หมอดูยอดอัจฉริยะ 734 ติงหง

Now you are reading หมอดูยอดอัจฉริยะ Chapter 734 ติงหง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 734 ติงหง
นักพรตคนนี้แซ่ติง มีชื่อเดียวว่าหง ถึงแม้จะไม่เป็นวิชาการทำนายเสี่ยงทาย แต่วรยุทธที่ฝึกจนถึงระดับของเขานั้นสามารถทำนายโชคเคราะห์ได้

โดยเฉพาะศิษย์สำนักเดียวกันนับร้อยปีอย่างเก๋อข่าย หลังจากที่อีกฝ่ายเป็นตายร้ายดีไม่อาจรู้ได้นั้น ในใจพลันเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีบางอย่าง

“อาจารย์ ท่านถือศีลเสร็จแล้วหรือครับ?”

เห็นติงหงเดินออกมาจากถ้ำที่ถือศีล เด็กหนุ่มที่ใส่ชุดนักพรตคนหนึ่งรีบเดินเข้ามา พร้อมกับใบหน้าที่ตื่นเต้นดีใจ เอ่ยปาก “อาจารย์ ศิษย์ลุงเก๋อออกไปร่วมสี่ห้าเดือนแล้ว ป่านนี้ยังไม่กลับมาเลยครับ”

“น่าจะเกิดเรื่องแล้ว ข้าต้องไปออกดูสักหน่อย!” ติงหงโบกมือพูดว่า “ช่วงที่ข้าออกไป หากมีคนมากราบไหว้ก็บอกว่าข้าถือศีล!”

หลังจากหนึ่งวันผ่านไป ณ จุดลึกสุดของตีนเขาคุนหลุน ร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวแวบออกมาอย่างกะทันหัน จากนั้นก็มีควันกลุ่มหนึ่งโอบล้อมขึ้นมา หมอกควันนั้นลอยอยู่กลางอากาศทำท่าเหมือนจะหยุดเล็กน้อย เพื่อแยกแยะทิศทาง แล้วจึงลอยไปยังตำแหน่งของเมืองหลวง

“พี่ใหญ่ พี่ควรจะออกหน้าทักทายกับฝ่ายประมูลดีไหมครับ ให้พวกเขาเอาของสิ่งนั้นออกจากการประมูล?”

ช่วงเวลาพลบค่ำของหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่อวิ๋นหวาจวินเล่าเรื่องในอดีตให้น้องชายฟัง สองคนพี่น้องจึงกลับมานั่งในเรือนสี่ประสานอีกครั้ง ใบหน้าของอวิ๋นหวาถงปรากฏสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

เพื่อเป็นการยืนยันว่าจะได้คริสตัลชิ้นนั้น สองสามวันมานี้อวิ๋นหวาถงได้ติดต่อกับทางบริษัทประมูลคริสตี้ เพื่อต้องการซื้อผลึกชิ้นนั้นในราคาสูงเป็นการส่วนตัว แต่กลับถูกฝ่ายคริสตี้ปฏิเสธ ประธานใหญ่ของบริษัทตระกูลอวิ๋นอยู่ที่ประเทศจีนไม่เคยถูกปฏิเสธจนเสียหน้าแบบนี้มาก่อน

“ฉันว่าแกทำธุรกิจในประเทศจีนจนเคยชินแล้ว”

อวิ๋นหวาจวินถลึงตาใส่น้องชายอย่างไม่สบอารมณ์ “แล้วคริสตี้เป็นองค์กรอะไร? เขาทำเรื่องอะไรต้องคอยระวังสีหน้าตระกูลอวิ๋นของพวกเราไหม? อีกสองสามวันแกไปที่งาน แล้วประมูลของชิ้นนั้นมาให้ได้ก็พอ”

“ครับ พี่ใหญ่ พี่วางใจเถอะ ครั้งนี้ผมจะต้องจัดการเรื่องเป็นอย่างดี!” อวิ๋นหวาถงพยักหน้า สองคนพี่น้องไม่ว่าใครก็ไม่รู้ว่า อากาศที่อยู่รอบตัวดูเหมือนจะเคลื่อนไหวเล็กน้อย แล้วร่างหนึ่งก็ค่อยๆ ปรากฏตัวต่อหน้าทั้งสองคน

“พ่อหนุ่มอวิ๋น ไม่เจอกันหลายปี เจ้าสบายดีนะ?”

เสียงชัดแจ๋วดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทำให้สองพี่น้องตระกูลอวิ๋นที่กำลังจิบน้ำชาและพูดคุยกันอยู่ ตกใจสะดุ้งตัวสั่น มองไปตามเสียงแล้วก็พบว่าภายในลานบ้านมีคนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

“แกเป็นใคร? แก…แกเข้ามาได้ยังไง?” ถึงแม้ผู้เฒ่าอวิ๋นจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่คุณหญิงก็ยังมีชีวิตอยู่ แม้ว่าระดับคุ้มกันความปลอดภัยจะลดลงกว่าเมื่อก่อน แต่ก็ใช่ว่าใครที่ไหนจะเข้ามาในบ้านได้ง่ายๆ

“หนึ่งวันในภูเขา เท่ากับหนึ่งร้อยวันในโลกมนุษย์ ไม่คิดว่าเด็กในตอนนั้นจะโตตัวขนาดนี้แล้ว?” ติงหงยิ้มเล็กน้อย มองไปที่อวิ๋นหวาจวิน พลางพูด “พ่อหนุ่ม ยังจำนักพรตอย่างข้าได้หรือไม่?”

“ท่าน…ท่านคือท่านนักพรตติง?”

เสียงของอวิ๋นหวาจวินสั่นเครือขึ้นมา รีบเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว มองนักพรตท่านนั้นอย่างละเอียด จากนั้นใบหน้าก็มีความตกใจระคนความดีใจขึ้นมาทันที โค้งคำนับให้เขาอย่างเต็มที่

“ไม่เจอกันนานหลายปี หน้าตาของท่านนักพรตติงไม่เปลี่ยนเลยนะครับ สมกับเป็นเทพเซียนจริงๆ!” อวิ๋นหวาจวินผายมือเชื้อเชิญติงหงไปนั่ง พลางมองไปที่น้องชายแล้วพูดว่า “น้องรอง ยังไม่มาทักทายเทพเซียนติงอีก?”

“พี่ใหญ่ เขา…เขาเป็นใคร?” อวิ๋นหวาถงยังไม่ได้สติกลับมาจากความตกตะลึง มองไปที่นักพรตท่านนั้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“ไม่เป็นไร แค่คนป่าคนดอย ไม่ต้องมีพิธีรีตรองมาก ไม่ต้องเกรงใจอะไรนักหรอก”

ติงหงผงกศีรษะเล็กน้อย แล้วพูดว่า “สงสัยพ่อของเจ้าน่าจะไม่อยู่แล้ว พ่อหนุ่ม เจ้าเรียกข้ามาคราวนี้ มีเรื่องอะไรหรือ?”

ติงหงใช้พลังจิตตรวจสอบดู พ่อของอวิ๋นหวาจวินน่าจะเสียชีวิตไปแล้ว และดูจากสีหน้าของพี่น้องสองคนนี้ ดูเหมือนศิษย์น้องของตัวเองก็ไม่ได้มาหา

“ท่านนักพรตติงครับ จากหนังสือภาพที่ท่านทิ้งไว้ตอนนั้น สิ่งของที่อยู่ในนั้นมีน้อยมากเหลือเกิน หลายปีที่ผ่านมาผมเพิ่งจะค้นพบสองชิ้น จึงได้ถือวิสาสะเชิญท่านนักพรตมาที่นี่ครับ!”

ขณะที่อวิ๋นหวาจวินพูด เขาแอบมองท่านนักพรตที่อยู่ตรงหน้าไปด้วย พร้อมกับในใจที่รู้สึกหวาดหวั่นยากที่จะบรรยายออกมาได้ เพราะเวลาผ่านไปเกือบครึ่งศตวรรษแล้ว แต่หน้าตาของนักพรตท่านนี้ยังคงเหมือนเดิม ดูเหมือนกาล เวลาจะไม่สามารถทิ้งร่องรอยใดๆ บนใบหน้าของเขาได้

“อ้อ? เป็นเช่นนี้เองหรือ?”

ติงหงตกตะลึงเล็กน้อย ตอนนั้นเขาต้องการของสิ่งนั้นจากพ่อของอวิ๋นหวาจวิน เพื่อต้องการซ่อมแซมและปรับ ปรุงถ้ำใหม่เท่านั้น

แม้ว่าจะทิ้งหนังสือภาพเอาไว้ แต่เขาก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก เพราะในโลกมนุษย์อัตราที่ของสิ่งนั้นจะปรากฏขึ้นมีน้อยมากเหลือเกิน

“ยังไม่ต้องพูดเรื่องนี้ก่อน”

ติงหงโบกมือ พร้อมกับจ้องตาไปที่อวิ๋นหวาจวินแล้วพูดว่า “พ่อหนุ่มอวิ๋น เมื่อสี่เดือนก่อนศิษย์น้องของข้าได้ออกจากภูเขาแล้วก็มาที่นี่ พวกเจ้าเคยเห็นเขาบ้างหรือเปล่า?”

ติงหงมอบหยกสามชิ้นนี้ให้กับตระกูลอวิ๋น ล้วนปลุกเสกมาจากเคล็ดวิชาลับของสำนักจากอาจารย์ของเขา ไม่เพียงแต่เขาที่สามารถรับข่าวสารที่ส่งมาจากหยกได้เท่านั้น แม้แต่เก๋อข่ายก็ทำได้เช่นกัน

“ศิษย์น้องของท่านนักพรต?”

อวิ๋นหวาจวินกับน้องชายสบตากัน แล้วจึงส่ายหน้าพร้อมกัน “ท่านติงครับ พวกเราได้ทุบหยกหนึ่งชิ้นให้แตกไปเมื่อสี่เดือนก่อนก็จริง แต่ก็ไม่เห็นมีใครมาหานะครับ!”

ติงหงจ้องมองสองคนนั้นสักพักหนึ่ง แล้วจึงพูดอย่างราบเรียบว่า “ช่างเถอะ นำสิ่งของที่พวกเจ้าหามาได้มาให้ข้าดูสิ!”

……

“พ่อ ช่วงนี้พ่อยุ่งอะไรครับ?”

แต่ก่อนเยี่ยตงผิงไม่ค่อยได้เห็นหน้าลูกชายทั้งวัน ทว่าช่วงสองสามวันนี้เยี่ยเทียนกลับหาพ่อไม่เจอเลย วันนี้ตอนเช้าตรู่ทานข้าวเสร็จก็เห็นพ่อหอบของเต็มไม้เต็มมือแล้วเดินออกไปข้างนอก เขาจึงต้องรีบดึงพ่อไว้

“พ่อ ถ้าไม่มีธุระอะไรก็อยู่บ้านเป็นเพื่อนแม่สิ จะวิ่งออกไปข้างนอกบ่อยๆ ทำไม? ถ้าพ่อจะมีเมียน้อย ผมไม่เห็นด้วยนะครับ!”

แต่ก่อนพ่ออยู่บ้าน ก็จะคอยพูดคุยเป็นเพื่อนซ่งเวยหลัน แต่สองสามวันที่ผ่านมากลับไม่เห็นแม้แต่เงาของเยี่ยตงผิง เยี่ยเทียนจึงกลายเป็นฝ่ายถูกแม่อบรมสั่งสอน พยายามเปลี่ยนเยี่ยเทียนให้เป็นสุภาพบุรุษคนหนึ่ง

เพียงแต่เยี่ยเทียนเติบโตมาจากบ้านนอก ตอนหลังก็ออกเดินทางท่องยุทธภพกับอาจารย์ จึงมีกลิ่นอายของความบ้าบิ่นอยู่ในสายเลือด มีหรือที่เขาจะทนแบบนี้ได้? ดังนั้นเขาจึงอยากให้พ่ออยู่บ้าน

“ไอ้ลูกเวร ถ้าแกพูดบ้าอีกฉันจะเขกกบาลแกเดี๋ยวนี้!”

เยี่ยตงผิงตกใจสะดุ้งกับคำพูดของลูกชาย จึงรีบชะโงกศีรษะเข้าไปมองในบ้าน ดึงเยี่ยเทียนเข้ามาพูดว่า “อาเขยของแกบริหารจัดการร้านที่พานเจียหยวนได้ไม่เลว แถมยังได้ของดีสองสามชิ้นมาเมื่อปีที่แล้ว พ่อกลัวว่าการซื้อขายในร้านจะขาดทุนเกินไป จึงอยากเอาไปให้งานประมูลยังไงเล่า?”

ร้านขายของเก่าของเยี่ยตงผิง ถึงแม้จะยังแขวนชื่อของเขาอยู่ แต่ความจริงแล้วคนที่บริหารและขายของนั้นคือหลิวเหวยอันต่างหาก

นอกจากนี้กำไรที่ได้ทั้งหมด ก็เป็นของหลิวเหวยอันคนเดียว แต่ถึงอย่างไรก็เป็นธุรกิจของครอบครัว ตอนนี้เยี่ยตงผิงจึงได้ชื่อใหม่ในย่านนั้นว่าเป็นที่ปรึกษาทางด้านเทคนิค เขาถึงได้ไปที่ร้านบ่อยๆ

ครั้งนี้หลิวเหวยอันได้หยกสมัยราชวงศ์ฮั่นคุณภาพไม่เลวมาสองสามชิ้น เดิมทีมีลูกค้าเก่าอยากจะซื้อ แต่ถูกเยี่ยตงผิงห้ามไว้ เพราะราคาประมูลของหยกเก่าแก่นี้ สามารถทำกำไรได้อีกเท่าตัว เขาจึงไม่อยากเห็นน้องเขยต้องขาดทุน

ดังนั้นสองสามวันที่ผ่านมาเยี่ยตงผิงจึงติดต่อกับทางบริษัทประมูล เมื่อมีเส้นสายของซ่งเวยหลัน เขาจึงสามารถคุยกับคริสตี้ได้สำเร็จ และพวกเขากำลังเตรียมการประมูลภาคฤดูใบไม้ผลิที่ปักกิ่งพอดี

เพียงแต่เยี่ยตงผิงติดต่อช้าเกินไป โบรชัวร์ภาพสีของทางคริสตี้นั้นได้สั่งพิมพ์ออกมาเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องติดต่อโรงพิมพ์ด้วยตัวเอง เพื่อรีบทำหนังสือภาพของหยกสมัยราชวงศ์ฮั่นสองสามชิ้นนั้นออกมา

“พ่อถืออะไรอยู่ครับ?” พอได้ยินว่าเป็นงานประมูล เยี่ยเทียนจึงเบะปาก หมดความสนใจในทันที

ปีที่แล้วเยี่ยเทียนรวบรวมหนังสือคัมภีร์โบราณลัทธิเต๋า แล้วเอาไปให้สถานที่ประมูลก็ไม่น้อย แต่ถึงแม้ของในนั้นจะเป็นของเก่า แถมยังเป็นของล้ำค่า ทว่าสำหรับเยี่ยเทียนแล้วมันไม่มีประโยชน์อะไรเลย

“หนังสือภาพโปรโมทของทางคริสตี้ ฉันพิมพ์ตามรูปแบบที่เหมือนกัน แต่ฉันบอกแกก่อนนะ แกอย่าไปพูดจามั่วซั่วต่อหน้าแม่ของแกเชียว!”

เยี่ยตงผิงพูดพลางยื่นหนังสือภาพให้เยี่ยเทียนดู เขารู้ว่าภรรยาเชื่อคำพูดของลูกชายอย่างไม่ลืมหูลืมตา ถ้าหาก เยี่ยเทียนพูดอะไรมั่วซั่ว บ้านของเขาจะต้องลุกเป็นไฟแน่นอน

“เอ๊ะ นี่…ทำไมเจ้านี่เหมือนพลอยวิเศษมาก?”

เยี่ยเทียนรับหนังสือภาพโปรโมทมาจากพ่อ แล้วจึงเปิดดูไปเรื่อยเปื่อย ตอนที่เขาเปิดไปถึงหน้าที่สามนั้น ก็ตกตะลึงขึ้นมา ดวงตาทั้งสองข้างจ้องเขม็งไปที่รูปภาพที่อยู่ในหน้านั้น

นี่คือผลึกที่มีความยาวขนาดเท่านิ้วมือ สีแดงเพลิงทั้งแท่ง ถูกเจียระไนเป็นสี่มุม ถึงแม้จะเป็นเพียงรูปภาพ แต่มองดูแล้วก็สวยงามผิดหูผิดตาเป็นอย่างมาก

คนอื่นได้เห็นสิ่งนี้ ก็คงคิดว่าเป็นอัญมณีชิ้นหนึ่ง แต่ในสายตาของเยี่ยเทียนนั้น ความมันวาวและระดับแสงของเจ้าสิ่งนี้นั้น กลับเหมือนพลอยวิเศษที่มีธาตุไฟสองสามชิ้นที่เก็บอยู่ในตู้เซฟของเยี่ยเทียนเป็นอย่างมาก

“พ่อ ไอ้นี่มันคืออะไร? สวยจัง?” เยี่ยเทียนชี้ไปที่รูปภาพ แล้วจึงเงยหน้าถามพ่อ

เยี่ยตงผิงยื่นหน้าไปดูรูปภาพ แล้วพูดว่า “ได้ยินว่าหลังจากที่ภูเขาไฟระเบิดจากที่ไหนสักแห่ง มีคนหนึ่งเก็บได้จากปล่องภูเขาไฟ จากนั้นก็ถูกร้านเครื่องประดับรับซื้อไปแล้วเจียระไนออกมาเป็นแบบนี้ ทำไม แกสนใจพลอยชิ้นนี้เรอะ?”

“ครับ สนใจ พ่อ งานประมูลจัดวันไหนครับ?”

แน่นอนเยี่ยเทียนสนใจอยู่แล้ว เพราะราคาของพลอยวิเศษ ไม่อาจใช้เงินมาวัดได้ อย่าว่าแต่ตัวเลขแปดล้านที่เขียนอยู่บนนั้นเลย ต่อให้เพิ่มเลขศูนย์ข้างหลังอีกหนึ่งตัว เยี่ยเทียนก็จะแย่งประมูลอย่างไม่ลังเล

“หลังจากนี้อีกสามวัน ฉันไม่พูดไร้สาระกับแกแล้ว วันนี้ต้องพิมพ์ภาพออกมาให้ได้”

เยี่ยตงผิงแย่งหนังสือภาพที่อยู่ในมือของเยี่ยเทียน แล้วจึงหมุนตัวเดินออกไปข้างนอก “ไอ้ลูกบ้า ถ้ากล้าพูดมั่วซั่วนะ กลับมาฉันจะจัดการแก!”

เยี่ยเทียนส่ายหน้าพลางยิ้ม และคิดว่าพ่อตลกจริงๆ ในบ้านมีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าพ่อกลัวภรรยา ต่อให้ยื่นความกล้าแก่เขา เขาก็ไม่กล้าทำตัวเจ้าชู้นอกบ้านหรอก

“ออกมาจากปล่องภูเขาไฟ? มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นพลอยวิเศษธาตุไฟ!”

หลังจากกลับเข้าไปในห้อง เยี่ยเทียนจึงหยิบพลอยวิเศษสองสามชิ้นออกมาจากตู้เซฟที่เก็บไว้ นอกจากสามชิ้นนี้ที่ใหญ่กว่าในหนังสือภาพแล้ว ชิ้นอื่นที่เหลือยังสู้ชิ้นเดียวไม่ได้เลย

“ไม่ว่าราคาเท่าไร จะต้องประมูลมาให้ได้ เพราะมันไม่ได้เห็นกันบ่อยๆ ใครกันที่กล้าเก็บผลึกนี้มาจากปล่องภูเขาไฟ?” หลังจากเยี่ยเทียนเล่นกับผลึกที่อยู่ในมือแล้ว เขาจึงแอบตัดสินใจอย่างเงียบๆ

ตอนที่ 734 ติงหง
นักพรตคนนี้แซ่ติง มีชื่อเดียวว่าหง ถึงแม้จะไม่เป็นวิชาการทำนายเสี่ยงทาย แต่วรยุทธที่ฝึกจนถึงระดับของเขานั้นสามารถทำนายโชคเคราะห์ได้

โดยเฉพาะศิษย์สำนักเดียวกันนับร้อยปีอย่างเก๋อข่าย หลังจากที่อีกฝ่ายเป็นตายร้ายดีไม่อาจรู้ได้นั้น ในใจพลันเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีบางอย่าง

“อาจารย์ ท่านถือศีลเสร็จแล้วหรือครับ?”

เห็นติงหงเดินออกมาจากถ้ำที่ถือศีล เด็กหนุ่มที่ใส่ชุดนักพรตคนหนึ่งรีบเดินเข้ามา พร้อมกับใบหน้าที่ตื่นเต้นดีใจ เอ่ยปาก “อาจารย์ ศิษย์ลุงเก๋อออกไปร่วมสี่ห้าเดือนแล้ว ป่านนี้ยังไม่กลับมาเลยครับ”

“น่าจะเกิดเรื่องแล้ว ข้าต้องไปออกดูสักหน่อย!” ติงหงโบกมือพูดว่า “ช่วงที่ข้าออกไป หากมีคนมากราบไหว้ก็บอกว่าข้าถือศีล!”

หลังจากหนึ่งวันผ่านไป ณ จุดลึกสุดของตีนเขาคุนหลุน ร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวแวบออกมาอย่างกะทันหัน จากนั้นก็มีควันกลุ่มหนึ่งโอบล้อมขึ้นมา หมอกควันนั้นลอยอยู่กลางอากาศทำท่าเหมือนจะหยุดเล็กน้อย เพื่อแยกแยะทิศทาง แล้วจึงลอยไปยังตำแหน่งของเมืองหลวง

“พี่ใหญ่ พี่ควรจะออกหน้าทักทายกับฝ่ายประมูลดีไหมครับ ให้พวกเขาเอาของสิ่งนั้นออกจากการประมูล?”

ช่วงเวลาพลบค่ำของหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่อวิ๋นหวาจวินเล่าเรื่องในอดีตให้น้องชายฟัง สองคนพี่น้องจึงกลับมานั่งในเรือนสี่ประสานอีกครั้ง ใบหน้าของอวิ๋นหวาถงปรากฏสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

เพื่อเป็นการยืนยันว่าจะได้คริสตัลชิ้นนั้น สองสามวันมานี้อวิ๋นหวาถงได้ติดต่อกับทางบริษัทประมูลคริสตี้ เพื่อต้องการซื้อผลึกชิ้นนั้นในราคาสูงเป็นการส่วนตัว แต่กลับถูกฝ่ายคริสตี้ปฏิเสธ ประธานใหญ่ของบริษัทตระกูลอวิ๋นอยู่ที่ประเทศจีนไม่เคยถูกปฏิเสธจนเสียหน้าแบบนี้มาก่อน

“ฉันว่าแกทำธุรกิจในประเทศจีนจนเคยชินแล้ว”

อวิ๋นหวาจวินถลึงตาใส่น้องชายอย่างไม่สบอารมณ์ “แล้วคริสตี้เป็นองค์กรอะไร? เขาทำเรื่องอะไรต้องคอยระวังสีหน้าตระกูลอวิ๋นของพวกเราไหม? อีกสองสามวันแกไปที่งาน แล้วประมูลของชิ้นนั้นมาให้ได้ก็พอ”

“ครับ พี่ใหญ่ พี่วางใจเถอะ ครั้งนี้ผมจะต้องจัดการเรื่องเป็นอย่างดี!” อวิ๋นหวาถงพยักหน้า สองคนพี่น้องไม่ว่าใครก็ไม่รู้ว่า อากาศที่อยู่รอบตัวดูเหมือนจะเคลื่อนไหวเล็กน้อย แล้วร่างหนึ่งก็ค่อยๆ ปรากฏตัวต่อหน้าทั้งสองคน

“พ่อหนุ่มอวิ๋น ไม่เจอกันหลายปี เจ้าสบายดีนะ?”

เสียงชัดแจ๋วดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทำให้สองพี่น้องตระกูลอวิ๋นที่กำลังจิบน้ำชาและพูดคุยกันอยู่ ตกใจสะดุ้งตัวสั่น มองไปตามเสียงแล้วก็พบว่าภายในลานบ้านมีคนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

“แกเป็นใคร? แก…แกเข้ามาได้ยังไง?” ถึงแม้ผู้เฒ่าอวิ๋นจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่คุณหญิงก็ยังมีชีวิตอยู่ แม้ว่าระดับคุ้มกันความปลอดภัยจะลดลงกว่าเมื่อก่อน แต่ก็ใช่ว่าใครที่ไหนจะเข้ามาในบ้านได้ง่ายๆ

“หนึ่งวันในภูเขา เท่ากับหนึ่งร้อยวันในโลกมนุษย์ ไม่คิดว่าเด็กในตอนนั้นจะโตตัวขนาดนี้แล้ว?” ติงหงยิ้มเล็กน้อย มองไปที่อวิ๋นหวาจวิน พลางพูด “พ่อหนุ่ม ยังจำนักพรตอย่างข้าได้หรือไม่?”

“ท่าน…ท่านคือท่านนักพรตติง?”

เสียงของอวิ๋นหวาจวินสั่นเครือขึ้นมา รีบเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว มองนักพรตท่านนั้นอย่างละเอียด จากนั้นใบหน้าก็มีความตกใจระคนความดีใจขึ้นมาทันที โค้งคำนับให้เขาอย่างเต็มที่

“ไม่เจอกันนานหลายปี หน้าตาของท่านนักพรตติงไม่เปลี่ยนเลยนะครับ สมกับเป็นเทพเซียนจริงๆ!” อวิ๋นหวาจวินผายมือเชื้อเชิญติงหงไปนั่ง พลางมองไปที่น้องชายแล้วพูดว่า “น้องรอง ยังไม่มาทักทายเทพเซียนติงอีก?”

“พี่ใหญ่ เขา…เขาเป็นใคร?” อวิ๋นหวาถงยังไม่ได้สติกลับมาจากความตกตะลึง มองไปที่นักพรตท่านนั้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“ไม่เป็นไร แค่คนป่าคนดอย ไม่ต้องมีพิธีรีตรองมาก ไม่ต้องเกรงใจอะไรนักหรอก”

ติงหงผงกศีรษะเล็กน้อย แล้วพูดว่า “สงสัยพ่อของเจ้าน่าจะไม่อยู่แล้ว พ่อหนุ่ม เจ้าเรียกข้ามาคราวนี้ มีเรื่องอะไรหรือ?”

ติงหงใช้พลังจิตตรวจสอบดู พ่อของอวิ๋นหวาจวินน่าจะเสียชีวิตไปแล้ว และดูจากสีหน้าของพี่น้องสองคนนี้ ดูเหมือนศิษย์น้องของตัวเองก็ไม่ได้มาหา

“ท่านนักพรตติงครับ จากหนังสือภาพที่ท่านทิ้งไว้ตอนนั้น สิ่งของที่อยู่ในนั้นมีน้อยมากเหลือเกิน หลายปีที่ผ่านมาผมเพิ่งจะค้นพบสองชิ้น จึงได้ถือวิสาสะเชิญท่านนักพรตมาที่นี่ครับ!”

ขณะที่อวิ๋นหวาจวินพูด เขาแอบมองท่านนักพรตที่อยู่ตรงหน้าไปด้วย พร้อมกับในใจที่รู้สึกหวาดหวั่นยากที่จะบรรยายออกมาได้ เพราะเวลาผ่านไปเกือบครึ่งศตวรรษแล้ว แต่หน้าตาของนักพรตท่านนี้ยังคงเหมือนเดิม ดูเหมือนกาล เวลาจะไม่สามารถทิ้งร่องรอยใดๆ บนใบหน้าของเขาได้

“อ้อ? เป็นเช่นนี้เองหรือ?”

ติงหงตกตะลึงเล็กน้อย ตอนนั้นเขาต้องการของสิ่งนั้นจากพ่อของอวิ๋นหวาจวิน เพื่อต้องการซ่อมแซมและปรับ ปรุงถ้ำใหม่เท่านั้น

แม้ว่าจะทิ้งหนังสือภาพเอาไว้ แต่เขาก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก เพราะในโลกมนุษย์อัตราที่ของสิ่งนั้นจะปรากฏขึ้นมีน้อยมากเหลือเกิน

“ยังไม่ต้องพูดเรื่องนี้ก่อน”

ติงหงโบกมือ พร้อมกับจ้องตาไปที่อวิ๋นหวาจวินแล้วพูดว่า “พ่อหนุ่มอวิ๋น เมื่อสี่เดือนก่อนศิษย์น้องของข้าได้ออกจากภูเขาแล้วก็มาที่นี่ พวกเจ้าเคยเห็นเขาบ้างหรือเปล่า?”

ติงหงมอบหยกสามชิ้นนี้ให้กับตระกูลอวิ๋น ล้วนปลุกเสกมาจากเคล็ดวิชาลับของสำนักจากอาจารย์ของเขา ไม่เพียงแต่เขาที่สามารถรับข่าวสารที่ส่งมาจากหยกได้เท่านั้น แม้แต่เก๋อข่ายก็ทำได้เช่นกัน

“ศิษย์น้องของท่านนักพรต?”

อวิ๋นหวาจวินกับน้องชายสบตากัน แล้วจึงส่ายหน้าพร้อมกัน “ท่านติงครับ พวกเราได้ทุบหยกหนึ่งชิ้นให้แตกไปเมื่อสี่เดือนก่อนก็จริง แต่ก็ไม่เห็นมีใครมาหานะครับ!”

ติงหงจ้องมองสองคนนั้นสักพักหนึ่ง แล้วจึงพูดอย่างราบเรียบว่า “ช่างเถอะ นำสิ่งของที่พวกเจ้าหามาได้มาให้ข้าดูสิ!”

……

“พ่อ ช่วงนี้พ่อยุ่งอะไรครับ?”

แต่ก่อนเยี่ยตงผิงไม่ค่อยได้เห็นหน้าลูกชายทั้งวัน ทว่าช่วงสองสามวันนี้เยี่ยเทียนกลับหาพ่อไม่เจอเลย วันนี้ตอนเช้าตรู่ทานข้าวเสร็จก็เห็นพ่อหอบของเต็มไม้เต็มมือแล้วเดินออกไปข้างนอก เขาจึงต้องรีบดึงพ่อไว้

“พ่อ ถ้าไม่มีธุระอะไรก็อยู่บ้านเป็นเพื่อนแม่สิ จะวิ่งออกไปข้างนอกบ่อยๆ ทำไม? ถ้าพ่อจะมีเมียน้อย ผมไม่เห็นด้วยนะครับ!”

แต่ก่อนพ่ออยู่บ้าน ก็จะคอยพูดคุยเป็นเพื่อนซ่งเวยหลัน แต่สองสามวันที่ผ่านมากลับไม่เห็นแม้แต่เงาของเยี่ยตงผิง เยี่ยเทียนจึงกลายเป็นฝ่ายถูกแม่อบรมสั่งสอน พยายามเปลี่ยนเยี่ยเทียนให้เป็นสุภาพบุรุษคนหนึ่ง

เพียงแต่เยี่ยเทียนเติบโตมาจากบ้านนอก ตอนหลังก็ออกเดินทางท่องยุทธภพกับอาจารย์ จึงมีกลิ่นอายของความบ้าบิ่นอยู่ในสายเลือด มีหรือที่เขาจะทนแบบนี้ได้? ดังนั้นเขาจึงอยากให้พ่ออยู่บ้าน

“ไอ้ลูกเวร ถ้าแกพูดบ้าอีกฉันจะเขกกบาลแกเดี๋ยวนี้!”

เยี่ยตงผิงตกใจสะดุ้งกับคำพูดของลูกชาย จึงรีบชะโงกศีรษะเข้าไปมองในบ้าน ดึงเยี่ยเทียนเข้ามาพูดว่า “อาเขยของแกบริหารจัดการร้านที่พานเจียหยวนได้ไม่เลว แถมยังได้ของดีสองสามชิ้นมาเมื่อปีที่แล้ว พ่อกลัวว่าการซื้อขายในร้านจะขาดทุนเกินไป จึงอยากเอาไปให้งานประมูลยังไงเล่า?”

ร้านขายของเก่าของเยี่ยตงผิง ถึงแม้จะยังแขวนชื่อของเขาอยู่ แต่ความจริงแล้วคนที่บริหารและขายของนั้นคือหลิวเหวยอันต่างหาก

นอกจากนี้กำไรที่ได้ทั้งหมด ก็เป็นของหลิวเหวยอันคนเดียว แต่ถึงอย่างไรก็เป็นธุรกิจของครอบครัว ตอนนี้เยี่ยตงผิงจึงได้ชื่อใหม่ในย่านนั้นว่าเป็นที่ปรึกษาทางด้านเทคนิค เขาถึงได้ไปที่ร้านบ่อยๆ

ครั้งนี้หลิวเหวยอันได้หยกสมัยราชวงศ์ฮั่นคุณภาพไม่เลวมาสองสามชิ้น เดิมทีมีลูกค้าเก่าอยากจะซื้อ แต่ถูกเยี่ยตงผิงห้ามไว้ เพราะราคาประมูลของหยกเก่าแก่นี้ สามารถทำกำไรได้อีกเท่าตัว เขาจึงไม่อยากเห็นน้องเขยต้องขาดทุน

ดังนั้นสองสามวันที่ผ่านมาเยี่ยตงผิงจึงติดต่อกับทางบริษัทประมูล เมื่อมีเส้นสายของซ่งเวยหลัน เขาจึงสามารถคุยกับคริสตี้ได้สำเร็จ และพวกเขากำลังเตรียมการประมูลภาคฤดูใบไม้ผลิที่ปักกิ่งพอดี

เพียงแต่เยี่ยตงผิงติดต่อช้าเกินไป โบรชัวร์ภาพสีของทางคริสตี้นั้นได้สั่งพิมพ์ออกมาเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องติดต่อโรงพิมพ์ด้วยตัวเอง เพื่อรีบทำหนังสือภาพของหยกสมัยราชวงศ์ฮั่นสองสามชิ้นนั้นออกมา

“พ่อถืออะไรอยู่ครับ?” พอได้ยินว่าเป็นงานประมูล เยี่ยเทียนจึงเบะปาก หมดความสนใจในทันที

ปีที่แล้วเยี่ยเทียนรวบรวมหนังสือคัมภีร์โบราณลัทธิเต๋า แล้วเอาไปให้สถานที่ประมูลก็ไม่น้อย แต่ถึงแม้ของในนั้นจะเป็นของเก่า แถมยังเป็นของล้ำค่า ทว่าสำหรับเยี่ยเทียนแล้วมันไม่มีประโยชน์อะไรเลย

“หนังสือภาพโปรโมทของทางคริสตี้ ฉันพิมพ์ตามรูปแบบที่เหมือนกัน แต่ฉันบอกแกก่อนนะ แกอย่าไปพูดจามั่วซั่วต่อหน้าแม่ของแกเชียว!”

เยี่ยตงผิงพูดพลางยื่นหนังสือภาพให้เยี่ยเทียนดู เขารู้ว่าภรรยาเชื่อคำพูดของลูกชายอย่างไม่ลืมหูลืมตา ถ้าหาก เยี่ยเทียนพูดอะไรมั่วซั่ว บ้านของเขาจะต้องลุกเป็นไฟแน่นอน

“เอ๊ะ นี่…ทำไมเจ้านี่เหมือนพลอยวิเศษมาก?”

เยี่ยเทียนรับหนังสือภาพโปรโมทมาจากพ่อ แล้วจึงเปิดดูไปเรื่อยเปื่อย ตอนที่เขาเปิดไปถึงหน้าที่สามนั้น ก็ตกตะลึงขึ้นมา ดวงตาทั้งสองข้างจ้องเขม็งไปที่รูปภาพที่อยู่ในหน้านั้น

นี่คือผลึกที่มีความยาวขนาดเท่านิ้วมือ สีแดงเพลิงทั้งแท่ง ถูกเจียระไนเป็นสี่มุม ถึงแม้จะเป็นเพียงรูปภาพ แต่มองดูแล้วก็สวยงามผิดหูผิดตาเป็นอย่างมาก

คนอื่นได้เห็นสิ่งนี้ ก็คงคิดว่าเป็นอัญมณีชิ้นหนึ่ง แต่ในสายตาของเยี่ยเทียนนั้น ความมันวาวและระดับแสงของเจ้าสิ่งนี้นั้น กลับเหมือนพลอยวิเศษที่มีธาตุไฟสองสามชิ้นที่เก็บอยู่ในตู้เซฟของเยี่ยเทียนเป็นอย่างมาก

“พ่อ ไอ้นี่มันคืออะไร? สวยจัง?” เยี่ยเทียนชี้ไปที่รูปภาพ แล้วจึงเงยหน้าถามพ่อ

เยี่ยตงผิงยื่นหน้าไปดูรูปภาพ แล้วพูดว่า “ได้ยินว่าหลังจากที่ภูเขาไฟระเบิดจากที่ไหนสักแห่ง มีคนหนึ่งเก็บได้จากปล่องภูเขาไฟ จากนั้นก็ถูกร้านเครื่องประดับรับซื้อไปแล้วเจียระไนออกมาเป็นแบบนี้ ทำไม แกสนใจพลอยชิ้นนี้เรอะ?”

“ครับ สนใจ พ่อ งานประมูลจัดวันไหนครับ?”

แน่นอนเยี่ยเทียนสนใจอยู่แล้ว เพราะราคาของพลอยวิเศษ ไม่อาจใช้เงินมาวัดได้ อย่าว่าแต่ตัวเลขแปดล้านที่เขียนอยู่บนนั้นเลย ต่อให้เพิ่มเลขศูนย์ข้างหลังอีกหนึ่งตัว เยี่ยเทียนก็จะแย่งประมูลอย่างไม่ลังเล

“หลังจากนี้อีกสามวัน ฉันไม่พูดไร้สาระกับแกแล้ว วันนี้ต้องพิมพ์ภาพออกมาให้ได้”

เยี่ยตงผิงแย่งหนังสือภาพที่อยู่ในมือของเยี่ยเทียน แล้วจึงหมุนตัวเดินออกไปข้างนอก “ไอ้ลูกบ้า ถ้ากล้าพูดมั่วซั่วนะ กลับมาฉันจะจัดการแก!”

เยี่ยเทียนส่ายหน้าพลางยิ้ม และคิดว่าพ่อตลกจริงๆ ในบ้านมีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าพ่อกลัวภรรยา ต่อให้ยื่นความกล้าแก่เขา เขาก็ไม่กล้าทำตัวเจ้าชู้นอกบ้านหรอก

“ออกมาจากปล่องภูเขาไฟ? มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นพลอยวิเศษธาตุไฟ!”

หลังจากกลับเข้าไปในห้อง เยี่ยเทียนจึงหยิบพลอยวิเศษสองสามชิ้นออกมาจากตู้เซฟที่เก็บไว้ นอกจากสามชิ้นนี้ที่ใหญ่กว่าในหนังสือภาพแล้ว ชิ้นอื่นที่เหลือยังสู้ชิ้นเดียวไม่ได้เลย

“ไม่ว่าราคาเท่าไร จะต้องประมูลมาให้ได้ เพราะมันไม่ได้เห็นกันบ่อยๆ ใครกันที่กล้าเก็บผลึกนี้มาจากปล่องภูเขาไฟ?” หลังจากเยี่ยเทียนเล่นกับผลึกที่อยู่ในมือแล้ว เขาจึงแอบตัดสินใจอย่างเงียบๆ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด