หมื่นกระบี่ทะลวงสวรรค์ I Have Countless Legendary Swords! 28 : ป้อมปราการเงาภูผา

Now you are reading หมื่นกระบี่ทะลวงสวรรค์ I Have Countless Legendary Swords! Chapter 28 : ป้อมปราการเงาภูผา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นิยาย อ่านนิยาย

ตอนที่ 28 : ป้อมปราการเงาภูผา

ในวันที่ 2 โจวฉวนจีพาเจียงฉือน้อยมาตามนัดด้วย

เสี่ยวจิงหงไม่ได้จากไปไหน และยังคงนั่งสมาธิอยู่ที่เดิม

โจวฉวนจีเริ่มสอนเสี่ยวจิงหงถึงวิธีใช้ 2 จิตดาบทันที โดยเงื่อนไขของวิชาคือ การใช้ให้ได้พร้อมกัน

ถึงเขาจะค้นพบวิชาและบรรลุมันได้ด้วยตนเอง แต่เพราะเขาเชี่ยวชาญแล้ว เลยสามารถอธิบายหลักการได้ค่อนข้างดีทีเดียว

โดยขั้นแรก คือ ให้เสี่ยวจิงหงใช้ 1 วิชาดาบต่อ 1 มือ

“2 วิชาดาบ? นี่มันยากมากเลยนะ ข้าจะไม่เสียสติไปก่อนใช่มั้ยเนี่ย?”

เสี่ยวจิงหงถามพลางขมวดคิ้ว โจวฉวนจีเลยสาธิตให้เขาดูก่อน

หลังจากที่เสี่ยวจิงหงดูการสาธิตของโจวฉวนจี เขาก็เงียบลง ก่อนจะเริ่มฝึกโดยไม่พูดอะไรอีก

ส่วนเจียงฉือน้อยก็พาอาใหญ่และน้องสองไปล่าและเก็บฟืน

โจวฉวนจีนอนไขว้ขาอยู่บนพื้น พลางเคี้ยวเศษหญ้าในปาก และมองขึ้นไปยังท้องฟ้า มันช่างรู้สึกดีซะจริง

ท้องฟ้าสีฟ้ากว้างใหญ่และก้อนเมฆสีขาว ช่วยทำให้อารมณ์ดีได้จริง ๆ

และตอนนี้ เขามีภารกิจเสริมในทุก ๆ วันแล้ว นั่นคือ การสอนเสี่ยวจิงหง

เขาสอนเสี่ยวจิงหงในช่วงกลางวัน และกลับมาฝึกวรยุทธในช่วงกลางคืน

เสี่ยวจิงหงนั้นมีความอดทนมาก เขาอยู่ที่เดิมตลอดและเอาแต่ฝึกไม่หยุด

วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ราวกับม้าที่ควบไปข้างหน้าโดยไม่หันกลับ

ครึ่งปีผ่านไป

โจวฉวนจีก็ขึ้นสู่ระดับสร้างรากฐานขั้นที่ 3 ได้สำเร็จ ขณะที่เจียงฉือน้อยก็ขึ้นสู่ระดับรักษาปราณขั้นที่ 6 ได้เช่นกัน

ที่พวกเขาเลื่อนระดับได้เร็วขนาดนี้ เป็นเพราะได้หินวิญญาณช่วยไว้นั่นเอง

ส่วนเสี่ยวจิงหงก็บรรลุการใช้วิชาดาบ 2 เล่มพร้อมกันได้สำเร็จ และนั่นทำให้เขามีความสุขสุด ๆ

แค่ได้เรียนวิชาดาบคู่ พลังของเขาก็เพิ่มขึ้นสุด ๆ แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวิชาจิตดาบคู่เลย

การใช้ 2 วิชาดาบพร้อมกันจะทำให้ศัตรูไม่ทันระวังตั้งตัวได้

ในขณะเดียวกัน เขาก็พยายามใช้จิตดาบมือนึง ขณะที่ใช้วิชาดาบอีกมือ แต่ถึงอย่างนั้นการไหลเวียนปราณของเขาก็ดูจะยุ่งเหยิงไปหมด และปราณดาบยังไหลกลับเข้าข้างในอีก เขาแทบจะทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

“ขอบคุณ ท่านอาจารย์สำหรับคำแนะนำของท่านมาก!”

เสี่ยวจิงหงดูจะตื่นเต้นมาก เขาถือดาบไว้พลางโค้งคำนับให้กับโจวฉวนจีที่กำลังนอนอยู่บนเนินเขา

หากไม่มีคำสอนของโจวฉวนจีล่ะก็ เขาก็คงไม่มีทางที่จะบรรลุวิชาที่น่าทึ่งขนาดนี้ได้ภายในครึ่งปีหรอก

โจวฉวนจีโบกมือปัดอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะพูดว่า “ด้วยความสามารถอย่างเจ้าแล้ว ตอนนี้มันก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้วล่ะ ว่าเจ้าจะใช้จิตดาบคู่ได้เมื่อไหร่”

เสี่ยวจิงหงดูจะมีความสุขมากขึ้น หลังจากได้รับคำยืนยันแบบนั้น

โจวฉวนจีกระโดดลุกขึ้น ก่อนจะกวักมือเรียกเสี่ยวจิงหง

เสี่ยวจิงหงเดินไปหาทันที และหยุดลงอยู่ต่อหน้าเขา ก่อนจะถามว่า “ท่านอาจารย์ที่เคารพ มีอะไรหรือ?”

โจวฉวนจีเงยหน้าขึ้นและถามว่า “ทำไมเจ้าถึงมาที่ป่ากู่หลานแห่งนี้ล่ะ?”

ด้วยความสามารถของเสี่ยวจิงหงแล้ว ป่ากู่หลานก็ไม่ใช่ที่ ๆ ยากในการสำรวจสำหรับเขาเลยสักนิด หรือเขาจะแค่บังเอิญผ่านมานะ?

เสี่ยวจิงหงนั่งลงข้างเขา ก่อนจะหรี่ตาลงพลางมองขึ้นไปบนฟ้า และพูดว่า “ข้ามีสัญญาที่ต้องไปสู้น่ะ เพื่อที่ข้าจะได้แข็งแกร่งขึ้น ข้าเลยตั้งเป้าว่าจะไปท้าทายมหาราชาปีศาจที่อยู่ในส่วนลึกสุดของป่ากู่หลาน”

“สัญญาต่อสู้อะไรน่ะ?” โจวฉวนจีถามด้วยความสงสัย

เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับราชาปีศาจที่อยู่ในป่ากู่หลานมาก่อน ตำนานเล่าว่า มันทั้งมีความสามารถที่ล้นเหลือ และยังมีปีศาจกว่าล้านตนที่อยู่ภายใต้บัญชา ครั้งหนึ่งพวกมันเคยเกือบจะทำลายอาณาจักรเหมันต์แดนใต้ได้สำเร็จ แต่โชคดีที่มหาจักรวรรดิโจวมาช่วยได้ทันเวลาพอดี

“ข้าเคยสู้กับเหมิงเทียนหลางแห่งมหาจักรวรรดิโจว แต่ผลที่ได้กลับเสมอกัน เพราะงั้น เราเลยสัญญากันเอาไว้ว่า จะกลับมาสู้กันอีกครั้งในอีกหนึ่งทศวรรษต่อมา ที่เขตชายแดนของมหาจักรวรรดิโจว และตอนนี้ยังเหลือเวลาอยู่อีก 7 ปี”

เสี่ยวจิงหงตอบ เมื่อเขาพูดเกี่ยวกับเหมิงเทียนหลาง แววตาของเขาก็แสดงให้เห็นถึงความปรารถนาที่จะสู้อย่างสุดใจ

โจวฉวนจีรู้เกี่ยวกับเหมิงเทียนหลางอยู่บ้าง

เขาคือแม่ทัพอัศวินที่อายุน้อยที่สุดแห่งมหาจักรวรรดิโจว และเก่งในด้านกลยุทธ์มาก ในช่วงสงครามจักรวรรดิเขาสามารถเอาชนะด้วยกำลังพลที่น้อยกว่าหลายเท่าได้ นั่นเลยทำให้ชื่อเสียงของเขาโด่งดังไปทั่วโลก จักรพรรดิเหยียนแห่งโจวเองก็ดูจะโปรดเขามาก เลยแต่งตั้งเขาให้เป็นแม่ทัพอัศวินทันที

แน่นอนว่ามันส่งผลดีต่อตระกูลเหมิงด้วยเช่นกัน ตระกูลเหมิงเลยกลายเป็น 1 ใน 5 ตระกูลที่ยิ่งใหญ่ของมหาจักรวรรดิโจวไปโดยปริยาย

“อ่อใช่ ข้ายังไม่รู้ชื่อของท่านเลย ท่านอาจารย์ที่เคารพ”

เสี่ยวจิงหงเอียงคอและถาม เขาจ้องมองไปยังเด็ก 7 ขวบด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย

แม้แต่องค์ชายแห่งมหาจักรวรรดิโจวอย่าง โจวหยาหลง ก็ยังไม่ร้ายกาจเท่าเขาเลยด้วยซ้ำ

เพราะงั้นเจ้าเด็กนี่ต้องส่งผลต่อโลกใบนี้ในอนาคตอย่างมหาศาลแน่นอน

โจวฉวนจีตอบอย่างตรงไปตรงมา “โจวฉวนจี”

“โจวฉวนจีรึ? เป็นชื่อที่ดีนี่”

เสี่ยวจิงหงพยักหน้าและพูดด้วยความประหลาดใจ แต่เขาก็ไม่ได้เชื่อว่าโจวฉวนจีจะเป็นองค์ชายแห่งมหาจักรวรรดิโจว

เหตุการณ์ของแม่นางจาวฉวนเป็นที่รู้กันอย่างกว้างขวาง แต่ทุกคนกลับเรียกโจวฉวนจีว่า ลูกชายของจาวฉวน เท่านั้น นั่นเป็นเพราะมีเพียงผู้คนในวังหลวงเท่านั้นที่รู้จักชื่อของโจวฉวนจี

เสี่ยวจิงหงลุกขึ้นก่อนจะพูดว่า “มันถึงเวลาที่ข้าต้องไปแล้ว มีเพียงการต่อสู้ที่แท้จริงเท่านั้นที่จะช่วยขัดเกลาทักษะที่ข้ามีได้เร็วที่สุด และเพื่อที่ข้าจะได้บรรลุวิชาจิตดาบคู่ได้เร็วยิ่งขึ้น”

โจวฉวนจีก็ลุกขึ้นและพูด “ขอให้เจ้าทำสำเร็จนะ”

เสี่ยวจิงหงยิ้มให้เขาก่อนจะพูด “หลังจากที่ข้าเอาชนะเหมิงเทียนหลางได้ ข้าจะกลับมาหาท่านแน่นอน”

จากนั้นเขาก็กระโดดขึ้นไปบนฟ้า สูงเหนือพื้นกว่า 100 หลา และบินตรงไปยังเส้นขอบฟ้า ท่ามกลางลำแสงที่เย็นวาบและรวดเร็วดั่งสายฟ้า

นี่สินะจอมกระบี่ผู้สูงศักดิ์

เขามาอย่างไร้เงา และจากไปโดยไร้ร่องรอย

โจวฉวนจียิ้มที่มุมปาก ก่อนจะพูด “แต่กว่าจะถึงตอนนั้น พวกข้าก็คงจะอยู่ในมหาจักรวรรดิโจวแล้วล่ะ”

หลังจากที่เสี่ยวจิงหงจากไป โจวฉวนจีก็กลับลงมานอนเหมือนเดิม และรอให้เจียงฉือน้อยกลับมา

หลังจากนั้นสักพัก

จนย่างค่ำ เจียงฉือน้อยก็ยังไม่กลับมา

โจวฉวนจีกระโดดลุกขึ้น เขาขมวดคิ้วและเริ่มรู้สึกกังวล

ถ้าเป็นปกติเจียงฉือน้อยต้องกลับมาแล้วสิตอนนี้

“กรู้วววว–”

เสียงวิหคมังกรร้องลั่นมาจากเส้นขอบฟ้า พร้อมอาใหญ่ที่บินตรงมา

มันร่อนลงตรงหน้าโจวฉวนจีทันที เมื่อเขาหันไปมองก็พบว่า ปีกของอาใหญ่นั้นเปื้อนไปด้วยเลือด มันบาดเจ็บอยู่

มันร้องเป็นภาษานก แต่เพราะโจวฉวนจีอยู่กับวิหคมังกรมานาน เขาเลยเข้าในความหมายที่มันสื่อได้จากประสบการณ์

เจียงฉือน้อยและน้องสองถูกจับไปงั้นหรอ!

เขาหยิบยาออกมาก่อนจะใช้กับอาใหญ่ จากนั้นเขาก็กระโดดขึ้นขี่หลังก่อนจะพูดว่า “พาข้าไปที่นั่น”

ฮู่ววววว!

อาใหญ่กระพือปีก และรีบบินตรงดิ่งไปยังทางที่มันจากมา

โจวฉวนจีดูเหมือนจะใจเย็น แต่ภายในใจนั้นกลับเต็มไปด้วยความร้อนรน

ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเจียงฉือน้อยล่ะก็ เขาคงได้เป็นบ้าแน่

พวกเขาทั้งสองใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมากว่า 5 ปี และโจวฉวนจียังนับว่าเธอเป็นคนในครอบครัวที่ใกล้ชิดด้วยมากที่สุดอีก ฉะนั้นเขาจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเธอแน่

ณ ป้อมปราการเงาภูผา

ป้อมปราการนี้ คือ หนึ่งในฐานที่มั่นของกลุ่มโจรที่อยู่นอกพรมแดนของอาณาจักรเหมันต์แดนใต้ พวกโจรมักทำเรื่องเลวร้ายทุกรูปแบบ

ส่วนป้อมปราการเงาภูผานั้นตั้งอยู่บนภูผาเดียวดาย และในตอนนี้ มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งตรงไปยังที่แห่งนั้น พร้อมทั้งลากเกวียนคุกมาด้วย 3 คัน

น้องสองถูกขังอยู่ในเกวียนคุกคันท้ายสุด และถูกตรึงไว้ด้วยโซ่เหล็กหลายเส้น มันนอนจมกองเลือดอยู่กับพื้นเกวียน

ส่วนอีก 2 คันใช้เพื่อขังมนุษย์เอาไว้ คันหนึ่งสำหรับผู้ชาย และอีกคันสำหรับผู้หญิง ซึ่งรวมทั้งหมดแล้วมี 15 คน

และเจียงฉือน้อยคือ 1 ในนั้น เธอนั่งพิงอยู่ที่มุมหนึ่งของเกวียนคุกพลางมองขึ้นไปบนท้องฟ้า

“โอ้ ไม่นะ… พวกป้อมปราการเงาภูผาจับพวกเรามางั้นเหรอ นี่พวกเราจะถึงฆาตแล้วสินะ…”

สาวสวยในชุดกระโปรงสีเขียวพูดด้วยความสิ้นหวัง ดวงตาสีน้ำเงินดำและใบหน้านั้นเต็มไปด้วยน้ำตาที่ไหลริน และบนใบหน้าของเธอยังมีร่องรอยของการถูกซ้อมมาอีกด้วย

ผู้หญิงอีก 3 คนที่อยู่บนเกวียนก็สภาพไม่ต่างกัน พวกเขาทั้งหมดต่างยังเยาว์วัยและค่อนข้างสวย ถ้าพวกเขาได้เข้าไปยังป้อมปราการนั่นแล้วก็ เป็นใครก็คงจะจินตนาการออกว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา

เหล่าชายหนุ่มที่อยู่อีกเกวียนก็ดูจะสิ้นหวังเหมือนกัน

พวกเขาทั้งหมดต่างเป็นจอมยุทธวัยเยาว์ที่มาจากต่างสำนักต่างตระกูล จอมยุทธที่ระดับสูงที่สุดในพวกเขาก็อยู่ระดับสร้างรากฐานขั้นที่ 1 เท่านั้น พวกเขาต่างมาที่ป่ากู่หลานเพื่อฝึกฝน แต่ใครจะไปคิดว่าจะได้เจอกับกองโจรป้อมปราการเงาภูผาแห่งนี้แทนกันล่ะ

ชายกล้ามโตเดินตรงมาข้างหน้า เขาสวมชุดเกราะสีดำ และขี่ม้าที่ทั้งสูงและดูดุดัน ขณะที่ในมือของเขามีง้าวจีนที่เปื้อนเลือดอยู่

“หัวหน้าที่สอง ถึงพวกข้าจะไม่เจอหนูทรายสามตา แต่พวกข้าก็จับของที่มีค่ามากกว่า อย่างวิหคมังกรมาได้แทนครับ”

ชายร่างผอมเดินเข้ามาพลางยิ้มกริ่ม รอยยิ้มนั้นเผยให้เห็นฟันสีเหลือน่าขยะแขยง

หัวหน้าที่สองเบ้ปากก่อนจะพูดขึ้น “ก็หวังว่าหัวหน้าที่สามจะจับหนูทรายสามตามาได้นะ พวกฐานที่มั่นอื่นกับพวกทหารของอาณาจักรเหมันต์แดนใต้ก็เล็งเจ้าหนูนั่นเหมือนกัน เพราะงั้นพวกเราต้องหามันให้เจอเร็วที่สุด”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด