หมื่นกระบี่ทะลวงสวรรค์ I Have Countless Legendary Swords! 56 : งานประชุมกระบี่ ณ เมือง จ้าวกระบี่

Now you are reading หมื่นกระบี่ทะลวงสวรรค์ I Have Countless Legendary Swords! Chapter 56 : งานประชุมกระบี่ ณ เมือง จ้าวกระบี่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นิยาย หมุนกระบีทะลวงสวรรค์ THave Countless…

ตอนที่ 56 : งานประชุมกระบี่ ณ เมือง จ้าวกระบี่

3 เดือนต่อมา..

โจวฉวนจีและพรรพวกก็ได้มาถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองของมหาจักรวรรดิโจวหลังจากที่ผ่านการเดินทางมาอย่างยาวนาน

ด้านหน้าของด่านตรวจคนเข้าเมืองนั้น คือพื้นที่รกร้างที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา

กําแพงด่านตรวจคนเข้าเมืองของมหาจักรวรรดิโจวที่ตั้งสูงตระหง่านนั้นสูงยิ่งกว่าอาณาจักรไหน ๆ มองจากที่ไกล ๆ จะเห็นได้ว่ามีรถม้าอยู่แถวนั้นจํานวนมาก ภาพเงารถม้ามุ่งตรงไปยังด่านตรวจจากทุกทิศทาง ดูราวกับแม่น้ําหลายสายที่ไหลรวมกันลงทะเล

วิหคมังกรของโจวฉวนจีดึงดูดสายตา ผู้คนเป็นอย่างมากด้วยความตัวใหญ่ของพวกมัน

เขาและพรรคพวกหยุดลงเมื่อพวกเขายืนอยู่ห่างจากด่านตรวจเพียงไม่กี่ไมล์

“ฝากเจ้าด้วยล่ะ”

เขายื่นกระเป๋าเก็บของให้กับจอมกระบี่ ผู้องอาจพร้อมทั้งออกคําสั่ง

ทาสกระบี่พยักหน้ารับ ก่อนจะวิ่งตรงไปยังด่านตรวจทันที

จอมกระบี่ผู้องอาจนําหน้าพวกเขาไป ก่อนเพื่อซื้อถุงเก็บสัตว์ 2 ใบจากมหาจักรวรรดิโจว ส่วนที่เหลือก็รอเขาอย่างอดทนเท่านั้น

หลังจากที่ทาสกระบี่ไปแล้ว หลังจากนั้นไม่นานก็มีบางคนที่เริ่มเข้าหาพวกเขา เพราะตั้งใจจะซื้อวิหคมังกรพวกนั้น

โจวฉวนจีไม่มีวันจะขายให้อยู่แล้ว และเขาก็ปฏิเสธพวกคนที่เข้ามาอย่างตรงไปตรงมา

สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นคือ มวลคลื่นของเหล่าผู้ที่ต้องการซื้อ บ้างก็รู้สึกสงสาร บ้างก็พยายามบังคับให้ขาย แต่โจวฉวนจีมีวิธีที่จะไล่พวกเขากลับไปได้อยู่แล้ว

ยังไงซะพวกเขาก็อยู่ข้าง ๆ มหาจักรวรรดิโจวเลย เพราะงั้นเลยไม่มีใครกล้าที่จะขู่บังคับเขามากไปแน่นอน

หลังจากนั้น ความมืดก็ค่อย ๆ เข้าคืบคลาน

ฮวงเหลี่ยนชินหยิบปืนไฟออกมาเพื่อสร้างแคมป์ไฟ

โจวฉวนจีลูบจับใบหน้าตัวเอง “แผลเป็นบนหน้าข้าหายรึยัง?” เขาถาม

ถ้าไม่ใช่เพราะเขามีผิวหยกกระดูกทองคําล่ะก็ เขาอาจจะต้องอยู่กั รอยแผลเป็นพวกนี้ไปตลอดชีวิตเลยก็ได้

เด็กน้อยวัย 11 ขวบนั้นมีดวงตาที่เปล่งประกายและคิ้วตรงสวย รับกับใบหน้าที่เป็นดั่งหยกของเขา นั่นเลยทําให้เขาเป็นที่ดึงดูดใจของเหล่าเด็กสาวมาก

ถ้าเขาโตขึ้นมากกว่านี้อีกสัก 2-3 ปี เขาจะต้องกลายเป็นหนุ่มวัยรุ่นผู้หล่อเหลาอย่างแน่นอน

ต้องยอมรับเลยว่าสายเลือดราชวงศ์มหาจักรวรรดิโจวเบี้ยพิเศษจริง ๆ

เจียงฉือน้อยโบกมือให้ก่อนจะพูดตอบ “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ยังไงข้าก็ไม่ไป จากเจ้าหรอกต่อให้เจ้าจะอัปลักษณ์แค่ไหนก็ตาม”

ฮวงเหลี่ยนชินปิดปากแอบขํา นางรู้สึกสนุกมากทุกครั้งที่เห็นเจียงฉือน้อยพูด แซะโจวฉวนจี มันทําให้นางรู้สึกได้ว่า นายน้อยของนางนั้นไม่ได้สูงส่งหรือเลอเลิสอะไรขนาดนั้นเลย

โจวฉวนจีกลอกตาใส่เจียงฉือน้อย “ไม่ได้กลัวว่าเจ้าจะทิ้งข้าไปหรืออะไรสักหน่อย”

เขามองไปทางฮวงเหลี่ยนชินก่อนจะถอนหายใจ “เมื่อตอนที่พวกข้ายังเด็กอ่ะนะ ยัยสาวน้อยคนนี้ยังน่ารักกว่านี้เยอะเลย นางมักจะอุ้มข้าเอาไว้ในอ้อมแขน อย่างระมัดระวังราวกับว่าข้าจะละลายหายไปได้ทุกเมื่อเลยล่ะ แต่ดูตอนนี้เข้าสิยัยเด็กวัยต่อต้านนี้ข้าล่ะสู้ด้วยไม่ไหวเลยจริง ๆ”

เจียงฉือน้อยจ้องเขม็งไปทางเขาก่อนจะพูดประท้วงขึ้นมาด้วยเสียงแหลม “เจ้ากําลังพูดถึงอะไรน่ะห้ะ!”

เด็กสาววัย 15 ปีคนนี้ช่างดูงดงาม ทั้งขนตาที่ยาวงอนและอ่อนช้อย รับกับดวงตาที่ประกายสดใสทําให้เธอมีเสน่ห์ที่น่าดึงดูดใจ

แต่โดยรวมแล้ว เธอก็ยังดูไร้เดียงสาอยู่ดี

หลังจากนั้นอีกสักปี 2 ปี อาจจะมีคน หมายปองในความงดงามของเธอ และ เมื่อเวลานั้นมาถึง มันจะต้องเป็นปัญหากับโจวฉวนจีอย่างแน่นอน

ขณะที่นางมองทั้ง 2 คนทะเลาะกัน ฮ งเหลี่ยนชินก็นั่งกอดเข่าเอาไว้และหัวเราะออกมาเป็นครั้งคราว จู่ๆ นางก็รู้สึกได้ว่าชีวิตแบบนี้มันก็ไม่เลวเลยทีเดียว

ก่อนที่นางจะได้เจอกับนายน้อย นางเป็นทั้งพวกไร้บ้าน ยากจน และหวาดระแวงทุกสิ่งอย่าง นางไม่เคยได้ใช้ชีวิต ย่างสงบสุขเลย

“ข้าจะตายอยู่แล้ว…” เจ้างูสีดําตัวจ้อยนอนแผ่หราอยู่บนท่อนฟื้นและพูดอย่างไร้เรี่ยวแรง

ช่างน่าสงสารที่ไม่มีใครสนใจมันสักคน

ในไม่กี่วันต่อมา จอมกระบี่ผู้องอาจก็ไม่กลับมาสักที แต่ยังไงซะการจะหาคนที่ขายถุงเก็บสัตว์ได้มันก็ต้องใช้เวลาอยู่แล้ว

แต่โจวฉวนจีตอนนี้ก็เริ่มเป็นที่รู้จักของผู้คนแล้ว วิหคมังกร 2 ตัวและคนที่มีร่าง เหมือนเด็กนี่ ไม่ใช่ว่าเขาคือเทพกระบี่โจวในตํานานหรอ?

ในช่วง 2-3 วันนั้น มีผู้คนมากมายเข้ามาถามว่าเขาใช้เทพกระบี่โจวรึเปล่า

และเขาก็ยอมรับอย่างตรงไปตรงมา ตั้งแต่ที่เขาได้เข้ามาอยู่ในมหาจักรวรรดิโจวแล้ว เขาเลยไม่กลัวพวกสํานักอสูรโลกันตร์

เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาพูดยอมรับตัวตนจริง ๆ ออกมา เหล่าผู้คนที่เข้ามาถามก็มักจะแสดงความตื่นเต้นกัน

นับตั้งแต่ที่เทพกระบี่โจวได้สังหารเยี่ยเอ้อกวาน ข่าวเกี่ยวกับเทพกระบี่โจวก็แพร่กระจายไปไกลลามหยั่งกับไฟป่า

วิชาจิตดาบคู่!

ดาบ 9 เล่ม!

ข่าวลือมากมายประเดประดังเข้ามาทําให้ชื่อของเทพกระบี่โจวขึ้นสู่จุดสูงสุด และก็แน่นอนว่าไม่มีใครในหมู่ชนที่จะกล้าค้านถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขา

ภายในมหาจักรวรรดิโจวนั้น จอมยุทธระดับบัวภายในไม่ถือเป็นว่าระดับสูงสุด

แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ขัดขวางจินตนาการของเหล่าชนชั้นล่างแต่อย่างใด

ในตอนแรก บางคนก็พูดว่า เทพกระบี่โจวก็จัดการได้แค่พวกจอมยุทธระดับ สร้างรากฐานเท่านั้นแหละ แต่มาตอนนี้ เขากลับเอาชนะจอมยุทธระดับบัวภาย ใน 2 คนติดต่อกันได้ภายในครั้งเดียว

แล้วพอมาครั้งนี้ เขายังจัดการเยี่ยเอ้อกวานที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าได้อย่างง่าย ๆ อีก ใครจะรู้ล่ะว่าเขามีพลังมากแค่ไหนกัน

ในที่สุดจอมกระบี่ผู้องอาจก็กลับมาใน วันที่ 9

เขามอบถุงเก็บสัตว์ 2 ใบให้กับโจวฉวนจี

ถุงเก็บสัตว์นั้นถูกสร้างขึ้นมาด้วยผ้าลินินสีเงิน และถูกทําให้พกพาได้ง่าย เหมือนกันกระเป๋าเก็บของ

มีการร่ายมนต์ลงภายในถุง ซึ่งจําเป็นต้องใช้เลือดเพื่อที่จะได้สร้างพันธะกับเจ้าของเอาไว้

แน่นอนว่ามันไม่ใช่เลือดของโจวฉวนจี แต่เป็นของพวกวิหคมังกร

ในไม่ช้า เขาก็ปล่อยพวกวิหคมังกรให้ เข้าไปในถุงทีละตัว ก่อนจะปล่อยพวกมันออกมาอีกครั้ง หลังจากนั้นเขาก็ถามพวกมันว่ารู้สึกยังไงบ้าง

เจ้าตัวยังทั้งสองดูจะตื่นเต้นกันมาก และรู้สึกว่าข้างในนั้นทั้งสบายและอบอุ่น

กว่าโจวฉวนจีรู้สึกโล่งใจเมื่อได้เห็นแบบนั้น เพราะเขาไม่อยากจะทําให้พวกมันรู้สึกไม่สบายตัว

“ดูพวกมันทําตัวสิ แล้วจี้พวกมันยังจะหวังเป็นขุนนางปีศาจอีกน่ะหรอ? ไปแดกหญ้าต่อไป!”

พรึ่มมม

อาใหญ่กระพือปีกใส่ จนลมพัดเจ้างูสีดํากับหนูทรายสามตาปลิว

หลังจากที่พวกมันร่วงลงก็ ทั้งสองตัวก็กระแทกลงบนพื้น

เจ้าหนูทรายสามตาส่ายหัวก่อนจะจ้อง ไปทางเจ้างูสีดําตัวจ้อย

หลังจากที่เจ้างูมองขึ้น สายตาของพวกมันก็สบกัน

ทั้งสองต่างเงียบใส่กัน

ใจของเขางูตัวเล็กเริ่มเต้นผิดจังหวะ และรู้สึกได้ถึงความสิ้นหวังที่กําลังจะเข้ามา

ทันใดนั้นเจ้าหนูทรายสามตาก็กระโดดวิ่ง และลากเจ้างูตัวเล็กไปตามทาง ขณะที่มันมองพื้นดินที่ค่อย ๆ ห่างออกไปไกลจากตัวมันทุกที มันก็ถอนหายใจ ออกมาอย่างอเนจอนาถ “ข้า… พูดมากไปจริง ๆ…”

เจียงฉือน้อยน้อยและฮวงเหลี่ยนชิน หัวเราะขณะที่มองเจ้าหนูทรายสามตา ทรมานเจ้างูสีดําตัวจ้อย

แต่โจวฉวนจีไม่ได้ละสายตาไปจากจอมกระบี่ผู้องอาจ “ลมหายใจและปราณของเจ้าดูไม่คงที่เลยนะ นี่เจ้าเจอปัญหาอะไรมารึเปล่า?” เขาถาม

จอมกระบี่ต้องอาจอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกไป แต่ก็หยุดเอาไว้ “ไม่มีอะไรครับ…”

“บอกข้ามา!”

โจวฉวนจีจ้องไปทางเขาก่อนจะพูด “ใครก็ตามที่กล้ามารังแกทาสกระบี่ของข้า ก็เหมือนมันตบหน้าข้านั่นแหละ”

จอมกระบี่ผู้องอาจรู้สึกประทับใจมาก เขารู้สึกได้ว่าเขาพร้อมที่จะตายเพื่อใคร สักคนที่รู้จักตัวเขาจริง ๆ ได้เลยทีเดียว

ดังนั้นเขาเลยพูดออกมา ถุงเก็บสัตว์นั้นถูกซื้อมาจากการประมูล และนั่นเลย ทําให้ผู้มีอิทธิพลบางคนไม่พอใจ

หลังจากที่เขาออกมาจากเมือง เขาก็ถูกดักโจมตี แต่โชคดีที่เขาแข็งแกร่งมากพอที่จะแหวกทางและหนีออกมาได้อย่างรวดเร็ว

มันคือตระกูลหยางจากเมืองลั่วหยางนั่นเอง

หัวหน้าตะกูลหยางนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ระดับ 4 ของมหาจักรวรรดิโจว และลูกชายของเขา หยางเฉอนั้นเป็นถึงรองผู้ว่าราชการของเมืองลั่วหยาง วรยุทธของหยางเฉออยู่ถึงระดับบัวภายในขั้นที่ 10

แล้วยังมีมีข่าวลืออีกว่าเขามีจอมยุทธทรงพลังระดับผุดวิญญาณอยู่ภายใต้เขา อีกทั้งเมืองลั่วหยางนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของเขาโดยสิ้นเชิง

“หากนายท่านต้องการจะล้างแค้นให้ข้า ท่านต้องล้มหยางเฉอในงานประชุมกระบี่ให้ได้ครับ หากท่านเอาชนะเขาได้ล่ะก็ ท่านจะได้รับการคุ้มครองจากเสี่ยหรูโหยว และตระกูลหยางก็จะไม่กล้ามายุ่มย่ามอะไรกับท่านอีกไม่ว่าพวกมันจะเกลียดท่านสักแค่ไหนก็ตาม”

โจวฉวนจีหรี่ตาลง “แล้วในงานประชุมกระบี่นี่สามารถฆ่ากันได้มั้ย?”

เมื่อตอนที่ทาสกระบี่ของเขาถูกดักโจมตี พวกมันก็ต้องใจจะฆ่าทาสกระบี่ของเขาด้วย

ดูท่าแค่สั่งสอนมันอย่างเดียวคงจะไม่พอซะแล้ว

จอมกระบี่ผู้องอาจเข้าใจว่าโจวฉวนจี หมายถึงอะไรก่อนจะตอบกลับว่า “ดาบนั้นเป็นอาวุธที่แหลมคม ถ้ามันจะเกิดอุบัติเหตุในการต่อสู้สักนิดหน่อย… มันก็ไม่ผิดกฎหรอกครับ”

ในโลกนี้มีเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะขึ้นเป็นใหญ่

ใครที่กล้าจะเข้าร่วมงานประชุมกระบี่ ก็ต้องยอมรับความเสี่ยงด้วยอยู่แล้ว

โจวฉวนจีพยักหน้าตอบ “พวกเราจะออกเดินทางกันในวันพรุ่งนี้เพื่อลงชื่อ เข้าร่วมงานประชุมกระบี่”

ในช่วงเช้าของวันที่ 2 ทั้งกลุ่มก็เดินทางเข้ามาในเมือง

สถานที่จัดงานประชุมกระบี่นั้นคือ เมืองจ้าวกระบี่ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับเมืองลั่วหยาง

จ้าวกระบี่นั้นเป็นฉายาของเสี่ยหรูโหยวเมื่อยังเยาว์วัย ในปีนั้นที่เขาได้ขึ้นสู่ตารางจัดอันดับยอดฝีมือและตารางจัดอันดับผู้มีชื่อเสียงแห่งมหาจักรวรดิโจว ชื่อเสียงของเขาก็เทียบได้กับชื่อเสียงของเสี่ยวจิงหงในปัจจุบันเลยทีเดียว

ไม่มีอุปสรรคใด ๆ ระหว่างการเดินทางของพวกเขาเลย

และภายใน 3 วัน พวกเขาก็ได้มาถึงเมืองจ้าวกระบี่

ดาบยักษ์ที่ยิ่งใหญ่และงดงาม 2 เล่ม ตั้งตระหง่านอยู่บนประตูเมือง และเหล่าผู้คนต่างก็รู้สึกได้ถึงปราณกระบี่ที่ทรงพลังแม้จะอยู่ไกลมากก็ตาม

โจวฉวนจีก็บังเอิญเจอคนรู้จักเข้าเมื่อเข้ามายังในเมือง

จางเถียนเขียนกําลังอบรมวินัยให้กับลูกชายของเขา จางหรูหยู อยู่พลางทําท่าทางยืนกอดอก “ห้ามพูดจาเหลวไหล เรื่องเทพกระบี่โจวของเจ้าอีกตลอดทั้งวันนี้ ถ้าเขายังกล้ามาเข้าร่วมงานประชุมกระบี่อีกละก็ ข้าจะพิสูจน์ให้เจ้าดูเองว่าใครแข็งแกร่งกว่ากัน!” เขาตะโกนใส่

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

หมื่นกระบี่ทะลวงสวรรค์ I Have Countless Legendary Swords! 56 : งานประชุมกระบี่ ณ เมือง จ้าวกระบี่

Now you are reading หมื่นกระบี่ทะลวงสวรรค์ I Have Countless Legendary Swords! Chapter 56 : งานประชุมกระบี่ ณ เมือง จ้าวกระบี่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นิยาย หมุนกระบีทะลวงสวรรค์ THave Countless…

ตอนที่ 56 : งานประชุมกระบี่ ณ เมือง จ้าวกระบี่

3 เดือนต่อมา..

โจวฉวนจีและพรรพวกก็ได้มาถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองของมหาจักรวรรดิโจวหลังจากที่ผ่านการเดินทางมาอย่างยาวนาน

ด้านหน้าของด่านตรวจคนเข้าเมืองนั้น คือพื้นที่รกร้างที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา

กําแพงด่านตรวจคนเข้าเมืองของมหาจักรวรรดิโจวที่ตั้งสูงตระหง่านนั้นสูงยิ่งกว่าอาณาจักรไหน ๆ มองจากที่ไกล ๆ จะเห็นได้ว่ามีรถม้าอยู่แถวนั้นจํานวนมาก ภาพเงารถม้ามุ่งตรงไปยังด่านตรวจจากทุกทิศทาง ดูราวกับแม่น้ําหลายสายที่ไหลรวมกันลงทะเล

วิหคมังกรของโจวฉวนจีดึงดูดสายตา ผู้คนเป็นอย่างมากด้วยความตัวใหญ่ของพวกมัน

เขาและพรรคพวกหยุดลงเมื่อพวกเขายืนอยู่ห่างจากด่านตรวจเพียงไม่กี่ไมล์

“ฝากเจ้าด้วยล่ะ”

เขายื่นกระเป๋าเก็บของให้กับจอมกระบี่ ผู้องอาจพร้อมทั้งออกคําสั่ง

ทาสกระบี่พยักหน้ารับ ก่อนจะวิ่งตรงไปยังด่านตรวจทันที

จอมกระบี่ผู้องอาจนําหน้าพวกเขาไป ก่อนเพื่อซื้อถุงเก็บสัตว์ 2 ใบจากมหาจักรวรรดิโจว ส่วนที่เหลือก็รอเขาอย่างอดทนเท่านั้น

หลังจากที่ทาสกระบี่ไปแล้ว หลังจากนั้นไม่นานก็มีบางคนที่เริ่มเข้าหาพวกเขา เพราะตั้งใจจะซื้อวิหคมังกรพวกนั้น

โจวฉวนจีไม่มีวันจะขายให้อยู่แล้ว และเขาก็ปฏิเสธพวกคนที่เข้ามาอย่างตรงไปตรงมา

สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นคือ มวลคลื่นของเหล่าผู้ที่ต้องการซื้อ บ้างก็รู้สึกสงสาร บ้างก็พยายามบังคับให้ขาย แต่โจวฉวนจีมีวิธีที่จะไล่พวกเขากลับไปได้อยู่แล้ว

ยังไงซะพวกเขาก็อยู่ข้าง ๆ มหาจักรวรรดิโจวเลย เพราะงั้นเลยไม่มีใครกล้าที่จะขู่บังคับเขามากไปแน่นอน

หลังจากนั้น ความมืดก็ค่อย ๆ เข้าคืบคลาน

ฮวงเหลี่ยนชินหยิบปืนไฟออกมาเพื่อสร้างแคมป์ไฟ

โจวฉวนจีลูบจับใบหน้าตัวเอง “แผลเป็นบนหน้าข้าหายรึยัง?” เขาถาม

ถ้าไม่ใช่เพราะเขามีผิวหยกกระดูกทองคําล่ะก็ เขาอาจจะต้องอยู่กั รอยแผลเป็นพวกนี้ไปตลอดชีวิตเลยก็ได้

เด็กน้อยวัย 11 ขวบนั้นมีดวงตาที่เปล่งประกายและคิ้วตรงสวย รับกับใบหน้าที่เป็นดั่งหยกของเขา นั่นเลยทําให้เขาเป็นที่ดึงดูดใจของเหล่าเด็กสาวมาก

ถ้าเขาโตขึ้นมากกว่านี้อีกสัก 2-3 ปี เขาจะต้องกลายเป็นหนุ่มวัยรุ่นผู้หล่อเหลาอย่างแน่นอน

ต้องยอมรับเลยว่าสายเลือดราชวงศ์มหาจักรวรรดิโจวเบี้ยพิเศษจริง ๆ

เจียงฉือน้อยโบกมือให้ก่อนจะพูดตอบ “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ยังไงข้าก็ไม่ไป จากเจ้าหรอกต่อให้เจ้าจะอัปลักษณ์แค่ไหนก็ตาม”

ฮวงเหลี่ยนชินปิดปากแอบขํา นางรู้สึกสนุกมากทุกครั้งที่เห็นเจียงฉือน้อยพูด แซะโจวฉวนจี มันทําให้นางรู้สึกได้ว่า นายน้อยของนางนั้นไม่ได้สูงส่งหรือเลอเลิสอะไรขนาดนั้นเลย

โจวฉวนจีกลอกตาใส่เจียงฉือน้อย “ไม่ได้กลัวว่าเจ้าจะทิ้งข้าไปหรืออะไรสักหน่อย”

เขามองไปทางฮวงเหลี่ยนชินก่อนจะถอนหายใจ “เมื่อตอนที่พวกข้ายังเด็กอ่ะนะ ยัยสาวน้อยคนนี้ยังน่ารักกว่านี้เยอะเลย นางมักจะอุ้มข้าเอาไว้ในอ้อมแขน อย่างระมัดระวังราวกับว่าข้าจะละลายหายไปได้ทุกเมื่อเลยล่ะ แต่ดูตอนนี้เข้าสิยัยเด็กวัยต่อต้านนี้ข้าล่ะสู้ด้วยไม่ไหวเลยจริง ๆ”

เจียงฉือน้อยจ้องเขม็งไปทางเขาก่อนจะพูดประท้วงขึ้นมาด้วยเสียงแหลม “เจ้ากําลังพูดถึงอะไรน่ะห้ะ!”

เด็กสาววัย 15 ปีคนนี้ช่างดูงดงาม ทั้งขนตาที่ยาวงอนและอ่อนช้อย รับกับดวงตาที่ประกายสดใสทําให้เธอมีเสน่ห์ที่น่าดึงดูดใจ

แต่โดยรวมแล้ว เธอก็ยังดูไร้เดียงสาอยู่ดี

หลังจากนั้นอีกสักปี 2 ปี อาจจะมีคน หมายปองในความงดงามของเธอ และ เมื่อเวลานั้นมาถึง มันจะต้องเป็นปัญหากับโจวฉวนจีอย่างแน่นอน

ขณะที่นางมองทั้ง 2 คนทะเลาะกัน ฮ งเหลี่ยนชินก็นั่งกอดเข่าเอาไว้และหัวเราะออกมาเป็นครั้งคราว จู่ๆ นางก็รู้สึกได้ว่าชีวิตแบบนี้มันก็ไม่เลวเลยทีเดียว

ก่อนที่นางจะได้เจอกับนายน้อย นางเป็นทั้งพวกไร้บ้าน ยากจน และหวาดระแวงทุกสิ่งอย่าง นางไม่เคยได้ใช้ชีวิต ย่างสงบสุขเลย

“ข้าจะตายอยู่แล้ว…” เจ้างูสีดําตัวจ้อยนอนแผ่หราอยู่บนท่อนฟื้นและพูดอย่างไร้เรี่ยวแรง

ช่างน่าสงสารที่ไม่มีใครสนใจมันสักคน

ในไม่กี่วันต่อมา จอมกระบี่ผู้องอาจก็ไม่กลับมาสักที แต่ยังไงซะการจะหาคนที่ขายถุงเก็บสัตว์ได้มันก็ต้องใช้เวลาอยู่แล้ว

แต่โจวฉวนจีตอนนี้ก็เริ่มเป็นที่รู้จักของผู้คนแล้ว วิหคมังกร 2 ตัวและคนที่มีร่าง เหมือนเด็กนี่ ไม่ใช่ว่าเขาคือเทพกระบี่โจวในตํานานหรอ?

ในช่วง 2-3 วันนั้น มีผู้คนมากมายเข้ามาถามว่าเขาใช้เทพกระบี่โจวรึเปล่า

และเขาก็ยอมรับอย่างตรงไปตรงมา ตั้งแต่ที่เขาได้เข้ามาอยู่ในมหาจักรวรรดิโจวแล้ว เขาเลยไม่กลัวพวกสํานักอสูรโลกันตร์

เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาพูดยอมรับตัวตนจริง ๆ ออกมา เหล่าผู้คนที่เข้ามาถามก็มักจะแสดงความตื่นเต้นกัน

นับตั้งแต่ที่เทพกระบี่โจวได้สังหารเยี่ยเอ้อกวาน ข่าวเกี่ยวกับเทพกระบี่โจวก็แพร่กระจายไปไกลลามหยั่งกับไฟป่า

วิชาจิตดาบคู่!

ดาบ 9 เล่ม!

ข่าวลือมากมายประเดประดังเข้ามาทําให้ชื่อของเทพกระบี่โจวขึ้นสู่จุดสูงสุด และก็แน่นอนว่าไม่มีใครในหมู่ชนที่จะกล้าค้านถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขา

ภายในมหาจักรวรรดิโจวนั้น จอมยุทธระดับบัวภายในไม่ถือเป็นว่าระดับสูงสุด

แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ขัดขวางจินตนาการของเหล่าชนชั้นล่างแต่อย่างใด

ในตอนแรก บางคนก็พูดว่า เทพกระบี่โจวก็จัดการได้แค่พวกจอมยุทธระดับ สร้างรากฐานเท่านั้นแหละ แต่มาตอนนี้ เขากลับเอาชนะจอมยุทธระดับบัวภาย ใน 2 คนติดต่อกันได้ภายในครั้งเดียว

แล้วพอมาครั้งนี้ เขายังจัดการเยี่ยเอ้อกวานที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าได้อย่างง่าย ๆ อีก ใครจะรู้ล่ะว่าเขามีพลังมากแค่ไหนกัน

ในที่สุดจอมกระบี่ผู้องอาจก็กลับมาใน วันที่ 9

เขามอบถุงเก็บสัตว์ 2 ใบให้กับโจวฉวนจี

ถุงเก็บสัตว์นั้นถูกสร้างขึ้นมาด้วยผ้าลินินสีเงิน และถูกทําให้พกพาได้ง่าย เหมือนกันกระเป๋าเก็บของ

มีการร่ายมนต์ลงภายในถุง ซึ่งจําเป็นต้องใช้เลือดเพื่อที่จะได้สร้างพันธะกับเจ้าของเอาไว้

แน่นอนว่ามันไม่ใช่เลือดของโจวฉวนจี แต่เป็นของพวกวิหคมังกร

ในไม่ช้า เขาก็ปล่อยพวกวิหคมังกรให้ เข้าไปในถุงทีละตัว ก่อนจะปล่อยพวกมันออกมาอีกครั้ง หลังจากนั้นเขาก็ถามพวกมันว่ารู้สึกยังไงบ้าง

เจ้าตัวยังทั้งสองดูจะตื่นเต้นกันมาก และรู้สึกว่าข้างในนั้นทั้งสบายและอบอุ่น

กว่าโจวฉวนจีรู้สึกโล่งใจเมื่อได้เห็นแบบนั้น เพราะเขาไม่อยากจะทําให้พวกมันรู้สึกไม่สบายตัว

“ดูพวกมันทําตัวสิ แล้วจี้พวกมันยังจะหวังเป็นขุนนางปีศาจอีกน่ะหรอ? ไปแดกหญ้าต่อไป!”

พรึ่มมม

อาใหญ่กระพือปีกใส่ จนลมพัดเจ้างูสีดํากับหนูทรายสามตาปลิว

หลังจากที่พวกมันร่วงลงก็ ทั้งสองตัวก็กระแทกลงบนพื้น

เจ้าหนูทรายสามตาส่ายหัวก่อนจะจ้อง ไปทางเจ้างูสีดําตัวจ้อย

หลังจากที่เจ้างูมองขึ้น สายตาของพวกมันก็สบกัน

ทั้งสองต่างเงียบใส่กัน

ใจของเขางูตัวเล็กเริ่มเต้นผิดจังหวะ และรู้สึกได้ถึงความสิ้นหวังที่กําลังจะเข้ามา

ทันใดนั้นเจ้าหนูทรายสามตาก็กระโดดวิ่ง และลากเจ้างูตัวเล็กไปตามทาง ขณะที่มันมองพื้นดินที่ค่อย ๆ ห่างออกไปไกลจากตัวมันทุกที มันก็ถอนหายใจ ออกมาอย่างอเนจอนาถ “ข้า… พูดมากไปจริง ๆ…”

เจียงฉือน้อยน้อยและฮวงเหลี่ยนชิน หัวเราะขณะที่มองเจ้าหนูทรายสามตา ทรมานเจ้างูสีดําตัวจ้อย

แต่โจวฉวนจีไม่ได้ละสายตาไปจากจอมกระบี่ผู้องอาจ “ลมหายใจและปราณของเจ้าดูไม่คงที่เลยนะ นี่เจ้าเจอปัญหาอะไรมารึเปล่า?” เขาถาม

จอมกระบี่ต้องอาจอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกไป แต่ก็หยุดเอาไว้ “ไม่มีอะไรครับ…”

“บอกข้ามา!”

โจวฉวนจีจ้องไปทางเขาก่อนจะพูด “ใครก็ตามที่กล้ามารังแกทาสกระบี่ของข้า ก็เหมือนมันตบหน้าข้านั่นแหละ”

จอมกระบี่ผู้องอาจรู้สึกประทับใจมาก เขารู้สึกได้ว่าเขาพร้อมที่จะตายเพื่อใคร สักคนที่รู้จักตัวเขาจริง ๆ ได้เลยทีเดียว

ดังนั้นเขาเลยพูดออกมา ถุงเก็บสัตว์นั้นถูกซื้อมาจากการประมูล และนั่นเลย ทําให้ผู้มีอิทธิพลบางคนไม่พอใจ

หลังจากที่เขาออกมาจากเมือง เขาก็ถูกดักโจมตี แต่โชคดีที่เขาแข็งแกร่งมากพอที่จะแหวกทางและหนีออกมาได้อย่างรวดเร็ว

มันคือตระกูลหยางจากเมืองลั่วหยางนั่นเอง

หัวหน้าตะกูลหยางนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ระดับ 4 ของมหาจักรวรรดิโจว และลูกชายของเขา หยางเฉอนั้นเป็นถึงรองผู้ว่าราชการของเมืองลั่วหยาง วรยุทธของหยางเฉออยู่ถึงระดับบัวภายในขั้นที่ 10

แล้วยังมีมีข่าวลืออีกว่าเขามีจอมยุทธทรงพลังระดับผุดวิญญาณอยู่ภายใต้เขา อีกทั้งเมืองลั่วหยางนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของเขาโดยสิ้นเชิง

“หากนายท่านต้องการจะล้างแค้นให้ข้า ท่านต้องล้มหยางเฉอในงานประชุมกระบี่ให้ได้ครับ หากท่านเอาชนะเขาได้ล่ะก็ ท่านจะได้รับการคุ้มครองจากเสี่ยหรูโหยว และตระกูลหยางก็จะไม่กล้ามายุ่มย่ามอะไรกับท่านอีกไม่ว่าพวกมันจะเกลียดท่านสักแค่ไหนก็ตาม”

โจวฉวนจีหรี่ตาลง “แล้วในงานประชุมกระบี่นี่สามารถฆ่ากันได้มั้ย?”

เมื่อตอนที่ทาสกระบี่ของเขาถูกดักโจมตี พวกมันก็ต้องใจจะฆ่าทาสกระบี่ของเขาด้วย

ดูท่าแค่สั่งสอนมันอย่างเดียวคงจะไม่พอซะแล้ว

จอมกระบี่ผู้องอาจเข้าใจว่าโจวฉวนจี หมายถึงอะไรก่อนจะตอบกลับว่า “ดาบนั้นเป็นอาวุธที่แหลมคม ถ้ามันจะเกิดอุบัติเหตุในการต่อสู้สักนิดหน่อย… มันก็ไม่ผิดกฎหรอกครับ”

ในโลกนี้มีเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะขึ้นเป็นใหญ่

ใครที่กล้าจะเข้าร่วมงานประชุมกระบี่ ก็ต้องยอมรับความเสี่ยงด้วยอยู่แล้ว

โจวฉวนจีพยักหน้าตอบ “พวกเราจะออกเดินทางกันในวันพรุ่งนี้เพื่อลงชื่อ เข้าร่วมงานประชุมกระบี่”

ในช่วงเช้าของวันที่ 2 ทั้งกลุ่มก็เดินทางเข้ามาในเมือง

สถานที่จัดงานประชุมกระบี่นั้นคือ เมืองจ้าวกระบี่ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับเมืองลั่วหยาง

จ้าวกระบี่นั้นเป็นฉายาของเสี่ยหรูโหยวเมื่อยังเยาว์วัย ในปีนั้นที่เขาได้ขึ้นสู่ตารางจัดอันดับยอดฝีมือและตารางจัดอันดับผู้มีชื่อเสียงแห่งมหาจักรวรดิโจว ชื่อเสียงของเขาก็เทียบได้กับชื่อเสียงของเสี่ยวจิงหงในปัจจุบันเลยทีเดียว

ไม่มีอุปสรรคใด ๆ ระหว่างการเดินทางของพวกเขาเลย

และภายใน 3 วัน พวกเขาก็ได้มาถึงเมืองจ้าวกระบี่

ดาบยักษ์ที่ยิ่งใหญ่และงดงาม 2 เล่ม ตั้งตระหง่านอยู่บนประตูเมือง และเหล่าผู้คนต่างก็รู้สึกได้ถึงปราณกระบี่ที่ทรงพลังแม้จะอยู่ไกลมากก็ตาม

โจวฉวนจีก็บังเอิญเจอคนรู้จักเข้าเมื่อเข้ามายังในเมือง

จางเถียนเขียนกําลังอบรมวินัยให้กับลูกชายของเขา จางหรูหยู อยู่พลางทําท่าทางยืนกอดอก “ห้ามพูดจาเหลวไหล เรื่องเทพกระบี่โจวของเจ้าอีกตลอดทั้งวันนี้ ถ้าเขายังกล้ามาเข้าร่วมงานประชุมกระบี่อีกละก็ ข้าจะพิสูจน์ให้เจ้าดูเองว่าใครแข็งแกร่งกว่ากัน!” เขาตะโกนใส่

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+