเวยหลันทักทายอย่างเย็นชา น้ำเสียงกลับดูห่างเหิน แม้ว่าจะเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน เธอกับซ่งจือเจี้ยนไม่ค่อยได้ติดต่อกัน ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คนอื่นคิดกันว่าสนิทสนมกันขนาดนั้น

สำหรับเยี่ยตงผิง เดิมที่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรซ่งจือเจี้ยน

เขากับลูกชายนั้นเหมือนกัน ไม่ได้มีความรู้สึกดีอะไรกับตระกูลซ่ง นอกจากผู้อาวุโสซ่งเฮ่าเทียนอยู่ที่ตรงนั้น ตัวเองก็ไม่ได้ก้มหัวให้ใคร เยี่ยตงผิงมองข้ามคนอื่นๆ ที่เหลือไปเลย

“น้องใหญ่ เธอมาฮ่องกงทำไมไม่บอกพี่ใหญ่เลยล่ะ?” แม้ว่าซ่งจือเจี้ยนกำลังต่อว่าน้องสาว แต่ว่าสายตาไม่พอใจกลับจ้องไปที่เยี่ยตงผิง

“มีอะไรน่าบอก? สองสามีภรรยามาเที่ยว ยังต้องแจ้งให้พี่คุณด้วยเหรอ?” เสียงขี้เกียจเนือยๆ ของเยี่ยเทียนดังขึ้น เป็นคำที่แสลงหูภายในงานมากพอสมควร

“นาย…นายก็มาเหรอ?”

เมื่อได้ยินเสียงของเยี่ยเทียน ซ่งจือเจี้ยนจึงถอยหลังหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว เพราะพ่อของเขายังเสียท่าให้เขาไม่น้อย พูดตามจริง ในใจของซ่งจือเจี้ยนรู้สึกหวาดกลัวเยี่ยเทียนอยู่บ้าง

“พ่อหนุ่มคนนี้ เหมือนไม่ค่อยรู้จักมารยาทเลยนะท”

ผู้คนที่เพิ่งเข้าใจว่าเยี่ยเทียนกับซ่งเวยหลันมีความสัมพันธ์เป็นแม่ลูกกันเมื่อครู่ จึงมองไปที่เยี่ยเทียนด้วยสายตากที่ประหลาดใจ เพราะไม่เคยเห็นหลานชายที่ไหนคุยกับลุงแบบนี้?

คนที่ล้อมรอบอยู่ตรงนี้ อายุส่วนใหญ่ก็ห้าสิบปีขึ้นไป พวกเขาให้ความสนใจเป็นพิเศษกับมารยาทตามธรรมเนียมประเพณี ดังนั้นคำพูดของเยี่ยเทียนเมื่อครู่ จึงทำให้พวกเขาไม่ประทับใจเยี่ยเทียนเท่าไร

“เยี่ยเทียน อย่าไร้มารยาทแบบนี้!”

เยี่ยตงผิงดูออกถึงสีหน้าของทุกคนที่เปลี่ยนไป เอ่ยปากสั่งสอนลูกชายสองสามประโยค แล้วหันหน้าไปหาซ่งจือเจี้ยน พูดอย่างเรียบเฉยว่า “ผมกับภรรยามาเที่ยวที่ฮ่องกง พักอยู่ที่บ้านของลูกชาย จึงก็ไม่รบกวนคุณน่ะครับ!”

เมื่อเยี่ยตงผิงได้พูดออกไป ทุกคนที่จับตามองก็รู้สึกดีขึ้น เพราะท่าทางของพ่อลูกสองคนนี้ หรือว่าพวกเขาจะมีความขัดแย้งอยู่แล้วหรือเปล่า?

ด้วยสมองที่ค่อนข้างว่องไว ทันใดนั้นจึงนึกถึงคำขอโทษที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ฮ่องกงโดยตระกูลซ่ง โดยเนื้อหาที่พูดนั้นก็คือตระกูลเยี่ย

เมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกคนก็รู้สึกรังเกียจเยี่ยเทียนจึงลดลงไม่น้อย และความสัมพันธ์ระหว่างเครือญาติถึงจะรู้จักกันแต่ไม่ไปมาหาสู่กันก็มี ความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นมิตรปรองดองกันของทั้งสองตระกูลจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

“เหอะๆ เยี่ยเทียน ผมมีเรื่องอยากจะขอคำแนะนำจากคุณนิดหน่อย พวกเราไปคุยที่อื่นได้ไหมครับ?”

บรรยากาศภายในงานเลี้ยงค่อนข้างแปลกประหลาด ถังเหวินหย่วนยิ้มเพื่อกอบกู้สถานการณ์ เขารู้ความขัดแย้งของตระกูลเยี่ยและซ่งทั้งสองตระกูลนี้ แล้ะด้วยนิสัยของเยี่ยเทียน ถ้าไปยั่วโมโหเขาจริงๆ  ซ่งจือเจี้ยนก็คงจะรับมือไม่ไหว

แต่คำพูดของถังเหวินหย่วน ก็ยิ่งทำให้คนที่อยู่ภายในงานเหล่านั้นเกิดความสับสนยิ่งขึ้น สถานะของถังเหวินหย่วนในฮ่องกงไม่ได้น้อยเลย อายุอาจจะมากกว่าหลี่เชาเหริน แต่ว่าน้ำเสียงที่เขาใช้พูดคุยกับเยี่ยเทียนนั้น ดูจะเคารพมากเกินไปไหม?

มีเพียงเหวินหลนสงและหวาเซิ่งคนหมู่น้อยที่จะเข้าใจ ชายหนุ่มที่มีใบหน้าขาวซีดคนนี้ ไม่ได้อาศัยที่ตัวเองเป็นทายาทคนรวยของพ่อแม่หรอก เพราะพวกเขาทั้งสองรู้เป็นอย่างดีถึงความน่ากลัวของเยี่ยเทียน

“ได้ครับ ตาถัง พวกเราไปคุยกันทางนั้นดีกว่า”

เยี่ยเทียนพยักหน้า ถ้าไม่ใช่เพราะว่าแม่ค่อยดึงแขนเขาไว้ตลอด เขาก็คงหาโอกาสเดินหนีไปตั้งแต่แรกแล้ว อีกทั้งลูกชายของตัวเองก็ไม่ใช่หมีแพนด้าที่เป็นสมบัติล้ำค่าของประเทศ ถือสิทธิ์อะไรให้ใครมามุงล้อมเขาแบบนี้?

“อ้อใช่ น้องจือเจี้ยน ผมมีเรื่องอยากถามคุณพอดี…” หลี่เชาเหรินก็พอจะดูออกว่าความสัมพันธ์ตระกูลเยี่ยเทียนกับซ่งจือเจี้ยนเหมือนจะไม่เข้ากัน จีงรีบดึงซ่งจือเจี้ยนเดินไปอีกทาง

แต่ตอนที่ทุกคนกำลังจะแยกย้ายกัน กลับมีอีกสองคนเดินมาทางนี้ คนที่เดินอยู่ด้านหน้าสุดก็คือจั่วเจียจวิ้นตัวเองของงานในวันนี้

“เยี่ยเทียน หืม? คุณหลี่ พี่จือเจี้ยน ทำไมพวกคุณถึงอยู่ที่นี้กันหมดเลย?”

เมื่อครู่จั่วเจียจวิ้นกำลังพูดคุยกับพิธีการในงานเลี้ยงนี้ และที่เดินมาก็เพื่อแนะนำคนที่มีอาชีพเดียวกันให้กับศิษย์พี่และศิษย์น้องได้รู้จัก พอเดินไปใกล้จึงพบว่า มหาเศรษฐีในโลกชาวจีนส่วนใหญ่มารวมตัวกันอยู่ที่มุมนี้

“ทำไมครับ ปรมาจารย์จั่ว คุณก็รู้จักเยี่ยเทียน?” หลี่เชาเหรินรู้สึกแปลกใจมาก ไม่ว่าจะมองจากฐานะหรือว่าอายุ เยี่ยเทียนเหมือนจะไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับจั่วเจียจวิ้นเลยนะ?

“เยี่ยเทียนคือศิษย์น้องเล็กของผม พวกเรามาจากสำนักเดียวกันครับ…”

จั่วเจียจวิ้นจึงพูดออกไป ความสัมพันธ์แบบนี้ใช่ว่าจะบอกใครไม่ได้ อีกทั้งในวงการของฮ่องกงก็มีคนมากมายที่รู้แล้ว

แน่นอน ที่คนอย่างหลี่เชาเหรินจะพวกนี้ที่ไม่รู้ พวกเขามั่วแต่ยุ่งกับการทำธุรกิจ จึงไม่สนใจฟังข่าวซุบซิบนินทาใครอยู่แล้วเป็นธรรมดา

“ศิษย์น้องเล็ก?” พวกคนที่ไม่รู้ ในหัวจึงมีเครื่องหมายคำถามปรากฏขึ้นทันที เพราะมันยุคสมัยไหนแล้ว ยังมีเรื่องเกี่ยวกับการไหว้ครูร่ำเรียนวิชากันอีกหรือ?

อีกทั้งฐานะของจั่วเจียนจวิ้นก็เป็นปรมาจารย์ฮวงจุ้ย หรือชายหนุ่มคนนี้ก็เข้าใจการทำนายโชคชะตาและดูฮวงจุ้ย?

“พี่หลี่ ให้พวกเขาคุยกันเถอะ พวกเราไปคุยกันตรงนั้นดีกว่า!”

เมื่อเห็นหลี่เชาเหรินยังอยากถามต่อ ซ่งจือเจี้ยนก็รีบดึงเขาไว้ เพราะคนอย่างเยี่ยเทียนเป็นตัวก่อปัญหาคนหนึ่ง อีกทั้งฝีมือของเขาก็แปลกประหลาดมาก และพ่อก็เคยเตือนว่าอย่าไปหาเรื่องเขา

“อ่อ ได้ ได้ครับ….”  หลี่เชาเหรินถูกซ่งจือเจี้ยนดึงไว้ จึงเข้าใจขึ้นมาทันที ว่าวันนี้ตัวเองอยากรู้อยากเห็นมากเกินไป

หลี่เชาเหรินเดินจากไป และพาคนพวกบาวส่วนออกไปด้วย บวกกับปรมาจารย์จั่วที่เห็นได้ชัดว่าอยากคุยอะไรศิษย์น้องเล็ก ก็เหมือนกับเหวินหลนสงและหวาเซิ่งที่รู้จักกาลเทศะจึงขอตัวก่อน เดิมทีมุมที่คึกคักตรงนี้ จึงกลับสู่ความสงบดังเดิม

แต่ฉากที่เพิ่งเกิดนขึ้นเมื่อครู่ กลับทำให้คนส่วนใหญ่สนใจในตัวเยี่ยเทียน และจากการสัมผัสของการขับเคลื่อนของชี่ จึงทำให้รับรู้ถึงสายตาที่แอบสอดส่องเป็นธรรมดา

“ฉันว่านายเดินไปทางไหนก็ดูจะเป็นจุดสนใจทุกที่เลยนะ?”

จั่วเจียจวิ้นยิ้มแล้วพูดกับเยี่ยเทียน จากนั้นก็หันหลังกลับมา พูดว่า “ฉันจะแนะนำให้พวกนายสักหน่อย ท่านนี้คือเถาซานอี้เป็นลูกศิษย์คนโตของคุณหนานไหวจิ่น และยังเป็นผู้สืบทอดสายตรงจากคุณหนายด้วย!”

เมื่อปล่อยให้ชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบปีออกไป จั่วเจียจวิ้นก็แนะนำต่อ “เสี่ยวเถา คนนี้คือศิษย์พี่ใหญ่ของฉัน ฉายาทางเต่าคือหยวนหยางจึ เขาคือศิษย์น้องเล็กของฉัน นายเรียกเขาว่าเยี่ยเทียนก็ได้แล้ว!”

“สวัสดีคุณหยวนหยางเจินเหริน สวัสดีศิษย์อาเยี่ยเทียน!”

ชายวัยกลางคนเดินเข้ามา โค้งคำนับและทักทายโก่วซินเจียกับเยี่ยเทียน แม้ว่าเยี่ยเทียนจะอายุน้อยกว่ามาก แต่ว่าลำดับความอาวุโสที่อยู่ตรงนั้น เขาจึงไม่กล้าที่จะไร้มารยาท

อีกทั้งเขายังสังเกตว่า แม้ว่าสีหน้าซีดขาวเหมือนคนป่วยของเยี่ยเทียน แต่พลังชีวิตภายในร่างกายก็ไม่ได้น้อยลงเลย แต่กลับให้ความรู้สึกอันตรายต่อตัวเอง จึงทำให้โน้มตัวยิ่งต่ำลงอีก

“ไม่ต้องเกรงใจ ไม่คิดว่าห่างกันครึ่งศตวรรษ ยังจะได้เจอลูกศิษย์ของเพื่อนเก่า?” โก่วซินเจียใช้มือขวาประคองเถาซานอี้และ พูดว่า “อาจารย์ของนายยังสบายดีอยู่ไหม?”

“หยวนหยางเจินเหรินรู้จักอาจารย์ของผม?”

เถาซานอี้รู้สึกถึงพลังมหาศาลที่ประคองหมัดทั้งสองของตัวเองอยู่ ร่างกายจึงลุกขึ้นยืนอัตโนมัติ และรู้สึกตื่นตระหนกตกใจไม่หยุด

……………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด