หมอดูยอดอัจฉริยะ 793 กำแพงฮวงจุ้ย

Now you are reading หมอดูยอดอัจฉริยะ Chapter 793 กำแพงฮวงจุ้ย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“หวาจวิน อีกไกลแค่ไหน?”

แม้ว่ารถยนต์อเนกประสงค์ใหม่เอี่ยมคันนี้มีสภาพไม่เลว เครื่องปรับอากาศก็เย็นฉ่ำ แต่เวลานี้เป็นช่วงที่แอฟริกาใต้ร้อนจัดที่สุด พอรถยนต์วิ่งบนถนนลาดยาง อากาศด้านหน้าหน้าต่างรถดูราวกับม้วนเป็นเกลียวคลื่น คนที่นั่งภายในรถก็รู้สึกเหมือนอยู่ในหม้อนึ่ง

สภาพอากาศหนาวจัดหรือร้อนจัดไม่ส่งผลต่อเยี่ยเทียนมากนัก แต่การอยู่ในสภาวะอบอ้าวเช่นนี้ กลับทำให้เขาไม่สบายตัวสักเท่าไหร่ ตั้งแต่ออกจากโรงแรมขึ้นมาบนรถ จนต้องปิดกั้นรูขุมขนทั่วทั้งเนื้อตัวจากความอบอ้าว แล้วใช้อากาศภายในร่างกายหมุนเวียน

“คุณจ้าว เดี๋ยวก็ถึงแล้วครับ ตรงกลุ่มอาคารด้านหน้านั่นเอง”

ต่างจากเยี่ยเทียน หวาจวินที่เติบโตในแอฟริกามาแต่เล็กคุ้นเคยกับสภาพอากาศแบบนี้เป็นอย่างดี สำหรับเขาแล้ว นั่งรถยนต์อเนกประสงค์ยังดีกว่ารถบัสมากมาย กลิ่นตัวที่ออกมาจากร่างกายที่ชุ่มเหงื่อนั้น ยากจะทานทนยิ่งกว่าสภาพอากาศร้อนแล้งหลายเท่าตัว

“การคุ้มกันแน่นหนาจริงๆ!”

ความสามารถในการมองเห็นของเยี่ยเทียนดีเยี่ยม อีกประมาณหนึ่งกิโลเมตรจะถึงเหมืองทอง กลับมองเห็นพื้นที่ประตูทางเข้าเหมืองทอง มีเวรยามอาวุธครบมือทั้งสี่คน นอกจากนั้นยังมีกำแพงสูงกั้นล้อมรอบ ขึงลวดไฟฟ้าหมดทุกด้าน แต่ละมุมยังมีกล้องวงจรปิดติดตั้งอยู่ จนแทบจะไม่มีมุมอับใดๆ เหลืออยู่เลย

“แน่นอนอยู่แล้ว ถึงเหมืองทองมุนซาคจะเพิ่งทำการขุดไม่นาน แต่ก็นับว่าเป็นเหมืองทองขนาดใหญ่ในเคปทาวน์”

ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว หวาจวินก็ยิ้มตอบ “เหมืองทองแห่งนี้มีเงินทุนของพวกเราชาวจีนอยู่ ไม่งั้นอย่าหวังจะเข้าไปข้างในได้เลย คุณจ้าวครับ จำคำพูดผมไว้นะ พอเข้าไปแล้วอย่าถ่ายรูปเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นคุณจะถูกริบกล้อง”

 “เข้าใจแล้ว ฉันไม่ได้เอากล้องมาอยู่แล้วล่ะ”

เยี่ยเทียนพยักหน้า ยกข้อมือดูนาฬิกา เข็มชี้ไปที่เวลาเที่ยงตรง ห่างจากตอนออกจากโรงแรมยังไม่ถึงสองชั่วโมง ความจริงเหมืองมุนซาคก็ไม่ไกลจากเมืองเคปทาวน์เท่าไหร่นัก หลังจากหวาจวินติดต่อกับคนข้างในแล้ว ก็ผ่านการตรวจตราโดยละเอียดอีกครั้ง จึงจะสามารถขับรถอเนกปประสงค์เข้าไปข้างในตึกได้

รถเพิ่งจะจอดสนิท ชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบกว่าปีก็เดินออกมาจากภายในอาคารสองชั้นหลังนั้น ยิ้มพูดจาล้อเล่นมาแต่ไกล “ไอ้เด็กบ้า เห็นฉันคุยง่ายล่ะสิท่า? ถึงสร้างเรื่องให้ฉันทุกที!”

“คนนี้หน้าตาไม่เลวเลย”

เยี่ยเทียนเงยหน้ามองใบหน้าชายคนนั้นแวบหนึ่ง ชายวัยกลางคนใบหน้าค่อนข้างกลม ใบหูกว้างใหญ่ รอยยิ้มราวกับพระศรีเมตรัย แต่ยามพูดคุยดวงตาเล็กทั้งสองข้างส่องประกาย เห็นได้ชัดเจนว่าไม่ใช่คนรับมือได้ง่ายดาย

“จะเป็นงั้นได้ยังไงล่ะครับ ประธานอู๋ พวกเราชาวจีนในแอฟริกาใต้ จะมีสักกี่คนที่คบหาสบายใจเท่าคุณ เพียงมีคุณอยู่ ก็เห็นรูปแบบชีวิตชาวจีนในต่างแดนได้อย่างชัดเจน!”

ทำอาชีพไกด์ต้องพึ่งคารม ถึงหวาจวินจะยังอายุไม่มาก แต่ก็พูดคำชื่นชมเยินยอได้น้ำไหลไฟดับ คำพูดเหล่านี้ใช้ได้ผลกับคนที่เข้ามาหา เขายิ้มตาหยีตอบ “เจ้าหนูนี่ฝีมือไม่พัฒนา แต่ปากหวานขึ้นทุกวัน เที่ยงแล้วอย่าเพิ่งไปล่ะ เมื่อวานนี้ฉันซื้อจระเข้มาตัวหนึ่ง แล้วยังมีไข่นกยูงด้วย มาดื่มกันสักสองสามแก้ว!”

“เอ่อ ประธานอู๋ครับ วันนี้ผมพาแขกมาด้วย”

น้ำเสียงของหวาจวินออกจะลำบากใจเล็กน้อย เหลือบสายตามาทางเยี่ยเทียน จระเข้มักพบเห็นได้บ่อยในแอฟริกาใต้ เพียงหนึ่งร้อยกว่าหยวนก็สามารถซื้อจระเข้ได้หนึ่งตัว แต่ว่าไข่นกยูงไม่ค่อยมีให้เห็นนัก รสชาติหอมหวาน กระทั่งหวาจวินยังรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา

“ไม่เป็นไร คนบ้านเดียวกันทั้งนั้น เกรงใจอะไรกันล่ะ?”

“ประธานอู๋หัวเราะอย่างเบิกบานใจ มองมาทางเยี่ยเทียนแล้วถามว่า “น้องชายมาจากที่ไหน? ตอนเที่ยงมาดื่มเหล้าด้วยกันสักสองสามแก้ว อากาศร้อนอย่างนี้ ไม่ดื่มเบียร์เย็นๆ เดี๋ยวจะตายเอา”

เยี่ยเทียนมองออกว่า คนเบื้องหน้าผู้นี้ชักชวนด้วยความจริงใจ จึงพยักหน้าตอบทันที “ผมเป็นชาวเจียงซูครับ ประธานอู๋ ขอบคุณที่เลี้ยงอาหารนะครับ”

“ได้ สบายมาก หวาจวินบอกฉันแล้วล่ะ เธอจะลงไปดูเหมืองสินะ? เรื่องนี้ให้ฉันจัดการเอง จะไปทำเรื่องให้เดี๋ยวนี้แหละ!”

“นั่งรอข้างในสักพัก อีกกว่าครึ่งชั่วโมงคนงานกลุ่มต่อไปจะลงเหมืองได้ ถึงตอนนั้นเธอก็ลงไปกับพวกเขาก็แล้วกัน”

ประธานอู๋ยิ้มพลางตบบ่าเยี่ยเทียน หมุนตัวเข้าไปในห้อง อยู่ข้างนอกเพียงแค่ไม่นาน เสื้อเชิ้ตสีขาวตัวนั้นของเขาก็ชุ่มโชกด้วยเหงื่อไปทั้งตัว

พอเขาเดินไปด้านหลัง เยี่ยเทียนก็ถามหวาจวินขึ้นเบาๆ “หวาจวิน ประธานอู๋ท่านนี้มีประวัติยังไงบ้าง?”

“คุณจ้าว ประธานอู๋ไม่ธรรมดานะ ในแอฟริกาใต้นี่เขาเรียกฟ้าเรียกฝนได้เลยทีเดียว”

ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว หวาจวินก็ชูนิ้วโป้งขึ้นมา กระซิบแผ่วเบาว่า “ในอดีตตอนประธานอู๋มาแอฟริกาใต้จนกรอบมาก ช่วงแรกเขาทำงานที่เหมืองทองอีกแห่งหนึ่ง…”

ที่แท้ประธานอู๋ผู้นี้มีชื่อว่าอู๋เต๋อหลิน เป็นชาวฝูเจี้ยน

 เนื่องจากแนวชายฝั่งมณฑลฝูเจี้ยน มีการล่องเรือข้ามน้ำข้ามทะเลทำมาหากิน นับตั้งแต่หลายร้อยปีก่อน บางเมืองแทบจะทุกครอบครัวมีญาติสนิทอยู่ดินแดนโพ้นทะเล และคนหนุ่มสาวมากมายก็มีความคิดจะออกไปขุดทองยังต่างประเทศตั้งแต่อายุเพียงแค่สิบกว่าปี

ช่วงต้นปี 80 อู๋เต๋อหลิน แอบลักลอบข้ามประเทศทางเรือตามคนกลุ่มหนึ่งไปอเมริกา แต่เกิดเหตุเล็กน้อยระหว่างทาง สุดท้ายจึงถูกคนกลุ่มนั้นลากยาวไปถึงแอฟริกาใต้ ในเวลานั้นเศรษฐกิจแอฟริกาตกต่ำลงอย่างมาก เหมืองทองขนาดใหญ่จึงตกไปอยู่ในมือคนขาว

ตอนนั้นอู๋เต๋อหลินกับเพื่อนอีกยี่สิบคนเข้าไปทำงานกับเหมืองทองคำในเคปทาวน์ แต่ไม่ได้หาเงินส่งกลับบ้านเหมือนคนอื่น อู๋เต๋อหลินกลับนำเงินเหล่านั้น มาใช้เลี้ยงอาหารมิตรสหาย ด้วยนิสัยใจกว้างเปิดเผยของเขา ไม่นานจึงคบหาคนชนชั้นแรงงานผิวดำได้เป็นจำนวนมาก จนแทรกซึมกับการใช้ชีวิตในท้องถิ่นแอฟริกาใต้

อู๋เต๋อหลินทำงานที่เหมืองทองแห่งนั้นเป็นเวลาแปดปีเต็ม สั่งสมความเชื่อมั่นจากคนงานภายในอย่างเปี่ยมล้น และด้วยเหตุนี้จึงสามารถเลื่อนขั้นจากคนงานเป็นผู้จัดการเหมืองทองระดับกลาง ซึ่งเป็นเพียงคนเดียวในเวลานั้น ในขณะที่ธุรกิจเหมืองทองคำของแอฟริกาใต้ยังอยู่ในการควบคุมจากคนขาว

พอถึงช่วงปลายปี 80 แอฟริกาใต้เกิดความไม่พอใจในการผูกขาดการค้าจากคนขาวภายในประเทศ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมเป็นระลอก หลังจากถูกบีบบังคับกดดัน กลุ่มธุรกิจของประเทศอังกฤษจึงจำเป็นต้องยอมปล่อยเหมืองแร่เหล่านี้ไป

อู๋เต๋อหลินที่ทำงานในเหมืองทองมาแปดปีจึงกระตือรือร้นขึ้นมา ถึงแม้เขาไม่มีเงินทุนอะไร แต่ด้วยสถานะสูงส่งในแวดวงชาวจีนที่อยู่ในแอฟริกาใต้ ภายใต้การระดมทุนครั้งหนึ่ง กลับระดมเงินทุนได้ถึงหลายแสนดอลลาร์อเมริกา จนซื้อเหมืองทองที่ไม่สะดุดตานักได้สองแห่ง

แต่ชาวอังกฤษเหล่านี้ก็เก็บความคับแค้นไว้ในใจ สายแร่ทองคำเหล่านั้นที่พวกเขาทิ้งไว้ ล้วนมีการฉ้อฉลอยู่มากมาย รายงานจำนวนคงเหลือไว้ไม่ตรงตามความเป็นจริง สายแร่ทองคำส่วนใหญ่ล้วนใช้ประโยชน์ไม่ได้หรือไม่ก็เป็นแร่คุณภาพย่ำแย่ จำนวนแร่ที่เหลือกับที่ขุดได้ไม่ตรงกันเป็นต้น

ในสมัยอดีต เทคโนโลยีการคาดคะเนยังคงมีขีดจำกัด ต่อให้เป็นชาวอังกฤษเอง ก็ยังไม่สามารถรับประกันได้ว่าเหมืองทองเหล่านี้จะเป็นแร่ขยะ เรื่องนี้ก็เหมือนกับการพนันหิน ก่อนที่จะมีการขุดเจาะ ใครๆ ก็ไม่อาจคาดเดาว่าจะได้ผลลัพธ์เป็นแร่ราคาสูงหรือแร่ขยะกันแน่

ต้องบอกว่าดวงของอู๋เต๋อหลินยังดีเหลือเชื่อ เพราะแร่ที่เขาขุดขึ้นมาได้จากเหมืองทองคำแห่งแรก เป็นทองคำแท้คุณภาพสูงซึ่งสามารถผลิตเป็นสินค้าชั้นดี จนนับเป็นบ่อทองคำแห่งแรกในชีวิตของเขา

พอถึงปี 1994 แมนเดลาก็กลายเป็นประธานาธิบดีผิวดำคนแรกในแอฟริกาใต้ นับจากนั้นคนผิวดำจึงกลายเป็นผู้นำดินแดนแอฟริกาใต้แถบนี้ทั้งหมดโดย วัตถุดิบแร่ธาตุแต่ละชนิดจึงค่อยๆ ขยับขยายออกสู่โลกกว้าง

เวลานั้นอู๋เต๋อหลินก็ครอบครองเหมืองทองมุนซาคแล้ว เมื่อก่อนเหมืองทองแห่งนี้ไม่ค่อยเตะตาสาธารณชนมากนัก แต่ใครเลยจะรู้ว่าเหมืองทองมุนซาคกลับอุดมไปด้วยแร่ธาตุวัตถุดิบ จนถึงขนาดติดอันดับหนึ่งในสิบเหมืองทองในแอฟริกาใต้ ที่ขุดมาจนปัจจุบันเป็นเวลาสิบกว่าปี ยังเป็นผลผลิตเพียงส่วนเล็กน้อยเท่านั้น

อู๋เต๋อหลินอาศัยเหมืองทองแห่งนี้ เก็บหอมรอมริบจนร่ำรวยได้อย่างน่าทึ่ง แต่ว่าเขาก็ยังคงทำตัวเหมือนเคย ชอบคบหาสมาคมกับเหล่าคนงาน และนั่นก็เป็นสาเหตุที่เขายังคงชอบอยู่ในเขตเหมืองยามอากาศร้อนจัดถึงสี่สิบองศาเช่นนี้

“คนที่ประสบความสำเร็จถึงขั้นนี้ จะต้องมีคุณสมบัติที่คนทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงได้อย่างแน่นอน!”

หลังจากได้ยินคำพูดของหวาจวินแล้ว เยี่ยเทียนก็ปรับเปลี่ยนมุมมองต่ออู๋เต๋อหลินใหม่ ภายในช่วงเวลาสั้นๆ แค่ยี่สิบปี กลับสามารถครอบครอบธุรกิจยิ่งใหญ่ขนาดนี้ด้วยมือเปล่า ความพากเพียรและทุกข์ยากที่ต้องจ่ายนั้น ช่างมากมายเกินกว่าคนทั่วไปจะจินตนาการ

อู๋เต๋อหลินเข้ามายังห้องทำงานแล้วจัดการธุระปะปังจำนวนหนึ่ง หลังจากจัดการเรียบร้อยแล้วก็เงยหน้ายิ้มพูดว่า “เสี่ยวจ้าว อย่าไปฟังเจ้าหนูหวาจวินพูดจาเลอะเทอะ เจ้าพ่อธุรกิจเหมืองอะไรกัน ก็แค่ลูกเต่าตัวหนึ่งเท่านั้น ทุกวันนี้ยังพูดภาษาอังกฤษงูๆ ปลาๆ อยู่เลย”

เยี่ยเทียนส่ายหน้า มองไปยังอู๋เต๋อหลิน ทันใดนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวว่า “ช่วงนี้ประธานอู๋สุขภาพไม่ค่อยดีหรือเปล่าครับ?”

เยี่ยเทียนพบว่า ใจกลางคิ้วอู๋เต๋อหลิน และช่วงโหนกแก้มมีรอยเส้นเลือดสีน้ำเงินจาง อันเป็นสัญญาณธาตุไฟสูงเกินไป

“เสี่ยวจ้าวเป็นหมอหรือ?” อู๋เต๋อหลินผงะไปนิดหนึ่ง มองมายังเยี่ยเทียนแล้วตอบว่า “ช่วงนี้ร่างกายฉันไม่ค่อยสบาย รู้สึกอยากระบายอารมณ์ตลอดเวลา แต่ก็หาสาเหตุใดๆ ไม่พบ กำลังคิดว่าอีกสองสามวันจะไปตรวจดูอยู่พอดี”

“ประธานอู๋ครับ ออฟฟิศหลังนี้เพิ่งต่อเติมใหม่ใช่ไหม?” เยี่ยเทียนไม่ตอบคำถามอู๋เต๋อหลิน แต่พิจารณาไปรอบห้อง

อู๋เต๋อหลินพยักหน้าตอบ “ใช่แล้ว ที่นี่อากาศค่อนข้างร้อน ฉันก็เลยเพิ่มอีกชั้นหนึ่ง ติดแอร์ทุกชั้น พนักงานจะได้เย็นสบายหน่อย”

“ประธานอู๋ คุณก่อกำแพงตรงทางเข้าเหมืองนั่นหน่อยเถอะครับ อากาศที่ไหลออกมาจากใต้ดินตรงนั้นไม่ค่อยดีนัก จะทำให้คนเจ็บป่วยได้!”

เยี่ยเทียนเงยหน้ามองไปยังหน้าต่างแวบหนึ่ง แล้วก็กระจ่างในใจ ใต้เหมืองทองคำนั้นอาจไม่มีสายแร่วิเศษอยู่ แต่ทองคำเองก็ผสมผสานไปด้วยธาตุโลหะจำนวนหนึ่ง เมื่อมีทองคำมารวมตัวกันมาก ก็ย่อมก่อให้เกิดกระแสโลหะเข้มข้นเป็นธรรมดา

ห้องทำงานของอู๋เต๋อหลินอยู่ชั้นล่าง ประจันหน้ากับทางเข้าเหมืองพอดิบพอดี จึงได้รับแรงกัดกร่อนหนักสุด และหากกินเวลานาน อวัยวะภายในอาจได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถรักษาหาย มีอายุขัยเหลืออย่างมากเพียงสิบกว่าปี

กำแพงที่เยี่ยเทียนพูดถึงนั้น ความจริงก็คือกำแพงฮวงจุ้ยอย่างหนึ่ง สามารถป้องกันไอโลหะเข้มข้นที่ล้นออกมาจากภายในเหมือง เปลี่ยนแปลงฮวงจุ้ยภายในห้องทำงาน

“เอ๋? มีวิธีนี้ด้วยเหรอ? งั้นพรุ่งนี้ฉันจะให้คนไปทำกำแพงตรงตำแหน่งทางเข้านั่นก็แล้วกัน”

อู๋เต๋อหลินเคยทำงานขุดแร่ทองคำภายในเหมืองมาก่อน เขารู้ว่าคนที่อยู่ในเหมืองตลอดทั้งปีอายุไม่ยืนยาวนัก หากอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์คือผลซึ่งเกิดจากรังสีบางอย่างในแร่หิน ด้วยเหตุนั้นจึงเชื่อคำพูดของเยี่ยเทียนอย่างสนิทใจโดยไม่นึกสงสัย

………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด