หมอดูยอดอัจฉริยะ 833 ฐานะ (2)

Now you are reading หมอดูยอดอัจฉริยะ Chapter 833 ฐานะ (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เป็นคน เป็นคนตาย!”

เยี่ยเทียนพูดสองสามคำออกมาจากปากด้วยความยากลำบาก แต่สิ่งที่พูดล้วนเป็นคำไร้สาระ ต่อให้เป็นเหลยหู่ก็ยังมองออกว่านักพรตที่นั่งอยู่บนพื้นนั้นเป็นคนตาย!

หากมองจากด้านหน้า ไม่ว่าจะเป็นด้านบุคคลิกหรือเนื้อหนังภายนอกที่โผล่ออกมาของนักพรต ก็ไม่ต่างจากคนที่มีชีวิตอยู่แต่อย่างใด หนำซ้ำยังนั่งตัวตรง ราวกับกำลังนั่งทำสมาธิอย่างไรอย่างนั้น

แต่ด้านหลังของนักพรตท่านนี้ เริ่มจากกระดูกสันหลังขยายยาวไปจนถึงด้านล่างของลำคอ เนื้อทั้งหมดแยกออกมาข้างนอก เกิดเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่ยาวเกือบหนึ่งเมตร แต่กลับไม่มีเลือดไหลออกมาทั้งสิ้น

เนื้อหนังที่อยู่ภายใต้ผิวหนังสีเหลืองนั้นเป็นสีเหลืองทองอร่าม แม้แต่กระดูกสันหลังที่ยาวนั่น ก็ยังมีสีเหลืองทองปรากฏอยู่ทั้งหมด อวัยวะภายในทั้งหมดล้วนเป็นสีนี้ ดูแล้วแปลกประหลาดเป็นที่สุด

“อาจารย์ นี่…นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”

ทั้งชีวิตนี้ของเหลยหู่ก็เห็นคนตายมาไม่น้อย แต่เวลานี้เขารู้สึกว่าหัวใจของเขาเต้น “ตึกๆ” ออกมาโดยตรง ถ้าหากเปลี่ยนเป็นสภาพแวดล้อมอย่างอื่นแล้วมาเห็นภาพแบบนี้ เขาคงคิดว่านี่คงเป็นมนุษย์ปลอมที่ทำมาจากโลหะ

ใบหน้าของเยี่ยเทียนมีสีหน้าที่เคร่งขรึมออกมา แล้วพูดพึมพำว่า

“ร่างสลายกลายเป็นเซียนไปแล้ว นี่…นี่คือการสำเร็จเป็นเซียนอย่างแท้จริง!”

คำว่าร่างสลายกลายเป็นเซียนนั้น กำเนิดมาจากสิ่งธรรมชาติ อย่างขั้นตอนของแมลงที่เปลี่ยนจากดักแด้กลาย เป็นแมลงนั้น ตัวแมลงเกิดมาจากตัวดักแด้ เมื่อผ่านการลอกคราบแล้ว ก็จะกลายเป็นแมลง นี่ก็ถือว่าเป็นการสลายตัวอย่างหนึ่ง ดังหนังสือโซวเสินจี้ เล่มที่สิบสาม ก็มีความหมายดังนี้“มอดที่กินไม้กลายเป็นแมลง จากนั้นก็สลายกลายเป็นผีเสื้อ”

และในบันทึกหนังสือคัมภีร์โบราณลัทธิเต๋าของประเทศจีน ก็พูดว่าเวลาที่มนุษย์เราฝึกวรยุทธจนถึงขั้นสุดยอดแล้ว จะสามารถหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด เกิดแก่เจ็บตาย และการสำเร็จเป็นเซียนของซูซื่อ ที่ได้กล่าวไว้ในกวีร้อยแก้ว “ก่อนกำแพงสีชาด” ว่า “โบยบินไปเดียวดายละโลกไว้เบื้องหลัง เป็นดุจดังเทพอมรรตัยเหาะเหิรหาว”

หลังจากชื่อนี้แพร่ออกไป คนรุ่นหลังจึงมักเรียกนักพรตที่ล่วงลับไปแล้ว ว่าร่างดับสลายกลายเป็นเซียน ซึ่งความจริงคนพวกนั้นก็แค่เกิดแก่เจ็บตายตามปกติ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเป็นเซียนเป็นพระพุทธเจ้าเลยสักนิดเดียว

สิ่งที่กล่าวไว้ข้างต้นนี้ คนรุ่นหลังต่างก็รู้กันทั่วไป หากลองเสียเวลาตรวจสอบสักนิดก็จะรู้ แต่ในประวัติศาสตร์ของลัทธิเต๋านั้น ก็เคยมีหลายคนที่เกิดการลอกคราบเหมือนดั่งแมลงพวกนี้ เหลือไว้เพียงร่างกายของนักพรตที่ไม่เน่าเปื่อยผุพัง

ตอนทศวรรษที่ 1960 ทีมนักปีนภูเขาทีมหนึ่งเคยเดินทางไปถึงหน้าผาอันสูงชันที่มีไม่ค่อยมีใครไปในภูเขาหัวซาน แล้วพบถ้ำแห่งหนึ่ง หลังจากใช้เชือกเส้นหยาบใหญ่และวัตถุอย่างอื่นในการช่วยเหลือจนเข้าไปถึงในถ้ำแล้ว ทีมนักปีนเขาจึงตื่นตะลึงกับสิ่งที่เห็น เพราะข้างในนั้นมีศพของนักพรตอยู่

ซึ่งไม่ต่างจากคนตาย และศพนี้ก็ไม่เน่าเปื่อยดูมีชีวิตชีวา ทว่าด้านหลังกลับมีรูโหว่เปิดออก ตอนนั้นทำเอาทีมนักปีนเขาต่างตกใจกันเป็นแถบ แต่ก็ไม่กล้าเคลื่อนย้ายศพของนักพรต จึงได้นำเรื่องนี้ไปรายงานแก่รัฐบาลท้องถิ่น

หลังจากได้ทราบเรื่องนี้แล้ว ทางรัฐบาลท้องถิ่นจึงจัดทีมนักโบราณคดีกับคนของสมาคมลัทธิเต๋าให้เดินทางไปยังสถานที่เกิดเหตุ

แต่ในยุคของความคลั่งไคล้ลุ่มหลง คนจำนวนมากมักจะนำเรื่องที่ตัวเองไม่สามารถเข้าใจได้จัดอยู่ในเรื่องของ ลัทธิไสยศาสตร์ของสังคมศักดินา นอกจากนี้รัฐบาลท้องถิ่นก็ไม่สนใจการคัดค้านของสมาคมลัทธิเต๋า สุดท้ายจึงได้นำศพของนักพรตท่านนั้นไปเผาเสีย

ต่อมาภายหลังหลี่ซั่นหยวนอาจารย์ของเยี่ยเทียนที่ได้ทราบเรื่องนี้จากเพื่อนนักพรตท่านหนึ่ง จึงกระทืบเท้าเอามือทุบอกอยู่นานด้วยความโกรธสุดขีด พร้อมกับด่าทอคนพวกนั้นว่าเป็นพวกไม่เอาไหน ดูหมิ่นสิ่งศักดิ์สิทธิ์และบรรพบุรุษ แต่เรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว เขาจึงทำอะไรไม่ได้

จากการสันนิษฐานอย่างมีเหตุผลของหลี่ซั่นหยวนกับผองเพื่อนนั้น ถ้าหากคนที่อยู่ในถ้ำนั้นเป็นเหมือนที่คาดคิดไว้จริงๆ ก็น่าจะเป็นปรมาจารย์เฉินถวน และข้างหลังที่แตกเป็นทาง บางทีก็อาจจะเป็นคำอธิบายที่แท้จริงของการดับขันธ์กลายเป็นเซียนของลัทธิเต๋าก็เป็นได้ จิตแห่งหยางออกจากร่าง ก็เหมือนกับแมลงที่ลอกคราบ เหลือไว้เพียงเนื้อหนังที่เหม็นเน่า

เพียงแต่ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการอนุมานของหลี่ซั่นหยวนทั้งนั้น เขาเองก็ไม่รู้ว่าหลังจากที่จิตออกจากร่างไปแล้วจะไปที่ไหน และจะมีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ได้อย่างไร เนื่องจากหลี่ซั่นหยวนเองก็มีพลังวรยุทธอยู่ในขั้นพลังสับเปลี่ยนเท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างจึงเกิดจากการคิดจินตนาการขึ้นมา ไม่มีหลักฐานที่แท้จริงใดๆ ในการอ้างอิง

หลังจากที่มองเห็นคนที่อยู่ตรงหน้านี้แล้ว ทันใดนั้นเยี่ยเทียนจึงนึกถึงเรื่องนี้ที่เคยพูดกับอาจารย์ และสถานการณ์ของทั้งสองเหตุการณ์นั้นก็เกือบเหมือนกัน คนนี้จะต้องเป็นผู้บำเพ็ญพรตที่แท้จริงอย่างแน่นอน และจากสภาพการณ์แบบนี้แล้ว บางทีนี่อาจจะเป็นโลกที่เยี่ยเทียนยังไม่รู้ก็เป็นได้

“อาจารย์ คนนี้กลายเป็นเซียนแล้วเหรอ?”

พอผ่านไปสักพักหนึ่ง เหลยหู่จึงเริ่มได้สติ และคนที่โหดเหี้ยมอย่างเขานั้น ไม่เคยกลัวคนเป็น มีหรือจะกลัวคนตาย เพียงแต่คนที่อยู่ตรงหน้านี้แปลกประหลาดเกินไป ทำให้เขาถึงกับเสียสติไปชั่วขณะ

“ไม่รู้ ฉันเองก็ไม่แน่ใจ อาจจะกลายเป็นเซียนไปแล้วจริงๆ ก็ได้?”

เยี่ยเทียนส่ายหน้า ถ้าหากเปลี่ยนเป็นติงหงอยู่ที่นี่ล่ะก็ บางทีเขาอาจจะตอบคำถามของเหลยหู่ได้ แต่เขาที่มีความรู้เกี่ยวกับการฝึกบำเพ็ญตบะอันน้อยนิดนั้น จึงไม่รูว่าสถานการณ์แบบนี้มันมีอยู่จริงหรือไม่?

“อย่าไปรบกวนกายเนื้อของท่านเลย พวกเราออกไปกันก่อนเถอะ”

มองดูนักพรตคนนี้ที่อยู่ตรงหน้าแล้ว เยี่ยเทียนจึงพอจะเดาออกถึงฐานะของเขา ทว่าเรื่องนี้กับที่บันทึกในหนังสือคัมภีร์โบราณช่างแตกต่างกันเป็นอย่างมาก เยี่ยเทียนจำเป็นต้องจัดการมู่เจี่ยนที่อยู่ข้างนอกให้เรียบร้อยก่อน เพื่อดูว่าจะหาคำตอบได้หรือไม่

หลังจากออกมานอกห้องแล้ว เยี่ยเทียนจึงพูดกับเหลยหู่ว่า

“เหลยหู่ แกไปฝึกวรยุทธที่ด้านนอกเถอะ ถ้าหิวก็ไปจับปลาในทะเลด้วยตัวเอง ถ้ากระหายน้ำที่นี่ก็มีน้ำจากลำธารในภูเขา แต่ระวังอย่าออกไปจากหาดทรายไกลนักนะ เพราะสัตว์ที่อยู่บนเกาะนี้ไม่ใช่สิ่งที่แกจะต่อสู้ได้”

ถ้าจะพูดถึงตำแหน่งของกระท่อมหลังนี้ ถือว่าเป็นสถานที่อันล้ำค่าที่เหมาะแก่การฝึกบำเพ็ญเพียรเป็นอย่างมาก มันตั้งอยู่ที่เชิงเขาหินผาสูงพอดี และข้างๆ กระท่อมก็ยังมีลำธารสายหนึ่งที่ไหลตลอดทั้งปี บนเนินเขาก็มีพืชชนิดต่างๆ ขึ้นเต็มมากมาย ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นนักพรตคนนี้ปลูกเอาไว้ตั้งแต่ตอนนั้นหรือเปล่า?

“ครับ อาจารย์ ผมรู้แล้วครับ”

เหลยหู่ขานรับ แล้วจึงถอยออกจากกระท่อม หากต้องอยู่กับศพที่ไม่รู้ว่าตายตั้งแต่เมื่อไรแบบนี้ ทำให้เขารู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว และอยากจะออกไปเร็วๆ เช่นกัน

“จาก ‘คัมภีร์เต๋า’ ของจางซันเฟิงนั้น หรือว่าคนที่อยู่ในนี้จะเป็นเขา?”

มองดูมู่เจี่ยนที่กระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะ สายตาของเยี่ยเทียนพลันนิ่งไป เพราะเขาพบว่า มู่เจี่ยนที่อยู่มุมโต๊ะบนข้างขวา เหมือนจะเขียนตัวหนังสือว่าจางซันเฟิง เขาจึงรีบยื่นมือไปหยิบมาทันที

“ข้าจางซันเฟิง เกิดในยุคปราชญ์ร้อยสำนัก มีประสบการณ์ชีวิตทั้งในราชวงศ์ฉินกับราชวงศ์ฮั่นมากที่สุด และตามหา มหามรรคแห่งเต๋ามาเกือบสองพันปี…”

มองดูตัวหนังสือที่เขียนบนมู่เจี่ยนแล้ว ความลึกลับส่วนหนึ่งของโลกแห่งการฝึกตนถูกเปิดเผยอย่างช้าๆ สีหน้า เยี่ยเทียนเปลี่ยนไม่หยุด เพราะเขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่า บันทึกลัทธิเต๋าของจางซันเฟิงที่เกิดในสมัยปลายราชวงศ์ซ่งนั้น จะมีความเป็นมาที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้

และจากการบรรยายของจางซันเฟิง เขาก็เกิดในยุคเดียวกันกับขงจื๊อ เมิ่งจื๊อและบรรดานักปราชญ์ทั้งหลาย ช่วงวัยเยาว์ได้พบกับนักพรตเต๋าบนภูเขาโดยบังเอิญ หลังจากได้รับการถ่ายทอดวิชาแล้ว ก็ปลีกวิเวกซ่อนตัวอยู่ในภูเขาหวังอู ฝึกฝนวรยุทธอย่างลำบากมาเกือบสองพันปี

เพียงแต่จางซันเฟิงไม่เคยใช้ชีวิตในสังคมของมนุษย์มาก่อน จึงไม่สามารถเข้าถึงสัจธรรมแห่งเต๋าที่ยิ่งใหญ่ได้ ภายหลังเขาจึงตระหนักรู้ แล้วจึงหัวเราะเดินออกจากภูเขาเพื่อเรียนรู้ชีวิตในสังคม

ช่วงรัชสมัยราชวงศ์ซ่งตอนปลาย จางซันเฟิงได้เข้าสู่สังคมในโลกมนุษย์ ผ่านราชวงศ์ซ่ง ราชวงศ์หยวน ราชวงศ์ หมิงมาสองสามราชวงศ์ด้วยกัน เมื่อฝึกฝนจิตใจจากเรื่องทางโลกแล้ว ทำให้วรยุทธทะยานอย่างก้าวกระโดด ภายในระยะ เวลาสั้นๆ เพียงสองร้อยปีกว่า จากระดับจินตันขั้นต้นก็กระโดดเข้าสู่ระดับจินตันขั้นปลาย จนได้พบกับการลงทัณฑ์สวรรค์ของระดับหยวนอิง

แต่สิ่งที่ทำให้จางซันเฟิงคาดไม่ถึงก็คือ ขณะที่รับการลงทัณฑ์สวรรค์จากระดับหยวนอิงนั้น ช่องว่างที่เป็นรอยต่อระหว่างฟ้าดินได้แยกออกอย่างกะทันหัน แล้วดูดเขาเข้าไปทั้งตัว เดิมทีจางซันเฟิงคิดว่าตัวเองจะได้ขึ้นสวรรค์แล้ว แต่กลับพบว่า ตัวเองกลับมาอยู่ในเกาะเซียนที่เรียกว่า “เผิงไหล” ในตำนาน

สำหรับภูเขาซานเซียนแห่งโพ้นทะเลนั้น สิ่งที่จางซันเฟิงรู้ทั้งหมดมีมากกว่าเยี่ยเทียนมากนัก ตอนที่เขาฝึกบำ เพ็ญเพียรนั้น ภูเขาซานเซียนถูกขนานนามว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าเซียน เพียงแต่มันลอยอยู่บนทะเลตลอดเวลา คนที่มีวาสนาถึงจะสามารถเข้ามาอยู่ในนี้อย่างบังเอิญได้ และจากตำนานของโลกภายนอก คนพวกนี้ก็คือผู้ที่ฝึกบำเพ็ญเพียรอยู่ในภูเขาเซียนจนสำเร็จไปนานแล้ว

แต่หลังจากที่เข้ามาในภูเขาเซียน “เผิงไหล” นั้น จางซันเฟิงเพิ่งพบว่า เรื่องจริงไม่ใช่อย่างนั้น “เผิงไหล” เป็นเกาะที่เต็มไปด้วยปราณวิเศษนั้นคือเรื่องจริง แต่กลับมีสัตว์ดุร้ายในตำนานเกิดขึ้นมากมาย มีสัตว์ร้ายมากมายที่มีพละกำลังมาก กระทั่งไม่อาจอยู่ภายใต้อำนาจเขาได้

นอกจากสัตว์ร้ายเหล่านั้นแล้ว บนเกาะก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์เลย คนของเกาะเซียนที่เข้ามาอยู่ในตำนานนั้น กลับไม่เห็นเลยสักคน จางซันเฟิงใช้เวลาสิบปีเต็มท่องเที่ยวไปรอบเกาะเซียน “เผิงไหล” ในที่สุดจึงมั่นใจว่า ถ้าหากเขาคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าของเกาะ ก็คงไม่มีคนที่สองมาแย่งกับเขาอย่างเด็ดขาด

เดิมทีจางซันเฟิงก็เคยพยายามอยากจะออกไปจากเกาะแห่งนี้ แต่เขาพบว่า อากาศที่อยู่ในเกาะ “เผิงไหล” นั้นมีเขตต้องห้ามอยู่อีกหนึ่งชั้น และด้วยวรยุทธระดับจินตันขั้นปลายของเขาแล้วยังไม่สามารถฝ่าออกไปได้ ในทะเลที่มีระยะห่างจากเกาะมากกว่าสามพันเมตร ก็ยังถูกปกคลุมไปด้วยเขตต้องห้ามอีกหนึ่งชั้นเช่นกัน ทำให้ทั่วทั้งเกาะแห่งนี้ถูกห่อหุ้มไว้ หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือเข้าได้แต่ออกไม่ได้

เดิมทีจางซันเฟิงอยากจะปลีกวิเวกมาอยู่ในภูเขาสักสองพันกว่าปี และด้วยนิสัยที่รักสงบ ถ้าออกไปไม่ได้ก็ถือเสียว่าเปลี่ยนสภาพแวดล้อมในการฝึกบำเพ็ญตบะก็แล้วกัน เพราะเขากลับไม่รู้สึกว่าไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสม ตอนนั้นจึงสร้างกระท่อมหลังนี้ขึ้นมา แล้วจึงเริ่มฝึกวรยุทธในสถานที่ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยปราณวิเศษเหล่านี้

แต่สิ่งที่ทำให้จางซันเฟิงสงสัยก็คือ ไม่ว่าปราณวิเศษบนเกาะจะมีล้นเหลือเพียงใด แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุจากตอนที่ถูกตัดขาดจากการลงทัณฑ์สวรรค์ของระดับหยวนอิงหรือไม่ ระดับการฝึกของเขาไม่สามารถบรรลุระดับจินตันขั้นปลายมาตลอด และการลงทัณฑ์สวรรค์ของระดับหยวนอิงนั้นก็ไม่เคยปรากฏอีกเลย

หลังจากสองร้อยกว่าปีของฝึกบำเพ็ญเพียรอยู่บนเกาะ จางซันเฟิงพบว่า ก็ยังไม่อาจบรรลุระดับหยวนอิงได้ หลังจากมีชีวิตอยู่สองพันกว่าปีแล้ว ในที่สุดขีดจำกัดสูงสุดของตัวเองก็มาถึง

การค้นหาเส้นทางสำเร็จเป็นเซียนของจางซันเฟิง ขาดเพียงก้าวเดียวก็สามารถเป็นอมตะได้ เขาจึงรู้สึกไม่ค่อยเต็มใจอยู่บ้าง คำทิ้งท้ายที่เขาเหลือไว้ในมู่เจี่ยนนั้น เตรียมที่จะละทิ้งกายเนื้อที่เหม็นเน่านี้ แล้วพยายามใช้จิตแห่งหยางแปรเปลี่ยนเป็นระดับหยวนอิงเพื่อเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้าย เพื่อดูว่าสามารถทลายพันธนาการระหว่างโลกกับสวรรค์ได้หรือไม่

ก่อนที่จะทำการเลือกนั้น จางซันเฟิงได้ทิ้งความเข้าใจต่างๆ นานาที่ตัวเองฝึกบำเพ็ญเพียรมากว่าสองพันปี และมู่เจี่ยนที่กองอยู่ตามจุดต่างๆ ของกระท่อมไม้นั้น เป็นเขาที่เป็นคนสลักลงไปในวินาทีสุดท้าย เพื่อเก็บไว้ให้คนที่มีวาสนา

“จิตแห่งหยางออกจากร่างแล้วมันเป็นยังไงกันแน่นะ?” มีบันทึกไว้แค่นี้เอง ทำให้หัวใจของเยี่ยเทียนคันยุกยิกราวกับถูกกรงเล็บแมวข่วนก็ไม่ปาน จนอยากจะพุ่งเข้าไปถามเนื้อหนังของกายเนื้อร่างนั้นที่อยู่ภายในห้อง

“ไม่ใช่ ด้วยวรยุทธระดับจินตันขั้นปลายของจางซันเฟิงแล้วยังไม่สามารถหลุดพ้นออกไปจากเกาะนี้ได้ อย่างนั้น…อย่างนั้นฉันก็ต้องถูกขังอยู่ในนี้ไปตลอดชีวิตหรือ?”

เยี่ยเทียนพลันนึกเรื่องหนึ่ง แล้วจึงตัวสั่นงันงกขึ้นมาทันที เขามีจิตใจที่อยากฝึกเป็นเซียน แต่ก็ไม่อยากใช้ชีวิตอยู่ในเกาะแห่งนี้ไปตลอดชีวิต!

………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด