หมอดูยอดอัจฉริยะ 586 ไม่ควรออกเดินทาง

Now you are reading หมอดูยอดอัจฉริยะ Chapter 586 ไม่ควรออกเดินทาง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เยี่ยเทียนฝึกวิชามาเกือบยี่สิบปี เป็นครั้งแรกที่เขาไม่ได้ตื่นเองตอนตีห้าเหมือนทุกวัน เวลาล่วงไปจนถึงแปดโมงเช้า เยี่ยเทียนค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น

ทอดมองดูภรรยาที่นอนหนุนแขนตัวเองอยู่ ในใจรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ตั้งแต่นี้ต่อไป เขามีสถานะเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งสถานะคือเป็นสามีของหญิงสาวที่หลับอยู่ในอ้อมอกคนนี้

เห็นขนตาของอวี๋ชิงหย่าเริ่มขยับ เยี่ยเทียนยิ้ม “เจ้าแมวขี้เซา ตื่นได้แล้ว สายจนตะวันโด่งแล้ว!”

“หืม? ไม่งั้นเรามาฝึกวิชาตอนเช้ากันอีกรอบไหม?” เยี่ยเทียนเห็นอวี๋ชิงหย่าแกล้งหลับ ใช้มือล้วงเข้าไปในผ้าห่ม

“อย่านะ ฉันไม่ไหวแล้ว อย่าจับตรงนั้น!”

ส่วนที่อ่อนไหวที่สุดบนร่างกายของผู้หญิงถูกเยี่ยเทียนจับไว้ อวี๋ชิงหย่าร้องครางออกมา กลับทำให้ชิ้นเนื้อบางส่วนบนร่างกายของเยี่ยเทียนตื่นตัวขึ้นอีกครั้ง

“ไม่ไหวแล้วจริงๆ ฉันเจ็บมากเลย!” มือทั้งสองของหญิงสาวคว้ามืออันซุกซนของเยี่ยเทียนไว้ กระซิบร้องขอ

เมื่อคืนเป็นคืนเข้าหอ ต่างฝ่ายต่างได้ลิ้มรสความหอมหวานของกันและกันเป็นครั้งแรก หลังจากกรำศึกหนักกันอยู่เกือบทั้งคืน เช้านี้อวี๋ชิงหย่ารู้สึกเมื่อยล้าไปหมดทั้งตัว ไม่หลงเหลือเรี่ยวแรง

“ตอนนี้ไม่ไหวแล้วเหรอ? เมื่อคืนใครกันนะบอกให้ฉันจัดให้หนักๆเลย?”

เยี่ยเทียนมองอวี๋ชิงหย่าด้วยสายตาล้อเลียน ดูท่าทางเขินอายของเธอแล้ว อดไม่ได้ที่จะจูบลงที่ใบหน้าของเธอ ยื่นมือไปใต้ผ้าห่มตีก้นทีหนึ่ง พูดว่า “วันนี้จะปล่อยเธอไปก่อน ลุกจากเตียงได้แล้ว!”

ตามประเพณีดั้งเดิม ลูกสะใภ้พอแต่งเข้าบ้านวันแรกต้องยกน้ำชาให้พ่อแม่สามี สมัยนี้ไม่ได้เคร่งครัดเท่าไหร่แล้ว แต่ถ้านอนตื่นสายเกินไปก็จะถูกคนว่าเอาได้

“โถ่เอ๊ย ทำไมนายไม่ปลุกฉันให้เช้ากว่านี้นะ?”

อวี๋ชิงหย่ายื่นมือไปคว้านาฬิกาปลุกที่หัวเตียงมา ดึงผ้าห่มออกจากตัว เผยให้เห็นผิวขาวนวลดุจหิมะ เยี่ยเทียนมองตาค้างอีกครั้ง

“โอ๊ย!” อวี๋ชิงหย่ารีบใส่เสื้อผ้า พอเท้าเหยียบลงพื้นความเจ็บปวดก็โลดแล่นขึ้นจนเธอต้องขมวดคิ้ว หันมาถลึงตาใส่เยี่ยเทียนครั้งหนึ่ง

“มา ฉันรักษาให้ !” เยี่ยเทียนยิ้มดึงตัวอวี๋ชิงหย่ากลับขึ้นไปบนเตียงอีกครั้ง ใช้มือขวาวางแนบกับท้องน้อยของเธอ

“อย่าเล่นน่า ถ้าออกไปช้ากว่านี้เดี๋ยวพวกคุณอาคุณป้าจะหัวเราะเอา” อวี๋ชิงหย่าพูดเสียงเบา เธอคิดว่าเยี่ยเทียนอดไม่ไหวอีกแล้ว

“คิดอะไรของเธอ?” เยี่ยเทียนยิ้ม พลังลมปราณไหลผ่านมือขวาของเขาผ่านเข้าไปที่ท้องน้อยของเธอ

“เอ๋? ไม่ค่อยเจ็บเท่าไหร่แล้ว?” อวี๋ชิงหย่ารู้สึกถึงพลังความร้อนที่แผ่เข้ามาสู่บริเวณที่ปวด ทำให้ความเจ็บปวดลดลง พอลุกขึ้นเดินเธอก็ไม่มีอาการอะไรอีก

หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อย อวี๋ชิงหย่าหันมาบอกว่า “เยี่ยเทียน นายออกไปก่อนเถอะ!”

“มีอะไรหรือ?” เยี่ยเทียนมองภรรยาอย่างสงสัย เขาทั้งสองได้อยู่ร่วมกันแล้วจริงๆ อวี๋ชิงหย่ายิ่งชอบเขินอายหน้าแดงมากกว่าเมื่อก่อน

“ฉัน…ฉันจะตัดผ้าตรงนั้นออกมา!” อวี๋ชิงหย่าก้มหน้าลง ชี้นิ้วไปที่ผ้าปูที่นอน บนผ้ามีลายดอกดวงที่เกิดจากศึกหนักเมื่อคืนเกิดขึ้นหลายจุด เป็นการยืนยันในความเป็นสาวบริสุทธิ์ของอวี๋ชิงหย่า

“ฉันทำเอง!”

เยี่ยเทียนยิ้ม ให้อวี๋ชิงหย่านั่งลงที่ข้างเตียง หากรรไกรมาตัดเอาดอกดวงเหล่านั้นออกมา อวี๋ชิงหยาเก็บเอาไว้ในกล่องอย่างดี

ทั้งคู่เดินจูงมือกันออกมาจากห้อง มองดูโคมไฟสีแดงที่แขวนอยู่บนขื่อ ทุกบานประตูหน้าต่างมีอักษรสีแดงมงคลติดอยู่ทั่ว ความสุขของคู่แต่งงานใหม่ล้นออกมาจากใจทำให้บรรยากาศในบ้านชื่นมื่น

 “พี่ชิงหย่าสวยจังเลย!” หลิวหลันหลันตะโกนออกมา ทำให้คนอื่นๆในบ้านต่างหันไปมองเป็นตาเดียว

อวี๋ชิงหย่ายังคงสวมชุดสีแดงของเมื่อวาน แต่เกล้ารวบผมขึ้น ทั้งยังได้รับน้ำทิพย์จากเยี่ยเทียนเมื่อคืน ทำให้เธอดูเปล่งปลั่งกว่าที่เคย

“พ่อ แม่ ป้าใหญ่ อาเล็ก อรุณสวัสดิ์ค่ะ….” สิ้นเสียงของหลิวหลันหลัน เยี่ยตงผิงกับภรรยาเดินออกมาจากในห้อง อวี๋ชิงหย่าจึงเอ่ยทักทาย

“ชิงหย่า เมื่อคืนเยี่ยเทียนไม่ได้รังแกหนูใช่ไหม?” ซ่งเวยหลันลากอวี๋ชิงหย่าออกไป สองสาวคุยกระซิบกันเบาๆ ทำให้เยี่ยเทียนที่ยืนอยู่ข้างๆต้องเอามือจับจมูกแก้เก้อ

วันเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ ผ่านไปสามวันแล้ว โก่วซินเจีย หนานไหวจิ่น และจั่วเจียจวิ้นเดินทางกลับฮ่องกงไป

หูหงเต๋อได้ยินว่าเยี่ยเทียนสร้างเรือนสี่ประสานที่สวยงามกว่าในปักกิ่งไว้อีกแห่งหนึ่งที่ฮ่องกง จึงขอติดตามไปดูด้วย เขาอยู่ในโลกมืดแคบมานานหลายปีแล้ว อยากได้พลังทิพย์วิเศษที่เกิดจากค่ายกลในเรือนแห่งนั้นเพื่อหล่อเลี้ยงพลังชีวิต

หลายวันมานี้หูจวินและหัวหน้าซาเมื่อได้ยินข่าวการแต่งงานของเยี่ยเทียนแล้ว รีบเดินทางมามอบของขวัญ แล้วยังตำหนิเยี่ยเทียนที่ไม่เชิญพวกตนมาร่วมงาน

ข่าวการไปร่วมงานแต่งงานหลานชายของซ่งเฮ่าเทียนร่ำลือไปในวงการเศรษฐีและผู้ดีในเมืองปักกิ่ง โดยเฉพาะภาพอักษรที่เป็นของขวัญแต่งงานภาพนั้น เป็นการตอกย้ำให้ผู้ปกครองในครอบครัวตักเตือนบุตรหลานของตนว่าอย่ามีเรื่องกับเยี่ยเทียน

แน่นอนว่า เยี่ยเทียนไม่รับรู้เรื่องเหล่านี้ เพราะหลังจากวันแต่งงานสามวัน เค้าพาอวี๋ชิงหย่าบินไปเซี่ยงไฮ้  ตระกูลเยี่ยกับตระกูลอวี๋ดองกัน ธรรมเนียมที่จะต้องกลับไปบ้านเจ้าสาวในวันที่สามหลังแต่งงานนั้นละเลยไม่ได้

หลังจากพักอยู่ในบ้านพ่อตาแม่ยายไม่กี่วัน เยี่ยเทียนพาภรรยากลับไปที่ภูเขาเหมาซานเพื่อเซ่นไหว้อาจารย์ ถึงตรงนี้ถือว่าพิธีแต่งงานเสร็จสมบูรณ์ลง

ผ่านวันขึ้นไปใหม่ไป เทศกาลตรุษจีนใกล้เข้ามา การเข้ามาอยู่ที่นี่ของอวี๋ชิงหย่าทำให้บรรยากาศในวันตรุษจีนยิ่งครึกครื้นกว่าปีก่อน

สิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนดีใจยิ่งกว่าคือ ความสัมพันธ์ของหลิวติงติงกับโจวเซี่ยวเทียนถือว่าลงเอยแน่นอนแล้ว หลังวันตรุษจีน พวกเขาเตรียมตัวจะไปหมั้นหมายกันที่ฮ่องกง ส่วนงานแต่งงานค่อยจัดในช่วงปลายปี

เยี่ยเทียนผู้เป็นอาจารย์แน่นอนว่าต้องทำหน้าที่เป็นผู้ใหญ่ให้ลูกศิษย์ หลังจากตรุษจีนพวกเขาต้องออกเดินทางไปฮ่องกง

ลูกสาวตระกูลหลิวจะหมั้นหมาย การจัดงานต้องยิ่งใหญ่กว่างานแต่งของเยี่ยเทียนมาก จั่วเจียจวิ้นออกบัตรเชิญมากมายแก่บรรดาเศรษฐีนักธุรกิจในฮ่องกง ราวกับเป็นงานประชุมรวมตัวของนักธุรกิจเชื้อสายจีนในฮ่องกง

ในงานหมั้นครั้งนี้ นอกจากโจวเซี่ยวเทียนและหลิวติงติงบ่าวสาวที่เป็นตัวเด่นของงานแล้ว เยี่ยเทียนเองเป็นผู้ที่ได้รับความสนใจติดตามมากอีกคนหนึ่ง ครั้งก่อนที่พวกเศรษฐีเหล่านั้นได้พบกับเยี่ยเทียน ทราบแต่เพียงว่าเขาเป็นศิษย์น้องของจั่วเจียจวิ้นเท่านั้น

แต่ครั้งนี้หลายๆคนได้รับรู้เบื้องหลังของเยี่ยเทียนด้วยช่องทางใดๆก็แล้วแต่ การที่มีบุคคลระดับผู้นำประเทศมาร่วมยินดีในงานแต่งของเขาได้แสดงว่าเยี่ยเทียนเป็นคนที่ไม่ธรรมดาจริงๆ

การเตรียมงานหมั้นให้โจวเซี่ยวเทียนทำให้อาจารย์อย่างเยี่ยเทียนเหน็ดเหนื่อยไม่เบา หลังจากงานเลี้ยงกลางคืนผ่านไปด้วย ใบหน้าที่ต้องปั้นยิ้มตลอดเวลาจนหน้าตึง วันรุ่งขึ้นเยี่ยเทียนจึงจะพาอวี๋ชิงหย่าบินกลับปักกิ่ง

เดือนมีนาคมมาถึง อวี๋ชิงหย่ากลับไปทำงานอีกครั้ง เธออายุแค่ยี่สิบกว่า ทั้งยังร่ำเรียนวิชาสื่อสารมวลชนมาตั้งหลายปีซึ่งเป็นสิ่งที่เธอโปรดปราน พอแต่งงานแล้วเธอก็ยังไม่ยอมละทิ้งการงานไป

ส่วนเยี่ยเทียนอยู่แต่บ้านศึกษาตำรา “ภาพดันหลัง” ของหนานไหวจิ่นเพื่อทำความเข้าใจ หากเขาอารมณ์ดีก็จะเข้าครัวลงมือทำอาหาร ใช้ชีวิตประจำราวกับคนทั่วไป

ครอบครัวของเยี่ยเทียนย้ายเข้าอยู่ที่บ้านหลังใหม่ ที่นั่นแม้พลังธรรมชาติจะอ่อนด้อยกว่าบ้านเก่าหลายขุม แต่สำหรับคนธรรมดาคนหนึ่งก็ถือว่าเหลือเฟือแล้ว

พอเข้าบ้านใหม่แล้ว อาการเจ็บป่วยที่หลงเหลือจากการผ่าตัดของเยี่ยตงเหมยก็หายหมดสิ้น เยี่ยเทียนพาเธอไปหาหมอตรวจซ้ำอีกหลายครั้ง ไตใหม่ที่ปลูกถ่ายเข้าไปนั้นเข้ากันได้ดีกับร่างกายของเธออย่างแทบไม่มีที่ติ

“แม่ ปลาที่ซื้อมา จะทำเป็นอะไรดี? ปลาผัดน้ำแดงหรือว่าปลานึ่งดี? วันนี้ผมจะแสดงฝีมือเอง!”

“ปลาผัดน้ำแดงแล้วกัน แม่ชอบปลาผัดน้ำแดงที่ลูกทำจ้ะ!”

ซ่งเวยหลันกับสามีกลับจากตลาด ใส่แค่เสื้อผ้าธรรมดาเหมือนชาวบ้านทั่วไป เป็นใครก็ไม่อยากเชื่อว่าหญิงวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานคนนี้จะมาเดินจ่ายตลาดด้วยตัวเอง?

แต่ซ่งเวยหลันมีความสุขกับการใช้ชีวิตครอบครัวเยี่ยงสามัญชน เธอทำอาหารไม่เป็น การจับจ่ายซื้อของในตลาดถือว่าเป็นบทเรียนใหม่จากสามี แม้แต่ป้าใหญ่และเยี่ยตงจู๋จะบ่นอุบว่าซ่งเวยหลันได้แย่งอำนาจในการซื้อกับข้าวไปจากเธอหมด

มองดูปลาตะเพียนหลายตัวหนักเกือบกิโลในกะละมัง เยี่ยเทียนเคาะหัวเจ้าเหมาโถวแล้วนั่งยองลงข้างตัวมันเอ่ยว่า “เดี๋ยวทำสุกแล้วค่อยกิน ดูแกอยากกินซะเหลือเกิน!”

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเจ้าเหมาโถวก็ได้ฝึกการซึมซับพลังธรรมชาติเข้าไปด้วยหรืออย่างไร ตอนนี้มันไม่ค่อยขี้ร้อนแล้ว ขนบนร่างกายก็สั้นลงมาก มองผ่านๆเหมือนแมวตัวใหญ่ธรรมดาตัวหนึ่ง

แน่นอนว่าปลาเป็นอาหารโปรดตามธรรมชาติของมัน ทุกๆครึ่งเดือนเยี่ยเทียนจะสั่งให้คนส่งปลามาหลายสิบกิโลกรัมเพื่อเลี้ยงไว้ในบ่อในสวนกลางบ้าน

แต่หลังจากเยี่ยเทียนแต่งงานมันได้ลองกินปลาที่ทำสุกแล้วอยู่หลายครั้ง  ทำให้ตอนนี้เจ้าเหมาโถวเริ่มเลือกอาหารมากขึ้น มีครั้งหนึ่งที่มันจับปลาไปใส่หม้อในครัวเอง แล้วยังเปิดเตาแก๊สได้ด้วยจนเกือบทำให้ไฟไหม้บ้าน

“จีจี!” เจ้าเหมาโถวใช้อุ้งเท้าของมันจิ้มไปที่ตัวปลา และชี้บอกว่ามันต้องการตัวไหน ดวงตาสุกใสราวกับอัญมณีของมันกลิ้งกลอกไปมา

“รู้แล้วๆ แกคนเดียวกินปลาตั้งสองตัว ไม่กลัวท้องแตกหรือยังไง!”

เยี่ยเทียนเคาะหัวมันอย่างหงุดหงิด แล้วถึงไปขอดเกล็ดปลา เพียงครู่เดียวกลิ่นหอมของอาหารลอยออกมาจากห้องครัวชวนน้ำลายไหล

หลิวเหว่ยอันไปเฝ้าร้านในตลาดพานเจียหยวน อวี๋ชิงหย่าปกติจะไม่กลับมากินข้าวเที่ยงที่บ้าน โจวเซี่ยวเทียนกับหลิวติงติงยังอยู่ที่ฮ่องกง ตอนนี้เหลือสมาชิกครอบครับที่รับประทานอาหารร่วมกันมี เยี่ยตงผิงกับภรรยา เยี่ยเทียนและอาหญิงทั้งสอง

“แม่ครับ เป็นอะไรไป วันนี้ผมทำปลาไม่อร่อยเหรอ?”

เห็นมารดาไม่ค่อยใช้ตะเกียบคีบอาหารเพิ่มเท่าไหร่ เยี่ยเทียนรู้สึกสงสัย พอมองดูใบหน้าของมารดาแล้วเขาก็ตกใจ

“แม่ แม่จะออกเดินทางอีกแล้ว?”

เยี่ยเทียนขมวดคิ้ว เขามองออกอย่างชัดเจนว่าสีหน้าของมารดามีแววหมองคล้ำจากการเปลี่ยนที่อยู่ ทั้งยังมีไฝดำขนาดเท่าหัวเข็มเม็ดหนึ่งผุดขึ้นมา ต้องมองอย่างละเอียดจึงจะสังเกตเห็น

 “อืม แม่ต้องกลับไปที่อเมริกาสักที แล้วค่อยไปที่แอฟริกา ธุรกิจที่นั่นมีปัญหา แม่ต้องไปจัดการด้วยตัวเอง”

ซ่งเวยหลันพยักหน้า หากไม่ใช่เพราะสถานการณ์ทางฝั่งนั้นเริ่มควบคุมไม่อยู่ เธอก็ไม่อยากจากทั้งสามีและบุตรชายกลับไปสู่แวดวงธุรกิจอันโหดร้ายอีก

“ไม่ไปไม่ได้เหรอครับ?” เยี่ยเทียนขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม  “เมื่อปีที่แล้วผมบอกแม่ไปแล้วว่าปีนี้แม่ไม่ควรเดินทางไกล ไม่อย่างนั้นจะมีอันตราย”

การเดินทางเปลี่ยนที่อยู่นั้นไม่เป็นมงคล แปลว่าคนๆ นี้ช่วงนี้การเดินทางจะไม่ราบรื่น ยิ่งมีไฝดำเกิดขึ้น แสดงว่าอาจจะพบเจอกับอันตรายจนถึงแก่ชีวิตได้

แม้เยี่ยเทียนจะทำนายไม่ได้ว่าการเดินทางครั้งนี้ของมารดาจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่สองข้อสำคัญที่กล่าวมานั้นทำให้เขาใจเต้นไม่เป็นส่ำได้แล้ว

 ………………………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด