เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 10.1

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 10.1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 10

 

 

“อะไรกัน? เจ้ามาที่นี่ทำไม”

 

เบเลซักลุกพรวดขึ้นจากโซฟาที่นอนอยู่พลางร้องตะโกน ช่างเป็นเสียงที่ทรงพลังเสียจริง

 

ถึงอีกฝ่ายจะดูตกใจมากทีเดียว แต่เธอไม่คิดที่จะตอบเขาหรอก

 

“…ฟีเรนเทีย?”

 

ได้ยินเสียงแผ่วเบาที่เบามากเสียจนถ้าหากห้องไม่ได้เงียบสนิท ก็คงพลาดไม่ได้ยินไปแล้ว

 

เจ้าของเสียงคือ ลาลาเน่ที่ชะเง้อคอมองเธออยู่ใกล้ๆ กับเบเลซัก

 

“อา..”

 

ฟีเรนเทียเองก็ตกใจจนเผลอหยุดชะงักไปโดยไม่รู้ตัวเหมือนกัน

 

เธอไม่ได้พบลาลาเน่มานานมากแล้ว

 

ลาลาเน่ผู้แสนอ่อนแอและละเอียดอ่อนเหมือนดอกไม้บอบบาง จนถึงกับสงสัยว่าถูกคลอดออกมาจากท้องเดียวกันกับเจ้าเบเลซักนั่นแน่หรือเปล่า

 

ทันทีที่บรรลุนิติภาวะ หญิงสาวต้องแต่งงานกับผู้ชายที่อายุห่างกับตัวเองค่อนข้างมากด้วยการจัดการของจักรพรรดินี

 

ทุกคนต่างก็กล่าวว่ามันเป็นการแต่งงานทางธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ

 

ถึงแม้ว่าขุนนางคนนั้นจะอายุค่อนข้างมาก แต่เขาก็เป็นวีรบุรุษที่เคยต่อสู้ในสนามรบอย่างกล้าหาญ ทั้งอีกไม่นานก็จะได้รับสืบทอดตำแหน่งจากบิดา ดังนั้นทุกคนถึงได้บอกว่าเป็นโชคดีของลาลาเน่ผู้แสนธรรมดาและไม่มีอะไรดีนอกจากเป็นสายเลือดของลอมบาร์เดียแล้ว

 

ทว่าไม่มีใครรู้เลยว่าดอกไม้ดอกนี้ หลังจากที่ย้ายไปอาศัยอยู่ในเขตแดนที่อยู่ในเขตการปกครองของจักรพรรดิโดยตรงกับสามีนั้น จะร่วงโรยเหี่ยวเฉาและโรยราไปอย่างรวดเร็วขนาดนี้

 

หลังจากนั้นถึงได้รู้ว่า คนที่เป็นสามีของลาลาเน่คนนั้น เขาไม่ใช่คนรักครอบครัวขนาดโอบกอดภริยาสาวอายุน้อยด้วยความรักใคร่ ส่วนพวกผู้ดูแลรับใช้ในบ้านหลังนั้น ก็ใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างในการเมินเฉยและละเลยลาลาเน่

 

ตอนที่ลาลาเน่ขอความช่วยเหลือจากบ้านเก่าของตัวเอง ก็เป็นหลังจากที่เบเจอร์ลงมือทำธุรกิจต่างๆ ร่วมกันกับลูกเขยไปแล้ว คำตอบที่ได้รับกลับมาจากบิดามารดาที่นางเชื่อใจจึงมีเพียงแค่ ‘เจ้าจงทำตัวให้ดีเสีย’ เท่านั้น

 

ลาลาเน่จึงร่วงโรยไปเช่นนั้น ผ่านไปไม่นานก็กลับคืนสู่ผืนดิน

 

ทั้งๆ ที่ยังอายุน้อยมากเหลือเกิน

 

ภาพของลาลาเน่ที่เธอได้พบครั้งสุดท้าย คือภาพตอนที่นางร้องห่มร้องไห้หลังจากงานแต่งงานจบลง บอกว่าไม่อยากไปจากลอมบาร์เดีย

 

“เจ้าเองก็เข้าเรียนด้วยเหรอ”

 

อายุมากกว่าเธอห้าปี แต่ภาพของเด็กที่ยังคงกอดตุ๊กตาตัวใหญ่แน่นดูแล้วช่างแสนงดงาม สมกับที่เป็นคุณหนูตัวน้อยของตระกูลชั้นสูงจริงๆ

 

“อื้อ ตั้งแต่วันนี้จะมาเรียนแล้วละ”

 

เธอพยักหน้าตอบคำถามของลาลาเน่

 

เบเลซักฉุนเฉียว ท่าทางจะโมโหที่เธอตอบคำถามลาลาเน่โดยเมินเฉยคำถามของเจ้าตัว

 

“โกหก!”

 

เด็กชายสาวเท้าพรวดเดินเข้ามาใกล้ด้วยท่าทางราวกับจะลงไม้ลงมือทำอะไรเธอ แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่เห่าอยู่ไกลๆ เหมือนเคย

 

“โกหก! เรียนร่วมกันกับคนอย่างเจ้าเนี่ยนะ”

 

ท่าทางของเด็กชายที่ทำตัวเช่นนี้ ก็ทำให้ฟีเรนเทียมั่นใจมากขึ้นไปอีก เบเลซักคงจะโดนตีน้อยไปแล้วละมั้งเนี่ย

 

ต้องให้เธอลงมือสั่งสอนอีกหลายครั้งหน่อยใช่มั้ย ปากที่เรียนแต่เรื่องแย่ๆ มาจากพวกผู้ใหญ่นั่นถึงจะสงบเสงี่ยมลงบ้างน่ะ

 

“คนอย่างข้ามันทำไม”

 

เธอตั้งใจถามยั่วยุ

 

“คนอย่างเจ้า! ชั้นต่ำ…”

 

“บอกท่านปู่ดีมั้ยนะ”

 

ทันทีที่คำว่า ‘ท่านปู่’ ดังออกมา เบเลซักก็สะดุ้งเฮือกปิดปากเงียบ

 

“ครั้งก่อนท่านปู่ก็ดุว่าห้ามเรียกข้าว่าชั้นต่ำอีกครั้ง นี่ตอนนี้จะละเมิดคำสั่งอย่างนั้นเหรอ”

 

เธอได้ยินผ่านทางท่านพ่อว่าท่านปู่เรียกเบเลซักไปดุเสียยกใหญ่

 

“เบเลซัก”

 

เธอก้าวเท้าเดินเข้าไปหาเบเลซักโดยจงใจทำสีหน้ายิ้มเหี้ยม

 

“ตรงนี้หนังสือเยอะดีจังเลยเนอะ ว่ามั้ย”

 

“อือ…”

 

เบเลซักหวาดกลัวหลังจากที่เห็นหนังสือวางเรียงรายอยู่เต็มไปหมด

 

ใช่แล้วละทั้งหมดนั่นเมื่ออยู่ในมือเธอก็เป็นอาวุธได้ทั้งนั้น ไอ้สุนัขนี่

 

เธอโยนระเบิดลูกสุดท้ายออกไปเป็นการทิ้งทวนให้แก่เบเลซักที่อ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออก

 

“ไปบอกท่านปู่ตอนนี้เลยดีมั้ยน้า”

 

“ฮะ ฮึ่ย!”

 

หมอนั่นเงอะงะถอยไปข้างหลังด้วยใบหน้าบูดบึ้งและสุดท้ายก็หันขวับ กระทืบเท้าปึงปัง เดินกลับไปยังโซฟาที่ตัวเองนอนอยู่

 

อา แน่นอนว่าไม่ลืมระบายความโกรธที่เอาชนะเธอไม่ได้ด้วยการใช้เท้าเตะตุ๊กตาไร้ความผิดที่วางอยู่ใกล้ๆ ด้วย

 

ใช่แล้ว นิสัยนั่น แก้ยังไงก็แก้ไม่หายหรอก

 

ฟีเรนเทียถอนหายใจแผ่วเบา ยังไงก็รู้สึกโล่งใจนิดหน่อยที่จัดการสุนัขที่คิดจะวิ่งกระโจนเข้าใส่ได้อย่างปลอดภัย

 

แล้วก็พลันรู้สึกได้ถึงสายตาดุเดือดที่มองจ้องมาจนทำให้ใบหน้าด้านข้างร้อนผ่าว

 

เจ้าของสายตาที่ว่าก็คือคิลลีวูกับเมโลนที่นั่งนิ่งอยู่ริมหน้าต่างนั่นเอง

 

สองคนนั้นปีนี้อายุครบสิบเอ็ดขวบ พวกเขาเป็นลูกชายของป้าชานาเนสที่อายุมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของท่านพ่อ

 

“หืม?”

 

ทำไมถึงได้มองเธอแบบนั้นกันล่ะ

 

ฟีเรนเทียพลันตื่นตระหนกเล็กน้อย เพราะแท้จริงแล้วในบรรดาลูกพี่ลูกน้อง คนที่เธอไม่มีข้อมูลมากที่สุดก็คือสองคนนี้นี่แหละ

 

ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะแฝดหน้าตางดงามเหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยนคู่นี้ ทั้งคู่มีนิสัยไม่สนใจคนรอบข้าง เอาแต่จมอยู่กับโลกของตัวเองถ้าหากลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆ ยกเว้นลาลาเน่ต่างก็เมินเฉยเธอ เด็กพวกนี้ก็เรียกได้ว่าไม่มีความสนใจอะไรเลยดีกว่า

 

ขนาดเห็นเธอร้องไห้งอแงที่ถูกกลั่นแกล้ง พวกเขาก็แค่เดินผ่านไปโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าแม้แต่นิดเดียว ไร้ซึ่งความสนใจไยดีใดๆ ขนาดนั้น

 

อีกอย่างหลังจากที่ชานาเนสหย่าร้างกับสามี ทั้งคู่ก็ติดตามบิดาของตัวเองกลับตระกูลชูลส์ และแทบไม่ได้แวะเวียนกลับมาอีก และหลังจากเลิกใช้นามสกุลลอมบาร์เดีย หลังจากที่กลายเป็นคิลลีวู ชูลส์ กับเมโลน ชูลส์ ก็ยิ่งขาดการติดต่อกันเข้าไปใหญ่

 

รู้สึกว่าจะมีชื่อเสียงในสังคมด้วยหน้าตาหล่อเหลา และตำแหน่งอัศวินอายุน้อย แต่สำหรับเธอที่มัวแต่ยุ่งอยู่กับการทำงาน มันเป็นเรื่องราวเหมือนกับอยู่กันคนละโลก

 

“ฟีเรนเทีย”

 

ทั้งสองคนพูดพร้อมกันราวกับนัดกันมาล่วงหน้า

 

“ได้ข่าวว่าตีเบเลซัก?”

 

“แถมยังชนะด้วย?”

 

แต่มันมีอะไรแปลกๆ ไปหน่อยนะ

 

ดูเหมือนใบหน้าของเมโลนกับคิลลีวูที่มักจะทำหน้านิ่งเป็นประจำจะดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา แถมทั้งสองคนยังกำลังยิ้มจางอยู่ด้วย

 

เด็กพวกนี้เป็นอะไรกันเนี่ย น่ากลัวชะมัด

 

เธอตัดสินใจแล้วว่าจะเลือกใช้กลยุทธ์ล่าถอย จึงเดินไปนั่งลงบนโซฟาตัวใหญ่ใกล้ริมหน้าต่างฟากตรงข้ามเบเลซัก

 

คงเป็นเพราะคนที่ใช้ห้องนี้ส่วนใหญ่มีแต่เด็กๆ เก้าอี้จึงค่อนข้างเตี้ย แม้ไม่ต้องปีนป่ายก็สามารถขึ้นไปนั่งได้สบาย จุดนี้ค่อนข้างถูกใจเธอมากเหมือนกัน

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 10.1

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 10.1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 10

 

 

“อะไรกัน? เจ้ามาที่นี่ทำไม”

 

เบเลซักลุกพรวดขึ้นจากโซฟาที่นอนอยู่พลางร้องตะโกน ช่างเป็นเสียงที่ทรงพลังเสียจริง

 

ถึงอีกฝ่ายจะดูตกใจมากทีเดียว แต่เธอไม่คิดที่จะตอบเขาหรอก

 

“…ฟีเรนเทีย?”

 

ได้ยินเสียงแผ่วเบาที่เบามากเสียจนถ้าหากห้องไม่ได้เงียบสนิท ก็คงพลาดไม่ได้ยินไปแล้ว

 

เจ้าของเสียงคือ ลาลาเน่ที่ชะเง้อคอมองเธออยู่ใกล้ๆ กับเบเลซัก

 

“อา..”

 

ฟีเรนเทียเองก็ตกใจจนเผลอหยุดชะงักไปโดยไม่รู้ตัวเหมือนกัน

 

เธอไม่ได้พบลาลาเน่มานานมากแล้ว

 

ลาลาเน่ผู้แสนอ่อนแอและละเอียดอ่อนเหมือนดอกไม้บอบบาง จนถึงกับสงสัยว่าถูกคลอดออกมาจากท้องเดียวกันกับเจ้าเบเลซักนั่นแน่หรือเปล่า

 

ทันทีที่บรรลุนิติภาวะ หญิงสาวต้องแต่งงานกับผู้ชายที่อายุห่างกับตัวเองค่อนข้างมากด้วยการจัดการของจักรพรรดินี

 

ทุกคนต่างก็กล่าวว่ามันเป็นการแต่งงานทางธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ

 

ถึงแม้ว่าขุนนางคนนั้นจะอายุค่อนข้างมาก แต่เขาก็เป็นวีรบุรุษที่เคยต่อสู้ในสนามรบอย่างกล้าหาญ ทั้งอีกไม่นานก็จะได้รับสืบทอดตำแหน่งจากบิดา ดังนั้นทุกคนถึงได้บอกว่าเป็นโชคดีของลาลาเน่ผู้แสนธรรมดาและไม่มีอะไรดีนอกจากเป็นสายเลือดของลอมบาร์เดียแล้ว

 

ทว่าไม่มีใครรู้เลยว่าดอกไม้ดอกนี้ หลังจากที่ย้ายไปอาศัยอยู่ในเขตแดนที่อยู่ในเขตการปกครองของจักรพรรดิโดยตรงกับสามีนั้น จะร่วงโรยเหี่ยวเฉาและโรยราไปอย่างรวดเร็วขนาดนี้

 

หลังจากนั้นถึงได้รู้ว่า คนที่เป็นสามีของลาลาเน่คนนั้น เขาไม่ใช่คนรักครอบครัวขนาดโอบกอดภริยาสาวอายุน้อยด้วยความรักใคร่ ส่วนพวกผู้ดูแลรับใช้ในบ้านหลังนั้น ก็ใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างในการเมินเฉยและละเลยลาลาเน่

 

ตอนที่ลาลาเน่ขอความช่วยเหลือจากบ้านเก่าของตัวเอง ก็เป็นหลังจากที่เบเจอร์ลงมือทำธุรกิจต่างๆ ร่วมกันกับลูกเขยไปแล้ว คำตอบที่ได้รับกลับมาจากบิดามารดาที่นางเชื่อใจจึงมีเพียงแค่ ‘เจ้าจงทำตัวให้ดีเสีย’ เท่านั้น

 

ลาลาเน่จึงร่วงโรยไปเช่นนั้น ผ่านไปไม่นานก็กลับคืนสู่ผืนดิน

 

ทั้งๆ ที่ยังอายุน้อยมากเหลือเกิน

 

ภาพของลาลาเน่ที่เธอได้พบครั้งสุดท้าย คือภาพตอนที่นางร้องห่มร้องไห้หลังจากงานแต่งงานจบลง บอกว่าไม่อยากไปจากลอมบาร์เดีย

 

“เจ้าเองก็เข้าเรียนด้วยเหรอ”

 

อายุมากกว่าเธอห้าปี แต่ภาพของเด็กที่ยังคงกอดตุ๊กตาตัวใหญ่แน่นดูแล้วช่างแสนงดงาม สมกับที่เป็นคุณหนูตัวน้อยของตระกูลชั้นสูงจริงๆ

 

“อื้อ ตั้งแต่วันนี้จะมาเรียนแล้วละ”

 

เธอพยักหน้าตอบคำถามของลาลาเน่

 

เบเลซักฉุนเฉียว ท่าทางจะโมโหที่เธอตอบคำถามลาลาเน่โดยเมินเฉยคำถามของเจ้าตัว

 

“โกหก!”

 

เด็กชายสาวเท้าพรวดเดินเข้ามาใกล้ด้วยท่าทางราวกับจะลงไม้ลงมือทำอะไรเธอ แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่เห่าอยู่ไกลๆ เหมือนเคย

 

“โกหก! เรียนร่วมกันกับคนอย่างเจ้าเนี่ยนะ”

 

ท่าทางของเด็กชายที่ทำตัวเช่นนี้ ก็ทำให้ฟีเรนเทียมั่นใจมากขึ้นไปอีก เบเลซักคงจะโดนตีน้อยไปแล้วละมั้งเนี่ย

 

ต้องให้เธอลงมือสั่งสอนอีกหลายครั้งหน่อยใช่มั้ย ปากที่เรียนแต่เรื่องแย่ๆ มาจากพวกผู้ใหญ่นั่นถึงจะสงบเสงี่ยมลงบ้างน่ะ

 

“คนอย่างข้ามันทำไม”

 

เธอตั้งใจถามยั่วยุ

 

“คนอย่างเจ้า! ชั้นต่ำ…”

 

“บอกท่านปู่ดีมั้ยนะ”

 

ทันทีที่คำว่า ‘ท่านปู่’ ดังออกมา เบเลซักก็สะดุ้งเฮือกปิดปากเงียบ

 

“ครั้งก่อนท่านปู่ก็ดุว่าห้ามเรียกข้าว่าชั้นต่ำอีกครั้ง นี่ตอนนี้จะละเมิดคำสั่งอย่างนั้นเหรอ”

 

เธอได้ยินผ่านทางท่านพ่อว่าท่านปู่เรียกเบเลซักไปดุเสียยกใหญ่

 

“เบเลซัก”

 

เธอก้าวเท้าเดินเข้าไปหาเบเลซักโดยจงใจทำสีหน้ายิ้มเหี้ยม

 

“ตรงนี้หนังสือเยอะดีจังเลยเนอะ ว่ามั้ย”

 

“อือ…”

 

เบเลซักหวาดกลัวหลังจากที่เห็นหนังสือวางเรียงรายอยู่เต็มไปหมด

 

ใช่แล้วละทั้งหมดนั่นเมื่ออยู่ในมือเธอก็เป็นอาวุธได้ทั้งนั้น ไอ้สุนัขนี่

 

เธอโยนระเบิดลูกสุดท้ายออกไปเป็นการทิ้งทวนให้แก่เบเลซักที่อ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออก

 

“ไปบอกท่านปู่ตอนนี้เลยดีมั้ยน้า”

 

“ฮะ ฮึ่ย!”

 

หมอนั่นเงอะงะถอยไปข้างหลังด้วยใบหน้าบูดบึ้งและสุดท้ายก็หันขวับ กระทืบเท้าปึงปัง เดินกลับไปยังโซฟาที่ตัวเองนอนอยู่

 

อา แน่นอนว่าไม่ลืมระบายความโกรธที่เอาชนะเธอไม่ได้ด้วยการใช้เท้าเตะตุ๊กตาไร้ความผิดที่วางอยู่ใกล้ๆ ด้วย

 

ใช่แล้ว นิสัยนั่น แก้ยังไงก็แก้ไม่หายหรอก

 

ฟีเรนเทียถอนหายใจแผ่วเบา ยังไงก็รู้สึกโล่งใจนิดหน่อยที่จัดการสุนัขที่คิดจะวิ่งกระโจนเข้าใส่ได้อย่างปลอดภัย

 

แล้วก็พลันรู้สึกได้ถึงสายตาดุเดือดที่มองจ้องมาจนทำให้ใบหน้าด้านข้างร้อนผ่าว

 

เจ้าของสายตาที่ว่าก็คือคิลลีวูกับเมโลนที่นั่งนิ่งอยู่ริมหน้าต่างนั่นเอง

 

สองคนนั้นปีนี้อายุครบสิบเอ็ดขวบ พวกเขาเป็นลูกชายของป้าชานาเนสที่อายุมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของท่านพ่อ

 

“หืม?”

 

ทำไมถึงได้มองเธอแบบนั้นกันล่ะ

 

ฟีเรนเทียพลันตื่นตระหนกเล็กน้อย เพราะแท้จริงแล้วในบรรดาลูกพี่ลูกน้อง คนที่เธอไม่มีข้อมูลมากที่สุดก็คือสองคนนี้นี่แหละ

 

ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะแฝดหน้าตางดงามเหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยนคู่นี้ ทั้งคู่มีนิสัยไม่สนใจคนรอบข้าง เอาแต่จมอยู่กับโลกของตัวเองถ้าหากลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆ ยกเว้นลาลาเน่ต่างก็เมินเฉยเธอ เด็กพวกนี้ก็เรียกได้ว่าไม่มีความสนใจอะไรเลยดีกว่า

 

ขนาดเห็นเธอร้องไห้งอแงที่ถูกกลั่นแกล้ง พวกเขาก็แค่เดินผ่านไปโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าแม้แต่นิดเดียว ไร้ซึ่งความสนใจไยดีใดๆ ขนาดนั้น

 

อีกอย่างหลังจากที่ชานาเนสหย่าร้างกับสามี ทั้งคู่ก็ติดตามบิดาของตัวเองกลับตระกูลชูลส์ และแทบไม่ได้แวะเวียนกลับมาอีก และหลังจากเลิกใช้นามสกุลลอมบาร์เดีย หลังจากที่กลายเป็นคิลลีวู ชูลส์ กับเมโลน ชูลส์ ก็ยิ่งขาดการติดต่อกันเข้าไปใหญ่

 

รู้สึกว่าจะมีชื่อเสียงในสังคมด้วยหน้าตาหล่อเหลา และตำแหน่งอัศวินอายุน้อย แต่สำหรับเธอที่มัวแต่ยุ่งอยู่กับการทำงาน มันเป็นเรื่องราวเหมือนกับอยู่กันคนละโลก

 

“ฟีเรนเทีย”

 

ทั้งสองคนพูดพร้อมกันราวกับนัดกันมาล่วงหน้า

 

“ได้ข่าวว่าตีเบเลซัก?”

 

“แถมยังชนะด้วย?”

 

แต่มันมีอะไรแปลกๆ ไปหน่อยนะ

 

ดูเหมือนใบหน้าของเมโลนกับคิลลีวูที่มักจะทำหน้านิ่งเป็นประจำจะดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา แถมทั้งสองคนยังกำลังยิ้มจางอยู่ด้วย

 

เด็กพวกนี้เป็นอะไรกันเนี่ย น่ากลัวชะมัด

 

เธอตัดสินใจแล้วว่าจะเลือกใช้กลยุทธ์ล่าถอย จึงเดินไปนั่งลงบนโซฟาตัวใหญ่ใกล้ริมหน้าต่างฟากตรงข้ามเบเลซัก

 

คงเป็นเพราะคนที่ใช้ห้องนี้ส่วนใหญ่มีแต่เด็กๆ เก้าอี้จึงค่อนข้างเตี้ย แม้ไม่ต้องปีนป่ายก็สามารถขึ้นไปนั่งได้สบาย จุดนี้ค่อนข้างถูกใจเธอมากเหมือนกัน

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+