หมอดูยอดอัจฉริยะ 670 การเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรย์ (1)

Now you are reading หมอดูยอดอัจฉริยะ Chapter 670 การเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรย์ (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เนื่องจากขาดการฝึกวรยุทธ เยี่ยเทียนจึงไม่รู้ว่าควรจะทำให้จิตดั้งเดิมมั่นคงได้อย่างไร หลังจากครอบครองจิตแห่งหยางแล้ว เขาจึงต้องการใช้มันอยู่เรื่อยๆ แต่กลับไม่ได้รับการเพิ่มเติมแม้แต่นิดเดียว

ดังนั้นจึงทำให้หลังจากที่เยี่ยเทียนลงจากเครื่องบินแล้วมีความอ่อนเพลียจนหมดแรง ไม่อย่างนั้นด้วยจิตที่เปลี่ยนแปลงของเขา ต่อให้ไม่ต้องนอนสักสองสามคืนก็ไม่ดูเหนื่อยขนาดนี้

แต่หลังจากที่เข้ามาอยู่ในค่ายกลชุมนุมพลังแล้ว เยี่ยเทียนก็รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นหลุมดำก็ไม่ปาน พลังแห่งฟ้าดินที่มีอย่างเต็มเปี่ยม ได้ไหลเข้าสู่ภายในร่างกายของเขาอย่างไม่คิดชีวิต

ตอนแรกสีหน้าของเยี่ยเทียนเปลี่ยนไปบ้าง เพราะว่าตอนที่เขามีพลังปราณชีวิตอยู่นั้น ไม่กล้าดูดซับพลังปราณชีวิตอย่างกำเริบเสิบสานขนาดนี้ และมันก็มากพอที่จะทำให้เขาตัวแตกได้

แต่ไม่รอให้เยี่ยเทียนตอบสนองกลับ จิตดั้งเดิมที่ยึดครองอาการบาดเจ็บตรงกระดูกสันหลังของเขา เหมือนกับกำลังร้องไชโยด้วยความดีอกดีใจ แล้วดูดซับพลังแห่งฟ้าดินเหล่านั้นเข้าไปอย่างเต็มที่

หลังจากที่จิตดั้งเดิมดูดซับพลังปราณชีวิตไปแล้ว เยี่ยเทียนก็ไม่มีความรู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด ตรงข้ามกลับมีความรู้สึกเต็มอิ่ม มีกำลังวังชากระปรี้กระเปร่า

ตอนนี้เยี่ยเทียนอยากจะรีบไปที่ดวงตาค่ายกล เขาอยากรู้ว่าพลังแห่งฟ้าดินนั้นมีประโยชน์กับพลังจิตของตัวเองอย่างไรกันแน่ อย่างอื่นยังไม่ต้องพูดถึง ขอเพียงสามารถฟื้นฟูพลังจิตที่ได้รับความเสียหายตอนที่ออกจากร่างไปก่อนหน้านี้ได้ เยี่ยเทียนก็ได้กำไรแล้ว

หลังจากซ่งเวยหลันและคนอื่นๆ เข้าไปในคฤหาสน์แล้ว ก็เหลือเพียงคนฉลาดหลักแหลมทั้งหลาย เมื่อเห็นใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นระคนความดีใจ โก่วซินเจียจึงเอ่ยถาม “ศิษย์น้องเล็ก หรือว่าค่ายกลชุมนุมพลังจะมีส่วนช่วยต่อการฝึกพลังจิตของนาย?”

“ศิษย์พี่ใหญ่ ตอนนี้ผมไม่กล้ายืนยันครับ”

เยี่ยเทียนพยักหน้าพลางพูด “พลังจิตที่อยู่ภายในร่างกายของผมเหมือนจะสามารถใช้ปราณวิเศษสร้างพลังอำนาจให้กับตัวเองได้ แต่จะเกิดความเปลี่ยนแปลงแบบไหน ตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้ครับ ศิษย์พี่ใหญ่ พวกพี่ก็เหนื่อยมาหลายวันแล้ว ไปพักผ่อนเถอะ!”

หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน โก่วซินเจียจึงมีสีหน้าเป็นกังวลออกมาแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องเล็ก การฝึกฝนจิตดั้งเดิมนั้นอันตรายมากที่สุด ถ้าไม่ระวังก็จะทำให้ขวัญกระเจิงได้ อาการบาดเจ็บของเธอใช่ว่าจะรักษาหายภายในวันสองวัน จะรีบร้อนไม่ได้เด็ดขาด!”

ในสมัยโบราณนั้น นักบวชที่มีคุณธรรมแก่กล้าหรือเหล่านักพรตทั้งหลาย ก็ชอบมาฝึกวิชายุทธในภูเขาลึกกับแม่น้ำสายใหญ่ อย่างแรกที่นั่นเต็มไปด้วยพลังแห่งฟ้าดิน อย่างที่สองพราะกลัวว่าเมื่ออยู่ในฌานแล้วจะได้รับการรบกวนและตกใจตื่น ทำให้จิตดั้งเดิมได้รับความเสียหาย

สิ่งเหล่านี้มีบันทึกอยู่ในหนังสือคัมภีร์โบราณของคัมภีร์เต๋า เพียงแต่คนรุ่นหลังไม่สามารถฝึกได้ถึงระดับนี้ จึงไม่สามารถเข้าใจได้ โก่วซินเจียก็กลัวว่าเยี่ยเทียนจะไม่รู้ ถึงได้พูดเตือนเขาเช่นนี้

“ศิษย์พี่ใหญ่ วางใจได้ ผมรู้ตัวเองดีครับ”

เยี่ยเทียนพยักหน้า หลังจากพลังจิตได้กลืนกินพลังชีวิตไปแล้ว ในใจเขามีความรู้สึกบางอย่าง แท้จริงแล้วพลังแห่งฟ้าดินนั้นไม่ได้มีผลประโยชน์ต่อนักบวชเต๋าธรรมดาสักเท่าไร อย่างมากสุดก็สามารถรวบรวมปราณชีวิตแท้เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงได้เท่านั้น

มีเพียงตอนที่เข้าสู่ขั้นของการฝึกจิตดั้งเดิมเท่านั้น พลังแห่งฟ้าดินถึงจะได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ แต่เรื่องจริงเป็นเช่นไร จำเป็นต้องให้เยี่ยเทียนลองตรวจสอบด้วยตัวเอง

“ได้ เธอเองก็ระวังหน่อยนะ!”

หลังจากโจวเซี่ยวเทียนกับจั่วเจียจวิ้นหามเปลของเยี่ยเทียนมาวางไว้ที่จุดชมวิวแล้ว ทุกคนต่างก็ถอยออกไปไกลๆ แต่พวกเขาไม่ได้กลับไปที่ห้อง

เพราะในคฤหาสน์หลังนี้ทุกที่ล้วนเต็มไปด้วยพลังปราณชีวิต จะฝึกฝนตรงไหนก็เหมือนกัน พวกเขาสองสามคนจึงนั่งลงไปกับพื้น เพื่อนั่งโคจรลมปราณฟื้นฟูพละกำลัง และใช้สายตาจ้องมองเยี่ยเทียนที่อยู่ตรงจุดชมวิวไปด้วย

ไม่เพียงแค่โก่วซินเจียและคนอื่นๆ ที่เป็นห่วง พวกของซ่งเวยหลันที่กลับเข้าไปในคฤหาสน์แล้ว ก็ไม่อาจนอนหลับได้อย่างสบายใจ ต่างก็เปิดหน้าต่างมองไปที่เยี่ยเทียนด้วยสีหน้าเป็นกังวล

แต่สุดท้ายด้วยความเหนื่อยล้าสองสามวันที่ผ่านมา บวกกับเวลานี้ก็ดึกดื่นมากแล้ว ถึงแม้ภายในห้องจะวาดยันต์เพื่อกั้นค่ายกลของปราณวิเศษเอาไว้ แต่ปราณวิเศษที่อยู่ภายในนี้ก็ยังสูงกว่าโลกภายนอกอยู่ดี

หลังจากสิบนาทีผ่านไป อวี๋ชิงหย่า ซ่งเวยหลันและคนอื่นๆ ก็ไม่อาจต้านทานการโจมตีของความง่วงได้ จึงเดินกลับไปที่เตียงนอนหลับไป

พระจันทร์บนท้องนภาสุกสกาว ค่ายกลรวมพลังดาวเหนือก็ได้สำแดงความสามารถที่ซ่อนอยู่ภายในออกมาอย่างเต็มที่ แสงดาวดวงน้อยสาดแสงมาที่ท้องฟ้าครอบพื้นปฐพี ราวกับกำลังหลอมรวมเข้ากับค่ายกล กลายเป็นพลังแห่งฟ้าดินอันบริสุทธิ์ต่อเนื่องไม่ขาดสาย

ตรงปากมังกรของจุดชมวิว ก็กำลังดูดซับปราณวิเศษที่มาจากเสาฮวงจุ้ยอย่างเต็มปากเต็มคำ ดูเหมือนโลกมนุษย์กำลังจะสร้างสะพานหนึ่งสาย เพื่อดูดซับปราณวิเศษที่อัดแน่นเหล่านั้นเข้าไปในค่ายกล

หลังจากที่โก่วซินเจียและคนอื่นๆ เปิดตาทิพย์แล้ว ก็สามารถมองเห็นภาพที่แปลกประหลาดนี้ได้ พลังปราณชีวิตสีขาวเหมือนหมอกควันอันโอฬารพันลึก เหมือนกับดินแดนสวรรค์ก็ไม่ปาน

“โธ่เอ๊ย ฉันไม่มีปราณชีวิตแท้เลยสักนิดเดียว ถึงอยากจะเดินลมปราณก็ทำไม่ได้!”

เยี่ยเทียนที่นอนอยู่ตรงจุดชมวิวในเวลานี้ ในใจกลับรู้สึกยุ่งเหยิงขึ้นมา สาเหตุเพราะไม่มีมัน และเพราะเขาไม่สามารถฝึกพลังจิตได้ หนำซ้ำปราณชีวิตแท้ภายในร่างกายก็ไม่มี แม้ว่าอยากจะให้พลังจิตรีบดูดเข้ามาก็ทำไม่ได้

“ตามที่กล่าวในหนังสือคัมภีร์โบราณ จิตดั้งเดิมควรจะมีลักษณะเหมือนกับคน แบบนั้นก็หมายความว่า จิตดั้งเดิมสามารถฝึกวิชายุทธได้ด้วยตัวเอง?”

ในใจของเยี่ยเทียนพลันเกิดความคิดอย่างหนึ่ง ภายในร่างกายของเขาไม่มีปราณชีวิตแท้ก็จริง แต่ถ้าหากจิตดั้งเดิมสามารถฝึกวรยุทธเองได้เหมือนกับกายเนื้อ อย่างนี้ก็แก้ไขปัญหาได้แล้วสิ?

“เอาวะ!”

เยี่ยเทียนก็เป็นคนใจกล้าคนหนึ่ง หลังจากที่ในใจพยายามคิดถึงเรื่องที่มีความเป็นไปได้ จึงรีบกัดฟันแน่น รับพลังจิตที่ห่อหุ้มแผลบาดเจ็บตรงกระดูกสันหลังทั้งหมดเข้าไปอยู่ในจุดหนีหว่านกง

คราวที่แล้วเยี่ยเทียนจิตหลุดออกจากร่างจนเกือบทำให้ขวัญกระเจิง คราวนี้เยี่ยเทียนไม่กล้าประมาทอีก เขาจำเป็นต้องรวมพลังจิตเข้าด้วยกัน แล้วถึงจะรับมือกับเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันได้

เมื่อสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วอดทนกับความเจ็บปวดที่มาจากกระดูกสันหลัน จากนั้นเยี่ยเทียนพลันลืมตาทั้งสองข้าง จุดอิ้นถังสั่นไหว แล้วจึงรู้สึกเหมือนทั้งตัวไม่มีน้ำหนักใดๆ ในทันที

หลังจากที่จิตดั้งเดิมออกจากร่าง เยี่ยเทียนก็ไม่ได้รับผลกระทบจากอาการบาดเจ็บของกายเนื้ออีกเลย ความรู้สึกเจ็บปวดตรงไขกระดูกเมื่อครู่ไม่มีแล้ว ทำให้เยี่ยเทียนสบายใจพักหนึ่ง

แต่จากประสบการณ์ครั้งที่แล้ว ครั้งนี้เยี่ยเทียนจึงระมัดระวังเป็นอย่างมาก เขาเอาจิตดั้งเดิมออกจากร่างประมาณหนึ่งนิ้วเท่านั้น และก็ไม่กล้าใช้จิตดั้งเดิมเดินสำรวจเพ่นพ่านอีก

“จิตดั้งเดิมนี้ น่าจะเป็นคนที่บำเพ็ญตบะน่าเกลียดที่สุดในประวัติศาสตร์ใช่ไหม?”

เยี่ยเทียนสามารถมองเห็นร่างกายตัวเองในระยะหนึ่งนิ้วได้ ขณะเดียวกันก็สามารถรับรู้ถึงท่าทางของจิตดั้งเดิมของตัวเอง เหมือนกับตอนที่ออกจากร่างในครั้งแรก จิตดั้งเดิมของเขาเป็นกลุ่มควันขาว ต่างกับที่บันทึกในหนังสือคัมภีร์โบราณเป็นอย่างมาก

“มันไม่มีลักษณะ แล้วก็ไม่มีเส้นลมปราณ แบบนี้ควรจะเดินลมปราณได้ยังไง?”

เนื่องจากจิตดั้งเดิมกลุ่มนั้นของเยี่ยเทียน ได้ดูดซับพลังปราณชีวิตที่อยู่บริเวณรอบๆ โดยอัตโนมัติมาตลอด ดังนั้นครั้งนี้เยี่ยเทียนจึงไม่รู้สึกอ่อนแอจากการที่จิตออกจากร่าง

เพียงแต่เยี่ยเทียนก็ไม่รู้ว่า ควรจะเพิ่มความเร็วในการดูดซับปราณวิเศษเหล่านี้ได้อย่างไร เพราะว่าเขารู้สึกถึงความปรารถนาของจิตดั้งเดิมที่มีต่อปราณวิเศษเหล่านี้

“ช่างเถอะ ลองท่องคาถาการฝึกวรยุทธของปราณชีวิตแท้ของอาจารย์ดูก็แล้วกัน แล้วดูสิว่ามันจะเกิดผลไหม!”

หลังจากครุ่นคิดพักหนึ่งแล้ว เยี่ยเทียนจึงนำจิตดั้งเดิมลงไปข้างล่างอีกสามนิ้ว เขากลัวว่าถ้าเกิดอุบัติเหตุ แล้วไปผลกระทบต่อจิตดั้งเดิมทำให้ไม่สามารถเข้าร่างกายได้ แบบนั้นเขาก็จะกลายเป็นคนที่นอนตายทั้งเป็นคนหนึ่ง

เยี่ยเทียนฝึกวรยุทธมาตั้งแต่เด็ก เมื่อหลับตาแล้วจึงจำคาถาได้อย่างแม่ยนำ จากนั้นจึงขจัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปทันที แล้วเริ่มท่องคาถาของอาจารย์

จิตดั้งเดิมออกจากร่าง เหมือนกับทำให้คนเข้าสู่สภาวะการเข้าฌานได้ง่ายขึ้น เพียงเวลาไม่กี่นาที เยี่ยเทียนก็เข้าฌานไปอยู่ในระดับที่ลึกมาก

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”

“นั่นคืออะไร? หรือว่าจะเป็นจิตดั้งเดิมของศิษย์น้องเยี่ย?”

“น่าจะใช่ ดูผสมกันมั่วไปหมด สว่างจ้าตา นี่…นี่คือจิตที่ออกจากร่างจริงๆ!”

ขณะเดียวกันที่เยี่ยเทียนสูญเสียความรู้สึก จิตดั้งเดิมที่เป็นกลุ่มก้อนไร้สีไร้รูป จู่ๆ ก็ส่องแสงสว่างไปทั่วทิศ แล้วพลังที่ทรงอำนาจก็ออกมาจากจิตดั้งเดิม ทำให้โก่วซินเจียและคนอื่นๆ ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ไกลๆ รีบลุกขึ้นมาทันที

เดิมทีจิตดั้งเดิมจะมาจากระดับการฝึกปราณชีวิตแท้ขั้นสูง แต่ท่าทางที่แผ่ซ่านออกมาจากจิตดั้งเดิมของเยี่ยเทียนนั้น ทำให้โก่วซินเจียและทุกคนเกิดความรู้สึกหมดแรงบางอย่าง นี่คือการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพที่พวกเขาไม่อาจต่อต้านได้อย่างสิ้นเชิง

ถึงแม้แสงสว่างนั้นจะกระพริบนิดเดียวแล้วหายวับไป แต่ก็ทำให้พวกเขาโก่วซินเจียมองเห็นถึงลักษณะของจิตดั้งเดิมอย่างชัดเจน เหมือนกับที่เยี่ยเทียนได้อธิบายไว้ ว่าไม่เหมือนกับบันทึกในหนังสือคัมภีร์โบราณเลย

แต่ดวงตาของหนานไหวจิ่นกลับส่งสายตาที่แปลกออกไป นอกจากลักษณะที่เหมือนกันแล้ว จิตดั้งเดิมของเยี่ยเทียนกับคนที่เขาพบเข้าโดยบังเอิญนั้นเหมือนกันทุกประการ

ใครก็ไม่รู้ว่าจิตของเยี่ยเทียนออกจากร่างแล้ว จะมีผลเสียเป็นอย่างไรกันแน่ หลังจากความตกตะลึงในช่วงแรกของทุกคน จึงได้ขับเคลื่อนพลังปราณชีวิตออกมา เพื่อรับรู้บริเวณระยะสิบกว่าเมตรที่อยู่รอบตัวเยี่ยเทียน

แต่พอปล่อยพลังปราณชีวิตออกมา หนานไหวจิ่นกับโก่วซินเจียก็เปลี่ยนสีหน้าพร้อมกัน เพราะพวกเขาสองคนสามารถรับรู้ได้ ว่ารอบตัวของเยี่ยเทียนนั้นราวกับเป็นหลุมดำ ที่กำลังกลืนกินพลังปราณชีวิตทุกอย่างเข้าไป

ความรู้สึกแบบนั้นทำให้คนเกือบขาดลมหายใจ ทำเอาโก่วซินเจียเกือบกระอักเลือดออกมา แล้วจึงรีบพูดคำราม “ไม่ดีแล้ว รีบเก็บพลังปราณชีวิตเดี๋ยวนี้!”

แต่การเตือนของทั้งสองคนกลับช้าไปเล็กน้อย อย่างน้อยที่สุดจั่วเจียจวิ้นก็เป็นฝ่ายเสียเปรียบ หลังจากถอยหลังติดต่อกันสองสามก้าวแล้ว ก็กระอักเลือดออกมา

“นี่…นี่ไม่ใช่แค่การดูดซับพลังแห่งฟ้าดินอย่างเดียว แม้แต่ปราณชีวิตแท้ที่พวกเราฝึกฝนมาก็ถูกกลืนเข้าไปด้วย?”

โก่วซินเจียกับหนานไหวจิ่นยังพอมีวรยุทธแก่กล้าอยู่บ้าง จึงไม่ได้ถูกทำร้ายมากเท่าไร หลังจากที่เก็บพลังปราณชีวิตแล้ว ใบหน้าก็ดูขาวซีด เห็นได้ชัดว่าได้สูญเสียปราณชีวิตแท้ไปบางส่วน

“ท่านลุงจั่ว เป็นยังไงบ้างครับ?”

แต่โจวเซี่ยวเทียนที่วรยุทธน้อย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รับความบาดเจ็บ ได้แต่ประคองจั่วเจียจวิ้น พลางมองเขาอย่างไม่ค่อยเข้าใจ

“ไม่เป็นไร แค่เสียพลังนิดหน่อย เฮ้อ วิชานี้ของศิษย์น้องเล็กรุนแรงมาก!”

จั่วเจียจวิ้นผ่อนลมหายใจยาวๆ เขาคิดไม่ถึงว่าการฝึกขั้นหลอมปราณสู่จิตของตัวเอง กลับไม่มีแม้แต่โอกาสในการหลบหนี และพลังปราณชีวิตที่ปล่อยออกมาก็ยังถูกจิตดั้งเดิมนั่นกลืนกินไปหมดแล้ว!

แบบนี้ทำให้จั่วเจียจวิ้นเสียใจมาก การฝึกวรยุทธถึงขั้นนี้ของพวกเขา จึงเข้าใจความสำคัญของพลังเป็นอย่างดี ขนาดสะสมก็ยังจะไม่ทัน การสูญเสียครั้งนี้ก็มากพอที่จะทำให้เขาต้องฝึกอีกหลายปี

“ไม่ดีแล้ว การฝึกของศิษย์น้องเล็กนี้ อาจจะทำให้จิตดั้งเดิมนั้นแตกซ่านได้!” ตอนที่จั่วเจียจวิ้นพูด โก่วซินเจียมีสีหน้าไม่สบายใจออกมา

ค่ายกลชุมนุมพลังเป็นเยี่ยเทียนที่แอบเปลี่ยนแปลงกฎแห่งฟ้าดิน ผลของการรวมตัวของพลังปราณชีวิต จึงไม่ต่างจากดินแดนที่เป็นเหมือนดั่งสรวงสวรรค์เหล่านั้นของคนโบราณ

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด