หมอดูยอดอัจฉริยะ 684 ทนนิ่งไม่ไหว

Now you are reading หมอดูยอดอัจฉริยะ Chapter 684 ทนนิ่งไม่ไหว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“แผนที่ประเทศจีนเหรอ ? เอาไปทำอะไร ? ” ถังเหวินหย่วนตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน เยี่ยเทียนไม่ได้วิจัยคัมภีร์เต๋าไคหยวนอยู่เหรอ ? มันเกี่ยวข้องกับแผนที่ยังไง ?

“เอาแผนที่ภูมิประเทศ ไม่เอาแผนที่ประเทศจีนแบบธรรมดา หาได้มั้ย? ” เยี่ยเทียนแก้ไขคำพูดของถังเหวินหย่วน

ถังเหวินหย่วนพยักหน้าและตอบกลับไปว่า “น่าจะได้แหละ ถ้าไม่มีที่ฮ่องกง เดี๋ยวฉันให้คนเข้าไปซื้อในจีนแผ่นดินใหญ่”

ฮ่องกงกลับสู่แผนดินใหญ่ 3-4 ปีแล้ว การไปมากับประเทศจีนค่อยๆ เยอะขึ้น แม้กระทั่งคนฮ่องกงบางคน ก็พักอาศัยอยู่ในเซินเจิ้น ทำให้การเดินทางนั้นง่ายมากขึ้นกว่าเดิม

“ตลาด หมายความว่าอะไร ? แล้วคนที่ทิ้งร่องรอยน่าสงสัยเอาไว้ เป็นใครกัน ? ”

หลังจากถังเหวินหย่วนออกจากห้องไป เยี่ยเทียนก็กลับไปที่ห้องหนังสือของตัวเอง และเริ่มครุ่นคิด

แม้สติสัมปัญชัญยะของเยี่ยเทียนจะดีขึ้น เกือบถึงระดับถอดจิต แต่เขาไม่สามารถแยกแก่นวิญญาณออกจากร่างกายได้ อย่าว่าแต่ถอดจิตไปวาดภาพเลย

เพราะเป็นแบบนี้เยี่ยเทียนจึงกล้าพูดว่า คนที่ทิ้งแผนที่ภูมิประเทศแผ่นนี้ไว้ ต้องเป็นคนที่อยู่ในระดับที่สูงกว่าเขาแน่นอน

และคน ๆ นี้ ไม่น่าทิ้งสัญลักษณ์เอาไว้โดยไม่มีเหตุผลอย่างแน่นอน และจุดที่ระบุตลาดเอาไว้ตรงนั้น จะต้องมีความพิเศษบางอย่างแน่ ๆ

“คงไม่ใช่ที่พำนักของเทพเซียนที่ทิ้งเอาไว้หรอกมั้ง? ” เยี่ยเทียนดูนิยายกำลังภายในของกิมย้ง โกวเล้งตั้งแต่เด็กจนโต จึงมีข้อมูลเหล่านี้ปรากฏขึ้นในหัวอย่างอัตโนมัติ

แม้เยี่ยเทียนจะรู้ว่าเรื่องยาวิเศษครอบจักรวาลที่จะช่วยพัฒนากำลังนั้นจะเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ก็ไม่แน่ ตรงนั้นอาจจะเป็นที่พำนักของเทพเซียนท่านนั้นเอาไว้ใช้เพื่อฝึกวิชา หากมีความโชคดี ไม่แน่ อาจจะเจอวิธีฝึกวิชาที่เขาต้องการใช้มากที่สุดก็ได้

เยี่ยเทียนรู้ความลับอยู่หนึ่งเรื่อง ในปี ค.ศ. 1920 ชายตัดฝืนผู้เฒ่าคนหนึ่ง เคยค้นพบที่อยู่อาศัยของเก๋อหงสมัยราชวงศ์ซ่งในภูเขาหลอฝู ซึ่งเป็นสถานที่ฝึกลมปราณชีวิตของเขาด้วย

เพียงแต่เสียดาย ที่ชายตัดฝืนผู้เฒ่าคนนี้อ่านหนังสือไม่ออก หลังจากขนย้ายคัมภีร์เป็นสิบกว่าม้วนกลับมาบ้าน ดันใช้คัมภีร์พวกนั้นเป็นฟืน โยนเข้าเตาเผาไปทั้งหมด ทำให้หลี่ซั่นหยวนที่ได้ยินข่าวเจ็บปวดหัวใจมาก

แต่หลี่ซั่นหยวนก็ไม่ได้เสียเวลาเปล่า เพราะว่า “เหรียญต้าฉีทงเป่า” ที่ส่งทอดมาให้กับเยี่ยเทียน ก็ซื้อมาจากชายตัดฝืนผู้เฒ่าคนนั้นแหละ ตอนที่ได้เหรียญนั้นมา “เหรียญต้าฉีทงเป่า” เหรียญนั้น เป็นเครื่องรางอาวุธชิ้นนึง

ระยะห่างระหว่างราชวงศ์ถังทางใต้กับราชวงศ์ซ่งห่างกันไม่กี่สิบปี นี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ “ต้าฉีทงเป่า” เหรียญนี้สามารถเก็บรักษาไว้ได้ ส่วนมันกลายเป็นอาวุธไปได้อย่างไรแม้แต่หลี่ชั่นหยวนก็ยังไม่ทราบ

“เสียดาย คัมภีร์ผู้โอบกอดความเรียบง่าย บทด้านใน ของเก๋งหง ถ้าอาจารย์ได้มาตั้งแต่แรกละก็ ไม่แน่ อาจจะเข้าสู่ขั้นหลอมจิตสู่ความว่างไปแล้วก็ได้”

เยี่ยเทียนพลิกข้อมือ เหรียญ “ต้าฉีทงเป่า” เหรียญนั้นร่วงตกลงมาที่ฝ่ามือพอดี เขารู้สึกถึงบางอย่าง ตัวเขาฝึกจนเข้าระดับหลอมจิตสู่ความว่างแล้ว คาดว่าไม่ต้องใช้ ดวงตาค่ายกล ก็สามารถสร้างเครื่องรางได้เหมือนกัน

เพียงแต่ว่าตอนนี้ปราณชีวิตแท้ของเยี่ยเทียนสูญเสียไปหมด จิตดั้งเดิมที่เหลืออยู่ก็เหลือแค่ครึ่งเดียว ไม่รู้จะฝึกยังไงเหมือนกัน เรื่องพวกนี้ก็คงทำได้แค่คิดเท่านั้น

เยี่ยเทียนที่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย อยู่ในห้องหนังสือไปครึ่งบ่าย โก่วซินเจียกับคนอื่น ๆ จึงคิดแค่ว่าเยี่ยเทียนหาวิธีฝึกวิชาไม่เจอ ก็เลยอารมณ์ไม่ดี และไม่ได้มารบกวนเยี่ยเทียน

“อาจารย์ ท่านผู้เฒ่าถังบอกว่าแผนที่ที่อาจารย์อยากได้มาถึงแล้ว ท่านกำลังหาอาจารย์ไปทั่วเลย” ประตูของห้องหนังสือถูกเปิดออกโดยโจวเซี่ยวเทียน

“หืม ฟ้ามืดแล้วเหรอ?”

เยี่ยเทียนตอบในสิ่งที่ไม่ได้ถาม มองที่ไปที่หน้าต่างและพูดว่า “เซี่ยวเทียน นายไปหยิบแผนที่แผ่นนั้นมา ตอนกินข้าวเย็นไม่ต้องรอฉันนะ!”

“ครับอาจารย์ ” โจวเซี่ยวเทียนเกาหัว เพราะเขาไม่รู้ว่าอาจารย์คิดอะไรอยู่ จึงทำได้เพียงหันหลังและลงจากตึกไปหยิบแผนที่ขึ้นมา

ถังเหวินหย่วนไม่รู้ว่าเยี่ยเทียนต้องการแผนที่แบบไหน นอกจากแผนที่แบบภูมิประเทศแล้ว เขายังซื้อแผนที่สัดส่วนต่าง ๆ เพิ่มอีก 7-8 ชุด

หลังจากโจวเซี่ยวเทียนออกไปแล้ว เยี่ยเทียนกางแผนที่ภูมิประเทศแผ่นนั้นบนโต๊ะอ่านหนังสือ ขณะเดียวกัน ในใจก็ภาวนาว่า “ท่าอาจารย์โปรดคุ้มครอง แผนที่ที่เซียนท่านนั้นทิ้งเอาไว้ ต้องอยู่ในประเทศจีนนะ”

พื้นที่โลกกว้างใหญ่ขนาดนี้ ถ้าภูมิประเทศนั้นไม่ใช่ของประเทศจีน แม้ให้เยี่ยเทียนเหนื่อยจนตาย เขาก็หาตำแหน่งแผนที่ที่ตรงกันไม่เจอหรอก ตอนนี้ไม่เหมือนในอนาคต ที่มีคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่ใช้เปรียบเทียบได้

“ภูเขาหลอซาน? เอ่อ……”

เนื่องจากทั้งช่วงบ่ายนี้เขาคิดอยู่แต่เรื่องของเก๋อหง พอกางแผนที่ออกเท่านั้น เยี่ยเทียนมองตำแหน่งภูเขาหลอซานทันที แต่สิ่งที่เห็นกลับทำให้เขาผิดหวัง

“มณฑลที่อยู่ภาคตะวันออกทั้งสามมณฑลของจีน ก็ไม่น่าใช่…..”

ภาพวาดนั้นปรากฏขึ้นในความคิด เยี่ยเทียนกวาดสายตาไปที่แผนที่ฉบับนั้นอย่างรวดเร็ว จังหวัดต่าง ๆ ถูกเยี่ยเทียนตัดออกทีละจังหวัด ๆ

“หืม ? นี่ไง……มันคือตรงนี้ ! ”

เมื่อเยี่ยเทียนมองไปที่มณฑลหูเป่ย ทันใดนั้นสายตาก็ปรากฏความดีใจออกมา แผนที่ภูมิประเทศที่ชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลหูเป่ยนั้นเหมือนกับภาพที่ปรากฏในสมองของเขาทุกอย่าง

“นี่คือภูเขาอู่ตังซาน ? ”

เยี่ยเทียนเห็นชื่อภูเขานั้นเสร็จ ต่อจากนั้นก็ส่ายหัวทันที “ไม่น่าจะใช่ ไม่ใช่ภูเขาอู่ตังซาน ตำแหน่งของตลาด อยู่ข้างหลังของภูเขาอู่ตังซาน”

“นี่มันคืออะไรกันแน่ ? ”

เยี่ยเทียนเห็นตำแหน่งของตลาดที่ปรากฏอยู่ในแผนที่ตรงหน้า เป็นแค่ผืนป่าผืนหนึ่งเท่านั้น แต่ในแผนที่ไม่มีการเขียนกำกับชื่อของมันเอาไว้

“เสินหนงเจี้ย(อาณาเขตแห่งเทพกสิกร)นี่เอง ? ! ”

ครุ่นคิดไปครู่นึง เยี่ยเทียนหยิบแผนที่ประเทศจีนอีกหนึ่งแผ่นขึ้นมา สัดส่วนของแผนที่แผ่นนี้มีความแม่นยำกว่า ทำให้เยี่ยเทียนสามารถมองเห็นอย่างชัดเจน ในส่วนของตำแหน่งของตลาด มันอยู่ในอาณาเขตเสินหนงเจี้ยนั่นเอง

สำหรับ เสินหนงเจี้ย จะบอกว่าไม่รู้จักก็ไม่เชิง แต่ก็ไม่ค่อยคุ้นเท่าไหร่ เขาจำได้แค่ว่าเมื่อหลายปีก่อน ในหนังสือเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ มีบทความที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับการหาคนป่าในเขตเสินหนงเจี้ยโดยเฉพาะ

ฉะนั้น ในความทรงจำของเยี่ยเทียน เสินหนงเจี้ย นอกจากจะเป็นสถานที่ที่เทพกสิกรเหยียนตี้ทดลองกินพืชร้อยชนิดแล้ว มันก็คือแผนป่าดึกดำบรรพ์ที่ยังไม่เคยถูกพัฒนา

“ตลาด มันแปลว่าอะไรกันแน่ ? ”  เยี่ยเทียนมองตำแหน่งบนแผนที่แล้วเกาหัว

หากดูจากตำแหน่งแล้ว บริเวณนั้นเป็นเขตเสินหนงเจี้ยที่ลึกมากจนแทบจะไม่มีร่องรอยของคน ที่แห่งนั้นจึงเหมาะสมต่อคนที่ต้องการฝึกวิชาตามที่เยี่ยเทียนคิดไว้อย่างแน่นอน

แต่ในตำนานเทพนิยายสมัยโบราณ เซียนเหล่านั้นมักจะตั้งชื่อให้กับสถานที่ ๆ ตนเองชื่นชอบว่า พำนัก ประมาณนั้น ส่วนคำว่าตลาดคำนี้ ทำให้เยี่ยเทียนนึกไม่ออกจริง ๆ

“เยี่ยเทียน ทำอะไรอยู่เหรอ ? ทุกคนรอลูกกินข้าวด้วยกันอยู่นะ ลูกก็เอาแต่อยู่ในห้องไม่ออกไปไหนเลย ! ”

ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังครุ่นคิดอย่างหนักแต่ก็ยังไม่ได้คำตอบ ประตูของห้องหนังสือถูกแม่เปิดออก หลังจากที่โจวเซี่ยวเทียนบอกไว้ว่าอาจารย์ไม่อยากให้ใครรบกวน ก็คงมีแต่ซ่งเวยหลันที่กล้าเข้าไปที่ห้องหนังสือห้องนั้น

เมื่อเยี่ยเทียนเห็นท่าทีตำหนิของแม่ เขายิ้มฝืด ๆ ออกมาตอบว่า “แม่ จะรอผมทำไม กินกันก่อนเลย”

“ไม่ได้ อาการของลูกเพิ่งดีขึ้น ต้องบำรุงเยอะ ๆ แม่ต้มซุปปลาเอาไว้ให้ ถ้าเย็นก็จะไม่อร่อย”

ซ่งเวยหลันเดินไปที่ข้าง ๆ โต๊ะหนังสือของเยี่ยเทียน มองแผนที่บนโต๊ะอย่างประหลาดใจ ทันใดนั้นเธอก็ถามเยี่ยเทียนด้วยความตื่นเต้นว่า “เสี่ยวเทียน ลูกดูแผนที่พวกนี้ทำไม อย่าบอกว่าอยากออกไปข้างนอกอีกแล้ว ? ”

ซ่งเวยหลันไว้ใจลูกชายอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้เขาอาการค่อนข้างน่าเป็นห่วง ในฐานะที่เป็นแม่คนนึง ซ่งเวยหลันไม่อยากให้ลูกชายไปนู่นไปนี่อีกแล้ว

“แม่ครับ ผมกำลังหาสถานที่ที่หนึ่ง ไม่แน่ อาจต้องออกไปในวันสองวันนี้แหละ”

คำพูดที่ไม่ได้ตั้งใจพูดของซ่งเวยหลัน กลับเป็นคำพูดที่เตือนสติเยี่ยเทียนซะอย่างนั้น ทำไมเขาต้องหาเรื่องใส่ตัวล่ะ ? ก็แค่ไปให้ถึงตำแหน่งที่กำหนดไว้บนแผนที่ ถึงเวลานั้น ทุกอย่างก็คลี่คลายเอง

พอคิดถึงตรงนี้ เยี่ยเทียนก็ดีใจทันที เขาลุกขึ้นและกอดไหล่ของแม่เอาไว้ ยิ้มและพูดกับเธอว่า ”แม่ครับ ซุปปลานี้พ่อเป็นคนทำใช่มั้ย ? แม่แอบอ้างอีกแล้วนะ ”

“ใครบอก วันนี้พ่อแกเป็นแค่ผู้ช่วย แม่นี่สิเป็นเชฟใหญ่ ไม่เชื่อลูกไปถามพ่อเลย”

หลังจากถูกลูกชายแซวขัดจังหวะ ซ่งเวยหลันก็ลืมเรื่องที่จะถามต่อเกี่ยวกับเยี่ยเทียนจะออกไปข้างนอกไปเลย สองแม่ลูกพูดคุยกันสนุกสนานมาจนถึงห้องกินข้าวชั้นล่าง

“ศิษย์น้องเล็ก ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?”

เมื่อเห็นเยี่ยเทียนออกจากห้องหนังสือสักที โก่วซินเจียพูดด้วยความเป็นห่วงออกไปว่า “ตั้งแต่สมัยก่อนจนถึงปัจจุบัน วิธีฝึกวิชาก็คือความลับที่ไม่มีการสืบทอดจากสำนักต่าง ๆ ส่วนคัมภีร์เต๋าไคหยวน แม้ว่าจะไม่มีส่วนที่ขาดหายไป แต่บนนั้นก็ใช่ว่าจะมี ศิษย์น้องเล็กอย่าไปสนใจขนาดนั้นเลยนะ”

“ศิษย์พี่ใหญ่ ผมไม่เป็นอะไรครับ เมื่อช่วงบ่าย ผมนึกถึงใบสั่งยาใบหนึ่งที่อาจารย์เคยสอนเอาไว้ มีผลอย่างน่าอัศจรรย์สำหรับคนที่รักษาอาการเจ็บหน้าอกจากการฝึกกำลังมากเกินไป ผมอยากจะลองว่าสามารถปรุงยานั้นออกมาได้หรือไม่ ? ”

ตั้งแต่แรก เยี่ยเทียนไม่คิดจะบอกเรื่องที่ซ่อนไว้ในคัมภีร์เต๋าไคหยวน กับศิษย์พี่ทั้งหลายฟัง เพราะสิ่งนี้มองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้ หากพูดออกไปปากเปล่า ตัวเขาเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลย

โก่วซินเจียรู้สึกแปลกใจและรีบถามต่อว่า “มีใบสั่งยาแบบนี้ด้วยเหรอ ? เยี่ยเทียน ไหนลองเล่าให้ฟังหน่อยสิ ”

“แค่ก ๆ ศิษย์พี่ใหญ่ ใบสั่งยานี้ต้องใช้น้ำผึ้งสมุนไพรร้อยชนิดกับเห็ดหลินจือพันปี และเห็ดหลินจือต้องนำไปปรุงภายในครึ่งชั่วยาม หลังจากที่เด็ดออกจากต้น เงื่อนไขค่อนข้างเข้มงวด ผมจึงคิดไม่ถึงมาโดยตลอด”

คำพูดของศิษย์พี่ใหญ่ทำให้เยี่ยเทียนแอบรู้สึกว่าย้ายก้อนหินแต่ตกใส่เท้าตัวเอง แต่คำโกหกดันพูดออกจากปากไปแล้ว เยี่ยเทียนจึงพูดให้มันจบ เขาจึงแต่งเรื่องที่ตัวเองก็แทบจะไม่อยากจะเชื่อขึ้นมา

โก่วซินเจียเป็นใคร เขาฟังคำพูดที่ไม่จริงใจของเยี่ยเทียนออกอยู่แล้ว พอฟังออก เขาหัวเราะอย่างอดไม่ได้และพูดว่า “ศิษย์น้องเล็ก ทนนิ่งไม่ไหว ก็เลยอยากออกไปข้างนอกมั้ง ? ”

ใบสั่งยาใบนี้ต้องใช้เห็ดหลินจือพันปี แล้วต้องปรุงยาทันทีหลังจากที่เด็ดออกมา คำพูดของเยี่ยเทียนสื่อความหมายได้ว่า เขาต้องการออกไปหาเห็ดหลินจือพันปีนี่เอง

“ใช่ครับศิษย์พี่ใหญ่ น้ำผึ้งสมุนไพรร้อยชนิด เหมือนจะมีที่ เสินหนงเจี้ย ซึ่งอยู่ข้างหลังภูเขาอู่ตังซานเท่านั้น ส่วนสถานที่ตรงนั้นมีสมุนไพรนานาชนิด ไม่แน่อาจจะเจอเห็ดหลินจือพันปีก็ได้ ผมอยากลองเสี่ยงดู ! ”

แม้จะปิดบังจุดประสงค์ในการไปเสินหนงเจี้ย แต่ก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังสถานที่ๆ ตัวเองอยากไป ในเมื่อโก่วซินเจียถามถึง เยี่ยเทียนก็พูดออกมาเลย

โก่วซินเจียพยักหน้าและตอบว่า “ก็ดีเหมือนกัน ลองไปภูเขา แม่น้ำ ที่มีชื่อเสียงสักหน่อย ไม่แน่ อาจจะมีโอกาสบางอย่าง ศิษย์น้องเล็ก ฉันจะไปกับเธอเอง ! ”

เยี่ยเทียนส่ายหัวและตอบว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ อายุมากแล้ว อย่าไปทำให้ตัวเองต้องเหนื่อยเลย ให้เซี่ยวเทียนไปกับผมก็พอแล้ว ! ”

…………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด