หมื่นกระบี่ทะลวงสวรรค์ I Have Countless Legendary Swords! 29 : จอมกระบี่สารทฤดู

Now you are reading หมื่นกระบี่ทะลวงสวรรค์ I Have Countless Legendary Swords! Chapter 29 : จอมกระบี่สารทฤดู at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 29 : จอมกระบี่สารทฤดู

ป้อมปราการเงาภูผานั้นตั้งอยู่บนยอดสุดของไหล่เขา และเกวียนคุกทั้ง 3 คันก็กำลังถูกพาขึ้นไปบนนั้น

อาคารหลายสิบหลังตั้งอยู่บนยอดเขา และถูกล้อมรอบด้วยพื้นที่ว่างเปล่า มีเกวียนคุกหลายคันที่ถูกลากออกทางด้านข้าง โดยภายในนั้นมีนักโทษจำนวนมากถูกกุมขังไว้ข้างในอยู่ พวกเขาต่างดูโทรมและสวมเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่ง แต่ละคนต่างมีคราบเลือดเลอะทั่วร่าง ซึ่งน่าจะเกิดจากการถูกเฆี่ยนตีนับครั้งไม่ถ้วน

เจียงฉือน้อยมองไปที่พวกนักโทษที่น่าสงสารและตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว

ถึงเธอจะเชื่อว่า โจวฉวนจีจะมาช่วยเธอแน่ ๆ แต่ก็ยังรู้สึกกลัวอยู่ดี

เธอสังเกตเห็นว่ามีทั้งเด็กที่อายุรุ่นราวเดียวกัน หรือแม้แต่เด็กที่อายุน้อยกว่าเธอ สายตาของพวกเขาจ้องมองไปอย่างว่างเปล่า และมีเลือดติดอยู่ที่มุมปาก มันดูน่าเศร้าเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการได้

นี่มันทำให้เธอกลัวยิ่งกว่าเดิมซะอีก

“วิหคมังกร? ของดีเลยนี่หว่า!”

ชายวัยกลางคนที่มีหนวดเคราบาง ๆ เดินตรงไปยังเกวียนคุกที่ขังน้องสองเอาไว้ เขาลูบคางพลางทำสีหน้าที่ดูพึงพอใจ

ชายคนนี้ทั้งสูง บึกบึน และสวมชุดเกราะ กล้ามแขนที่เป็นสีแทนช่วยให้รูปร่างของกล้ามที่มีชัดมากยิ่งขึ้น ทำให้เขาดูมีออร่าที่ป่าเถื่อนเอามาก ๆ

หัวหน้าที่สองเดินมาทางเขาพลางหัวเราะเบา ๆ “ท่านหัวหน้า ตอนนี้ท่านน่าพอใจแล้วนะ ใช่มั้ย? ถึงข้าจะจับเจ้าหนูทรายสามตานั่นมาไม่ได้ก็เถอะ แต่ข้าก็ไม่ได้กลับมามือเปล่าหรอกนะ”

หัวหน้าใหญ่พยักหน้าและพูดว่า “ไม่เลวเลย ยังไงก็ตาม เจ้าได้ถามถึงพื้นเพของเจ้าพวกที่จับมารึยัง? ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่เจ้าจะจับได้น่ะ”

ป้อมปราการเงาภูผาทั้งสูงและยิ่งใหญ่ แต่ถ้าเทียบกับภายในมหาจักรวรรดิโจวแล้ว มันแทบจะไม่มีอะไรเลย

หัวหน้าที่สองยิ้ม ก่อนจะพูดว่า “ไม่ต้องห่วงครับ เจ้าคนพวกนี้ไม่มีภูมิหลังที่จะสร้างปัญหาให้เราได้แน่นอน”

เขาได้ถามพวกนักโทษแล้ว แต่ก็ไม่มีภูมิหลังของใครที่มีอำนาจเลยสักคน

หัวหน้าใหญ่รับทราบก่อนจะหันกลับไป

ส่วนหัวหน้าที่สองก็กลับไปพักเช่นกัน

หลังจากนั้นชั่วโมงนึง หัวหน้าที่สามก็กลับมา

“พี่ข้า! น้องข้า! ดูนี่สิ! ข้าจับหนูทรายสามตากลับมาได้ล่ะ!”

เสียงหัวเราะหยาบๆดังลั่นไปทั่ว จนทำให้นักโทษทั้งหมดหันไปมองทางเขา

พวกเขาเห็นชายคนหนึ่งที่เปลือยท่อนบนรีบแจ้นเดินขึ้นไปยังยอดเขา พร้อมกับกองโจรหลายสิบคนที่กำลังเดินตามหลังเขาไป พวกเขาลากรถม้า 2 คันที่บรรทุกฟืนและสมุนไพรหลากหลายชนิดมาด้วย

หัวหน้าใหญ่และหัวหน้าที่สองก็เดินออกมา เช่นเดียวกับเหล่าโจรคนอื่น ๆ

“นี่มันหนูทรายสามตานี่!”

“ด้วยเจ้าหนูนี่ พวกข้าก็สามารถหาสมบัติหายากทุกประเภทได้อย่างง่ายดายแล้ว!”

“หัวหน้าที่สามเจอมันจริง ๆ ด้วย! เขานี่สุดยอดจริง ๆ!”

“ฮ่า ๆ พวกข้า ป้อมปราการเงาภูผา จะผงาดเกรียงไกรแน่นอน!”

“ข้อมูลนี้จะต้องไม่รั่วไหลเป็นอันขาด ไม่งั้นพวกฐานที่มั่นอื่นมันจะมาแย่งไปจากพวกเราแน่”

เหล่าโจรต่างพูดคุยกันด้วยความตื่นเต้นถึงอนาคตที่เป็นไปได้ของพวกเขา ราวกับฝูงปีศาจที่กำลังกู่ร้องลั่นไปทั่วฟากฟ้า

“หนูทรายสามตา… หนูทรายสามตาในตำนานที่สามารถระบุตำแหน่งสมบัติทั่วโลกได้!”

หญิงสาวที่อยู่ข้าง ๆ เจียงฉือน้อยบ่นพึมพำ เธอจึงหันไปมองผู้หญิงคนนั้น

และเจียงฉือน้อยก็เห็นว่า ผู้หญิงคนนั้นสวมเสื้อเบล้าส์สีเหลือง(เสื้อเชิ้ตสำหรับผู้หญิง) เธอเห็นหน้านางได้ไม่ชัดนักเพราะหน้าของนางเปื้อนฝุ่นเต็มไปหมด แต่นางก็มีหุ่นที่สวยมากพอที่จะทำให้คนที่เห็นความคิดตะเลิดไปไกลได้

เมื่อนางสังเกตเห็นว่าเจียงฉือน้อยมอง นางก็มองกลับก่อนจะถอนหายใจ “ช่างน่าสงสารเหลือเกินที่เจ้าต้องมาเจออะไรแบบนี้ทั้งที่ยังอายุเท่านี้ ชีวิตคนเรามันก็แค่นี้แหละ”

เธอเม้มริมฝีปากและไม่พูดอะไรตอบ

หญิงสาวในชุดสีเหลือคิดว่าเธอรู้สึกกลัว เลยไม่ได้พุดคุยอะไรต่อ

ในช่วงกลางดึก

โจรคนหนึ่งก็เปิดประตูไม้ของเกวียนออกมา ก่อนจะดึงหญิงสาวหน้าตาสะสวยและลากเธออกไป

หญิงสาวกรีดร้องพลางดิ้นทุรนทุราย และมันทำให้โจนคนนั้นรำคาญเอามาก ๆ เขาเลยตบหน้าเธอเข้าอย่างจัง จนเสียงดังสนั่นลั่นไปทั่วภูเขา

หลังจากที่โดนตบ เธอก็หมดสติไปในทันที ทันใดนั้น โจรคนนั้นก็ลากเธอตรงไปยังอาคารของหัวหน้าที่สอง

หญิงสาวนักโทษคนอื่น ๆ ก็เริ่มสิ้นหวังมากขึ้นเมื่อเห็นอะไรแบบนั้น

เทียบกับต้องอยู่อย่างอัปยศอดสูแบบนั้น สู้ตามซะยังจะดีกว่า

เจียงฉือน้อยกอดเข่าเถอะพลางจ้องมองไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืน ดวงตาของเธอเปล่งประกายไปด้วยความหวัง

เวลายังคงผ่านไป

เมื่อตกดึกเข้า เธอก็ทนไม่ไหวและผลอยหลับไป แม้แต่เหล่ากองโจรที่เฝ้ายามอยู่ก็ยังง่วงเหงาหาวนอน

ไม่มีใครสังเกตเห็นเงาเล็ก ๆ ที่กำลังแอบขึ้นมาบนภูเขาเลยสักนิด

มันคือ โจวฉวนจี นั่นเอง เขาไม่ได้เดินทางบนฟ้า แต่เลือกที่จะปีนเขาขึ้นมาด้วยตัวเองแทน และด้วย 8 ก้าวทะลวงกระบี่ พวกกองโจรก็ไม่ทันสังเกตเห็นเขาเลยแม้แต่น้อย

เขายืนอยู่ข้างหลังตึกหลังหนึ่งและมองตรงไปข้างหน้า ท่ามกลางค่ำคืนที่มืดมัวเสียจนคนธรรมดาทั่วไปไม่อาจมองเห็นได้ชัด แต่ด้วยวรยุทธระดับสร้างรากฐานขั้นที่ 4 แล้ว ทำให้สายตาของเขาดีกว่าคนทั่วไปนัก

ภายใต้อาคมซ่อนปราณ เขาเลยปกปิดปราณเฉพาะตัวของเขาไว้ได้

ไม่นาน เขาก็เห็นเจียงฉือน้อย

แต่เขาไม่ได้ลงมือทันที เพราะสัมผัสได้ถึงปราณเฉพาะของใครบางอยู่ในระยะแถวนั้น

มีจอมยุทธระดับสร้างรากฐานอยู่ประมาณ 10 คน และในหมู่คนพวกนั้นมีคนที่แข็งแกร่งกว่าเขาอยู่ 3 คน

แต่พวกเขาก็ยังอยู่ระดับสร้างรากฐานเหมือนกัน

ดวงตาของเขาเริ่มเปล่งประกายทันทีที่เขาตัดสินใจได้ จากนั้นเขาก็มุ่งตรงไปยังเจียงฉือน้อยทันที

ด้วยความเร็วในการก้าวเท้าของ 8 ก้าวทะลวงกระบี่และร่างกายที่เล็กจิ๋ว เลยไม่มีใครสังเกตเห็นเขาเลย

เขาเดินวนไปรอบ ๆ เกวียนคุก ก่อนจะเดินมายังข้างหลังเจียงฉือน้อย

เด็กน้อยดูจะหลับสนิท และไม่สังเกตเลยสักนิดว่ามีใครอยู่ข้างหลังเธอ

“ฉวนจี… ข้ากลัว…”

จู่ ๆ เธอก็ละเมอออกมา และมันทำให้เขาปวดไปทั้งหัวใจ

เขาไม่ปลุกเธอขึ้นทันที แต่กำลังคิดว่าจะช่วยเธอออกมายังไงโดยไม่ให้ใครสังเกตเห็นได้

เขาหันไปมองรอบ ๆ ก่อนจะเห็นน้องสองที่ถูกมัดเอาไว้อย่างแน่นหนาภายในเกวียนคุกอีกคันหนึ่งที่อยู่ข้าง ๆ มันยังตื่นอยู่ และจ้องมองไปทางเขาด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย ทำเอาดูน่าสงสารมาก ๆ ราวกับเด็กที่กำลังมองไปยังพ่อของตัวเองหลังจากที่พึ่งทำผิดมา

เขาให้สัญญาณมือบอกให้มันเงียบ ๆ เอาไว้

“ไอเจ้าพวกหนอนน่ารังเกียจแห่งป้อมปราการเงาภูผา คืนนี้ ข้าจะถอนรากถอนโคนพวกเจ้าทั้งหมดในนามแห่งความยุติธรรมเอง!”

ในตอนนี้ เสียงโห่ร้องที่ดังลั่นไปทั่วท้องฟ้ายามค่ำคืนได้ปลุกทุกคนให้ตื่นขึ้นมาจากการหลับไหล ช่างเต็มไปด้วยความซื่อตรงและโหดเหี้ยม

ดาบที่เปล่งประกายแวววับอยู่ ณ บนยอดเขา ชายสวมชุดสีขาวบินลงมาพร้อมกับดาบของเขา ผมสีดำพัดปลิ้วไสวไปตามลม ราวกับเทพที่กำลังก้าวลงมาสู่ผืนโลก

เจียงฉือน้อยตื่นขึ้นด้วยความกลัว เธอไม่ทันสังเกตเห็นโจวฉวนจีที่อยู่ข้างหลังเธอ แต่หันกลับไปมองชายในชุดสีขาวแทน

โจวฉวนจีย่อตัวลงเพื่อเลี่ยงไม่ให้พวกโจรเห็นตัวเอง

หัวหน้าใหญ่ หัวหน้าที่สอง และหัวหน้าที่สามเดินออกมาทีละคน พวกเขาต่างอาวุธครบมือ

“ข้าก็สงสัยว่าใครซะอีก ที่แท้ ก็จอมกระบี่สารทฤดู(ฤดูใบไม้ผลิ) จางหรูหยู นี่เอง ถ้าเป็นพ่อของเจ้า จางเถียนเจียน อยู่ที่นี่เองละก็ พวกข้า ป้อมปราการเงาภูผา คงโดยทำลายย่อยยับไปแล้ว แต่เป็นเจ้าเนี่ยนะ? เหอะ เจ้ายังกระจอกเกินไป!”

หัวหน้าใหญ่พูดเหยียดหยาม เขาพลิกมือของเขา ก่อนที่ค้อนขนาดใหญ่ที่อยู่ในมือจะทุบลงพื้น และทิ้งรอยร้าวขนาดใหญ่เอาไว้

“ข้าจะฆ่าเจ้า!”

หัวหน้าที่สองถือง้าวจีนเอาไว้ ก่อนจะกระโดดขึ้นกลางอากาศและฟาดฟันจางหรูหยู

จางหรูหยูไม่แสดงสีหน้าอะไร เข้าเล็งเป้าด้วยนิ้วของเขา ราวกับมันเป็นดาบ และคลื่นกระบี่ 2 เส้นก็พุ่งออกมาจากนิ้วชี้และนิ้วกลางของเขา ปราณกระบี่ปะทะเข้าที่ใบดาบง้าวจีนของหัวหน้าที่สอง และผลักเขากลับไป

ทันใดนั้น จางหรูหยูก็พุ่งลงไป และดาบที่อยู่ใต้เท้าของเขาก็ร่อนลงสู่มือของเขา

การต่อสู้อันดุเดือดกำลังจะเริ่มขึ้น!

โจวฉวนจีที่ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังกรงขัง ก็แอบรู้สึกดีใจ จอมกระบี่สารทฤดูมาได้เหมาะเจาะพอดี

เขาสะกิดที่หลังเอวเจียงฉือน้อย ก่อนที่เธอจะหันมาและตกใจ

ไม่กี่วิถัด ใบหน้าของเธอก็เต้มไปด้วยความประหลาดใจ เธอเกือบจะร้องไห้ออกมาเมื่อได้เห็นโจวฉวนจีที่ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่

“ชู่วววว”

เขาเตือนให้เธอเงียบเอาไว้ และหญิงสาวในชุดสีเหลืองที่อยู่ข้าง ๆ เจียงฉือน้อยก็สังเกตเห็นเขาเหมือนกัน

หญิงสาวในชุดสีเหลืองทำสีหน้างงงวย เด็กน้อยคนนี้เข้ามาที่นี่ได้ยังไงกัน?

เขาสังเกตเห็นสายตาของเธอก่อนจะยิ่มให้ จากนั้นเขาก็มองไปยังเจียงฉือน้อยและพูดด้วยเสียงค่อยว่า “รอจนกว่าพวกมันจะเริ่มวุ่นวายกัน แล้วข้าจะช่วยเจ้าเอง”

แววตาของเขาเริ่มเปล่งประกายไปด้วยจิตสังหาร

ถึงเขาจะไม่ใช่พวกรักความถูกต้องเท่าไหร่ แต่เขาก็มีหลักการเป็นของตัวเอง

ระหว่างทางที่มาที่นี่ เขาได้เห็นพวกนักโทษและศพที่น่าสังเวชมากมาย และนั่นทำให้เขาอยากที่จะกำจัดพวกป้อมปราการเงาภูผาให้สิ้นซากซะ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด