เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 22.1

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 22.1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 22

 

 

“ข้ามาเพื่ออวยพรวันเกิดของเจ้าด้วยตัวเอง”

 

“ทำไมจู่ๆ …”

 

ถึงได้แสร้งทำเป็นสนิทสนมกันล่ะ

 

แต่เพราะไม่สามารถพูดออกไปแบบนั้นได้ เธอจึงได้แต่เงยหน้ามองท่านปู่

 

ท่านปู่เรียกหมอนั่นมาเหรอคะ

 

แต่ท่านปู่เองก็ดูจะตกใจเหมือนกัน

 

“เจ้าชายอาสทาน่าเสด็จมาถึงที่นี่ ช่างน่าตกใจจริงๆ”

 

ครั้งสุดท้ายที่ออกไปจากคฤหาสน์หลังนี้หลังจากที่ก่อเรื่องวุ่นวาย เจ้าชายอาสทาน่าก็แสดงความเลวร้ายออกมาราวกับจะไม่ย่างกรายกลับมาเหยียบที่นี่อีก

 

แต่จู่ๆ ดันโผล่มางานปาร์ตี้วันเกิดของเธอด้วยใบหน้ายิ้มกว้างขนาดนั้นเนี่ยนะ

 

หากคิดถึงเรื่องที่ว่าปีนี้เจ้าชายลำดับที่หนึ่งเพิ่งจะอายุได้แค่สิบสองปีเท่านั้น เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องปกติ

 

บางทีเจ้าชายอาสทาน่าจะไม่ได้ต่อกรด้วยได้ง่ายๆ เหมือนอย่างที่เธอคิดเสียแล้ว

 

“วันนั้นหลังจากกลับไปที่วังก็ถูกเสด็จแม่ดุเสียยกใหญ่เลยครับ วันนี้จึงสั่งให้ข้านำของขวัญวันเกิดมามอบให้ฟีเรนเทีย แทนคำขอโทษด้วยตัวเองน่ะครับ”

 

เธอเองก็คาดการณ์อยู่แล้วว่าคงจะเป็นคำสั่งของจักรพรรดินี แต่ก็ยังน่าตกใจอยู่ดี

 

จักรพรรดินีที่หากเป็นเรื่องของพระโอรสทีไรก็จะเป็นจะตายเสียให้ได้ กลับเลือกที่จะกดศักดิ์ศรีของเจ้าชาย แล้วสั่งให้มาขอโทษเธอเนี่ยนะ

 

แถมยังเป็นสถานที่เปิดต่อหน้าชนชั้นสูงมากมายแบบนี้อีก

 

หากเป็นจักรพรรดินีที่มีตำแหน่งมั่นคงในแวดวงสังคม ย่อมไม่มีทางไม่ทราบว่าจะมีผู้คนมากมายมาร่วมงานปาร์ตี้วันเกิดของเธอ

 

“อย่างนั้นนี่เอง”

 

ท่านปู่ไม่พูดอะไรยืดยาว

 

แต่เธอสามารถรับรู้ได้ว่าข้างในนัยน์ตาของท่านปู่ที่เคยมองเจ้าชายราวกับเขาเป็นลูกสุนัขไร้มารยาทน่ารำคาญตัวหนึ่ง มีความระแวดระวังเก็บซ่อนเอาไว้อยู่

 

“สุขสันต์วันเกิดนะ ฟีเรนเทีย”

 

เจ้าชายอาสทาน่าพูดแบบนั้น ในขณะเดียวกันก็ยื่นกล่องอัญมณีกล่องเล็กที่ถือมาส่งให้เธอ

 

มันเป็นกล่องสีดำขนาดประมาณสองฝ่ามือเธอต่อกันได้

 

อา ไม่อยากรับเลย

 

ไม่ใช่ว่าข้างในใส่ระเบิดเอาไว้หรอกนะ?

 

อยากจะตรวจสอบก่อนที่จะเปิดมันออกจัง

 

ฟีเรนเทียนึกอยากจะหาข้ออ้างโน่นนี่ขึ้นมาเธอไม่อยากรับสิ่งของที่เจ้าชายมอบให้นั่นเลยจริงๆ แต่เพราะตกอยู่ในสถานการณ์ที่สายตาของทุกคนในงานเลี้ยงต่างก็กำลังจับจ้องมา ดังนั้นนอกจากรับมันไว้จึงไม่มีทางเลือกอื่นอีก

 

พอเห็นเธอลังเล ท่านปู่ก็พยักหน้าเล็กน้อย ราวกับจะบอกว่ารับได้ไม่เป็นไร

 

สุดท้ายเธอจึงรับกล่องอัญมณีจากอาสทาน่ามาถือไว้ แล้วเปิดมันออก

 

แน่นอนว่าในตอนที่เปิดก็แอบผวาเล็กน้อยอยู่เหมือนกัน

 

“โอ้ว!”

 

“ว่าแล้วเชียว ความมั่งคั่งของราชวงศ์…”

 

ทันทีที่เปิดฝากออก ปฏิกิริยาจากผู้คนรอบข้างก็ดังขึ้นเหมือนระเบิดลง

 

ของขวัญที่เจ้าชายมอบให้คือสร้อยคอ

 

มันเป็นสร้อยยาวขนาดประมาณฝ่ามือของผู้ใหญ่ซึ่งทำจากบุษราคัมและทับทิมที่ถูกเจียระไนอย่างดี

 

“เสด็จแม่เป็นคนจัดการให้น่ะ เป็นไง สวยใช่มั้ย”

 

เจ้าชายอาสทาน่าพูดแบบนั้น แต่ความหมายที่แฝงไว้ข้างในประโยคนั่นมันใกล้เคียงกับจะบอกว่า ‘เป็นไง ดูแพงใช่มั้ยล่ะ’ มากกว่า

 

เหล่าชนชั้นสูงในงานต่างก็ฮือฮากันว่า จักรพรรดินีทรงมอบของล้ำค่าให้เธอ

 

แต่ที่จริงแล้วเธอไม่ถูกใจมันเลย

 

โอ้อวดเงินทองต่อหน้าลอมบาร์เดียเนี่ยนะ

 

ไม่ได้มีความรู้สึกประทับใจอะไรนัก

 

ทว่าฟีเรนเทียก็เลือกที่จะฉีกยิ้มสดใสให้มากเท่ากับความรู้สึกรังเกียจ ก่อนจะเอ่ยพูด

 

“เพคะ ขอบพระทัยเพคะ เจ้าชาย”

 

“อืมๆ”

 

คงจะคิดว่าหมดเรื่องที่ตัวเองต้องทำแล้วละมั้ง อาสทาน่าจึงดูสดชื่นขึ้นมาก

 

“คุณหนู ข้าจะเอาของขวัญไปเก็บให้นะครับ”

 

ข้ารับใช้ที่ยืนรออยู่ด้านข้างเดินเข้ามารับกล่องอัญมณีอย่างระมัดระวัง แล้วเดินจากไป

 

ฮือ อยากเช็ดมือจัง

 

อยากจะล้างมือถูสบู่มันต่อหน้าเจ้าชายอาสทาน่าอย่างที่ใจคิด แต่เธอก็แอบถูมันกับชายชุดเดรสที่สวมอยู่ไปก่อน

 

“ช้าไปหน่อย แต่ก็ขอบใจทุกคนมากที่เดินทางมาไกล เพื่ออวยพรวันเกิดให้กับฟีเรนเทียหลานสาวของข้า”

 

ท่านปู่ชูแก้วขึ้นสูงอีกครั้ง เอ่ยพูดเพื่อจัดการความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยภายในงาน

 

“ถ้าอย่างนั้นก็มาเริ่มงานเลี้ยงกันเลย”

 

สิ้นสุดคำพูดของท่านปู่ ประตูหลายบานที่เชื่อมต่อระหว่างโถงงานเลี้ยงกับห้องครัวก็ถูกเปิดออกอย่างพร้อมเพรียง ก่อนที่เหล่าคนงานจะถือถาดขนาดใหญ่เรียงรายออกมา

 

อาหารที่ปรุงขึ้นเพื่อให้ผู้คนถือเดินทานได้อย่างสะดวกถูกวางกองเป็นภูเขาขนาดย่อมลงบนโต๊ะแต่ละตัว

 

โล่งอกที่ผู้คนเริ่มกลับไปสนทนากันอย่างสนุกสนานในแต่ละกลุ่ม เหมือนอย่างที่เคยทำก่อนที่อาสทาน่าจะเดินเข้ามา

 

“ข้าเองก็ต้องกินอะไรเสียหน่อย”

 

พอเห็นอาหารหน้าตาน่าทาน จู่ๆ ก็เริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาเธอมองเห็นสองแฝดเริ่มทานอาหารกันอยู่แถวโต๊ะที่ใกล้ที่สุด จึงตั้งใจจะเดินไปทางฝั่งนั้น

 

ถ้าหากเด็กนั่นไม่ได้เดินตามหลังเธอมาอย่างเป็นธรรมชาติแล้วละก็

 

“จะตามมาทำไม ไม่สิ เสด็จตามมาทำไมเพคะ”

 

คำถามของเธอทำให้เจ้าชายอาสทาน่าหันไปมองรอบข้างครั้งหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

 

“ข้าก็ไม่ได้ทำเพราะอยากเกาะติดอยู่กับเจ้านักหรอก”

 

สายตานั่นเหมือนจะมองเช็กดูว่าท่านปู่อยู่ตรงไหน

 

บางทีที่มาปาร์ตี้วันเกิดของเธอ คงจะเป็นเพราะได้รับคำสั่งของจักรพรรดินีให้มาคลายอารมณ์โกรธเคืองของเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียสินะ

 

“อยู่ด้วยสักพักแล้วเดี๋ยวจะกลับเองนั่นแหละ เจ้าหุบปากอยู่นิ่งๆ ก็พอ”

 

“หุบปาก…เหอะ”

 

เด็กนี่ วัยแค่นี้ก็เรียนรู้วิธีการพูดจาแบบผิดๆ เสียแล้ว

 

ถึงแม้เธอจะรู้อยู่แล้วก็เถอะ ว่าชาติก่อนหน้าเจ้าชายลำดับที่หนึ่ง เบเลซัก และอาสทันลีอู รวมกลุ่มกันไปก่อเรื่องอะไรไว้บ้างแต่ไม่นึกเลยว่าจะเป็นลูกสุนัขนิสัยเสียเหมือนไข่เน่าแบบนี้ตั้งแต่เด็ก

 

ฟีเรนเทียรู้สึกเหมือนกับเผชิญหน้าอยู่กับแมลงสาบจริงๆ ไม่อยากจะอยู่ด้วยสักนิด

 

“หม่อมฉันต้องไปเล่นกับลูกพี่ลูกน้องทางนั้นเพคะ เพราะงั้นขอตัว”

 

ภายภาคหน้าเมื่อเด็กคนนี้เติบโตขึ้น เมื่อถึงวัยที่มีค่ามากพอจะใช้งานทางด้านการเมือง ถึงตอนนั้นคงจะเหมาะสมดีจริงเชียว

 

เหมาะที่จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะถูกรวมเข้ากับแผนการของเธอ แต่เรื่องแค่นั้นเธอเองก็เตรียมใจที่จะรับมืออยู่แล้ว

 

ตอนนี้เธอยังเป็นแค่ต้นอ่อน ไม่ได้อยู่ในวัยต้นกล้าที่กำลังเติบโต ดังนั้นเธอจึงไม่มีความคิดแม้แต่เศษเสี้ยวที่จะอยากอยู่กับเจ้าเด็กคนนี้ขนาดจะเรียกว่า ‘สุนัข’ ยังรู้สึกผิดต่อพวกสุนัข

 

“ฮึ่ย จริงๆ เลย เฮ้ ข้าสั่งให้อยู่เฉยๆ ไง”

 

เด็กผู้ชายอายุสิบสองปี กลับทำตัวระรานหาเรื่องเด็กอายุแปดขวบเนี่ยนะ

 

ถึงแม้จะสั่งปิดตายประตูตระกูลลอมบาร์เดีย แต่เพื่ออาณาจักรนี้แล้ว ถือว่าเป็นโชคดีจริงๆ ที่เจ้าชายลำดับที่สองได้ขึ้นเป็นรัชทายาท ไม่ใช่หมอนี่

 

“เจ้าชายลำดับที่หนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”

 

ในตอนนั้นเอง เสียงคุ้นเคยก็ดังขึ้นเอ่ยเรียกอาสทาน่า

 

“ครั้งก่อนไม่ได้เล่นด้วยกัน ช่างน่าเสียดายจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”

 

เบเลซักกับอาสทัลลีอูที่ยืนอยู่ข้างหลังนั่นเอง

 

“ครั้งก่อน? อ่อ ข้าไม่เห็นจะเสียดายเลย”

 

พอเห็นว่าเจ้าชายตอบอย่างไม่แยแส ใบหน้าของเบเลซักก็ขึ้นสีแดงก่ำด้วยความอับอายแต่มันก็แค่นั้น

 

เด็กที่ตามนิสัยเดิมหากตอนนี้ทำเพียงแค่พุ่งเข้าไปหาเรื่องทะเลาะกับเจ้าชายยังถือว่าน้อยเกินไปคนนั้น กลับทำเพียงแค่ยืนหัวเราะแหะๆ อย่างประจบประแจง

 

ช่างเป็นคนประเภทแกร่งต่อหน้าคนอ่อนแอ อ่อนแอต่อหน้าคนแกร่งจริงๆ

 

เหมือนกับบิดาของเขาอย่างเบเจอร์ไม่มีผิด

 

เจ้าชายอาสทาน่ามองเบเลซักด้วยสายตาสมเพช ก่อนจะเอ่ยพูดกับเธอ

 

“เฮ้ เจ้าดูดีกว่าหมอนี่อีก”

 

ไม่ดีใจเลยสักนิดย่ะ

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 22.1

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 22.1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 22

 

 

“ข้ามาเพื่ออวยพรวันเกิดของเจ้าด้วยตัวเอง”

 

“ทำไมจู่ๆ …”

 

ถึงได้แสร้งทำเป็นสนิทสนมกันล่ะ

 

แต่เพราะไม่สามารถพูดออกไปแบบนั้นได้ เธอจึงได้แต่เงยหน้ามองท่านปู่

 

ท่านปู่เรียกหมอนั่นมาเหรอคะ

 

แต่ท่านปู่เองก็ดูจะตกใจเหมือนกัน

 

“เจ้าชายอาสทาน่าเสด็จมาถึงที่นี่ ช่างน่าตกใจจริงๆ”

 

ครั้งสุดท้ายที่ออกไปจากคฤหาสน์หลังนี้หลังจากที่ก่อเรื่องวุ่นวาย เจ้าชายอาสทาน่าก็แสดงความเลวร้ายออกมาราวกับจะไม่ย่างกรายกลับมาเหยียบที่นี่อีก

 

แต่จู่ๆ ดันโผล่มางานปาร์ตี้วันเกิดของเธอด้วยใบหน้ายิ้มกว้างขนาดนั้นเนี่ยนะ

 

หากคิดถึงเรื่องที่ว่าปีนี้เจ้าชายลำดับที่หนึ่งเพิ่งจะอายุได้แค่สิบสองปีเท่านั้น เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องปกติ

 

บางทีเจ้าชายอาสทาน่าจะไม่ได้ต่อกรด้วยได้ง่ายๆ เหมือนอย่างที่เธอคิดเสียแล้ว

 

“วันนั้นหลังจากกลับไปที่วังก็ถูกเสด็จแม่ดุเสียยกใหญ่เลยครับ วันนี้จึงสั่งให้ข้านำของขวัญวันเกิดมามอบให้ฟีเรนเทีย แทนคำขอโทษด้วยตัวเองน่ะครับ”

 

เธอเองก็คาดการณ์อยู่แล้วว่าคงจะเป็นคำสั่งของจักรพรรดินี แต่ก็ยังน่าตกใจอยู่ดี

 

จักรพรรดินีที่หากเป็นเรื่องของพระโอรสทีไรก็จะเป็นจะตายเสียให้ได้ กลับเลือกที่จะกดศักดิ์ศรีของเจ้าชาย แล้วสั่งให้มาขอโทษเธอเนี่ยนะ

 

แถมยังเป็นสถานที่เปิดต่อหน้าชนชั้นสูงมากมายแบบนี้อีก

 

หากเป็นจักรพรรดินีที่มีตำแหน่งมั่นคงในแวดวงสังคม ย่อมไม่มีทางไม่ทราบว่าจะมีผู้คนมากมายมาร่วมงานปาร์ตี้วันเกิดของเธอ

 

“อย่างนั้นนี่เอง”

 

ท่านปู่ไม่พูดอะไรยืดยาว

 

แต่เธอสามารถรับรู้ได้ว่าข้างในนัยน์ตาของท่านปู่ที่เคยมองเจ้าชายราวกับเขาเป็นลูกสุนัขไร้มารยาทน่ารำคาญตัวหนึ่ง มีความระแวดระวังเก็บซ่อนเอาไว้อยู่

 

“สุขสันต์วันเกิดนะ ฟีเรนเทีย”

 

เจ้าชายอาสทาน่าพูดแบบนั้น ในขณะเดียวกันก็ยื่นกล่องอัญมณีกล่องเล็กที่ถือมาส่งให้เธอ

 

มันเป็นกล่องสีดำขนาดประมาณสองฝ่ามือเธอต่อกันได้

 

อา ไม่อยากรับเลย

 

ไม่ใช่ว่าข้างในใส่ระเบิดเอาไว้หรอกนะ?

 

อยากจะตรวจสอบก่อนที่จะเปิดมันออกจัง

 

ฟีเรนเทียนึกอยากจะหาข้ออ้างโน่นนี่ขึ้นมาเธอไม่อยากรับสิ่งของที่เจ้าชายมอบให้นั่นเลยจริงๆ แต่เพราะตกอยู่ในสถานการณ์ที่สายตาของทุกคนในงานเลี้ยงต่างก็กำลังจับจ้องมา ดังนั้นนอกจากรับมันไว้จึงไม่มีทางเลือกอื่นอีก

 

พอเห็นเธอลังเล ท่านปู่ก็พยักหน้าเล็กน้อย ราวกับจะบอกว่ารับได้ไม่เป็นไร

 

สุดท้ายเธอจึงรับกล่องอัญมณีจากอาสทาน่ามาถือไว้ แล้วเปิดมันออก

 

แน่นอนว่าในตอนที่เปิดก็แอบผวาเล็กน้อยอยู่เหมือนกัน

 

“โอ้ว!”

 

“ว่าแล้วเชียว ความมั่งคั่งของราชวงศ์…”

 

ทันทีที่เปิดฝากออก ปฏิกิริยาจากผู้คนรอบข้างก็ดังขึ้นเหมือนระเบิดลง

 

ของขวัญที่เจ้าชายมอบให้คือสร้อยคอ

 

มันเป็นสร้อยยาวขนาดประมาณฝ่ามือของผู้ใหญ่ซึ่งทำจากบุษราคัมและทับทิมที่ถูกเจียระไนอย่างดี

 

“เสด็จแม่เป็นคนจัดการให้น่ะ เป็นไง สวยใช่มั้ย”

 

เจ้าชายอาสทาน่าพูดแบบนั้น แต่ความหมายที่แฝงไว้ข้างในประโยคนั่นมันใกล้เคียงกับจะบอกว่า ‘เป็นไง ดูแพงใช่มั้ยล่ะ’ มากกว่า

 

เหล่าชนชั้นสูงในงานต่างก็ฮือฮากันว่า จักรพรรดินีทรงมอบของล้ำค่าให้เธอ

 

แต่ที่จริงแล้วเธอไม่ถูกใจมันเลย

 

โอ้อวดเงินทองต่อหน้าลอมบาร์เดียเนี่ยนะ

 

ไม่ได้มีความรู้สึกประทับใจอะไรนัก

 

ทว่าฟีเรนเทียก็เลือกที่จะฉีกยิ้มสดใสให้มากเท่ากับความรู้สึกรังเกียจ ก่อนจะเอ่ยพูด

 

“เพคะ ขอบพระทัยเพคะ เจ้าชาย”

 

“อืมๆ”

 

คงจะคิดว่าหมดเรื่องที่ตัวเองต้องทำแล้วละมั้ง อาสทาน่าจึงดูสดชื่นขึ้นมาก

 

“คุณหนู ข้าจะเอาของขวัญไปเก็บให้นะครับ”

 

ข้ารับใช้ที่ยืนรออยู่ด้านข้างเดินเข้ามารับกล่องอัญมณีอย่างระมัดระวัง แล้วเดินจากไป

 

ฮือ อยากเช็ดมือจัง

 

อยากจะล้างมือถูสบู่มันต่อหน้าเจ้าชายอาสทาน่าอย่างที่ใจคิด แต่เธอก็แอบถูมันกับชายชุดเดรสที่สวมอยู่ไปก่อน

 

“ช้าไปหน่อย แต่ก็ขอบใจทุกคนมากที่เดินทางมาไกล เพื่ออวยพรวันเกิดให้กับฟีเรนเทียหลานสาวของข้า”

 

ท่านปู่ชูแก้วขึ้นสูงอีกครั้ง เอ่ยพูดเพื่อจัดการความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยภายในงาน

 

“ถ้าอย่างนั้นก็มาเริ่มงานเลี้ยงกันเลย”

 

สิ้นสุดคำพูดของท่านปู่ ประตูหลายบานที่เชื่อมต่อระหว่างโถงงานเลี้ยงกับห้องครัวก็ถูกเปิดออกอย่างพร้อมเพรียง ก่อนที่เหล่าคนงานจะถือถาดขนาดใหญ่เรียงรายออกมา

 

อาหารที่ปรุงขึ้นเพื่อให้ผู้คนถือเดินทานได้อย่างสะดวกถูกวางกองเป็นภูเขาขนาดย่อมลงบนโต๊ะแต่ละตัว

 

โล่งอกที่ผู้คนเริ่มกลับไปสนทนากันอย่างสนุกสนานในแต่ละกลุ่ม เหมือนอย่างที่เคยทำก่อนที่อาสทาน่าจะเดินเข้ามา

 

“ข้าเองก็ต้องกินอะไรเสียหน่อย”

 

พอเห็นอาหารหน้าตาน่าทาน จู่ๆ ก็เริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาเธอมองเห็นสองแฝดเริ่มทานอาหารกันอยู่แถวโต๊ะที่ใกล้ที่สุด จึงตั้งใจจะเดินไปทางฝั่งนั้น

 

ถ้าหากเด็กนั่นไม่ได้เดินตามหลังเธอมาอย่างเป็นธรรมชาติแล้วละก็

 

“จะตามมาทำไม ไม่สิ เสด็จตามมาทำไมเพคะ”

 

คำถามของเธอทำให้เจ้าชายอาสทาน่าหันไปมองรอบข้างครั้งหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

 

“ข้าก็ไม่ได้ทำเพราะอยากเกาะติดอยู่กับเจ้านักหรอก”

 

สายตานั่นเหมือนจะมองเช็กดูว่าท่านปู่อยู่ตรงไหน

 

บางทีที่มาปาร์ตี้วันเกิดของเธอ คงจะเป็นเพราะได้รับคำสั่งของจักรพรรดินีให้มาคลายอารมณ์โกรธเคืองของเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียสินะ

 

“อยู่ด้วยสักพักแล้วเดี๋ยวจะกลับเองนั่นแหละ เจ้าหุบปากอยู่นิ่งๆ ก็พอ”

 

“หุบปาก…เหอะ”

 

เด็กนี่ วัยแค่นี้ก็เรียนรู้วิธีการพูดจาแบบผิดๆ เสียแล้ว

 

ถึงแม้เธอจะรู้อยู่แล้วก็เถอะ ว่าชาติก่อนหน้าเจ้าชายลำดับที่หนึ่ง เบเลซัก และอาสทันลีอู รวมกลุ่มกันไปก่อเรื่องอะไรไว้บ้างแต่ไม่นึกเลยว่าจะเป็นลูกสุนัขนิสัยเสียเหมือนไข่เน่าแบบนี้ตั้งแต่เด็ก

 

ฟีเรนเทียรู้สึกเหมือนกับเผชิญหน้าอยู่กับแมลงสาบจริงๆ ไม่อยากจะอยู่ด้วยสักนิด

 

“หม่อมฉันต้องไปเล่นกับลูกพี่ลูกน้องทางนั้นเพคะ เพราะงั้นขอตัว”

 

ภายภาคหน้าเมื่อเด็กคนนี้เติบโตขึ้น เมื่อถึงวัยที่มีค่ามากพอจะใช้งานทางด้านการเมือง ถึงตอนนั้นคงจะเหมาะสมดีจริงเชียว

 

เหมาะที่จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะถูกรวมเข้ากับแผนการของเธอ แต่เรื่องแค่นั้นเธอเองก็เตรียมใจที่จะรับมืออยู่แล้ว

 

ตอนนี้เธอยังเป็นแค่ต้นอ่อน ไม่ได้อยู่ในวัยต้นกล้าที่กำลังเติบโต ดังนั้นเธอจึงไม่มีความคิดแม้แต่เศษเสี้ยวที่จะอยากอยู่กับเจ้าเด็กคนนี้ขนาดจะเรียกว่า ‘สุนัข’ ยังรู้สึกผิดต่อพวกสุนัข

 

“ฮึ่ย จริงๆ เลย เฮ้ ข้าสั่งให้อยู่เฉยๆ ไง”

 

เด็กผู้ชายอายุสิบสองปี กลับทำตัวระรานหาเรื่องเด็กอายุแปดขวบเนี่ยนะ

 

ถึงแม้จะสั่งปิดตายประตูตระกูลลอมบาร์เดีย แต่เพื่ออาณาจักรนี้แล้ว ถือว่าเป็นโชคดีจริงๆ ที่เจ้าชายลำดับที่สองได้ขึ้นเป็นรัชทายาท ไม่ใช่หมอนี่

 

“เจ้าชายลำดับที่หนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”

 

ในตอนนั้นเอง เสียงคุ้นเคยก็ดังขึ้นเอ่ยเรียกอาสทาน่า

 

“ครั้งก่อนไม่ได้เล่นด้วยกัน ช่างน่าเสียดายจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”

 

เบเลซักกับอาสทัลลีอูที่ยืนอยู่ข้างหลังนั่นเอง

 

“ครั้งก่อน? อ่อ ข้าไม่เห็นจะเสียดายเลย”

 

พอเห็นว่าเจ้าชายตอบอย่างไม่แยแส ใบหน้าของเบเลซักก็ขึ้นสีแดงก่ำด้วยความอับอายแต่มันก็แค่นั้น

 

เด็กที่ตามนิสัยเดิมหากตอนนี้ทำเพียงแค่พุ่งเข้าไปหาเรื่องทะเลาะกับเจ้าชายยังถือว่าน้อยเกินไปคนนั้น กลับทำเพียงแค่ยืนหัวเราะแหะๆ อย่างประจบประแจง

 

ช่างเป็นคนประเภทแกร่งต่อหน้าคนอ่อนแอ อ่อนแอต่อหน้าคนแกร่งจริงๆ

 

เหมือนกับบิดาของเขาอย่างเบเจอร์ไม่มีผิด

 

เจ้าชายอาสทาน่ามองเบเลซักด้วยสายตาสมเพช ก่อนจะเอ่ยพูดกับเธอ

 

“เฮ้ เจ้าดูดีกว่าหมอนี่อีก”

 

ไม่ดีใจเลยสักนิดย่ะ

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+