หมื่นกระบี่ทะลวงสวรรค์ I Have Countless Legendary Swords! 39 : เจ้าชายแห่งราชันย์ปีศาจ

Now you are reading หมื่นกระบี่ทะลวงสวรรค์ I Have Countless Legendary Swords! Chapter 39 : เจ้าชายแห่งราชันย์ปีศาจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หมื่นกระทะลวงสวรรค์ | Have Countless Lege…

 

ตอนที่ 39 : เจ้าชายแห่งราชันย์ปีศาจ

 

(แก้ไขเปลี่ยนจาก พรสวรรค์ประจักษ์หยินหยาง เป็นพร สวรรค์รวมวิถี นะคะ)

 

“ดาบนั้นสร้างได้ทุกสิ่ง… มนุษย์นั้นคือดาบ และดาบนั้นคือมนุษย์…”

 

“เมื่อมนุษย์และดาบรวมเป็นหนึ่ง… ทั้งโลกาก็มิอาจมีผู้ใดเทียม”

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจดูเหมือนจะตกอยู่ในวังวนแห่งความคิดกับประโยคเดิมซ้ำไปซ้ำมา

 

ถึงโจวฉวนจีจะมโนคําพูดขึ้นมาเฉย ๆ แต่ดูท่ามันจะหลอกจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจได้

 

ทั้งหมดเป็นเพราะท่วงท่าดาบก่อนหน้านี้ของโจวฉวนจีนั้น ทรงพลังสุด ๆ ไปเลยน่ะสิ!

 

มันเลยยิ่งทําให้ความประทับใจของจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจที่มีต่อจอมกระบี่ตัวน้อยเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

 

ในตอนที่โจวฉวนจีกําลังจะเดินจากไป คู่ต่อสู้ของเขาก็ตื่นจากภวังค์ออกมาด้วยความตกใจ

 

และตะโกนออกมาทันทีว่า “ท่านอาจารย์ที่เคารพ!”

 

โวววว้

 

เหล่าผู้ชมทั้งหมดต่างตกอยู่ในความตกใจ จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจถือเทพกระบี่โจวเป็นอาจารย์แล้วนั้นหรอ?

 

โจวฉวนจีหยุดเดินก่อนจะพูดว่า “ข้ามีศิษย์อยู่แล้ว” ”

 

จอมกระบี่ผู้องอาจรู้สึกตกใจ แต่ก็ไม่ได้ประหลาดใจนักถ้าเขาจะมีศิษย์อยู่แล้ว

 

แต่การที่เทพกระบี่ใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างเนี่ย เป็นไปได้มั้ยว่าศิษย์ของเทพกระบี่จะทรงพลังยิ่งกว่าเขาอีกน่ะ?

 

เขาถามโดยอัตโนมัติ “เขาคือใครสั้นหรือ?”

 

โจวฉวนจีตอบโดยไม่หันหลังกลับ “อีกคนที่ใช้วิชาสองจิตดาบพร้อมกันได้ คนผู้นั้นแหละคือศิษย์ของข้า”

 

หลังจากที่พูดจบ เขาก็กระโดดและบินลับขอบฟ้าไปพร้อมกับดาบราชาโลกันตร์

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจคุกเข่าลงกับพื้นสนามฝึก พลางรู้สึกเสียศูนย์

 

อีกคนที่ใช้วิชาสองจิตดาบได้

 

ผู้คนที่อยู่รอบสนามฝึกต่างเริ่มพูดคุยกันด้วยความตื่นเต้นโดยไม่มีใครสนเลยสักนิดว่าจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจจะบาดเจ็บสาหัสขนาดไหน พวกเขาทั้งหมดต่างพูดกันถึงความทรงพลังของเทพกระบี่โจว

 

“ดาบนั้นสร้างได้ทุกสิ่ง ช่างเป็นคําพูดที่วิเศษจริง ๆ! เทพกระบี่โจวเนี่ยแหละเป็นปรมาจารย์แห่งวิถีกระบี่จริง ๆ แล้วบางทีในอนาคตเขาอาจจะกลายเป็นเหมือนจักรพรรดิกระบีแห่งมหาจักรวรรดิโจวก็ได้”

 

“จะเป็นไปได้ไง? จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจเทียบจักรพรรดิกระบี่แห่งมหาจักรวรรดิโจวไม่ได้อยู่แล้วสิ! เขาฆ่าได้ด้วยการโจมตีเดียวด้วยซ้ำ!”

 

“แต่ไม่ใช่ว่าเทพกระบี่โจวพึ่งล้มจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจด้วยการโจมตีเดียวไปหรอ? ถ้าไม่ใช่เพราะเทพกระบี่โจวเป็นทั้งผู้ที่มีความเมตตาและความเที่ยงธรรมที่จะไม่ฆ่าใครไม่เลือกหน้าแล้วล่ะก็ เทพกระบี่โจวคงจะฆ่าเขาตายคาที่ไปแล้ว!”

 

“พูดอะไรไร้สาระ งั้นระหว่างเทพกระบี่กับจักรพรรดิกระบี่ เจ้าคิดว่าใครแกร่งกว่ากันล่ะ?”

 

“ข้าล่ะอยากซะจริง ถ้าเจ้าไม่รู้ถึงความยอดเยี่ยมของจักรพรรดิกระบีแห่งมหาจักรวรรดิโจว ก็หุบปากไปเถอะ”

 

ขณะที่ผู้คนกําลังพูดความเห็นเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของเทพกระบี่โจว พวกเขาก็เริ่มหยิบยกแม้แต่จักรพรรดิกระบี่แห่งมหาจักรวรรดิโจวขึ้นมาเปรียบเทียบเหมือนกัน

 

เหล่าจอมยุทธที่แข็งแกร่งกว่านั้นทุกคนต่างก็รู้กันดีว่าเทพกระบี่โจวเทียบไม่ได้กับจักรพรรดิกระบี่แห่งมหาจักรวรรดิโจวอยู่แล้ว แต่พวกเขาก็ไม่อาจสู้กับเสียงข้างมากของเหล่าผู้อ่อนแอได้อยู่ดี

 

ชายในชุดสีม่วงที่คอยมองตามแผ่นหลังของโจวฉวนจีที่กําลังจากไป ก็พูดขึ้นว่า “ไล่ตามเขาไป แล้วบอกเขาถึงจุดมุ่งหมายของข้าซะ”

 

“ครับ!”

 

ตาแก่ชิงพยักหน้ารับ เขาเปลี่ยนร่างกลายเป็นหมอกสีเขียวทันที และหายออกไปจากห้อง

 

ท่ามกลางฝูงชน จางหรูหยูกระชากคอเสื้อของใครสักคนที่อยู่ข้าง ๆ เขาด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะตะโกนออกมาอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าเห็นมั้ย? ข้าบอกแล้วว่าเทพกระบี่โจวนะแข็งแกร่งกว่า! เจ้าอยากไม่เชื่อข้าไงล่ะ!”

 

สีหน้าของคน ๆ นั้นเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงเพราะหายใจไม่ออก และเกือบจะเป็นลมเพราะขาดอากาศ

 

อีกด้านหนึ่ง เสี่ยวเฉิงเฟิงหายใจเข้าลึก ๆ และพูดกับคุณนายจือฉุยว่า “ข้ามีธุระต้องรีบไป ตอนเที่ยงในอีก 7 วันค่อยมาเจอกันที่ประตูทางเหนือของเมืองกลืนเมฆานะ แล้วพวกเราจะกลับมหาจักรวรรดิโจวพร้อมกัน”

 

หลังจากที่เขาพูดจบก็แทรกตัวผ่านฝูงชนและจากไป

 

คุณนายจือฉุยมองตามแผ่นหลังของเขา และบ่นพึมพําว่า “นี่เจ้าคิดจะชวนเทพกระบี่โจวเข้ามางั้นหรอ? เสี่ยวเฉิงเฟิง นี่เจ้ายังพักดีต่อองค์ราชินีอยู่รึเปล่า? หรือเจ้าวางแผนอะไรอยู่กันแน่?”

 

ไกลออกไปหลายสิบหลา ชายหนุ่มหน้าตาดีก็เดินออกไปอย่างเงียบ ๆ

 

แต่เขาไม่ได้สังเกตเลยว่ามีใครบางคนกําลังมองเขาอยู่

 

ชายในชุดสีม่วงยืนมองเขาอยู่บนหลังคา

 

เมื่อตาแก่ชิงออกไป เขาก็ขึ้นมาบนหลังคาเพื่อมองหาองค์หญิงฉวนหยา

 

และไม่นานนัก เขาก็เจอเธอ

 

ขณะที่เขามองไปยังชายหนุ่มหน้าตาดีคนนั้น สีหน้าของเขาก็เริ่มแสดงถึงความโลภออกมา ก่อนจะบ่นพึมพําว่า “ปราณเฉพาะตัวของพรสวรรค์รวมวิถีนี่มันน่าอร่อยซะจริง”

 

ณ ที่สนามฝึก

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจที่ยังคงเสียศูนย์อยู่จนถึงตอนนี้ ก็เริ่มเต็มไปด้วยปณิธาน เขาพูดกับตัวเองว่า “ท่านเทพกระบี่โจว ข้าจะต้องเป็นศิษย์ของท่านให้ได้เลย!”

 

เขาเริ่มเห็นความหวังในตัวเทพกระบี่โจว

 

เขาอาจจะได้เรียนรู้บางอย่างจากเทพกระบี่โจวที่พอจะใช้ล้มจอมกระบี่ผู้สูงศักดิ์ได้ก็ได้

 

ในตรอกเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เทพกระบี่โจวก็หยุดลงทันที 

 

เขาถามด้วยน้ำเสียงที่ต่ำว่า “เจ้าเป็นใคร?”

 

หมอกสีเขียวที่ลอยเข้ามาในตรอกนั้น กลับคืนร่างเป็นตาแก่ชิง

 

ตาแกชิงหัวเราะเบา ๆ “เทพกระบี่โจวจริง ๆ ด้วย ท่วงท่าดาบเมื่อสักครู่ของท่านนี้เป็นอะไรที่เยี่ยมจริง ๆ แต่ท่านดูจะพึ่งพาดาบในมือของท่านมากกว่านะ จริงมั้ย?”

 

โจวฉวนจีหันกลับไปและมองไปทางเขา “เจ้าอยากจะพูดอะไรกันแน่?” เขาพูด

 

เขารู้สึกได้เลยว่าตาแก่ชิงเป็นตัวอันตรายสุด ๆ แถมยังแข็งแกร่งยิ่งกว่าจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจซะอีก

 

ตาแก่ชิงลูบเครายาวพลางยิ้ม และพูดว่า “ท่านเคยได้ยินเกี่ยวกับราชาปีศาจแห่งภู่หลานมาก่อนรึเปล่า? นายน้อยของข้านะคือเจ้าชายราชันย์ปีศาจแห่งภู่หลาน และพอดีว่าเขาอยากจะเชิญชวนให้ท่านมาอยู่ใต้อาณัติบัญชานะ”

 

ราชวงศ์ปีศาจกู่หลานน่ะหรอ!

 

รูม่านของโจวฉวนจีหดตัวทันที

 

เขาจะไม่รู้จักราชวงศ์ปีศาจแห่งภู่หลานได้ยังไงกัน? นั่นคือพวกที่มีอํานาจมากซะจนแม้แต่จักรพรรดิแห่งมหาจักรวรรดิโจวยังต้องปวดหัวเลยนะ

 

แม้แต่องค์ชายแห่งราชวงศ์ปีศาจกู่หลานก็ยังทรงพลังยิ่งกว่าจอมยุทธระดับบัวภายในซะอีก เป็นคนที่ทรงพลังมากเกินกว่าเขาจะรับมือด้วยได้

 

แต่ในฐานะมนุษย์ จะให้เขาไปเข้าร่วมกับพวกเผ่าปีศาจได้ไงกัน?

 

โจวฉวนจีหรี่ตาลง “แล้วถ้าข้าปฏิเสธล่ะ?”

อ๊าาากก

 

ในตอนนั้นเอง เสียงกรีดร้องแหลมและน่าสังเวชดังมาจากที่ไกล ๆ แม้จะอยู่ภายใต้แสงแดดจ้าเช่นนี้ มันก็ยังทําให้เขาเสียวสันหลังวาบ

 

จู่ ๆ เสียงกรีดร้องแบบเดียวกันก็ดังขึ้นจากทั่วทุกทิศทาง 

 

โจวฉวนจีขมวดคิ้วภายใต้หน้ากาก เป็นไปได้มั้ยว่าพวกเผ่าปีศาจจะมาบุกเมืองกลืนเมฆาล่ะ?

 

เขาเริ่มรู้สึกกังวลขึ้นมาทันที เขาไม่ได้เป็นห่วงตัวเอง แต่เขาเป็นห่วงตัวเจียงฮือน้อยตั้งหาก

 

ตาแกชิงยิ้มและพูดขึ้นว่า “ถ้าเจ้าปฏิเสธพวกข้าล่ะก็ อย่าหวังว่าจะได้ออกจากเมืองกลืนเมฆานี้ทั้งยังมีลมหายใจอยู่เลย ยังไงซะอีกไม่นาน เมืองแห่งนี้ก็จะกลายเป็นเมืองแห่งซากศพอยู่แล้ว เจ้าอยากจะเป็นหนึ่งในนั้นรึเปล่าล่ะ?”

 

โจวฉวนจีพูด “ก็ได้ ๆ ข้าเข้าก็ได้ แต่ขอข้าพาคนอื่นไปด้วยได้มั้ย?”

 

ตาแก้ชิงพยักหน้าและพูดว่า “แน่นอน! เจ้าจะพาไปสัก 1 คนก็ได้ 2 คนก็ยังได้ แต่ 3 คนไม่ได้แล้วนะ”

 

อะไรของเขาล่ะนั่น?

 

โจวฉวนจีได้แต่ขําอยู่ในใจ แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกไป

 

หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ตามตาแก่ชิงไป เพื่อไปพบองค์ชายแห่งราชวงศ์ปีศาจกู่หลาน

 

“นายน้อยของข้ามีนามว่า ฉวงฮุ้ยเฉิง ตั้งแต่นี้ไปเจ้าเองก็ต้องเรียกท่านว่านายน้อยด้วยเหมือนกัน”

 

ตาแก่ชิงย้ำเตือนเขาขณะที่กําลังนําทางไป

 

โจวฉวนจีพยักหน้า เขาไม่ได้สนเรื่องนี้อยู่แล้ว

 

ตอนนี้เขากังวลแค่เรื่องเจียงฮือน้อยอย่างเดียว

 

เขาสวดภาวนาอยู่ภายในใจ และหวังว่าเจียงฉือน้อยจะยังคงรอเขาอยู่ในโรงเตียมแทนที่จะออกตามหาเขา

 

ไม่นานนักเขาก็ผ่านมาถึงสนามฝึก แต่ในตอนนี้ มีซากศพอยู่เกลื่อนกลาดไปทั่วสนามฝึก เลือดของพวกเขาถูกละเลงไปทั่วพื้นถนน และจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจก็ยังคงคุกเข่าอยู่กับพื้นสนามฝึก เพราะเส้นชีพจรสําคัญทั่วร่างของเขานั้นฉีกขาด เลยขยับไปไหนไม่ได้

 

เขาจ้องมองไปยังโจวฉวนจี เมื่อเขาเห็นว่าจอมกระบี่ตัวน้อยนั้นอยู่กับตาแก่ชิง เขาก็แทบไม่เชื่อสายตา

 

ชายในชุดสีม่วงที่มีนามว่า ฉวงฮุ้ยเฉิง ยืนอยู่บนหลังคาของโรงเตี้ยมที่เขาเองพักอยู่ โดยอุ้มชายหนุ่มหน้าตาดีเอาไว้ในอ้อมแขน

 

ชายหนุ่มหน้าตาดีคนนั้นดูเหมือนจะตกอยู่ภายใต้คาถาและไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ แววตาของเด็กหนุ่มคนนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

 

“เจ้าอยู่นั่นเอง ตรงเวลาพอดีเลยนะ แต่ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ทําร้ายเจ้าแน่นอน”

 

ฉวงฮุ้ยเฉิงพูดขึ้นอย่างพอใจพลางยิ้มอย่างมีความสุข

 

เทพกระบี่โจวอาจจะยังไม่แข็งแกร่งมากในตอนนี้ แต่ด้วยพรสวรรค์อันมากล้นเหลือ หากเลี้ยงดูดีๆ เทพกระบี่โจวจะต้องกลายเป็นมือขวาของเขาอย่างแน่นอน

 

โจวฉวนจําไม่ได้ตอบอะไรก่อนจะมองซ้ายมองขวา ตึกรามบ้านช่องหลายหลังพังลง แต่โรงเตี้ยมที่เขาพักอยู่กับเจียงฉือน้อยนั้นอยู่อีกด้านนึงของสนามฝึก เขาเลยมองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

 

ช่างแม่งแล้ว เขากระโดดขึ้นไปเหนืออาคารและมองหาโรงเตี๊ยม ก่อนที่สีหน้าของเขาจะเปลี่ยนไปในทันที

 

โรงเตี้ยมที่พวกเขาพักอยู่ก็พังลงเช่นกัน

 

เขาบินตรงไปยังซากพัง ๆ ทันที และพยายามสัมผัสให้ได้ถึงปราณเฉพาะตัวของเจียงฮือน้อย

 

“ฉวนจี..”

 

เขาได้ยินเสียงที่อ่อนแรงและแผ่วเบาดังขึ้นมาจากข้างใต้ซากอาคาร เขาเลยรีบหยิบเอาซากไม้ของอาคารที่พังออกมา

 

ไม่นานนัก เขาก็เจอกับเจียงฉือน้อยที่ทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยฝุ่นเขรอะ เธอโดนเสาอาคารทับเอาไว้อยู่ อวัยวะแขนขาที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้นที่นั้น มันช่างเป็นภาพที่น่าสยดสยองสุด ๆ

 

ถ้าไม่ใช่เพราะเจียงฉือน้อยอยู่ระดับสร้างรากฐานแล้วล่ะก็เธอคงได้ทับตายไปแล้วแน่ๆ

 

เขากําหมัดแน่นข้างในแขนเสื้อ ก่อนจะรีบช่วยเธอออกมาทันที

 

ฉวงฮุ้ยเฉิงเดินไปยังขอบสนามฝึกพร้อมกับหนุ่มหน้าตาดีและตาแก่ชิง พวกเขาอยู่ห่างจากเด็กหนุ่มและเด็กสาวไกลหลายสิบหลา

 

เขาเลิกคิ้วขึ้นและถามว่า “นางก็แค่เด็กสาวคนนึงเท่านั้นแล้วนางเกี่ยวข้องกับเจ้ายังไงนะ?”

 

โจวฉวนจีวางเจียงฉือน้อยลงบนเศษซากอาคารโดยไม่ตอบอะไรฉวงฮุ้ยเฉิง ก่อนจะเริ่มตรวจดูบาดแผลของเธอ และเขาก็พบว่าขาขวาของเธอนั้นหักและบวมสุด ๆ

 

เขาหยิบขวดยาออกมาทันที ก่อนจะวางลงในมือของเธอและพูดว่า “ไม่ต้องกลัวนะท่านพี่ ข้าจะแก้แค้นให้ท่านเอง”

 

หลังจากที่พูดจบ เขาก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นมา พร้อมดาบราชาโลกันตร์ก็ปรากฏขึ้นในมือเขาทันที

 

เขากําดาบราชาโลกันตร์เอาไว้ในมือแน่นพลางสั่นเบา ๆ

 

เขาหันกลับไป และจ้องมองตรงไปยังชายในชุดสีม่วง “ฉวงฮุ้ยเฉิง แม่มึง***สิวะ!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

หมื่นกระบี่ทะลวงสวรรค์ I Have Countless Legendary Swords! 39 : เจ้าชายแห่งราชันย์ปีศาจ

Now you are reading หมื่นกระบี่ทะลวงสวรรค์ I Have Countless Legendary Swords! Chapter 39 : เจ้าชายแห่งราชันย์ปีศาจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หมื่นกระทะลวงสวรรค์ | Have Countless Lege…

 

ตอนที่ 39 : เจ้าชายแห่งราชันย์ปีศาจ

 

(แก้ไขเปลี่ยนจาก พรสวรรค์ประจักษ์หยินหยาง เป็นพร สวรรค์รวมวิถี นะคะ)

 

“ดาบนั้นสร้างได้ทุกสิ่ง… มนุษย์นั้นคือดาบ และดาบนั้นคือมนุษย์…”

 

“เมื่อมนุษย์และดาบรวมเป็นหนึ่ง… ทั้งโลกาก็มิอาจมีผู้ใดเทียม”

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจดูเหมือนจะตกอยู่ในวังวนแห่งความคิดกับประโยคเดิมซ้ำไปซ้ำมา

 

ถึงโจวฉวนจีจะมโนคําพูดขึ้นมาเฉย ๆ แต่ดูท่ามันจะหลอกจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจได้

 

ทั้งหมดเป็นเพราะท่วงท่าดาบก่อนหน้านี้ของโจวฉวนจีนั้น ทรงพลังสุด ๆ ไปเลยน่ะสิ!

 

มันเลยยิ่งทําให้ความประทับใจของจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจที่มีต่อจอมกระบี่ตัวน้อยเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

 

ในตอนที่โจวฉวนจีกําลังจะเดินจากไป คู่ต่อสู้ของเขาก็ตื่นจากภวังค์ออกมาด้วยความตกใจ

 

และตะโกนออกมาทันทีว่า “ท่านอาจารย์ที่เคารพ!”

 

โวววว้

 

เหล่าผู้ชมทั้งหมดต่างตกอยู่ในความตกใจ จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจถือเทพกระบี่โจวเป็นอาจารย์แล้วนั้นหรอ?

 

โจวฉวนจีหยุดเดินก่อนจะพูดว่า “ข้ามีศิษย์อยู่แล้ว” ”

 

จอมกระบี่ผู้องอาจรู้สึกตกใจ แต่ก็ไม่ได้ประหลาดใจนักถ้าเขาจะมีศิษย์อยู่แล้ว

 

แต่การที่เทพกระบี่ใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างเนี่ย เป็นไปได้มั้ยว่าศิษย์ของเทพกระบี่จะทรงพลังยิ่งกว่าเขาอีกน่ะ?

 

เขาถามโดยอัตโนมัติ “เขาคือใครสั้นหรือ?”

 

โจวฉวนจีตอบโดยไม่หันหลังกลับ “อีกคนที่ใช้วิชาสองจิตดาบพร้อมกันได้ คนผู้นั้นแหละคือศิษย์ของข้า”

 

หลังจากที่พูดจบ เขาก็กระโดดและบินลับขอบฟ้าไปพร้อมกับดาบราชาโลกันตร์

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจคุกเข่าลงกับพื้นสนามฝึก พลางรู้สึกเสียศูนย์

 

อีกคนที่ใช้วิชาสองจิตดาบได้

 

ผู้คนที่อยู่รอบสนามฝึกต่างเริ่มพูดคุยกันด้วยความตื่นเต้นโดยไม่มีใครสนเลยสักนิดว่าจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจจะบาดเจ็บสาหัสขนาดไหน พวกเขาทั้งหมดต่างพูดกันถึงความทรงพลังของเทพกระบี่โจว

 

“ดาบนั้นสร้างได้ทุกสิ่ง ช่างเป็นคําพูดที่วิเศษจริง ๆ! เทพกระบี่โจวเนี่ยแหละเป็นปรมาจารย์แห่งวิถีกระบี่จริง ๆ แล้วบางทีในอนาคตเขาอาจจะกลายเป็นเหมือนจักรพรรดิกระบีแห่งมหาจักรวรรดิโจวก็ได้”

 

“จะเป็นไปได้ไง? จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจเทียบจักรพรรดิกระบี่แห่งมหาจักรวรรดิโจวไม่ได้อยู่แล้วสิ! เขาฆ่าได้ด้วยการโจมตีเดียวด้วยซ้ำ!”

 

“แต่ไม่ใช่ว่าเทพกระบี่โจวพึ่งล้มจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจด้วยการโจมตีเดียวไปหรอ? ถ้าไม่ใช่เพราะเทพกระบี่โจวเป็นทั้งผู้ที่มีความเมตตาและความเที่ยงธรรมที่จะไม่ฆ่าใครไม่เลือกหน้าแล้วล่ะก็ เทพกระบี่โจวคงจะฆ่าเขาตายคาที่ไปแล้ว!”

 

“พูดอะไรไร้สาระ งั้นระหว่างเทพกระบี่กับจักรพรรดิกระบี่ เจ้าคิดว่าใครแกร่งกว่ากันล่ะ?”

 

“ข้าล่ะอยากซะจริง ถ้าเจ้าไม่รู้ถึงความยอดเยี่ยมของจักรพรรดิกระบีแห่งมหาจักรวรรดิโจว ก็หุบปากไปเถอะ”

 

ขณะที่ผู้คนกําลังพูดความเห็นเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของเทพกระบี่โจว พวกเขาก็เริ่มหยิบยกแม้แต่จักรพรรดิกระบี่แห่งมหาจักรวรรดิโจวขึ้นมาเปรียบเทียบเหมือนกัน

 

เหล่าจอมยุทธที่แข็งแกร่งกว่านั้นทุกคนต่างก็รู้กันดีว่าเทพกระบี่โจวเทียบไม่ได้กับจักรพรรดิกระบี่แห่งมหาจักรวรรดิโจวอยู่แล้ว แต่พวกเขาก็ไม่อาจสู้กับเสียงข้างมากของเหล่าผู้อ่อนแอได้อยู่ดี

 

ชายในชุดสีม่วงที่คอยมองตามแผ่นหลังของโจวฉวนจีที่กําลังจากไป ก็พูดขึ้นว่า “ไล่ตามเขาไป แล้วบอกเขาถึงจุดมุ่งหมายของข้าซะ”

 

“ครับ!”

 

ตาแก่ชิงพยักหน้ารับ เขาเปลี่ยนร่างกลายเป็นหมอกสีเขียวทันที และหายออกไปจากห้อง

 

ท่ามกลางฝูงชน จางหรูหยูกระชากคอเสื้อของใครสักคนที่อยู่ข้าง ๆ เขาด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะตะโกนออกมาอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าเห็นมั้ย? ข้าบอกแล้วว่าเทพกระบี่โจวนะแข็งแกร่งกว่า! เจ้าอยากไม่เชื่อข้าไงล่ะ!”

 

สีหน้าของคน ๆ นั้นเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงเพราะหายใจไม่ออก และเกือบจะเป็นลมเพราะขาดอากาศ

 

อีกด้านหนึ่ง เสี่ยวเฉิงเฟิงหายใจเข้าลึก ๆ และพูดกับคุณนายจือฉุยว่า “ข้ามีธุระต้องรีบไป ตอนเที่ยงในอีก 7 วันค่อยมาเจอกันที่ประตูทางเหนือของเมืองกลืนเมฆานะ แล้วพวกเราจะกลับมหาจักรวรรดิโจวพร้อมกัน”

 

หลังจากที่เขาพูดจบก็แทรกตัวผ่านฝูงชนและจากไป

 

คุณนายจือฉุยมองตามแผ่นหลังของเขา และบ่นพึมพําว่า “นี่เจ้าคิดจะชวนเทพกระบี่โจวเข้ามางั้นหรอ? เสี่ยวเฉิงเฟิง นี่เจ้ายังพักดีต่อองค์ราชินีอยู่รึเปล่า? หรือเจ้าวางแผนอะไรอยู่กันแน่?”

 

ไกลออกไปหลายสิบหลา ชายหนุ่มหน้าตาดีก็เดินออกไปอย่างเงียบ ๆ

 

แต่เขาไม่ได้สังเกตเลยว่ามีใครบางคนกําลังมองเขาอยู่

 

ชายในชุดสีม่วงยืนมองเขาอยู่บนหลังคา

 

เมื่อตาแก่ชิงออกไป เขาก็ขึ้นมาบนหลังคาเพื่อมองหาองค์หญิงฉวนหยา

 

และไม่นานนัก เขาก็เจอเธอ

 

ขณะที่เขามองไปยังชายหนุ่มหน้าตาดีคนนั้น สีหน้าของเขาก็เริ่มแสดงถึงความโลภออกมา ก่อนจะบ่นพึมพําว่า “ปราณเฉพาะตัวของพรสวรรค์รวมวิถีนี่มันน่าอร่อยซะจริง”

 

ณ ที่สนามฝึก

 

จอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจที่ยังคงเสียศูนย์อยู่จนถึงตอนนี้ ก็เริ่มเต็มไปด้วยปณิธาน เขาพูดกับตัวเองว่า “ท่านเทพกระบี่โจว ข้าจะต้องเป็นศิษย์ของท่านให้ได้เลย!”

 

เขาเริ่มเห็นความหวังในตัวเทพกระบี่โจว

 

เขาอาจจะได้เรียนรู้บางอย่างจากเทพกระบี่โจวที่พอจะใช้ล้มจอมกระบี่ผู้สูงศักดิ์ได้ก็ได้

 

ในตรอกเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เทพกระบี่โจวก็หยุดลงทันที 

 

เขาถามด้วยน้ำเสียงที่ต่ำว่า “เจ้าเป็นใคร?”

 

หมอกสีเขียวที่ลอยเข้ามาในตรอกนั้น กลับคืนร่างเป็นตาแก่ชิง

 

ตาแกชิงหัวเราะเบา ๆ “เทพกระบี่โจวจริง ๆ ด้วย ท่วงท่าดาบเมื่อสักครู่ของท่านนี้เป็นอะไรที่เยี่ยมจริง ๆ แต่ท่านดูจะพึ่งพาดาบในมือของท่านมากกว่านะ จริงมั้ย?”

 

โจวฉวนจีหันกลับไปและมองไปทางเขา “เจ้าอยากจะพูดอะไรกันแน่?” เขาพูด

 

เขารู้สึกได้เลยว่าตาแก่ชิงเป็นตัวอันตรายสุด ๆ แถมยังแข็งแกร่งยิ่งกว่าจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจซะอีก

 

ตาแก่ชิงลูบเครายาวพลางยิ้ม และพูดว่า “ท่านเคยได้ยินเกี่ยวกับราชาปีศาจแห่งภู่หลานมาก่อนรึเปล่า? นายน้อยของข้านะคือเจ้าชายราชันย์ปีศาจแห่งภู่หลาน และพอดีว่าเขาอยากจะเชิญชวนให้ท่านมาอยู่ใต้อาณัติบัญชานะ”

 

ราชวงศ์ปีศาจกู่หลานน่ะหรอ!

 

รูม่านของโจวฉวนจีหดตัวทันที

 

เขาจะไม่รู้จักราชวงศ์ปีศาจแห่งภู่หลานได้ยังไงกัน? นั่นคือพวกที่มีอํานาจมากซะจนแม้แต่จักรพรรดิแห่งมหาจักรวรรดิโจวยังต้องปวดหัวเลยนะ

 

แม้แต่องค์ชายแห่งราชวงศ์ปีศาจกู่หลานก็ยังทรงพลังยิ่งกว่าจอมยุทธระดับบัวภายในซะอีก เป็นคนที่ทรงพลังมากเกินกว่าเขาจะรับมือด้วยได้

 

แต่ในฐานะมนุษย์ จะให้เขาไปเข้าร่วมกับพวกเผ่าปีศาจได้ไงกัน?

 

โจวฉวนจีหรี่ตาลง “แล้วถ้าข้าปฏิเสธล่ะ?”

อ๊าาากก

 

ในตอนนั้นเอง เสียงกรีดร้องแหลมและน่าสังเวชดังมาจากที่ไกล ๆ แม้จะอยู่ภายใต้แสงแดดจ้าเช่นนี้ มันก็ยังทําให้เขาเสียวสันหลังวาบ

 

จู่ ๆ เสียงกรีดร้องแบบเดียวกันก็ดังขึ้นจากทั่วทุกทิศทาง 

 

โจวฉวนจีขมวดคิ้วภายใต้หน้ากาก เป็นไปได้มั้ยว่าพวกเผ่าปีศาจจะมาบุกเมืองกลืนเมฆาล่ะ?

 

เขาเริ่มรู้สึกกังวลขึ้นมาทันที เขาไม่ได้เป็นห่วงตัวเอง แต่เขาเป็นห่วงตัวเจียงฮือน้อยตั้งหาก

 

ตาแกชิงยิ้มและพูดขึ้นว่า “ถ้าเจ้าปฏิเสธพวกข้าล่ะก็ อย่าหวังว่าจะได้ออกจากเมืองกลืนเมฆานี้ทั้งยังมีลมหายใจอยู่เลย ยังไงซะอีกไม่นาน เมืองแห่งนี้ก็จะกลายเป็นเมืองแห่งซากศพอยู่แล้ว เจ้าอยากจะเป็นหนึ่งในนั้นรึเปล่าล่ะ?”

 

โจวฉวนจีพูด “ก็ได้ ๆ ข้าเข้าก็ได้ แต่ขอข้าพาคนอื่นไปด้วยได้มั้ย?”

 

ตาแก้ชิงพยักหน้าและพูดว่า “แน่นอน! เจ้าจะพาไปสัก 1 คนก็ได้ 2 คนก็ยังได้ แต่ 3 คนไม่ได้แล้วนะ”

 

อะไรของเขาล่ะนั่น?

 

โจวฉวนจีได้แต่ขําอยู่ในใจ แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกไป

 

หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ตามตาแก่ชิงไป เพื่อไปพบองค์ชายแห่งราชวงศ์ปีศาจกู่หลาน

 

“นายน้อยของข้ามีนามว่า ฉวงฮุ้ยเฉิง ตั้งแต่นี้ไปเจ้าเองก็ต้องเรียกท่านว่านายน้อยด้วยเหมือนกัน”

 

ตาแก่ชิงย้ำเตือนเขาขณะที่กําลังนําทางไป

 

โจวฉวนจีพยักหน้า เขาไม่ได้สนเรื่องนี้อยู่แล้ว

 

ตอนนี้เขากังวลแค่เรื่องเจียงฮือน้อยอย่างเดียว

 

เขาสวดภาวนาอยู่ภายในใจ และหวังว่าเจียงฉือน้อยจะยังคงรอเขาอยู่ในโรงเตียมแทนที่จะออกตามหาเขา

 

ไม่นานนักเขาก็ผ่านมาถึงสนามฝึก แต่ในตอนนี้ มีซากศพอยู่เกลื่อนกลาดไปทั่วสนามฝึก เลือดของพวกเขาถูกละเลงไปทั่วพื้นถนน และจอมกระบี่แดนเหนือผู้องอาจก็ยังคงคุกเข่าอยู่กับพื้นสนามฝึก เพราะเส้นชีพจรสําคัญทั่วร่างของเขานั้นฉีกขาด เลยขยับไปไหนไม่ได้

 

เขาจ้องมองไปยังโจวฉวนจี เมื่อเขาเห็นว่าจอมกระบี่ตัวน้อยนั้นอยู่กับตาแก่ชิง เขาก็แทบไม่เชื่อสายตา

 

ชายในชุดสีม่วงที่มีนามว่า ฉวงฮุ้ยเฉิง ยืนอยู่บนหลังคาของโรงเตี้ยมที่เขาเองพักอยู่ โดยอุ้มชายหนุ่มหน้าตาดีเอาไว้ในอ้อมแขน

 

ชายหนุ่มหน้าตาดีคนนั้นดูเหมือนจะตกอยู่ภายใต้คาถาและไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ แววตาของเด็กหนุ่มคนนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

 

“เจ้าอยู่นั่นเอง ตรงเวลาพอดีเลยนะ แต่ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ทําร้ายเจ้าแน่นอน”

 

ฉวงฮุ้ยเฉิงพูดขึ้นอย่างพอใจพลางยิ้มอย่างมีความสุข

 

เทพกระบี่โจวอาจจะยังไม่แข็งแกร่งมากในตอนนี้ แต่ด้วยพรสวรรค์อันมากล้นเหลือ หากเลี้ยงดูดีๆ เทพกระบี่โจวจะต้องกลายเป็นมือขวาของเขาอย่างแน่นอน

 

โจวฉวนจําไม่ได้ตอบอะไรก่อนจะมองซ้ายมองขวา ตึกรามบ้านช่องหลายหลังพังลง แต่โรงเตี้ยมที่เขาพักอยู่กับเจียงฉือน้อยนั้นอยู่อีกด้านนึงของสนามฝึก เขาเลยมองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

 

ช่างแม่งแล้ว เขากระโดดขึ้นไปเหนืออาคารและมองหาโรงเตี๊ยม ก่อนที่สีหน้าของเขาจะเปลี่ยนไปในทันที

 

โรงเตี้ยมที่พวกเขาพักอยู่ก็พังลงเช่นกัน

 

เขาบินตรงไปยังซากพัง ๆ ทันที และพยายามสัมผัสให้ได้ถึงปราณเฉพาะตัวของเจียงฮือน้อย

 

“ฉวนจี..”

 

เขาได้ยินเสียงที่อ่อนแรงและแผ่วเบาดังขึ้นมาจากข้างใต้ซากอาคาร เขาเลยรีบหยิบเอาซากไม้ของอาคารที่พังออกมา

 

ไม่นานนัก เขาก็เจอกับเจียงฉือน้อยที่ทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยฝุ่นเขรอะ เธอโดนเสาอาคารทับเอาไว้อยู่ อวัยวะแขนขาที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้นที่นั้น มันช่างเป็นภาพที่น่าสยดสยองสุด ๆ

 

ถ้าไม่ใช่เพราะเจียงฉือน้อยอยู่ระดับสร้างรากฐานแล้วล่ะก็เธอคงได้ทับตายไปแล้วแน่ๆ

 

เขากําหมัดแน่นข้างในแขนเสื้อ ก่อนจะรีบช่วยเธอออกมาทันที

 

ฉวงฮุ้ยเฉิงเดินไปยังขอบสนามฝึกพร้อมกับหนุ่มหน้าตาดีและตาแก่ชิง พวกเขาอยู่ห่างจากเด็กหนุ่มและเด็กสาวไกลหลายสิบหลา

 

เขาเลิกคิ้วขึ้นและถามว่า “นางก็แค่เด็กสาวคนนึงเท่านั้นแล้วนางเกี่ยวข้องกับเจ้ายังไงนะ?”

 

โจวฉวนจีวางเจียงฉือน้อยลงบนเศษซากอาคารโดยไม่ตอบอะไรฉวงฮุ้ยเฉิง ก่อนจะเริ่มตรวจดูบาดแผลของเธอ และเขาก็พบว่าขาขวาของเธอนั้นหักและบวมสุด ๆ

 

เขาหยิบขวดยาออกมาทันที ก่อนจะวางลงในมือของเธอและพูดว่า “ไม่ต้องกลัวนะท่านพี่ ข้าจะแก้แค้นให้ท่านเอง”

 

หลังจากที่พูดจบ เขาก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นมา พร้อมดาบราชาโลกันตร์ก็ปรากฏขึ้นในมือเขาทันที

 

เขากําดาบราชาโลกันตร์เอาไว้ในมือแน่นพลางสั่นเบา ๆ

 

เขาหันกลับไป และจ้องมองตรงไปยังชายในชุดสีม่วง “ฉวงฮุ้ยเฉิง แม่มึง***สิวะ!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+