หมอดูยอดอัจฉริยะ 831 ดินแดนสวรรค์

Now you are reading หมอดูยอดอัจฉริยะ Chapter 831 ดินแดนสวรรค์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“อาจารย์ ผมต้องฝึกวรยุทธนานแค่ไหนครับ?”

เหลยหู่ค่อยๆ ตื่นขึ้นมาจากการเข้าฌาน หลังจากที่ผ่านการฝึกวิชาที่เยี่ยเทียนถ่ายทอดให้แล้ว การดูดซับปราณวิเศษของเขาจึงเปลี่ยนเป็นรวดเร็วขึ้น เหมือนจะเร็วมากกว่าแต่ก่อนสิบเท่าตัว และจากการเข้าฌานในครั้งนี้ ทำให้เขารู้สึกมีพลังเต็มเปี่ยมทั่วร่างกาย แขนที่ขาดนั้นก็เปลี่ยนจากความเจ็บปวดเป็นความเหน็บชาและคันยุกยิก กลายเป็นชั้นแผลเป็นหนาๆ หนึ่งชั้น

“แกฝึกวรยุทธมาห้าวันเต็มแล้ว พอก่อน รีบกินเนื้อปลาพวกนี้ให้หมดเถอะ!”

การที่ถูกคนอายุสี่สิบกว่าปีเรียกว่าอาจารย์นั้น เยี่ยเทียนไม่รู้สึกเคอะเขินสักนิดเดียว เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวรยุทธหรือโลกของการบำเพ็ญตบะ ล้วนแต่ดูกันที่พลังความสามารถ ด้วยวรยุทธของเยี่ยเทียนในตอนนี้ แม้ว่าจะอยู่ในโลกของการบำเพ็ญตบะ ก็ยังถือว่าเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งเช่นกัน

“ห้าวัน? ทะ…ทำไมถึงได้นานขนาดนี้?”

หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว ดวงตาของเหลยหู่เกือบถลนออกมา เพราะในความรู้สึกของเขานั้น เหมือนตัวเองเพิ่งจะหลับไปตื่นเดียว ไม่ได้ใช้เวลานานมากมายขนาดนั้น

แต่พอเพิ่งจะพูดสิ้นเสียง ท้องของเหลยหู่ก็ร้องดัง “จ๊อกๆ” ขึ้นมา เขาถึงเพิ่งรู้ว่าเยี่ยเทียนพูดความจริง และความรู้สึกหิวจนท้องกิ่วนั้น ก็ทำให้เขาไม่พูดอะไรมากอีก จึงใช้มือซ้ายหยิบปลาทะเลที่เพิ่งจะตายไปขึ้นมาเคี้ยวกิน

“ลูกศิษย์ของสำนักฉัน ถ้าจะพูดถึงความโชคดีโดยบังเอิญ ถือว่าแกเป็นคนแรก!”

เมื่อเห็นท่าทางกินอาหารของเหลยหู่แล้ว เยี่ยเทียนจึงอดส่ายหน้าถอนหายใจไม่ได้ ถ้าหากเปลี่ยนเป็นโจวเซี่ยวเทียนมาอยู่ที่นี่ เพียงแค่อาศัยพลังฟ้าดินที่อัดแน่นกับพลอยวิเศษของตัวเอง ไม่แน่เขาอาจมีความหวังเข้าสู่ระดับเซียนเทียนได้ ด้วยคุณสมบัติของเหลยหู่แล้ว เกรงว่ามากสุดก็คงอยู่แค่ขั้นพลังสับเปลี่ยนขั้นปลายเท่านั้น

แต่ก็ไม่เป็นไร ถ้าหากเยี่ยเทียนออกไปจากที่นี่แล้วเขียนป้ายรับลูกศิษย์เข้าสำนัก โดยมีเหลยหู่ที่เป็นยอดฝีมือขั้นพลังสับเปลี่ยนนั่งอยู่ด้วย ก็ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาทำลายสำนักได้ นอกจากจะมีพวกยอดฝีมือที่แฝงตัวอยู่ทุกพื้นที่รวมทั้งผู้บำเพ็ญตบะที่อยู่ในดินแดนแห่งทวยเทพแล้ว ถือว่ายอดฝีมือขั้นพลังสับเปลี่ยนเป็นบุคคลที่มีวรยุทธสูงสุดแล้วบนโลกนี้

“อาจารย์ ท่านชมเกินไปแล้ว ผมก็แค่อาศัยบารมีของท่านเท่านั้นครับ!”

เหลยหู่ที่เพิ่งตื่นขึ้นจากการเข้าฌาน ก็ไม่ได้ฟังความหมายของเยี่ยเทียนชัดเจนทั้งหมด เขาเคี้ยวเนื้อปลาพลางถามอย่างงงๆ ว่า

“อาจารย์ เมื่อครู่ท่านพูดว่าผ่านไปห้าวันแล้ว? แต่ทำ…ทำไมพวกเรายังอยู่บนทะเลล่ะครับ?”

“ฉันพายเรืออยู่ตลอดเวลา ดังนั้นก็ยังอยู่บนทะเลสิ…”

ใบหน้าของเยี่ยเทียนก็มีความเหนื่อยล้าออกมา ช่วงห้าวันที่ผ่านมานี้ เขากินปลาทะเลเพียงสองสามตัว เวลาอื่นๆ ล้วนแต่ใช้ปราณแท้ในการขับเคลื่อนแพชูชีพให้ลอยไปข้างหน้า เพราะอยากจะรู้ว่าเกาะแห่งนี้มีขนาดใหญ่แค่ไหนกัน

แต่สิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนผิดหวังก็คือ ถึงแม้ทิวทัศน์ที่อยู่ชายเกาะจะเหมือนกันเป็นส่วนใหญ่ แต่เขาก็มองสถานที่ที่ตัวเองทำสัญลักษณ์ไว้ไม่เจอ ความใหญ่ของเกาะแห่งนี้ ไกลเกินกว่าที่เขาจินตนาการไว้เสียอีก การเดินทางที่น่าเบื่อตลอดห้าวันนี้ทำให้ร่างกายและจิตใจของเยี่ยเทียนเหนื่อยล้าจริงๆ

“ห้าวันก็ยังวนรอบเกาะนี้ไม่หมด?”

ใบหน้าของเหลยหู่มีสีหน้าของความตกใจออกมา รอบนอกของเกาะแห่งนี้ไร้ลมไร้คลื่น ด้วยวรยุทธของเยี่ยเทียนแล้วเพียงแค่ห้าวันก็น่าจะพายเรือออกไปไกลได้นับหลายร้อยไมล์ หรือว่าเกาะแห่งนี้จะใหญ่เกินคำบรรยาย?

เยี่ยเทียนพยักหน้า มองดูไอหมอกที่รายล้อมอยู่รอบเกาะจากที่ไกลๆ แล้วเอ่ยพูดว่า

“ความจริงพวกเราน่าจะขึ้นไปบนเกาะนานแล้ว บ้าเอ๊ย พายเรือจะสบายกว่าเดินได้ยังไง?”

ทันใดนั้นเยี่ยเทียนก็เพิ่งนึกออก ว่าตัวเองกำลังทำเรื่องที่โง่มาก กับการที่พายเรือไปข้างหน้าอยู่ในทะเล สู้เดินอยู่บนชายหาดเพื่อวัดขนาดของเกาะแห่งนี้ยังจะดีเสียกว่า พละกำลังทั้งหลายที่ต้องเสียไป ก็ยังน้อยกว่าที่อยู่ในทะเล

นอกจากนี้เยี่ยเทียนก็เกิดความสนใจในเกาะแห่งนี้มากยิ่งขึ้น เขาไม่อาจจินตนาการได้จริงๆ ในยุคที่ดาวเทียมโคจรไปทั่วทุกมุมโลก จะมีเกาะใหญ่ที่เหมาะให้คนอาศัยอยู่ขนาดนี้ แต่ทำไมจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีมนุษย์คนไหนค้นพบ แถมยังสามารถรักษาระบบนิเวศได้ดีขนาดนี้อีกด้วย

“ขึ้นฝั่ง?”

เหลยหู่มองแขนขวาที่ขาดของตัวเองแล้วรู้ลึกลังเลสองจิตสองใจ จากนั้นจึงเอ่ยพูดว่า

“อาจารย์ บนเกาะไม่ได้สงบเหมือนในทะเลนะครับ”

ถึงแม้วรยุทธจะพัฒนาขึ้นมาก แต่เหลยหู่รู้ว่า ถ้าหากตอนนี้ให้เขาเจอสัตว์ประหลาดตัวนั้นอีก เขาก็ยังไม่มีแรงสู้ได้เหมือนเดิม และคงจะมีแต่คนอย่างอาจารย์เท่านั้น ถึงจะสามารถต้านทานกำลังกับสัตว์ในตำนานแบบนั้นได้?

“เจ้าโง่ บนหาดทรายนั้นปลอดภัย แค่อย่าเข้าไปในเกาะก็ไม่ต้องกลัวแล้ว!”

เยี่ยเทียนได้ยินแล้วจึงเหลือกตาขาวใส่ สงสัยศิษย์กับอาจารย์อย่างพวกเขาสองคนจะเข้ามาผิดเขตแล้ว ความจริงตอนที่ไม่สามารถสำรวจทะเลลึกเข้าไปได้อีกนั้น เขาก็ควรกลับไปที่หาดทรายเป็นอย่างแรก เพราะด้วยกำลังเท้าของพวกเขา การเดินในระยะเกือบหนึ่งพันกิโลเมตรเพียงห้าวันนั้นธรรมดามาก

“อาจารย์พูดถูกครับ พวกเราขึ้นฝั่งกันเถอะ!”

เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ตอนที่สัตว์ประหลาดถูกฟ้าผ่าแล้ว เหลยหู่พลันมั่นใจมากขึ้น สงสัยหาดทรายของเกาะจะเป็นเขตหวงห้าม และซากกระดูกของสัตว์ขนาดยักษ์ที่อยู่รอบๆ เกาะนั้น มีความเป็นไปได้ที่อาจจะถูกฟ้าผ่าตาย

เหลยหู่เดาถูกแล้ว ความใหญ่โตมโหฬารรอบนอกของเกาะแห่งนี้นอกจากจะแฝงไปด้วยความสามารถเช่นนี้แล้ว ก็ยังป้องกันไม่ให้ปราณวิเศษที่อยู่บนเกาะนั้นหายไปและยังป้องกันไม่ให้สัตว์ประหลาดพวกนี้หนีออกไปข้างนอกได้ จึงมีสัตว์ประหลาดที่มีวรยุทธสูงและไม่ยอมถูกขังอยู่ในนี้ คิดอยากจะฝ่าแนวป้องกันเพื่อหนีออกไปข้างนอก แต่สุดท้ายก็มีจุดจบโดยการถูกฟ้าผ่าตาย

เดิมทีฉงฉีมีความฉลาดหลักแหลมมาก หลังจากที่เห็นสัตว์ประหลาดตัวอื่นที่พลังน้อยกว่าตนเองต้องจบชีวิตอยู่บนหาดทรายแล้ว มันจึงพยายามหลีกเลี่ยงไม่เข้าใกล้ชายหาดมาตลอด เพียงแต่ครั้งนี้มันถูกเยี่ยเทียนทำร้ายบาดเจ็บหนักจนเสียสติ แล้วจึงกระโดดเข้าไปทางชายหาด จึงทำให้ถูกฟ้าผ่าตาย

เมื่อไม่กล้าเข้าไปในทะเลจนลึกมาก ตอนนี้จึงได้แต่กลับไปบนชายหาดอีกครั้ง เยี่ยเทียนเพิ่มพลังไปที่มือ แล้วแพชูชีพก็พุ่งไปทางชายหาดอย่างรวดเร็วราวกับลูกธนูที่แล่นออกจากคันศร

ขณะที่อยู่ห่างจากชายหาดในระยะหนึ่งร้อยเมตรกว่าๆ จู่ๆ เหลยหู่ก็ส่งเสียงร้องตกใจ ใช้แขนข้างเดียวชี้ไปที่ชาย หาด แล้วพูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า

“อาจารย์ ท่ะ…ท่านดูสิ นั่นคืออะไร?”

“หืม? บนกำแพงหินมีตัวหนังสือ?”

ด้านหน้าของหาดทรายนี้ มีหน้าผาสูงชะโงกเงื้อมนับหมื่นฟุตอยู่แห่งหนึ่ง กำแพงหินเรียบราวกับถูกลับด้วยมีดอันแหลมคม แถมยังสลักตัวหนังสืออีกสองตัว เพียงแต่หน้าผาแห่งนี้ถูกห้อมล้อมไปด้วยหมอกอยู่ก่อนแล้ว แม้ว่าจะใช้สายตาของเยี่ยเทียนก็ยากที่จะมองเห็น แต่ตอนนี้ดันอยู่ใกล้มาก และเหลยหู่กลับเป็นคนเห็นก่อน

“เผิง..เผิงไหล? นี่…นี่จะเป็นไปได้ยังไง?”

ถึงแม้จิตใจของเยี่ยเทียนจะอยู่ในขั้นที่ไม่รู้สึกยินดียินร้ายกับวัตถุภายนอกแล้วก็ตาม แต่เมื่อเห็นตัวหนังสือสองตัวนี้ก็ยังต้องตกตะลึงจนอ้าปากค้าง จนลืมพายเรือในชั่วขณะ ปล่อยให้แพชูชีพลอยไปบนทะเลด้วยตัวเอง

“เผิงไหล? นั่น..นั่นคือเกาะเซียนที่อยู่ในตำนานใช่ไหมครับ?”

เหลยหู่รู้จักอักษรจีนไม่มาก โดยเฉพาะคำว่าเผิงไหลที่ใช้ตัวหนังสือรูปแบบจ้วนซูในการเขียน เขาจึงยิ่งไม่รู้จัก แต่เหลยหู่ก็เคยได้ยินนิทานที่จิ๋นซีฮ่องเต้ให้ไปตามหาเกาะเซียน เผิงไหล ฟางจ้าง กับอิ๋งโจวซึ่งเป็นภูเขาเซียนทั้งสามแห่งที่อยู่แถบโพ้นทะเลนั้น เขาก็พอรู้อยู่บ้าง

“ถูกแล้ว เพียงแต่…จะเป็นไปได้ยังไง?”

เมื่อเห็นตัวหนังสือที่ดูแข็งแกร่งราวกับกิ่งไม้เหล็กที่พาดพันกันอยู่นั้น ความตื่นตะลึงบนใบหน้าของเยี่ยเทียนไม่ได้ลดลงไปเลยสักนิดเดียว แล้วตัวหนังสือสองคำที่มีความสูงถึงสามร้อยกว่าเมตร ต้องไม่ใช่กำลังของมนุษย์ที่จะสามารถสลักบนนั้นได้อย่างเด็ดขาด ปราณวิเศษที่โอบล้อมอยู่โดยรอบ ก็ยังขับให้ยิ่งดูเหมือนอยู่ในดินแดนสุขาวดี จนอยากจะลอยเข้าไปโดยตรง

เยี่ยเทียนไม่เหมือนเหลยหู่ที่ไม่รู้หนังสือ เขาจึงพอมีความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับเกาะเซียนแถบโพ้นทะเลพอสมควร เพราะว่าในหนังสือคัมภีร์โบราณส่วนใหญ่ จะบรรยายเกี่ยวกับสถานที่ทั้งสามแห่งนี้ โดยเฉพาะผู้ฝึกตนระดับจินตัน จะมองที่นี่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของของลัทธิเต๋า

ต้นกำเนิดของภูเขาซานเซียน น่าจะเริ่มมาจากในยุคจ้านกั๋ว

ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ “สื่อจี้ หนังสือเฟิงซาน ” และ “ฮั่นซู เจียวสีจื่อเล่มหนึ่ง” บันทึกไว้ว่า “ตามตำนานในทะเลปั๋ว ที่อยู่ไม่ไกล…ผู้ที่ไปถึง จะพบเซียนกับยาอายุวัฒนะมากมาย นกและสัตว์ล้วนเป็นสีขาว พระราชวังทำจากทองและเงิน หากยังไม่ถึง จะนึกว่าเป็นก้อนเมฆ พอถึงแล้ว ภูเขาซานเซียนกลับอยู่ใต้น้ำ กระนั้นแล้ว ต่อให้มีลมพัด ก็ยากนักที่จะจับต้องได้จนถึงก้อนเมฆ ”

ในบันทึกของ “ตำราสือโจว” กล่าวไว้ว่า “สมัยที่จิ๋นซีฮ่องเต้ครองราชย์ ประเทศต้าเยวียนแคว้นตะวันตกมีคนนอนล้มตายเป็นเบืออยู่ตามชายป่า มีนกคาบหญ้าชนิดหนึ่งมา คลุมไปที่ใบหน้าของคนตาย แล้วคนตายก็ฟื้นขึ้นมา ข้าหลวงได้ความจึงนำไปกราบทูลแก่จิ๋นซีฮ่องเต้ จากนั้นจิ๋นซีฮ่องเต้จึงส่งคนให้นำหญ้าชนิดนี้ไปถามกุ๋ยกู่เซียนเซิง หญ้าชนิดนี้เป็นหญ้าอมตะในแคว้นจู่โจว เติบโตในทุ่งโฉงอวี้ เรียกว่าหย่างเสินจือ (เห็ดบำรุงเสิน) ใบของหญ้าชนิดนี้เหมือนกับหน่อไม้น้ำ โตขึ้นแบบเดี่ยว ไม่ได้เกิดเป็นพุ่มไม้ หญ้าอมตะหนึ่งต้น สามารถช่วยชีวิตคนนับพัน”

หลังจากรวบรวมหกแคว้นแล้วจิ๋นซีฮ่องเต้ก็แสวงหาความเป็นอมตะเมื่อได้ยินท่านนักพรตกล่าว จึงส่งสวีฝูกับเด็กชายหญิงที่ยังไม่ผ่านการแต่งงานอย่างละสามพันคน ขึ้นเรือข้ามทะเล ค้นหาแคว้นจู่โจวแล้วก็ไม่กลับมาอีก จนเหลือเพียงตำนานโบราณที่น่าขบขันตราบชั่วนิรันดร์ แล้วตำนานของภูเขาซานเซียน จึงถูกผู้คนเล่าขานเช่นนี้สืบมา

ภายหลังก็มีคนเคยวิจัยเกี่ยวกับบันทึกโบราณพวกนี้ เพียงแต่พวกเขาคิดว่านี่คือภาพลวงตาเท่านั้น และอวี๋ชินผู้แต่งหนังสือในสมัยราชวงศ์หยวนที่เขียนตำนานท้องถิ่นอย่าง “ฉีเฉิง” เล่มที่หนึ่งได้กล่าวไว้ว่า “ภาพแสงทิวทัศน์ลวงตามักจะมีแดดจัดเสมอในช่วงฤดูใบไม้ผลิกับฤดูร้อน ตะวันขึ้นส่องแสงสว่าง ลมพัดโบกเอื่อยมาจากทิศตะวันออก ก้อนเมฆลอยติดขอบเกาะ ภาพลวงตาปรากฏ มองเห็นป่าเขาเป็นกำแพงเมือง ยอดเสาธงประดับด้วยขนนกสีสันต่างๆ ตามตึกอาคาร รถประดับด้วยขนนกสักหลาด สัตว์สวมหมวกและเสื้อผ้าเหมือนมนุษย์ ทุกสิ่งที่มีในโลก เกิดเรื่องราวที่เหมือนและคล้ายกัน..!”

ตอนที่เยี่ยเทียนอ่านบันทึกเหล่านี้ ก็เหมือนจะคล้อยตามความคิดของภาพลวงตา เพียงแต่ “เผิงไหล” สองคำที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้ กลับทำให้ความรู้ความเข้าใจของเขากลับตาลปัตรไปหมด เพราะเกาะที่กว้างใหญ่และยังไม่ถูกมนุษย์ค้นพบแบบนี้ คงจะมีแต่ภูเขาเซียนที่อยู่ในตำนานเพียงอย่างเดียว ถึงสามารถนำมาอธิบายได้

“บ้าเอ้ย ไหนบอกว่าภูเขาเซียนอยู่ที่ทะเลปั๋วไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงมาอยู่ที่มหาสมุทรอินเดียได้เล่า?”

เยี่ยเทียนหยิกขาตัวเองอย่างแรง ความเจ็บทำให้เขาได้สติขึ้นมาทันที ถึงแม้ปากจะแสดงออกถึงความสงสัย แต่เยี่ยเทียนก็รู้ดี ว่าที่นี่คือภูเขาเซียนไม่ผิดแน่ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีพลังแห่งฟ้าดินที่เต็มเปี่ยมอย่างนี้ได้เด็ดขาด

“อาจารย์ ท่านดู ตรงนั้นมีกระท่อมไม้!”

ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังตกใจและงงสุดขีด เสียงของเหลยหู่ก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง

“หืม? หรือว่าบนเกาะนี้จะมีคนอยู่?”

เยี่ยเทียนได้ยินจึงหันไปมอง ที่แท้ตรงตีนเขาด้านซ้ายของตัวหนังสือ “เผิงไหล”นั้น ก็มีกระท่อมที่สร้างจากไม้ทั้งหลังจริงๆ โดยมีพื้นที่ว่างประมาณหนึ่งเมตรกว่าๆ จากใต้ต้นเสา กระท่อมทั้งหลังปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์สีเขียว หากไม่มองให้ละเอียดก็ยากจะรู้ได้จริงๆ

“ลองเข้าไปดูสิ เหลยหู่ พอไปถึงแกอย่าพูดอะไรนะ!”

เยี่ยเทียนใช้ปราณแท้ใส่ไปที่ไม้พายอย่างเต็มที่ เพื่อให้แพชูชีพเพิ่มความเร็วยิ่งขึ้น จากนั้นจึงพุ่งไปที่ชายฝั่งราวกับเรือสปีดโบ้ท หลังจากหนึ่งนาทีผ่านไป เยี่ยเทียนจึงใช้มือซ้ายและขวาทั้งสองกดไปที่สองข้างของแพชูชีพอีกครั้ง แล้วตัวแพทั้งหมดก็ลอยขึ้นกลางอากาศ หยุดลงอยู่บนหาดทรายที่เต็มไปด้วยเม็ดทรายละเอียด

“กระท่อมหลังนั้นไม่มีคนอาศัยอยู่ ไม่รู้ว่าถูกทิ้งร้างมานานแค่ไหน?”

หลังจากขึ้นมาบนฝั่ง ใบหน้าของเยี่ยเทียนจึงมีสีหน้าที่ผิดหวังออกมา กระท่อมไม้ตั้งอยู่ตรงชายฝั่งของหาดทราย ระยะห่างไม่เกินสี่ห้าสิบเมตร ซึ่งอยู่ในบริเวณการตรวจจับโดยพลังจิตของเยี่ยเทียน

……………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด