หมอดูยอดอัจฉริยะ 723 แค้นดั่งทะเลโลหิต

Now you are reading หมอดูยอดอัจฉริยะ Chapter 723 แค้นดั่งทะเลโลหิต at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“บัดซบเอ๊ย ไอ้คนแซ่เยี่ยนั่นมันเป็นใครกันแน่วะ? ไม่เห็นเคยได้ยินว่ามีคนแบบนี้ในปักกิ่งเลย”

มือประคองใบหน้าอันบวมแดงที่ถูกจู้เหวยเฟิงตบ กระทั่งทั้งสามคนเข้าไปในบ้าน หลังจากปิดประตูแล้ว ชายคนนั้นก็ร้องโอดโอยออกมาด้วยความเจ็บปวด เขาเองก็รู้ว่าช่วงนี้คุณชายจู้อารมณ์ไม่ค่อยดีนัก

“เปียวจื่อ แกอย่านึกว่าสามารถหลอกล่อไอ้โง่ที่มาจากที่อื่นได้ แล้วจะกล้ามาเดินกร่างแถวนี้”

คนที่อยู่ด้านข้างพูดขึ้นด้วยสำเนียงเยาะเย้ย “รู้หรือเปล่าว่าที่นี่มันที่ไหน? สมัยราชวงศ์ชิงที่นี่คือเมืองฝั่งใน ซึ่งก็คือปักกิ่งถิ่นชาววังแท้ๆ อยู่ในเขตการดูแลของฮ่องเต้ คนที่นี่จะมีสักกี่คนที่ไม่มีคนใหญ่คนโตหนุนหลัง? พวกแกรออยู่เฉยๆ ไปเถอะ!”

คนพวกนี้เวลาปกติจะคอยช่วยคนที่มาจากในเขตมณฑลดำเนินงาน เรียกได้ว่าเป็นคนส่งข่าวในปักกิ่ง แต่ว่าระดับชั้นของพวกเขายังห่างไกลจากจู้เหวยเฟิงนัก และเพราะเหตุนั้นจึงไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของเยี่ยเทียน

โดยไม่สนใจพวกคนนอกบ้านที่กำลังคาดเดาที่มาของเยี่ยเทียน หลังจากเข้าเรือนสี่ประสาน เยี่ยเทียนก็ตรงมานั่งยังม้าหินที่เรือนด้านหน้า จ้องมองยังจู้เหวยเฟิงและต่งเซิงไห่โดยไม่พูดอะไร

พอถูกเยี่ยเทียนจดจ้องเหมือนจะมองทะลุลงไปในใจ จู้เหวยเฟิงก็อยู่ไม่สุขอีกต่อไป เอ่ยปากว่า “เยี่ยเทียน ฉันกับเหล่าต่งไม่ฟังคำพูดของนาย ครั้ง…ครั้งนี้เราถึงได้แพ้!”

“พวกเราพ่ายแพ้ยับเยิน!”

ต่งเซิงไห่ที่นั่งอยู่บนรถเข็นดูน่าเอน็จอนาถยิ่งกว่าจู้เหวยเฟิงมาก ขาขวาของเขาขาดออกไปทั้งท่อน ส่วนล่างของข้อศอกแขนขวาหายไป ขณะที่ปากบ่นพึมพำก็ใช้มือขวาทุบรถเข็นอย่างโกรธแค้น

“มาหาผมตอนนี้ แล้วจะมีประโยชน์อะไร?”

เยี่ยเทียนส่งเสียงหึอย่างเยือกเย็น เมื่อปีที่แล้วเขาเพียรพยายามเตือนสองคนนี้ว่าอย่าไปประเทศไทย แต่พวกเขากลับไม่ฟังแม้แต่น้อย ปัจจุบันแม้จะนึกถึงเขาขึ้นมา แต่ก็ไม่อาจต่อแขนและขาที่ขาดหายไปได้อีก

“ท่านเยี่ย เราต้องล้างแค้น!”

ต่งเซิงไห่ดูแก่กว่าไม่กี่เดือนก่อนราวยี่สิบสามปี เส้นผมล้วนขาวโพลน อิดโรยผ่ายผอมไปทั้งเนื้อตัว แล้วยังดูเหมือนว่าเขาบาดเจ็บไปถึงกล่องเสียง วาจาแหบแห้งคลุมเครือ มีเพียงแววแห่งความแค้นส่องประกายออกมาจากดวงตา

“ล้างแค้น? เหล่าต่ง คุณเองก็เป็นคนในยุทธภพ จำเป็นต้องล้างแค้นกันไม่จบไม่สิ้นจริงๆ หรือ?”

เยี่ยเทียนส่ายหน้า ตอบว่า “พวกคุณทั้งสองต่างก็เคยถูกเตือนแล้วครั้งหนึ่ง ผมลงทุนลงแรงตักเตือนพวกคุณอย่างลำบาก แต่พวกคุณกลับไม่เห็นเป็นเรื่องจริงจัง ตอนนี้ได้รับผลตอบแทนแล้วจะมาคิดล้างแค้น ต้องขออภัยที่ผมไม่เห็นด้วย!”

เยี่ยเทียนไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดๆ ต่อจู้เหวยเฟิง กับต่งเซิงไห่ก็เป็นเพียงคนภายในสำนักหงเหมินด้วยกันเท่านั้น แถมเขายังไม่ได้อยู่ในตำแหน่งเจ้าสำนัก จึงไม่มีสิทธิ์อะไรไปก้าวก่ายกับเรื่องนี้

อีกทั้งเวลานี้ในใจของเยี่ยเทียนยังติดค้างเรื่องอื่น ก่อนที่ผลการสืบสาวราวเรื่องของซ่งเฮ่าเทียนจะออกมา เขาก็ไม่กล้าออกจากปักกิ่งไปไหนทั้งสิ้น ด้วยกลัวว่าจะมีผู้รู้วิชามาหายังประตูบ้าน

“ท่านเยี่ย แต่ผมคับแค้นใจเหลือเกิน!”

ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว ต่งเซิงไห่ก็โอดครวญออกมา กลิ้งล้มลงต่อหน้าเยี่ยเทียนโดยไม่นึกห่วงร่างกายของตัวเอง พอหัวโขกถึงพื้น ก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นพูดว่า “ท่านเยี่ย หากแค้นนี้ไม่ชำระ ผมคงนอนตายตาไม่หลับ!”

“เยี่ยเทียน ฉันเองก็ต้องขอร้องนายเหมือนกัน!”

จู้เหวยเฟิงที่ต่อหน้าเยี่ยเทียนทำตัวหยิ่งยะโสมาตลอดอย่างเห็นได้ชัด หลังจากเห็นท่าทางของเหล่าต่งแล้ว น้ำตาก็รินไหล เข่าทั้งสองข้างอ่อนยวบ คุกเข่าลงตรงหน้าเยี่ยเทียน

“ให้ตายสิ แล้วจะไปทำไมแต่แรกล่ะ? เห็นคำพูดของผมเป็นเรื่องไร้สาระหรือไง?”

แม้เยี่ยเทียนจะมีนิสัยไม่รับทั้งไม้อ่อนและไม้แข็ง แต่เมื่อนึกถึงสถานการณ์ที่ทั้งสามพบเจอบนเรือสำราญควีนอลิซาเบธ ก็อดรู้สึกหงุดหงิดในใจไม่ได้ มือซ้ายยื่นออกไป พยุงต่งเซิงไห่ที่หมอบอยู่กับพื้นให้กลับขึ้นไปนั่งบนรถเข็น

ทว่าจากการเคลื่อนไหวเมื่อครู่ ต่งเซิงไห่ซึ่งอาการบาดเจ็บยังไม่หายดี จึงสำลักโลหิตออกมาอีกครั้ง จนเลือดเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปครึ่งตัว

“ให้ตายสิ ถ้าไม่ลำบาก ก็ไม่นึกถึงกันหรอก!”

เยี่ยเทียนสะบัดนิ้วกลาง จี้จุดหยุดกระแสเลือดตรงบาดแผลของต่งเซิงไห่ แล้วส่งพลังปราณแท้เข้าไป ทำให้ต่งเซิงไห่ที่กำลังร้อนรุ่มสงบลง

“พอแล้ว เลิกแสร้งทำตัวน่าเวทนาสักที…”

เยี่ยเทียนยื่นมือไปพยุงจู้เหวยเฟิงที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นขึ้นมา กล่าวว่า “คุณเล่าเรื่องมาให้ผมฟังก่อนเถอะ ช่วงนี้ผมไม่ค่อยมีเวลา รับปากไม่ได้หรอกนะ ว่าจะช่วยพวกคุณได้ไหม!”

“ไม่เป็นไร ขอเพียงนายยอมตกลง นานแค่ไหนพวกเราก็รอได้!”

พอได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว ใบหน้าของจู้เหวยเฟิงก็แสดงออกถึงความยินดี เยี่ยเทียนยอมให้เขาเล่าเรื่องออกมา ย่อมหมายความว่าเขาจะจัดการสะสางเรื่องนี้ให้

เมื่อเห็นเยี่ยเทียนมีสีหน้าเหลืออด จู้เฟวยเฟิงก็บอกว่า “คืออย่างนี้ ฉันกับเหล่าต่งไปยังประเทศไทยเมื่อกลางเดือนธันวาคมปีที่แล้ว…”

ที่แท้ ขณะที่เยี่ยเทียนหมดเร้นกายอยู่ภายในเขาฉางไป๋ซาน จู้เหวยเฟิงกับต่งเซิงไห่ต่างก็เดินทางถึงเมืองไทยด้วยความเบิกบานใจ แถมยังได้เจอการต้อนรับเป็นอย่างดีระดับเทียบเท่าบุคคลสำคัญ พอไปถึงวันแรกก็ได้ร่วมรับประทานอาหารร่วมกับพระมหากษัตริย์

งานด้านการจัดการแข่งขันชกมวย ล้วนเป็นฟรุสทำทั้งหมด ต่งเซิงไห่และจู้เหวยเฟิงเพียงแค่กินและเที่ยวสนุกไปวันๆ หญิงสาวในประเทศไทยทำให้เขาสนุกสนานจนลืมคิดถึงบ้าน

ก่อนวันงานแข่งขันมวยหนึ่งวัน ฟรุสได้เชิญต่งเซิงไห่และจู้เหวยเฟิงกับนักมวยในสังกัดของพวกเขา ร่วมกินเลี้ยงด้วยกันครั้งหนึ่ง และจุดเริ่มต้นของเรื่องก็เกิดขึ้นในงานเลี้ยงครั้งนั้นเอง

วันต่อมาขณะที่จัดงานแข่งขัน นักชกอันดับสี่ของโลกที่ต่งเซิงไห่เชิญมา สามารถคุมสถานการณ์บนเวทีได้เหนือกว่ามาก ต่อยจนฝ่ายตรงข้ามไร้เรี่ยวแรงทรงตัว

แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จู่ๆ การเคลื่อนไหวของนักชกฝั่งต่งเซิงไห่ก็เซื่องซึมลง จนถูกนักชกชาวไทยไร้ชื่อเสียงเรียงนามคนนั้นสอยก้านคอร่วงลงไปในหนเดียว

เหตุการณ์ซึ่งพลิกผันโดยไม่คาดฝันนี้ ทำให้ต่งเซิงไห่ตกตะลึงอย่างมาก แต่บนสังเวียนมวยมีเหตุการณ์พิสดารเกิดขึ้นมากมาย เรื่องที่คาดเดาไม่ได้เต็มไปหมด เวลานั้นเขาแค่อดรนทนไม่ไหว ส่งนักชกอีกคนขึ้นสังเวียนไป

สิ่งที่ทำให้ต่งเซิงไห่คาดไม่ถึงก็คือ นักชกลูกน้องของเขาคนนี้กลับได้ชัยชนะติดต่อกัน สามวันต่อมาเอาชนะได้ถึงเก้ารอบ ล้มคู่ต่อสู้ไปทั้งหมดหกคน เป็นผลให้ต่งเซิงไห่และจู้เหวยเฟิงทั้งสองคนได้เงินรางวัลเป็นมูลค่าหลายสิบล้านดอลลาร์อเมริกา

นั่นทำให้ต่งเซิงไห่ลืมนักชกอันดับสี่จากทั่วโลกคนนั้น นึกลำพองใจขึ้นมากะทันหัน

ในวันสุดท้ายนั้นเอง ต่งเซิงไห่ก็ถูกฟรุสยั่วยุ ให้นำสนามมวยใต้ดินในมอสโควของตัวเองมาเดิมพันกับเขา

ความจริงแล้วเรื่องนี้ก็ต้องโทษต่งเซิงไห่ที่โลภมากเกินไป เห็นว่าสนามมวยใต้ดินของประเทศไทยเหนือชั้นกว่าที่มอสโควหลายต่อหลายเท่า จึงอยากจะมีส่วนแบ่งในนั้น

อีกทั้งไม่รู้ว่าสมองของจู้เหวยเฟิงเกิดเป็นอะไรขึ้นมา ถึงได้ยกหุ้นสนามมวยของตนเอง มาวางเดิมพันกับมวยคนนั้นของต่งเซิงไห่

ผลที่ออกมาเป็นอย่างไรไม่ต้องอธิบาย หลังจากนักชกที่ชนะเก้ารอบรวดขึ้นเวที เริ่มแรกก็พุ่งโจมตีอย่างดุเดือด แต่ยังไม่ทันผ่านยกที่ห้า เขาก็กลายเป็นเหมือนนักชกก่อนหน้า หยุดยืนนิ่งงันอยู่บนเวทีชั่วเวลาหนึ่งโดยไร้สาเหตุ

นักชกใต้ดินไม่มีใครไม่เป็นดั่งเครื่องจักรสังหาร หากเกิดความผิดพลาดเล็กน้อยใดๆ ขึ้น ผลที่ตามมามักทำให้นักชกไม่อาจทนรับได้ นับประสาอะไรกับนักชกคนนั้นที่ยืนเหม่อลอยบนเวที จึงถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตีจนน็อค

เมื่อเห็นภาพนั้น ต่งเซิงไห่ก็นึกถึงเหตุการณ์ที่พบเจอในวันแรกขึ้นมาทันที ต่อให้เขาโง่งมยังไง ก็ยังรู้สึกได้ว่าต้องมีอะไรผิดปกติ

แต่ว่าผลการแข่งขันที่ชัดเจน ทำให้ต่งเซิงไห่ไม่อาจหาข้ออ้างใดๆ มายกเลิกสัญญาได้ อีกทั้งที่นั่นยังเป็นเขตแดนของฟรุส เขาและจู้เหวยเฟิงจึงได้เพียงแต่ประทับตราด้วยใจอันแค้นเคือง เซ็นข้อตกลงยินยอมโอนหุ้นส่วนให้ไป

แต่สิ่งที่ทั้งสองคาดไม่ถึงก็คือ ฟรุสตัดสินใจว่าจะไม่ปล่อยให้พวกเขาออกจากประเทศไทย ในคืนวันนั้นที่การแข่งขันสิ้นสุด คนกลุ่มหนึ่งก็บุกเข้าโจมตีที่อยู่ของต่งเซิงไห่และจู้เหวยเฟิง

คนเหล่านี้ไม่ได้ใช้อาวุธปืน แต่กลับใช้มีดผาหน้าไม้ อีกทั้งลงมือกันอย่างโหดเหี้ยม ยามปะทะกัน จู้เหวยเฟิงและต่งเซิงไห่ล้วนร่างชุ่มโชกไปด้วยเลือด

ต้องบอกว่าคำพูดก่อนหน้าของเยี่ยเทียนช่วยชีวิตทั้งสองคนนี้ไว้ เขาเตือนว่า หากจะไปประเทศไทยให้จู้เหวยเฟิงระวังตัวด้วย และหลังจากเกิดเหตุนักชกเสียชีวิตโดยอุบัติเหตุบนเวทีคืนนั้น จู้เหวยเฟิงจึงติดต่อสหายในกองทัพของเขาที่ประเทศไทยทันที

แต่ว่าสหายของจู้เหวยเฟิงมาช้าเกินไปเล็กน้อย กว่าพวกเขาจะเร่งรุดมาถึง เพื่อช่วยจู้เฟวยเฟิง ต่งเซิงไห่ก็ถูกคนตัดแขนและขา อาการร่อแร่ใกล้ตายเต็มที

ด้วยความช่วยเหลือจากเพื่อนชาวไทยของจู้เหวยเฟิง ทั้งสองจึงสามารถหนีกลับมายังประเทศจีนได้ในที่สุด แต่ข่าวคราวที่ส่งมาจากทางญี่ปุ่นและมอสโคว กลับทำให้ต่งเซิงไห่และจู้เหวยเฟิงเหมือนเจอโชคร้ายซ้ำสอง จนแทบจะกระอักเลือดตาย

ในช่วงที่ทั้งสองคนกำลังหลบหนีอยู่นั้น สนามมวยใต้ดินในมอสโควและญี่ปุ่นก็ถูกล้างบาง ฟรุสใช้สัญญาที่ทั้งสองลงนาม มาควบคุมจัดการสนามมวยใต้ดินทั้งสองแห่งเอาตามใจชอบ

และผู้เฒ่าเหล่านั้นที่ติดตามต่งเซิงไห่มาหลายสิบปี กลับเสียชีวิตอย่างกะทันหันทุกคนภายในคืนเดียว

เหตุการณ์ในวงการมาเฟียก็เป็นอย่างนี้ ถึงแม้ผู้คนต่างรู้ว่านี่เป็นฝีมือของฟรุส แต่กลับไม่มีใครสามารถขุดหาหลักฐานออกมาได้

และสัญญาที่อยู่ในมือของฟรุส ก็ทำให้เขาได้ครอบครองคำว่า “กฎ” อย่าว่าแต่องค์กรมวยใต้ดินทั่วโลกเลย แม้แต่สำนักหงเหมินที่อยู่เบื้องหลังต่งเซิงไห่ ก็ยังไม่อาจกล่าวโทษฟรุสต่อหน้าสาธารณชน

ธุรกิจที่ก่อตั้งมาอย่างยากลำบากทั้งชีวิต กลับถูกคนใช้วิธีเช่นนี้ช่วงชิงไป ต่งเซิงไห่สามารถพูดได้ว่าชีวิตในแต่ละวันผ่านไปด้วยความเคียดแค้น เมื่อสำนักหงเหมินไม่อาจออกหน้า เขาจึงฝากฝังความหวังทั้งหมดไว้ที่ตัวเยี่ยเทียน

“แค่ก…แค่กๆ!”

หลังจากที่เล่าเรื่องทั้งหมดนี้จบ จู้เหวยเฟิงก็ไอออกมา ตอนที่เขายกมือเปิดออกมานั้น ริมฝีปากเปรอะเปื้อนคราบเลือดหน่อยหนึ่ง

“คุณเองก็บาดเจ็บเหมือนกันหรือ?” เยี่ยเทียนมองไปยังจู้เหวยเฟิงอย่างสงสัย เมื่อครู่เขาใช้พลังจิตสัมผัสดูครู่หนึ่ง คิดว่าจู้เหวยเฟิงไม่น่าจะได้รับบาดเจ็บ

“ฉันฝ่าดงมีดพร้าออกมาได้ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร หลังจากกลับมาก็เอาแต่ไอเป็นเลือด ไปตรวจที่โรงพยาบาลก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ!”

จู้เหวยเฟิงส่ายหน้า แหวกเสื้อตรงหน้าอกออก ตรงนั้นมีรอยแผลเป็นยาวรอยหนึ่ง ลากตั้งแต่ช่วงอกไปถึงท้องน้อย ถ้าหากไม่เป็นเพราะรอยฟันไม่ลึกพอ แผลนี้คงผ่าไส้ออกมากองแล้ว

“เหล่าต่งเอาตัวมากันฉันไว้ แขนข้างนั้นถึงได้หายไป เยี่ยเทียน ขอเพียงนายช่วยพวกเราชำระแค้นนี้ ชีวิตของจู้เหวยเฟิงจะกลายเป็นของนาย!”

ในอดีตจู้เหวยเฟิงเคยทำภารกิจอยู่ต่างประเทศ บนเนื้อตัวจึงเต็มไปด้วยบาดแผล แต่ก็ยังไม่เคยได้รับความคับแค้นใจมากถึงขั้นนี้ ทั้งยิ่งรู้สึกติดค้างบุญคุณต่งเซิ่งไห่อย่างใหญ่หลวง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด