หมอดูยอดอัจฉริยะ 607 ชี้แนะ

Now you are reading หมอดูยอดอัจฉริยะ Chapter 607 ชี้แนะ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อเหลยเจิ้นเยวี่ยพูดออกไปเช่นนั้น ภายในที่ประชุมอันกว้างใหญ่ก็เงียบกริบกันไปทันที แม้แต่เหลยหู่ที่เพิ่งจะร้องโหยหวนอยู่ก็หุบปากลงสนิทแน่น และมองไปที่บิดาด้วยสีหน้าตื่นเต้น

กิตติศัพท์ของเหลยเจิ้นเยวี่ยในสมาคมหงเหมินไม่ได้มาจากเพียงลมปากเท่านั้น แต่ได้มาจากการต่อสู้เสี่ยงชีวิตฝ่าคมหอกคมดาบมาจริงๆ

สหรัฐอเมริกาในช่วงทศวรรษที่ 50และ 60 นั้น เป็นยุคสำคัญที่องค์กรอาชญากรรมต่างๆ ได้เติบโตขึ้นมา เกิดเหตุแก๊งมาเฟียปะทะกันเพื่อแย่งชิงอาณาเขตขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน และเหลยเจิ้นเยวี่ยก็เป็นผู้นำการรบ บุกตะลุยอยู่ที่แนวหน้าในแทบทุกศึก ผู้ที่ต้องจบชีวิตลงด้วยน้ำมือเขานั้นเกรงว่าคงมีไม่ต่ำกว่าหลายร้อยคน

ช่วงกลางทศวรรษที่ 50 แก๊งเวียดนามเข้าสู่อเมริกาเป็นจำนวนมาก โดยมีแผนที่จะขับไล่พวกคนจีนออกจากซานฟรานซิสโก และยึดครองย่านธุรกิจในชุมชนคนจีนต่างๆ ที่กำลังพัฒนาก่อตัวขึ้นมา

พวกเหลยเจิ้นเยวี่ยและหลี่ซงชิวในตอนนั้นเป็นสมาชิกระดับกลางในสมาคมหงเหมิน มีหน้าที่เก็บค่าคุ้มครองตามร้านรวงต่างๆ ในย่านถนนสายหนึ่งของซานฟรานซิสโกที่มีคนจีนมาอาศัยอยู่รวมกัน นับว่ายังเป็นสมาชิกที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรนัก

วันหนึ่งในช่วงพลบค่ำที่มีฝนตกพรำๆ คนของแก๊งเวียดนามห้าร้อยกว่าคนบุกสังหารเข้ามาในถนนย่านนี้ โดยให้คนกลุ่มหนึ่งทุบทำลายปล้นทรัพย์ตามแต่ละร้าน ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งก็มีหน้าที่ล่าสังหารคนที่สมาคมหงเหมินส่งไปอยู่ในย่านชุมชนคนจีน

ฝ่ายหนึ่งเตรียมตัวมาก่อน ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งกลับต้องรับศึกกะทันหัน เมื่อสองฝ่ายปะทะกัน คนของสมาคม       หงเหมินจึงเสียหายอย่างร้ายแรง หลี่ซงชิวและพี่ใหญ่ตู้ไม่มีทางเลือก จึงต้องพาคนถอยเข้าไปอยู่ในร้านแห่งหนึ่ง

เคราะห์ดีที่วันนั้นเหลยเจิ้นเยวี่ยออกไปข้างนอก หลังจากเขาได้ทราบข่าว ก็ส่งลูกน้องคนหนึ่งกลับไปขอกำลังเสริมจากสมาคมหงเหมิน ส่วนตัวเองก็พาอีกสามคนบุกสังหารเข้าไป

ในเวลานั้นถนนย่านนั้นตกอยู่ท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวาย ร้านรวงจำนวนหนึ่งยังถูกจุดไฟเผาอีกด้วย ขณะที่พวกคนเวียดนามกำลังจะจุดไฟเผาร้านที่หลี่ซงชิวเข้าไปอยู่ เหลยเจิ้นเยวี่ยก็บุกมาถึงพอดี

เหลยเจิ้นเยวี่ยผู้มีส่วนสูงถึงหนึ่งร้อยเก้าสิบกว่าเซนติเมตร มือถือดาบใบกว้างเล่มหนึ่ง บุกฝ่าตะลุยเข้าไปข้างใน

เหลยเจิ้นเยวี่ยไม่สนใจอาวุธที่โจมตีมาถึงร่างของตนเลยสักนิด ต่อสู้อย่างพร้อมถวายชีวิต ภายใต้คมดาบนั้นแทบจะไม่มีใครสามารถต้านทานได้เลย ซากแขนขาขาดกระเด็น โลหิตไหลปนไปกับสายฝน ย้อมถนนทั้งสายจนเป็นสีแดง

แก๊งเวียดนามแม้จะมีคนมาก แต่ก็ถูกเหลยเจิ้นเยวี่ยบุกสังหารจนขวัญกระเจิง พวกหลี่ซงชิวก็ฝ่าออกมาจากร้านเช่นกัน

ฝ่ายสมาคมหงเหมินแม้จะมีคนอยู่เพียงสิบกว่าคน แต่ก็องอาจเหี้ยมหาญ บุกเข้าไปกลางกลุ่มแก๊งเวียดนามดั่งพยัคฆ์ฝ่าเข้าสู่ฝูงสุนัขป่า เข่นฆ่าจนคนจำนวนหลายร้อยนั้นต้องค่อยๆ ล่าถอยไป

ขณะเดียวกัน กำลังเสริมจากสมาคมหงเหมินก็เร่งรุดมาถึง พวกคนเวียดนามทิ้งซากศพไว้สองร้อยกว่าศพแล้วหนีไปอย่างทุลักทุเล ในบรรดาศพสองร้อยกว่าศพนี้ สงสัยคงมีถึงเจ็ดสิบแปดสิบศพที่ตายด้วยน้ำมือของเหลยเจิ้นเยวี่ย

แม้ว่าเหลยเจิ้นเยวี่ยจะถูกฟันไปยี่สิบกว่ามีด แต่เขาเป็นผู้ฝึกวิทยายุทธ แต่ละครั้งที่ถูกฟันต่างก็สามารถเลี่ยงจากจุดสำคัญได้ทุกครั้ง ดังนั้นส่วนมากจึงเป็นเพียงแผลภายนอก พักฟื้นไประยะหนึ่งก็กลับมาแข็งแกร่งดังเดิมแล้ว

ต่อมาเหลยเจิ้นเยวี่ยยังพาสมาชิกในสมาคมหงเหมินไปสังหารคนเวียดนามอย่างน่าสะเทือนขวัญ และขับไล่คนพวกนั้นออกไปจากซานฟรานซิสโก

แม้ว่าเรื่องราวจะผ่านไปเกือบครึ่งศตวรรษแล้ว แก๊งเวียดนามก็ยังไม่กล้าขยายอิทธิพลไปที่ซานฟรานซิสโก แสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์นองเลือดเมื่อครั้งนั้นกลายเป็นเงาทะมึนอยู่ในใจของพวกนั้นอย่างลึกซึ้งเพียงใด

หลังจากผลงานครั้งนั้น พวกเหลยเจิ้นเยวี่ยก็เริ่มโดดเด่นขึ้นมาในสมาคมหงเหมิน เป็นกำลังสำคัญของสมาคมหงเหมินในการเติบโตทุกๆ ก้าว บิดาของตู้เฟยและหลี่ซงชิวถึงขั้นกลายเป็นผู้นำของสมาคมหงเหมินพร้อมกันทั้งสองคน

แต่หากจะกล่าวถึงผู้ที่มีคุณูปการยิ่งใหญ่ที่สุดในสมาคมหงเหมินช่วงครึ่งศตวรรษนี้ อันดับแรกก็คงจะเป็นเหลยเจิ้นเยวี่ยนั่นเอง

แม้ว่าตอนนี้จะอายุมากกว่าแปดสิบปีแล้ว แต่เขาก็ยังคงเป็นขุนพลอันดับหนึ่งของสมาคมหงเหมินอย่างไร้ข้อกังขา ไม่มีใครกล้าคุยโวว่ามีความสามารถทางการต่อสู้เหนือกว่าชายชราผู้สูงวัยแต่แกร่งกร้าวท่านนี้เลยสักคน

ดังนั้นเมื่อได้ยินเหลยเจิ้นเยวี่ยออกปากว่าจะขอประลองกับเยี่ยเทียน ทุกคนจึงตกตะลึงไปกันหมด

แม้ว่าก่อนหน้านี้ทักษะอันเหนือกว่าคนธรรมดาของเยี่ยเทียนจะเป็นที่ประจักษ์แล้ว แต่นามของคนเปรียบดั่งเงาของต้นไม้ ฉายาเพชฌาตไอ้เสือเหลยนี้ไม่ได้มาจากเพียงลมปากเท่านั้น แต่มาจากประสบการณ์การกรำศึกนับร้อยนับพัน!

ต่อให้เยี่ยเทียนร้ายกาจเพียงใด อย่างมากก็เป็นเพียงชายหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆ เท่านั้น ยังอีกไกลนักกว่าจิตใจและพลังกายจะพัฒนาไปถึงจุดสูงสุด เมื่อเปรียบเทียบกับเหลยเจิ้นเยวี่ยแล้ว คงไม่มีใครคิดว่าเขาจะเป็นฝ่ายเหนือกว่าไปได้หรอก

“น้องสาม ท่านเยี่ยเข้าร่วมสมาคม ถือว่าเป็นสมาชิกของสมาคมหงเหมินแล้ว ทำไมแกยังไม่ยอมเลิกราอีกล่ะ?”

หลี่ซงชิวคาดไม่ถึงเลยว่า หลังจากเหลยเจิ้นเยวี่ยลงโทษลูกชายของตัวเองเสร็จแล้ว ยังจะพุ่งเป้าไปที่เยี่ยเทียนอีก จึงรู้สึกร้อนใจขึ้นมา หากจะกล่าวถึงผู้ที่รู้จักความสามารถในการต่อสู้ของเหลยเจิ้นเยวี่ยมากที่สุดในที่นั้น ก็ย่อมต้องเป็นเขาอยู่แล้ว

อย่าว่าแต่เยี่ยเทียนที่อยู่ตรงหน้านี้เลย ต่อให้เป็นหลี่ซงชิวสมัยที่ร่างกายสมบูรณ์ดี ถ้าต้องประมือกับเหลยเจิ้นเยวี่ยก็คงสู้ไปได้ไม่เกินสิบกระบวนท่า เวลาเขาเริ่มต่อสู้ขึ้นมาแล้วอย่างกับไม่ใช่คนเลยทีเดียว แต่เป็นสัตว์ป่าที่ไร้เหตุตัวหนึ่ง

“พี่รอง ในสมาคมหงเหมินห้ามสมาชิกทำร้ายกันเอง แต่ถ้าแค่ประลองฝีมือกันก็น่าจะได้อยู่ไม่ใช่รึ?”

เหลยเจิ้นเยวี่ยแม้จะเป็นคนหยาบ แต่ก็มียามที่ขบคิดอะไรอย่างละเอียดอยู่เหมือนกัน ก็อย่างที่เขาพูดไปนั่นเอง สมาคมหงเหมินเป็นค่ายสำนักหนึ่งในยุทธภพ เป็นธรรมดาที่จะมีความสนใจในด้านการต่อสู้ ย่อมไม่มีการห้ามสมาชิกไม่ให้ประลองฝีมือกันอยู่แล้ว

เมื่อสำนักมีขนาดใหญ่ อีกทั้งยังประกอบด้วยผู้ฝึกวรยุทธที่เลือดลมแกร่งกร้าว ระหว่างคนกับคนย่อมจะเกิดความขัดแย้งกันเป็นธรรมดา แต่ด้วยข้อจำกัดจากกฎของสมาคมจึงไม่สามารถต่อสู้กันเป็นการส่วนตัวได้ ผ่านไปนานวันเข้า การประลองแบบนี้ก็ได้กลายเป็นวิถีทางในการคลี่คลายปัญหาอย่างหนึ่ง

แต่หอกดาบไร้ตา หมัดเท้าไร้ใจ ในการประลองฝีมือจึงยากที่จะหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บเพลี่ยงพล้ำได้ ดังนั้นในการประลองฝีมือแบบนี้ จึงมีกฎที่ไม่ได้บัญญัติไว้อยู่ประการหนึ่ง ซึ่งก็คือขอเพียงไม่ฆ่ากันตาย ต่อให้สู้กันจนเจ็บหนักขนาดไหนก็จะไม่ถูกลงโทษตามกฎของสมาคม

ดังนั้นถ้าไม่ใช่ความขัดแย้งหรือความแค้นที่ไม่อาจไกล่เกลี่ยกันได้จริงๆ โดยปกติจึงมีน้อยมากที่คนในสมาคมหงเหมินจะดำเนินการ ‘ประลองฝีมือ’ กันแบบนี้ และการที่บุคคลระดับผู้อาวุโสอย่างเหลยเจิ้นเยวี่ยจะเป็นฝ่ายท้าสู้นั้น ก็ยิ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากเข้าไปใหญ่

แน่นอนว่า เมื่อฝ่ายหนึ่งยื่นคำท้า ก็ต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งรับคำท้าด้วยถึงจะได้ ถ้าเยี่ยเทียนไม่รับคำท้า อย่างนั้นเหลยเจิ้นเยวี่ยก็จะไม่สามารถเคลื่อนไหวลงมือได้ ได้แต่มองตาปริบๆ อย่างอารมณ์บูด

เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลี่ซงชิวก็ส่งสายตาไปทางเยี่ยเทียน “ท่านเยี่ย เหล่าเหลยก็นิสัยแบบนี้แหละ ท่านอย่าไปสนใจมันเลยนะ วันนี้มีพี่น้องตั้งมากมายมาชุมนุมกัน พวกเราไม่เมาไม่เลิก!”

“นั่นสิๆ ท่านเยี่ย ลุงเหลยแค่หยอกท่านเล่นเฉยๆ น่ะ งานฉลองก็จัดไว้พร้อมแล้ว พวกเราไปเริ่มกันเลยเถอะ!”

ตู้เฟยก็ช่วยเสริมขึ้นมาจากด้านข้าง ถึงเขาจะเคยประมือกับเยี่ยเทียนมาแล้ว จึงรู้ว่าวิทยายุทธของเยี่ยเทียนนั้นลึกล้ำเกินหยั่งคะเน แต่ในใจก็ยังไม่คิดว่าเขาจะชนะได้อยู่ดี เพราะตู้เฟยเคยแพ้เหลยเจิ้นเยวี่ยมาหนักยิ่งกว่านั้นอีก

ในปีที่ตู้เฟยอายุห้าสิบ และเพิ่งจะไปถึงระดับพลังแฝงได้พอดีนั้น เขาเคยนึกกระหยิ่มใจว่า ตัวเองต่างหากที่เป็นขุนพลดอกไม้คู่อันดับหนึ่งของสมาคมหงเหมินในขณะนั้น จึงนึกอยากจะประลองฝีมือกับเหลยเจิ้นเยวี่ยดูสักครั้ง

แน่นอนว่า นี่เป็นการประลองฝีมืออย่างแท้จริง ไม่ได้มีความแค้นส่วนตัวใดๆ แฝงอยู่ เป็นเพียงการที่ผู้เยาว์จะขอรับการชี้แนะจากผู้อาวุโสเท่านั้น

ตอนนั้นเหลยเจิ้นเยวี่ยตอบตกลง และก็ไม่ได้เชิญคนอื่นในสมาคมมาชมการประลองด้วย ทั้งสองจึงประมือกันในลานบ้านของเหลยเจิ้นเยวี่ย

ตามความคิดของตู้เฟย อาศัยพลังฝีมือที่เข้าสู่ระดับพลังแฝงของเขาแล้ว ต่อให้เอาชนะเหลยเจิ้นเยวี่ยไม่ได้ ก็น่าจะสามารถสู้ไปได้สักแปดสิบหรือร้อยกระบวนท่า แล้วสุดท้ายก็คงจบด้วยการเสมอกันละกระมัง?

แต่คาดไม่ถึงเลยว่า เมื่อทั้งสองเริ่มลงมือ หลังจากปะทะกันไปเพียงสามกระบวนท่า เหลยเจิ้นเยวี่ยก็ยกขากระแทกส้นเท้าจู่โจมไหล่ของตู้เฟยไปหนึ่งครั้ง แม้ว่าเหลยเจิ้นเยวี่ยจะใช้แรงไปเพียงสามส่วน แต่ก็ยังทำให้ตู้เฟยต้องนอนอยู่บนเตียงไปถึงสองเดือนเต็มๆ

หลังจากนั้นมา ตู้เฟยก็ไม่กล้าสำแดงวรยุทธของตนในสมาคมหงเหมินอีกเลย เพราะตราบใดที่มีเหลยเจิ้นเยวี่ย อยู่ ฉายาขุนพลอันดับหนึ่งของสมาคมหงเหมินก็ไม่มีทางกลายไปเป็นของคนอื่นได้แน่นอน

“ตู้เฟย แกน่ะไสหัวไปทางโน้นเลย คันกระดูกอยากจะให้ลุงเหลยช่วยคลายให้ใช่ไหม?”

เหลยเจิ้นเยวี่ยไม่กล้าต่อว่าหลี่ซงชิว แต่กับตู้เฟยนั้นไม่เหมือนกัน หลังจากได้ยินตู้เฟยพูดขึ้น ฝ่ามือใหญ่เท่าใบพัดของเขาก็กำหมัด ระหว่างที่ข้อกระดูกลั่นเสียงดังขึ้นมา ดวงตาก็จับจ้องไปที่ตู้เฟยอย่างประสงค์ร้าย

“ยอมละครับลุงเหลย ถือว่าผมไม่ได้พูดอะไรก็แล้วกันครับ!” ตู้เฟยยิ้มเฝื่อนๆ แล้วก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก

ตู้เฟยจะไปยั่วโมโหชายชราที่อารมณ์ร้อนเป็นไฟคนนี้ไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นท่านคงกล้าซ้อมเขาอย่างหนักทั้งที่มีฝูงชนนั่งดูกันหน้าสลอนอยู่จริงๆ แน่ ตู้เฟยเป็นลูกหลานของไอ้เสือเหลย จะทุบตีสั่งสอนบ้างก็เป็นการสมควรแล้ว ไม่ถือว่าเป็นการทำร้ายผู้ร่วมสมาคม

“ท่านเยี่ย ว่าไงล่ะ หรือว่านามอันเกรียงไกรของนักพรตหลี่ซั่นหยวนอาจารย์ของท่านจะเป็นแค่ชื่อเสียงปลอมๆ ล่ะ?”

หลังจากดุตู้เฟยแล้ว เหลยเจิ้นเยวี่ยก็มองไปทางเยี่ยเทียน ยิ้มหยันแล้วพูดต่อ “หรือว่าทักษะของท่านเยี่ยจะไม่ใช่ของแท้ ไม่ได้เรียนแก่นแท้ในวิชายุทธของอาจารย์ท่านมา ก็เลยไม่กล้าออกมาแสดงความทุเรศรึเปล่าล่ะ?”

แม้ว่าเหลยเจิ้นเยวี่ยจะนำพลังความแค้นนั้นไปใช้ฝ่าด่านในการฝึกพลังฝีมือแล้ว แต่เขายึดมั่นในบุญคุณความแค้นมาทั้งชีวิต เมื่อลูกชายถูกคนอื่นสั่งสอน คนเป็นพ่อก็ต้องเอาคืนให้อยู่แล้ว วันนี้ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องสั่งสอนเยี่ยเทียนสักยกหนึ่ง

หลังจากเหลยเจิ้นเยวี่ยพูดออกไปแบบนั้น บรรดาคนที่ล้อมดูอยู่รอบๆ ก็เปลี่ยนสีหน้าไปกันหมด ท่าทางตาเฒ่าคนนี้จะโกรธเอาจริงๆ ถึงขั้นนำเอาอาจารย์ของเยี่ยเทียนมายั่วยุเลยทีเดียว

ชาวยุทธภพดั้งเดิมนั้นถือกันว่า เป็นอาจารย์หนึ่งวันเปรียบดั่งบิดาชั่วชีวิต หากแสดงความไม่เคารพต่ออาจารย์ของผู้อื่นแม้เพียงทางวาจา สุดท้ายก็มักจะบานปลายจนต้องสู้ให้ตายกันไปข้างหนึ่ง

เมื่อเหลยเจิ้นเยวี่ยพูดออกมาแบบนี้ ถ้าเยี่ยเทียนยังไม่กล้ารับคำท้าอีก อย่างนั้นพิธีเปิดที่ประชุมในวันนี้ก็จะกลายเป็นเรื่องตลกไป เกรงว่าแม้แต่สมาชิกชั้นธรรมดาที่สุดของสมาคมหงเหมินก็คงจะไม่นับถือเยี่ยเทียนกันอีกแล้ว

“น้องสาม แก…แก ฮึ่ย!” หลี่ซงชิวเองก็นึกไม่ถึงว่าเหลยเจิ้นเยวี่ยจะมัดมือชกแบบนี้ แต่เขาก็จนปัญญาที่จะพูดเกลี้ยกล่อมแล้ว

“ผู้อาวุโสเหลย ได้ยินชื่อเสียงของท่านมานาน วันนี้ได้พบกันแล้ว นับว่าสมคำร่ำลือจริงๆ !”

เยี่ยเทียนก้าวออกไปหนึ่งก้าว “ท่านก็ยังถือว่าเป็นคนเที่ยงตรงอยู่ เรื่องครอบครองเงินทุนวางอุบายใส่ตระกูลซ่งนั้น วันนี้ก็ถือว่าได้เปิดเผยไปหมดแล้ว ผมผู้แซ่เยี่ยจะไม่ไปหาเรื่องคุณอีกแล้วละนะ!”

“ฮึ อย่ามาพูดไร้สาระเลย คำท้าประลองนี่ตกลงจะรับหรือไม่รับ?”

เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนเอ่ยถึงเรื่องนั้น ใบหน้าชราของเหลยเจิ้นเยวี่ยก็แดงขึ้นมา เขามีชีวิตอยู่มาแปดสิบกว่าปีแล้ว นั่นเป็นเรื่องน่าละอายเพียงเรื่องเดียวที่เขาเคยทำมาเลย

เยี่ยเทียนยิ้มอย่างร่าเริง “ในเมื่อท่านอยากจะขอคำชี้แนะ ผมก็จะช่วยชี้แนะให้สักหน่อยก็แล้วกัน!”

แม้ว่าทัศนคติที่มีต่อตาแก่คนนี้จะเปลี่ยนไปมากแล้ว แต่เมื่อเหลยเจิ้นเยวี่ยพูดโยงไปถึงอาจารย์ เยี่ยเทียนจึงต้องประลองกับเขาดูสักครั้ง ไม่อย่างนั้นพอเขากลับไปถึงฮ่องกงแล้ว ศิษย์พี่ใหญ่คงไม่ยกโทษให้เขาแน่ๆ

“ชี้แนะ? ฮ่าๆ ได้ อย่างนั้นก็ขอเชิญท่านเยี่ยชี้แนะสักท่าสองท่าก็แล้วกัน!” หลังจากได้ยินเยี่ยเทียนพูด เหลยเจิ้นเยวี่ยก็อึ้งไปก่อน จากนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างฉุนเฉียว

เหลยเจิ้นเยวี่ยเข้าสู่วงการมาหกสิบเจ็ดสิบปี เคยประลองฝีมือกับครูมวยประเทศต่างๆ มาไม่รู้กี่ครั้ง ยังไม่เคยต่อยตีแพ้ใครเลยแม้แต่ครึ่งกระบวนท่า เจ้าหนุ่มเมื่อวานซืนนี่ถึงกับกล้าฝันเฟื่องว่าจะมาชี้แนะเขาเลยรึ?

………………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด