หมอดูยอดอัจฉริยะ 926 ประกาศศักดา (2)

Now you are reading หมอดูยอดอัจฉริยะ Chapter 926 ประกาศศักดา (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“พระอาจารย์ใหญ่ พระอาจารย์ใหญ่ ท…ท่านอย่าทำให้พวกเราตกใจแบบนี้สิ!”

หลังจากตรวจดูลมหายใจของพราหมณ์เฒ่า พราหมณ์ฮินดูทั้งสองต่างก็มีสีหน้าตื่นตระหนก ริ้วรอยบนใบหน้าย่นยู่ยี่ยิ่งขึ้นกว่าเดิม ทุบทรวงอกของพราหมณ์เฒ่าที่นอนราบอยู่บนพื้นไม่หยุด ราวกับฟ้าดินจะถล่มทลายก็ไม่ปาน

พราหมณ์เฒ่าผู้นี้ฝึกโยคะตั้งแต่อายุสี่ขวบ ปีนี้มีอายุถึงหนึ่งร้อยหกปีแล้ว เคยถูกฝังไว้ใต้ดินเป็นเวลาหนึ่งเดือนแต่กลับรอดชีวิตมาได้อย่างปาฏิหาริย์ ในแวดวงศาสนาฮินดูนั้น พราหมณ์เฒ่าผู้นี้เรียกได้ว่าเป็นตำนานที่ไม่มีวันตาย และมีสถานะที่สูงส่งอย่างยิ่ง บรรดาผู้มีอำนาจระดับสูงในศาสนจักรฮินดูสมัยปัจจุบันนี้ล้วนแล้วแต่เป็นศิษยานุศิษย์ของพราหมณ์เฒ่าทั้งนั้น

หากพราหมณ์เฒ่าตายไปแล้วจริงๆ อย่างนั้นโครงสร้างในศาสนจักรฮินดูก็จะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง บางทีอาจส่งผลกระทบถึงอินเดียทั้งประเทศ และนักบวชฮินดูทั้งสองที่ติดตามพราหมณ์เฒ่ามานี้ ก็จะต้องมีจุดจบที่อนาถอย่างยิ่งเป็นแน่

ที่จริงแล้วการที่โจวเซี่ยวเทียนจู่โจมโอคาดะ มาซากะจนเสียชีวิตไปเมื่อครู่นั้น ก็คงจะส่งผลกระทบต่อราชสำนักญี่ปุ่นมากพอๆ กับกรณีของพราหมณ์เฒ่าผู้นี้เช่นกัน ตลอดหนึ่งร้อยกว่าปีที่ผ่านมานี้ ราชสำนักญี่ปุ่นไม่ได้มีสถานะในประเทศที่มั่นคงเท่าไรนัก ฝ่ายผู้ต่อต้านจักรพรรดิญี่ปุ่นก็มีอยู่เป็นจำนวนไม่น้อยเลย

แต่คนเหล่านี้สุดท้ายกลับสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย เรื่องนี้ย่อมเป็นฝีมือของโอคาดะ มาซากะอย่างไม่ต้องสงสัย ในฐานะมือสังหารเงาที่ราชสำนักญี่ปุ่นใช้ส่งไปกำจัดฝ่ายปฏิปักษ์ การเสียชีวิตของเขาจึงเท่ากับเป็นการจี้จุดอ่อนของราชสำนักญี่ปุ่น

“แก แกนั่นแหละเป็นคนฆ่าพระอาจารย์ใหญ่!”

พราหมณ์ผู้หนึ่งเงยหน้าขึ้นมา สายตาที่มองไปทางเยี่ยเทียนนั้นเปี่ยมด้วยความเคียดแค้น ไม่หลงเหลือลักษณะของพราหมณ์ชั้นสูงผู้ทรงธรรมอย่างเมื่อก่อนหน้านี้อีกเลย

ตามความคิดของเขา สิ่งที่จะสามารถสังหารพระอาจารย์ใหญ่อย่างเงียบเชียบเช่นนี้ได้ ก็คงจะมีแต่หนังสือเล่มที่เยี่ยเทียนหยิบออกมาเมื่อครู่เท่านั้น ส่วนคำถามที่ว่า เหตุใดลักษณะการตายของพระอาจารย์ใหญ่จึงแตกต่างจากคนไทยผู้นั้น พราหมณ์ฮินดูชั้นสูงผู้นี้กลับไม่ได้ไปขบคิดเลย ด้วยความที่กำลังร้อนรนอยู่

ไม่ใช่เฉพาะเขาเท่านั้น แต่คนอื่นๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็เพ่งสายตาไปทางเยี่ยเทียนเช่นเดียวกัน ทุกคนต่างมีความคิดคล้ายๆ กับคนอินเดียผู้นั้น ลักษณะการตายของพราหมณ์เฒ่าทั้งพิสดารทั้งอนาถเช่นนี้ สาเหตุคงหนีไม่พ้นหนังสือที่เยี่ยเทียนครอบครองอยู่เล่มนั้นเป็นแน่

ถ้าไม่ใช่เพราะว่าพวกเขามาร่วมงานประชุมครั้งนี้โดยเป็นตัวแทนของประเทศตน แต่ละคนก็คงจะข่มกลั้นความโลภในใจไม่ไหวและออกไปแย่งชิงแล้ว สายตาอันร้อนแรงเหล่านั้นบ่งบอกอย่างชัดเจนแล้วว่าขณะนี้พวกเขากำลังมีความรู้สึกอย่างไร

“อยู่อย่างไร้ความหมายมาตั้งร้อยกว่าปีแล้ว ตายไวๆ จะได้ไปเกิดใหม่ไวๆ ไงล่ะ!”

เยี่ยเทียนไม่ได้ตอบกลับคนอินเดียผู้นั้น เพียงมองเขาอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วก็นั่งกลับลงไป แต่เพียงแค่การมองแวบเดียวนี้ ก็ทำให้เขารู้สึกหนาวสะท้านไปถึงกระดูก ราวกับถูกคนราดน้ำเย็นลงบนศีรษะกลางฤดูหนาวแล้ว ขณะที่กำลังคิดจะพูดอะไรอีก กลับพบว่าฟันของตัวเองกำลังสั่นระริก

ที่จริงแล้วเขาก็ไม่ได้คิดว่านี่เป็นความผิดของเยี่ยเทียนเลย การตายของพราหมณ์เฒ่านั้นเกิดจากการกระทำของตนเองทั้งนั้น

เสียงตะโกนของเยี่ยเทียนเมื่อครู่ที่คนอื่นๆ ฟังแล้วไม่ได้รู้สึกว่าดังเท่าไรนั้น แท้จริงแล้วกลับเป็นวิธีโจมตีแบบหนึ่งของเยี่ยเทียน ซึ่งคล้ายคลึงกับสิงห์คำรณของทางพุทธอยู่เล็กน้อย

เมื่อเสียงตะโกนนั้นดังเข้าไปถึงในหูของพราหมณ์เฒ่า นอกจากปราณแท้ระดับเจี่ยตันที่แฝงอยู่จะจู่โจมเส้นชีพจรจนแหลกแล้ว พลังจากจิตดั้งเดิมของเยี่ยเทียนยังทำลายจิตของอีกฝ่ายจนพังทลายสิ้น การโจมตีทั้งสองชนิดนี้ส่งผลให้พราหมณ์เฒ่าผู้ซึ่งแม้จะถูกฟันร่างเป็นสองท่อนก็อาจยังไม่ตายในทันทีนั้น กลับเสียชีวิตไปในชั่วอึดใจ

“คุณเยี่ย ผมโจโควิชจากรัสเซีย อยากจะขอประลองกับคุณ!”

ขณะที่คนทั้งหลายในที่ประชุมกำลังซุบซิบวิจารณ์กันเกี่ยวกับการเสียชีวิตอย่างพิสดารของพราหมณ์เฒ่า เสียงที่ดังกังวานปานเสียงระฆังใหญ่เสียงหนึ่งก็เอ่ยขึ้น จากนั้นชายร่างบึกบึนสูงเกือบสองเมตรคนหนึ่งก็โดดเข้าสู่สนามประลอง ขณะที่เท้าทั้งสองข้างของเขาเหยียบถึงพื้นนั้น ราวกับจะเกิดการสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งที่ประชุม

“หืม? ในที่สุดประเทศมหาอำนาจก็ทนไม่ไหวแล้วหรือ?”

เมื่อได้ยินคำท้าของชายผู้นั้น เยี่ยเทียนก็คิ้วกระตุกเล็กน้อย ตั้งแต่เข้ามาในที่ประชุมนี้ เขาก็สัมผัสถึงพลังปราณที่ค่อนข้างแข็งแกร่งได้หลายกลุ่มแล้ว นอกจากแดร็กคูล่า โอคาดะ มาซากะ และอัศวินโต๊ะกลมเหล่านั้น ก็ยังมีคนอื่นๆ อีกประมาณเจ็ดแปดคนที่มีพลังฝีมือเทียบได้กับระดับเซียนเทียนช่วงต้น

และคนเหล่านี้ยังเป็นตัวแทนจากกลุ่มประเทศที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ณ ปัจจุบันนี้อีกด้วย แต่พวกเขานั้นมีระเบียบวินัยอย่างยิ่ง แตกต่างจากผู้ร่วมงานประชุมกลุ่มอื่นๆ ดังนั้นแม้พวกเขาจะรู้สึกตกตะลึงต่อการต่อสู้ที่เกิดขึ้นบนสนามประลองด้านล่างเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้เปิดเผยจุดประสงค์ที่จะท้าชิงใครบางคนออกมาเลย

อย่างผู้ท้าประลองจากรัสเซียคนนี้ เยี่ยเทียนก็รู้สึกได้ว่า มีพลังงานอันแข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งถูกกดดันอยู่ภายในร่างกาย ซึ่งหากพลังทั้งหมดนั้นปะทุออกมาแล้วละก็ ความแข็งแกร่งอาจจะไม่ได้ด้อยไปกว่าชาญ ทองทวนที่ถูกปลุกเสกให้กลายเป็นผีลูกผสมเลย

แต่เยี่ยเทียนยังพบอีกว่า พันธุกรรมของคนผู้นี้ดูเหมือนจะแตกต่างจากคนปกติอยู่เล็กน้อย หากไม่ใช่เพราะว่าเขาเข้าสู่ระดับเจี่ยตันแล้ว จึงสามารถมองเห็นโครงสร้างร่างกายมนุษย์ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เขาก็คงไม่มีทางสังเกตพบจุดนี้แน่

“เยี่ยเทียน ผมหวังว่าจะได้ต่อสู้กับคุณเยี่ยงนักรบผู้กล้า เพราะฉะนั้นขอคุณอย่าใช้ของสิ่งนั้นระหว่างการต่อสู้นะ!”

โจโควิชซึ่งยืนอยู่บนสนามประลองนั้นมีร่างกายกำยำราวกับหมีขั้วโลกตัวหนึ่ง เสียงพูดก็ดังกังวานไปทั่วทั้งที่ประชุม โดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้ไมโครโฟนเลย ดวงตาที่ดูราวกับกระพรวนทองแดงนั้นจ้องเขม็งมาที่เยี่ยเทียน

เยี่ยเทียนคาดเดาไว้ไม่ผิดเลย โจโควิชเป็นคนของกองทัพรัสเซียจริงๆ และเพิ่งจะได้รับคำสั่งจากกองทัพเมื่อครู่นี้เองว่า ให้เขาไปหยั่งเชิงเยี่ยเทียนดูเพื่อสืบข้อมูล และหากเป็นไปได้ ก็ให้ชิงหนังสือประหลาดเล่มนั้นมาไว้ในครอบครองด้วย

แท้จริงแล้วไม่ได้มีโจโควิชเพียงคนเดียวที่ได้รับคำสั่งเช่นนี้ ผู้มีพลังพิเศษจากเกือบทุกประเทศต่างก็ได้รับคำสั่งในทำนองเดียวกัน เพียงแต่ว่าพวกเขาเคลื่อนไหวช้าไปหน่อย จึงถูกโจโควิชคว้าโอกาสไปก่อน

“ได้เลย ผมชอบวัดพลังกับคนแกร่งๆ อยู่พอดี!”

เยี่ยเทียนซึ่งกำลังนั่งอยู่ลุกกลับขึ้นมาใหม่ ถึงจะเคยบอกลูกศิษย์ว่าให้สงบเสงี่ยมเจียมตัวเข้าไว้ แต่เมื่อถูกคนอื่นท้าทายครั้งแล้วครั้งเล่า เยี่ยเทียนจึงเริ่มจะรู้สึกโมโหขึ้นมานิดๆ พยัคฆ์ไม่แสดงพลังออกมา คนอื่นก็เลยเห็นเป็นแมวป่วย

เยี่ยเทียนยื่นมือเข้าไปหยิบบันทึกเกิดตายเล่มนั้นออกมาจากอกเสื้อ สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องมาทันที โจโควิชที่ยืนอยู่บนสนามประลองด้านล่างก็หรี่ตามองมาเช่นกัน เขาเองก็รู้สึกหวาดหวั่นต่อหนังสือเล่มนี้อยู่ไม่น้อย เพราะการตายของคนทั้งสองเมื่อก่อนหน้านี้ช่างแปลกพิสดารเหลือเกิน

“อาจารย์ ให้ผมไปสู้เถอะครับ” อาการบาดเจ็บที่โจวเซี่ยวเทียนได้รับไปเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้สาหัสมากนัก ตอนนี้เมื่อเห็นโจโควิช จึงอดรู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมาไม่ได้

เยี่ยเทียนโบกมือ ส่งคัมภีร์เป็นตายให้โจวเซี่ยวเทียนรับไว้ แล้วตอบว่า

“บอกแล้วไงว่าวันนี้ห้ามแกลงมืออีก มีจิตสังหารมากเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดีหรอกนะ!”

ยิ่งมีการบำเพ็ญสูงส่งขึ้นเท่าไร เยี่ยเทียนก็ยิ่งรู้สึกเคารพยำเกรงต่อฟ้าดินมากขึ้นเท่านั้น เขารู้สึกได้ว่า ภายในร่างกายของเขานั้นคล้ายจะมีพลังงานสีดำอยู่กลุ่มหนึ่ง ซึ่งไม่ว่าเขาจะหลอมละลายอย่างไร ก็ไม่อาจจะขจัดมันออกไปได้เมื่อลองกระตุ้นมันเพื่อที่จะนำมาใช้ประโยชน์ ก็ไม่ประสบความสำเร็จเช่นกัน

แต่ทุกครั้งที่เยี่ยเทียนรู้สึกได้ถึงการมาของภัยสวรรค์ พลังงานสีดำเหล่านั้นก็จะดูร่าเริงขึ้นมามากกว่าปกติ เรื่องนี้ทำให้เยี่ยเทียนเกิดความรู้สึกสังหรณ์ใจขึ้นมาเล็กน้อย เขาสงสัยอยู่ว่า นี่อาจเป็นภัยแฝงที่ก่อตัวขึ้นในสมัยที่ตัวเองเข่นฆ่าผู้คนไปทั่ว

ดังนั้นหนึ่งกว่าปีที่ผ่านมานี้ เยี่ยเทียนจึงทำสมาธิบำเพ็ญเพียรอยู่ในบ้านตลอดมา เพื่อที่จะสลายพลังงานเหล่านี้ไปบ้าง สาเหตุที่เยี่ยเทียนไม่อยากไปทำงานให้รัฐนั้นก็เป็นเพราะว่า เขาไม่อยากจะก่อกรรมทำเข็ญอีก หากไม่ใช่เพราะว่าไม่มีทางเลือกจริงๆ ที่จริงแล้วเยี่ยเทียนก็ไม่อยากจะเข้ามาพัวพันกับวงการนี้เลย

เยี่ยเทียนเดินลงไปบนสนามประลอง แล้วยืนประจันหน้าห่างจากโจโควิชไปสิบกว่าเมตร ลักษณะรูปร่างของทั้งสองดูแตกต่างกันอย่างยิ่ง เยี่ยเทียนผู้มีส่วนสูงหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร ซึ่งปกติก็ไม่ได้ถือว่าเตี้ยเลยนั้น พอมายืนตรงหน้าโจโควิชแล้ว กลับทำให้ดูเหมือนเป็นเด็กน้อยคนหนึ่ง

ในที่ประชุมนั้นไม่มีใครกล้าดูถูกเยี่ยเทียนเลยแม้แต่คนเดียว ในระหว่างการต่อสู้กับราชครูจากไทย นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ เขาอาจมีหนังสือเล่มนั้นเป็นตัวช่วยก็จริงอยู่ แต่เยี่ยเทียนเองก็ต้องมีความสามารถประจำตัวอยู่เหมือนกัน อย่างน้อยตอนที่เผชิญกับการโจมตีของชาญ ทองทวน เขาก็มีท่าทางสุขุมเยือกเย็นชนิดที่คนส่วนใหญ่ในที่ประชุมนี้ไม่อาจจะเทียบชั้นได้

“เยี่ยเทียน ผมต้องขอบอกอะไรคุณไว้อย่างหนึ่ง ตอนที่คุณอยู่ที่รัสเซียน่ะ เผอิญว่าผมไม่ได้อยู่ในประเทศพอดี!”

โจโควิชมองดูเยี่ยเทียนที่อยู่ตรงหน้า แล้วยกมุมปากขึ้น หลายปีมานี้เขาได้ดูวิดีโอบางส่วนที่ถ่ายจากดาวเทียมในประเทศมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง จึงมั่นใจว่าตนนั้นมีความรู้เกี่ยวกับเยี่ยเทียนอย่างลึกซึ้ง และความหมายในวาจาของเขาก็คือ ถ้าตอนนั้นเขาอยู่ที่รัสเซีย เยี่ยเทียนก็อาจจะไม่ได้กลับไปอย่างสมประกอบ

“ผมเคยไปรัสเซียด้วยรึ? อาจจะเคยมั้ง?”

เยี่ยเทียนมองไปที่โจโควิช แล้วพูดขึ้นอย่างเฉยเมย

“คุณไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผมหรอก ถ้าคุณไม่ปลุกพลังที่อยู่ในร่างกายนั่นออกมาละก็ การประลองครั้งนี้ก็ไม่จำเป็นจะต้องดำเนินต่อไปแล้วละ!”

แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีทัศนคติที่ดีต่อพวกฝรั่งมากนัก แต่เนื่องจากได้รู้จักกับอันเดรวิช และเปรียบเทียบกับประเทศอื่นอย่างอเมริกาและอังกฤษแล้ว เยี่ยเทียนจึงพอจะวิสาสะกับโจโควิชผู้นี้ได้โดยที่ไม่รู้สึกเหม็นหน้ามากนัก นอกจากนี้ สมัยนั้นเพียงเพื่อที่จะระบายโทสะให้กับจู้เหวยเฟิง เขาถึงได้ไปป่วนรัสเซียชนิดฟ้าถล่มดินทลาย จะว่าไปแล้วเขาเองก็รู้สึกผิดอยู่บ้างเหมือนกัน

“ให้ผมปลุกพลังในร่างกายออกมา? คุณดูออกได้ยังไงกัน?”

หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน โจโควิชก็เปลี่ยนสีหน้าไปทันที เขาเป็นทหารนายหนึ่งของกองทัพรัสเซียที่รับการดัดแปลงพันธุกรรมมาโดยสมัครใจ เมื่อห้าปีก่อนจึงได้เข้าไปอยู่ในฐานทัพลับแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิก นั่นเป็นสถานที่ลับสุดยอดที่นอกจากนักวิทยาศาสตร์ในฐานทัพนั้นแล้ว ก็มีเพียงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและประธานาธิบดีของรัสเซียเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้

ในช่วงห้าปีนั้น โจโควิชต้องผ่านการทดลองนับครั้งไม่ถ้วน อาจเป็นเพราะว่า เขามีพื้นฐานเดิมที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งหลังจากผ่านไปห้าปี คนอื่นๆ ที่เข้าสู่ฐานทัพรุ่นเดียวกับเขาต่างตายกันหมดแล้ว มีเขาเพียงผู้เดียวที่ประสบความสำเร็จในการปลูกถ่ายพันธุกรรมของสัตว์บางชนิด ทำให้มีพลังที่เหนือกว่ามนุษย์ธรรมดาไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า

แต่ทั่วทั้งรัสเซียไม่มีใครอื่นที่รู้เรื่องตัวตนของโจโควิชอีกแล้ว ดังนั้นเมื่อได้ยินเยี่ยเทียนเอ่ยถึงความลับในร่างกายของเขาขึ้นมา โจโควิชจึงหน้าถอดสีไปทันที

“ไม่ต้องสนใจหรอกว่าผมรู้ได้ยังไง”

เยี่ยเทียนส่ายหน้า

“อย่ามัวพูดเรื่องไร้สาระกันอยู่เลย ผมจะให้โอกาสคุณหนึ่งครั้ง หลังจากแปลงร่างแล้ว ถ้ารับหมัดผมได้หนึ่งครั้ง ผมจะก็ละเว้นชีวิตคุณ!”

“ได้! ตกลงตามนั้น!”

แม้ว่าโจโควิชจะมองระดับพลังฝีมือของเยี่ยเทียนไม่ออก แต่ด้วยสัญชาตญาณจากพันธุกรรมนั้น จึงทำให้ในใจเขาเกิดความรู้สึกถึงอันตรายอย่างหนึ่งขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านี้ เปรียบเสมือนอสรพิษที่อยู่ในป่าดงดิบ ก่อนที่มันจะเผยเขี้ยวพิษออกมานั้น ย่อมไม่มีผู้ใดรู้สึกถึงตัวตนของมัน

โจโควิชหายใจเข้าลึกๆ โครงกระดูกส่งเสียงลั่นกรอบแกรบออกมาพักหนึ่ง แล้วร่างที่ตอนแรกสูงเกือบสองเมตรนั้นก็พลันขยายใหญ่ขึ้นมาอีก

…………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด