เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 23.2

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 23.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เธอแง้มหน้าต่างเปิดออกเล็กน้อยเหมือนที่ทำเป็นประจำ นั่งพิงขอบหน้าต่างดื่มด่ำกับความผ่อนคลาย

 

สายลมพัดพาเอาความอบอุ่นของแสงอาทิตย์ยามกลางวันผ่านเข้ามาจั้กจี้ใบหน้าของเธอ

 

ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนี้ เมื่อท่านพ่อกลับมาหลังจากเสร็จงานช่วงเช้า พวกเราก็จะออกเดินทางไปยังพระราชวังกันในทันที

 

หากเดินทางด้วยรถม้าจากที่นี่ไปยังเขตแดนใต้การปกครองของจักรพรรดิจะใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง และจากชานเมืองไปจนถึงตัวพระราชวังก็จะใช้เวลาอีกครึ่งชั่วโมงโดยประมาณ

 

ท่านพ่อก็บอกว่าจะออกเดินทางโดยเผื่อเวลาให้มากเสียหน่อย จะได้พาเธอที่เพิ่งเคยมาพระราชวังเป็นครั้งแรกเที่ยวชมวังหลวง

 

งานเลี้ยงมื้อเย็นของจักรพรรดินีจะเริ่มขึ้นเมื่อยามพระอาทิตย์ตกดิน

 

ทั้งๆ ที่คืนนี้ตารางงานคงจะยุ่งน่าดูแท้ๆ แต่ช่วงเวลายามกลางวันกลับค่อยๆ ไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า

 

แต่แล้วในจังหวะที่กำลังเคลิ้มจะหลับ ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น

 

“เข้ามาเลยค่ะ”

 

พอเธอเอ่ยตอบออกไป ประตูก็ถูกเปิดออกอย่างระมัดระวัง ก่อนที่เอสทีร่าจะเดินเข้ามา

 

“สวัสดีค่ะ เอสทีร่า!”

 

เป็นแขกน่ายินดีที่เธอกำลังรออยู่เชียวเธอรีบลากเก้าอี้ที่วางอยู่ใกล้ๆ เข้ามาเพื่อให้เอสทีร่านั่ง

 

“เอาของที่ไหว้วานมาให้แล้วค่ะยานี่เสร็จสมบูรณ์ไปเมื่อหลายวันก่อนแล้ว แต่คุณหนูสั่งให้นำมาวันนี้ก็เลย…”

 

“อื้อๆ ใช่แล้ว! ขอบใจนะ!”

 

“นี่ค่ะ”

 

สิ่งที่เอสทีร่ายื่นมาให้คือ ขวดแก้วขนาดเล็กพอที่จะถือเอาไว้ในมือของเธอได้สบายๆ

 

ขวดแก้วใส่อยู่ในถุงที่ทำจากผ้าผืนหนาเพื่อไม่ให้เห็นของข้างใน เมื่อเธอคลายเชือกออกอย่างระมัดระวัง ก็สามารถตรวจเช็กได้ว่ามียาเมลคอนสีทองใส่อยู่เต็มขวด

 

“ว่าแล้วเชียว สมแล้วที่เป็นเอสทีร่า ช่วยเตรียมให้อย่างสมบูรณ์แบบตามที่ข้าขอร้องเลย ขอบใจนะ! ”

 

เธอเก็บมันใส่ลงในกระเป๋าถือใบเล็กที่วางอยู่ข้างๆ ด้วยความระมัดระวัง

 

มันเป็นของที่เธอตั้งใจจะพกไปที่พระราชวังด้วย

 

“คือว่า คุณหนู…”

 

“หืม? ทำไมเหรอ”

 

เอสทีร่าที่เฝ้ามองพฤติกรรมของเธออยู่นิ่งๆ เอ่ยเรียกเธอด้วยสีหน้าเป็นกังวล

 

“จะใช้ยาเมลคอนเป็นยาแก้พิษหรือคะ”

 

“…”

 

เธอไม่ได้ตอบอะไรออกไปแค่มองจ้องนัยน์ตาของเอสทีร่าเท่านั้น

 

ช่างเป็นนัยน์ตาที่กระจ่างใสเสียจริงใสมากเสียจนรับรู้ได้ว่า เหตุผลที่เอ่ยถามคำถามแบบนี้กับเธอ เป็นเพราะนางเป็นห่วงเธออย่างบริสุทธิ์ใจ

 

“ไม่ใช่เพื่อตัวข้าหรอก เพราะฉะนั้นอย่ากังวลมากเลย!”

 

เธอตั้งใจหัวเราะให้สดใสยิ่งขึ้น

 

“ถ้าอย่างนั้น…”

 

“ขอโทษนะ แต่คงบอกอะไรมากกว่านั้นไม่ได้ แต่ก็จะเอาไปพระราชวังอย่างที่เอสทีร่าคาดเดาเอาไว้นั่นแหละ”

 

พอคำว่าพระราชวังหลุดออกมา สีหน้าของเอสทีร่าก็มืดครึ้มลงไปอีกระดับ

 

ไม่ว่ายังไงสำหรับคนทั่วไปแล้ว พระราชวังก็เป็นสถานที่ที่ลำบากและน่ากลัวอย่างไร้ที่สิ้นสุดอยู่ดี

 

“ที่นั่นมีใครบางคนอยู่น่ะ คนที่จำเป็นต้องใช้ยาตัวนี้ ข้าจะมอบมันให้เขาคนนั้น”

 

“…ระวังตัวด้วยนะคะคุณหนู ข้าเป็นห่วงเพราะดูเหมือนคุณหนูที่ยังเด็กจะคิดทำเรื่องใหญ่เกินตัวน่ะค่ะ”

 

“ขอบใจนะที่เป็นห่วง เอสทีร่า อ๊ะ และก็…”

 

เธอโน้มกายเข้าหาเอสทีร่า กระซิบเสียงแผ่ว

 

“เรื่องนี้เป็นความลับของเราสองคนนะ เข้าใจมั้ย”

 

เสียงกระซิบแฝงความหยอกล้อเล็กน้อยของเธอ ทำให้เอสทีร่าพยักหน้าหนักแน่น ถึงแม้เธอจะพูดความจริงออกไปเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายต้องกังวล แต่เธอไม่ระแวงว่าเอสทีร่าจะเล่าเรื่องของเธอให้ใครฟังหรอกเพราะเอสทีร่าเป็นคนรักษาสัญญา

 

ชาติที่แล้ว เธอรู้ดีว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่จงรักภักดีต่อเจ้านายของนางอย่างไร้เงื่อนไข

 

“อ่า ถ้าท่านพ่อกลับมาไวๆ ก็คงจะดีสิ”

 

เธอพึมพำไปพลาง เหม่อมองถนนว่างเปล่าที่ไม่มีรถม้าขับผ่านแม้แต่คันเดียว

 

 

“ไม่ต้องเครียดมากนะ เทีย”

 

แคลอฮันเอ่ยพูดกับเทียเป็นรอบที่สิบในขณะที่นั่งอยู่ข้างในรถม้าที่เขย่าไปมา

 

“ข้าไม่เป็นอะไรสักหน่อยนี่คะ”

 

“เหรอ ค่อยโล่งอกหน่อย”

 

ลูกสาวตอบกลับอย่างห้าวหาญ แต่แคลอฮันทำได้เพียงแค่ยิ้มจางเท่านั้น

 

“พ่อไม่เป็นอะไรนะคะ? หน้าซีดไปหมดแล้ว”

 

“ไม่เป็นไร พ่อก็แค่ตื่นเต้นนิดหน่อยน่ะ”

 

“โธ่”

 

เทียตบหลังมือเย็นเฉียบของแคลอฮันด้วยมือเล็ก

 

มือเล็กคู่นั้นช่วยให้แคลอฮันรู้สึกสบายใจขึ้นมาได้เล็กน้อย

 

“ว่าแต่กระเป๋านั่นอะไรหรือเทีย ท่าทางจะหนักน่าดู พ่อช่วยถือให้เอามั้ย”

 

แคลอฮันจงใจเบี่ยงเบนความสนใจ พยายามไม่คิดถึงงานเลี้ยงมื้อเย็นของจักรพรรดินี

 

“ไม่หนักเลยค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ”

 

“ปกติก็ไม่เห็นจะถือกระเป๋าไปไหนมาไหนเลยข้างในใส่อะไรอยู่เหรอ”

 

กระเป๋าถือทรงกลมสีน้ำตาลเข้ากันกับชุดเดรสสีเขียวอ่อนที่เทียใส่อยู่ พอถูกถืออยู่ในมือเล็กก็ยิ่งขับให้ดูน่ารักมากขึ้นไปอีก

 

“ของขวัญค่ะ!”

 

“ของขวัญ?”

 

“ค่ะ! ให้เจ้าชายน่ะค่ะ!”

 

ฟีเรนเทียตอบด้วยเสียงสดใส

 

“ให้เจ้าชายลำดับที่หนึ่งงั้นเหรอ”

 

เมื่อเห็นว่าลูกสาวไม่ได้ตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ แต่กลับหัวเราะแหะๆ แทนและใบหน้าสดใสนั่น ก็ทำให้แคลอฮันรู้สึกราวกับก้อนหินก้อนใหญ่ตกลงมาบนหน้าอก

 

“ใช่แล้ว เทียเองก็ถึงวัยแล้วสินะ นี่มันช่าง ก็รู้อยู่แล้วว่าอย่างไรวันแบบนี้ก็ต้องมาถึงสักวัน แต่ว่า…”

 

“ไม่นะ ไม่ใช่แบบนั้น…”

 

แต่แล้วในจังหวะที่ฟีเรนเทียพยายามจะพูดอะไรบางอย่างจู่ๆ รถม้าที่ขับเคลื่อนมาได้อย่างราบรื่นตลอดทางก็หยุดชะงักส่งเสียงดังเอี๊ยด

 

“มีเรื่องอะไรกัน”

 

แคลอฮันเอ่ยถามสารถีรถม้า

 

“ระ…เรื่องนั้น…ทหารยามประจำพระราชวังสั่งให้จอดรถม้า เพราะต้องทำการตรวจสอบ”

 

“เป็นไปได้ยังไง”

 

เดิมทีเพราะรถม้าติดตราสัญลักษณ์ลอมบาร์เดีย ตั้งแต่คฤหาสน์ลอมบาร์เดียมาจนถึงพระราชวัง สองพ่อลูกก็เดินทางอย่างราบรื่นไม่มีเรื่องให้ต้องหยุดชะงักเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทว่าครั้งนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น

 

เขาแหวกผ้าม่านรถม้ามองไปด้านนอก และขณะที่แคลอฮันขมวดคิ้วแน่น พยายามประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ประตูรถม้าก็ถูกเปิดออกพรวด

 

“จะทำการตรวจค้นสักครู่ครับ กรุณาลงมาด้วยครับ”

 

คนที่เป็นประตูคืออัศวินส่วนพระองค์สวมชุดเกราะแวววาวสองนายนั่นเอง

 

“รถม้าตระกูลลอมบาร์เดียครับ ข้าแคลอฮัน ลอมบาร์เดีย ได้รับเชิญจากองค์จักรพรรดินีให้มาที่นี่”

 

แต่อัศวินกลับไม่แม้แต่จะหยุดฟังคำอธิบายทั้งหมดของแคลอฮัน พวกเขาเปิดประตูรถม้าออกให้กว้างขึ้น

 

“ขออภัยด้วยครับ กรุณาให้ความร่วมมือด้วย”

 

มีอะไรบางอย่างแปลกๆ

 

แคลอฮันเบิกตากว้าง หันกลับไปมองฟีเรนเทียที่นั่งอยู่เงียบๆ ตั้งใจจะลงจากรถม้าเพียงคนเดียวถ้าหากเกิดการกระทบกระทั่งกันที่นี่ อาจจะทำให้ลูกสาวของเขาตกใจมากก็เป็นได้

 

“คุณหนูเองก็ลงมาด้วยสิครับ”

 

“จะตรวจค้นแม้กระทั่งเด็กด้วยอย่างนั้นหรือ”

 

แคลอฮันขึ้นเสียงสูง คล้ายกับว่าตอนนี้เขาโมโหสุดขีดแล้วจริงๆ

 

“…ขออภัยด้วยครับ”

 

เท่าที่สังเกตเห็น อัศวินเองก็ไม่ได้ต้องการให้เรื่องเป็นแบบนี้เช่นกัน

 

แคลอฮันไม่ได้เก็บซ่อนความไม่พอใจเอาไว้

 

พระราชวังที่หากติดสัญลักษณ์ตระกูลลอมบาร์เดียเอาไว้ พวกเขาควรที่จะผ่านทางไปได้จนถึงห้องทรงงานขององค์จักรพรรดิด้วยซ้ำ แต่จู่ๆ กลับมาบอกว่าจะตรวจค้นกันแบบนี้ เหตุผลย่อมมีเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้น

 

คิดเป็นปรปักษ์

 

ไม่ว่าคนออกคำสั่งจะเป็นจักรพรรดินีหรือจักรพรรดิก็ตาม แต่คนพวกนั้นตั้งใจที่จะบั่นทอนอำนาจของพวกเขาเป็นแน่

 

“คำสั่งของจักรพรรดินีอย่างนั้นหรือ”

 

แคลอฮันถามตรงๆ

 

“…”

 

อัศวินได้แต่หลบสายตา ไม่อาจตอบอะไรออกไปได้

 

ช่วยไม่ได้สินะ

 

แคลอฮันถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยพูด

 

“ปล่อยเด็กไว้”

 

เสียงทุ้มต่ำราวกับเอ่ยเตือนนั้น ทำให้อัศวินลอบแลกเปลี่ยนสายตากับเพื่อนร่วมงานอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพยักหน้าตกลง

 

แคลอฮันก้าวลงจากรถม้า

 

พอหันไปมองรอบๆ ถึงได้พบว่าสถานที่ที่รถม้าหยุดจอดคือพระราชวังส่วนในซึ่งเป็นที่ตั้งวังของจักรพรรดินี

 

มันเป็นเพียงแค่หัวมุมถนนธรรมดาว่างเปล่า ไม่มีแม้กระทั่งป้อมยามรักษาการณ์ของอัศวินด้วยซ้ำ

 

ผ่านจุดแรกอย่างวังส่วนกลางที่มีสายตาคนมองอยู่มากมายมาแล้ว แต่เพิ่งจะมาสั่งให้หยุดรถม้าที่กำลังวิ่งมาตามปกติเพื่อขอตรวจค้นเอาตอนนี้

 

‘น่าจะพาอัศวินประจำตระกูลมาด้วยสักหลายนายหน่อย’

 

แคลอฮันเริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมาทีหลังเสียแล้ว

 

“ถ้าอย่างนั้นรบกวนสักครู่…”

 

อัศวินเดินเข้ามาตั้งใจจะตรวจค้นตามตัวของแคลอฮัน

 

ความอัปยศที่ไม่เคยต้องเผชิญแม้แต่ครั้งเดียวนับตั้งแต่ที่เกิดมา ทำให้แคลอฮันต้องพยายามควบคุมสีหน้าไม่ให้บิดเบี้ยวไม่น่ามอง ก่อนจะเอ่ยพูด

 

“ไม่แตะต้องตัวข้าน่าจะดีกว่านะ”

 

อัศวินที่เดินเข้าไปใกล้เผลอผงะไปชั่วครู่

 

“ถ้าหากไม่อยากเสียตำแหน่งของเจ้าไป เพราะเลือกปฏิบัติจงใจมาตรวจค้นตัวข้า”

 

“อะแฮ่ม”

 

อัศวินก้าวถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าวเมื่อเผชิญกับแรงกดดันของแคลอฮัน เขาเหลือบสังเกตสีหน้าของอีกฝ่ายครู่หนึ่ง ก่อนจะกระแอมไอพลางพยักหน้าตกลง

 

“ดูเหมือนจะไม่มีอะไร ตรวจค้นเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ เชิญกลับขึ้นรถม้าได้เลยครับ”

 

มันเป็นสถานการณ์น่าทุเรศที่ทำให้โมโหจนพูดอะไรไม่ออก

 

หลังจากที่จ้องเหล่าอัศวินด้วยนัยน์ตาเย็นชาเป็นครั้งสุดท้าย แคลอฮันก็เดินกลับขึ้นรถม้า

 

ไม่สิ ตั้งใจจะทำเช่นนั้นต่างหาก

 

แต่เมื่อมองเห็นข้างในรถม้าว่างเปล่า กับประตูรถม้าที่ถูกเปิดเคว้งทิ้งไว้ครึ่งหนึ่ง เขาก็ต้องหยุดชะงักตัวเกร็งมันทั้งอย่างนั้น

 

“ฟีเรนเทีย?”

 

ลูกสาวของเขาหายตัวไปแล้ว

 

Related

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 23.2

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 23.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เธอแง้มหน้าต่างเปิดออกเล็กน้อยเหมือนที่ทำเป็นประจำ นั่งพิงขอบหน้าต่างดื่มด่ำกับความผ่อนคลาย

 

สายลมพัดพาเอาความอบอุ่นของแสงอาทิตย์ยามกลางวันผ่านเข้ามาจั้กจี้ใบหน้าของเธอ

 

ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนี้ เมื่อท่านพ่อกลับมาหลังจากเสร็จงานช่วงเช้า พวกเราก็จะออกเดินทางไปยังพระราชวังกันในทันที

 

หากเดินทางด้วยรถม้าจากที่นี่ไปยังเขตแดนใต้การปกครองของจักรพรรดิจะใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง และจากชานเมืองไปจนถึงตัวพระราชวังก็จะใช้เวลาอีกครึ่งชั่วโมงโดยประมาณ

 

ท่านพ่อก็บอกว่าจะออกเดินทางโดยเผื่อเวลาให้มากเสียหน่อย จะได้พาเธอที่เพิ่งเคยมาพระราชวังเป็นครั้งแรกเที่ยวชมวังหลวง

 

งานเลี้ยงมื้อเย็นของจักรพรรดินีจะเริ่มขึ้นเมื่อยามพระอาทิตย์ตกดิน

 

ทั้งๆ ที่คืนนี้ตารางงานคงจะยุ่งน่าดูแท้ๆ แต่ช่วงเวลายามกลางวันกลับค่อยๆ ไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า

 

แต่แล้วในจังหวะที่กำลังเคลิ้มจะหลับ ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น

 

“เข้ามาเลยค่ะ”

 

พอเธอเอ่ยตอบออกไป ประตูก็ถูกเปิดออกอย่างระมัดระวัง ก่อนที่เอสทีร่าจะเดินเข้ามา

 

“สวัสดีค่ะ เอสทีร่า!”

 

เป็นแขกน่ายินดีที่เธอกำลังรออยู่เชียวเธอรีบลากเก้าอี้ที่วางอยู่ใกล้ๆ เข้ามาเพื่อให้เอสทีร่านั่ง

 

“เอาของที่ไหว้วานมาให้แล้วค่ะยานี่เสร็จสมบูรณ์ไปเมื่อหลายวันก่อนแล้ว แต่คุณหนูสั่งให้นำมาวันนี้ก็เลย…”

 

“อื้อๆ ใช่แล้ว! ขอบใจนะ!”

 

“นี่ค่ะ”

 

สิ่งที่เอสทีร่ายื่นมาให้คือ ขวดแก้วขนาดเล็กพอที่จะถือเอาไว้ในมือของเธอได้สบายๆ

 

ขวดแก้วใส่อยู่ในถุงที่ทำจากผ้าผืนหนาเพื่อไม่ให้เห็นของข้างใน เมื่อเธอคลายเชือกออกอย่างระมัดระวัง ก็สามารถตรวจเช็กได้ว่ามียาเมลคอนสีทองใส่อยู่เต็มขวด

 

“ว่าแล้วเชียว สมแล้วที่เป็นเอสทีร่า ช่วยเตรียมให้อย่างสมบูรณ์แบบตามที่ข้าขอร้องเลย ขอบใจนะ! ”

 

เธอเก็บมันใส่ลงในกระเป๋าถือใบเล็กที่วางอยู่ข้างๆ ด้วยความระมัดระวัง

 

มันเป็นของที่เธอตั้งใจจะพกไปที่พระราชวังด้วย

 

“คือว่า คุณหนู…”

 

“หืม? ทำไมเหรอ”

 

เอสทีร่าที่เฝ้ามองพฤติกรรมของเธออยู่นิ่งๆ เอ่ยเรียกเธอด้วยสีหน้าเป็นกังวล

 

“จะใช้ยาเมลคอนเป็นยาแก้พิษหรือคะ”

 

“…”

 

เธอไม่ได้ตอบอะไรออกไปแค่มองจ้องนัยน์ตาของเอสทีร่าเท่านั้น

 

ช่างเป็นนัยน์ตาที่กระจ่างใสเสียจริงใสมากเสียจนรับรู้ได้ว่า เหตุผลที่เอ่ยถามคำถามแบบนี้กับเธอ เป็นเพราะนางเป็นห่วงเธออย่างบริสุทธิ์ใจ

 

“ไม่ใช่เพื่อตัวข้าหรอก เพราะฉะนั้นอย่ากังวลมากเลย!”

 

เธอตั้งใจหัวเราะให้สดใสยิ่งขึ้น

 

“ถ้าอย่างนั้น…”

 

“ขอโทษนะ แต่คงบอกอะไรมากกว่านั้นไม่ได้ แต่ก็จะเอาไปพระราชวังอย่างที่เอสทีร่าคาดเดาเอาไว้นั่นแหละ”

 

พอคำว่าพระราชวังหลุดออกมา สีหน้าของเอสทีร่าก็มืดครึ้มลงไปอีกระดับ

 

ไม่ว่ายังไงสำหรับคนทั่วไปแล้ว พระราชวังก็เป็นสถานที่ที่ลำบากและน่ากลัวอย่างไร้ที่สิ้นสุดอยู่ดี

 

“ที่นั่นมีใครบางคนอยู่น่ะ คนที่จำเป็นต้องใช้ยาตัวนี้ ข้าจะมอบมันให้เขาคนนั้น”

 

“…ระวังตัวด้วยนะคะคุณหนู ข้าเป็นห่วงเพราะดูเหมือนคุณหนูที่ยังเด็กจะคิดทำเรื่องใหญ่เกินตัวน่ะค่ะ”

 

“ขอบใจนะที่เป็นห่วง เอสทีร่า อ๊ะ และก็…”

 

เธอโน้มกายเข้าหาเอสทีร่า กระซิบเสียงแผ่ว

 

“เรื่องนี้เป็นความลับของเราสองคนนะ เข้าใจมั้ย”

 

เสียงกระซิบแฝงความหยอกล้อเล็กน้อยของเธอ ทำให้เอสทีร่าพยักหน้าหนักแน่น ถึงแม้เธอจะพูดความจริงออกไปเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายต้องกังวล แต่เธอไม่ระแวงว่าเอสทีร่าจะเล่าเรื่องของเธอให้ใครฟังหรอกเพราะเอสทีร่าเป็นคนรักษาสัญญา

 

ชาติที่แล้ว เธอรู้ดีว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่จงรักภักดีต่อเจ้านายของนางอย่างไร้เงื่อนไข

 

“อ่า ถ้าท่านพ่อกลับมาไวๆ ก็คงจะดีสิ”

 

เธอพึมพำไปพลาง เหม่อมองถนนว่างเปล่าที่ไม่มีรถม้าขับผ่านแม้แต่คันเดียว

 

 

“ไม่ต้องเครียดมากนะ เทีย”

 

แคลอฮันเอ่ยพูดกับเทียเป็นรอบที่สิบในขณะที่นั่งอยู่ข้างในรถม้าที่เขย่าไปมา

 

“ข้าไม่เป็นอะไรสักหน่อยนี่คะ”

 

“เหรอ ค่อยโล่งอกหน่อย”

 

ลูกสาวตอบกลับอย่างห้าวหาญ แต่แคลอฮันทำได้เพียงแค่ยิ้มจางเท่านั้น

 

“พ่อไม่เป็นอะไรนะคะ? หน้าซีดไปหมดแล้ว”

 

“ไม่เป็นไร พ่อก็แค่ตื่นเต้นนิดหน่อยน่ะ”

 

“โธ่”

 

เทียตบหลังมือเย็นเฉียบของแคลอฮันด้วยมือเล็ก

 

มือเล็กคู่นั้นช่วยให้แคลอฮันรู้สึกสบายใจขึ้นมาได้เล็กน้อย

 

“ว่าแต่กระเป๋านั่นอะไรหรือเทีย ท่าทางจะหนักน่าดู พ่อช่วยถือให้เอามั้ย”

 

แคลอฮันจงใจเบี่ยงเบนความสนใจ พยายามไม่คิดถึงงานเลี้ยงมื้อเย็นของจักรพรรดินี

 

“ไม่หนักเลยค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ”

 

“ปกติก็ไม่เห็นจะถือกระเป๋าไปไหนมาไหนเลยข้างในใส่อะไรอยู่เหรอ”

 

กระเป๋าถือทรงกลมสีน้ำตาลเข้ากันกับชุดเดรสสีเขียวอ่อนที่เทียใส่อยู่ พอถูกถืออยู่ในมือเล็กก็ยิ่งขับให้ดูน่ารักมากขึ้นไปอีก

 

“ของขวัญค่ะ!”

 

“ของขวัญ?”

 

“ค่ะ! ให้เจ้าชายน่ะค่ะ!”

 

ฟีเรนเทียตอบด้วยเสียงสดใส

 

“ให้เจ้าชายลำดับที่หนึ่งงั้นเหรอ”

 

เมื่อเห็นว่าลูกสาวไม่ได้ตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ แต่กลับหัวเราะแหะๆ แทนและใบหน้าสดใสนั่น ก็ทำให้แคลอฮันรู้สึกราวกับก้อนหินก้อนใหญ่ตกลงมาบนหน้าอก

 

“ใช่แล้ว เทียเองก็ถึงวัยแล้วสินะ นี่มันช่าง ก็รู้อยู่แล้วว่าอย่างไรวันแบบนี้ก็ต้องมาถึงสักวัน แต่ว่า…”

 

“ไม่นะ ไม่ใช่แบบนั้น…”

 

แต่แล้วในจังหวะที่ฟีเรนเทียพยายามจะพูดอะไรบางอย่างจู่ๆ รถม้าที่ขับเคลื่อนมาได้อย่างราบรื่นตลอดทางก็หยุดชะงักส่งเสียงดังเอี๊ยด

 

“มีเรื่องอะไรกัน”

 

แคลอฮันเอ่ยถามสารถีรถม้า

 

“ระ…เรื่องนั้น…ทหารยามประจำพระราชวังสั่งให้จอดรถม้า เพราะต้องทำการตรวจสอบ”

 

“เป็นไปได้ยังไง”

 

เดิมทีเพราะรถม้าติดตราสัญลักษณ์ลอมบาร์เดีย ตั้งแต่คฤหาสน์ลอมบาร์เดียมาจนถึงพระราชวัง สองพ่อลูกก็เดินทางอย่างราบรื่นไม่มีเรื่องให้ต้องหยุดชะงักเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทว่าครั้งนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น

 

เขาแหวกผ้าม่านรถม้ามองไปด้านนอก และขณะที่แคลอฮันขมวดคิ้วแน่น พยายามประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ประตูรถม้าก็ถูกเปิดออกพรวด

 

“จะทำการตรวจค้นสักครู่ครับ กรุณาลงมาด้วยครับ”

 

คนที่เป็นประตูคืออัศวินส่วนพระองค์สวมชุดเกราะแวววาวสองนายนั่นเอง

 

“รถม้าตระกูลลอมบาร์เดียครับ ข้าแคลอฮัน ลอมบาร์เดีย ได้รับเชิญจากองค์จักรพรรดินีให้มาที่นี่”

 

แต่อัศวินกลับไม่แม้แต่จะหยุดฟังคำอธิบายทั้งหมดของแคลอฮัน พวกเขาเปิดประตูรถม้าออกให้กว้างขึ้น

 

“ขออภัยด้วยครับ กรุณาให้ความร่วมมือด้วย”

 

มีอะไรบางอย่างแปลกๆ

 

แคลอฮันเบิกตากว้าง หันกลับไปมองฟีเรนเทียที่นั่งอยู่เงียบๆ ตั้งใจจะลงจากรถม้าเพียงคนเดียวถ้าหากเกิดการกระทบกระทั่งกันที่นี่ อาจจะทำให้ลูกสาวของเขาตกใจมากก็เป็นได้

 

“คุณหนูเองก็ลงมาด้วยสิครับ”

 

“จะตรวจค้นแม้กระทั่งเด็กด้วยอย่างนั้นหรือ”

 

แคลอฮันขึ้นเสียงสูง คล้ายกับว่าตอนนี้เขาโมโหสุดขีดแล้วจริงๆ

 

“…ขออภัยด้วยครับ”

 

เท่าที่สังเกตเห็น อัศวินเองก็ไม่ได้ต้องการให้เรื่องเป็นแบบนี้เช่นกัน

 

แคลอฮันไม่ได้เก็บซ่อนความไม่พอใจเอาไว้

 

พระราชวังที่หากติดสัญลักษณ์ตระกูลลอมบาร์เดียเอาไว้ พวกเขาควรที่จะผ่านทางไปได้จนถึงห้องทรงงานขององค์จักรพรรดิด้วยซ้ำ แต่จู่ๆ กลับมาบอกว่าจะตรวจค้นกันแบบนี้ เหตุผลย่อมมีเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้น

 

คิดเป็นปรปักษ์

 

ไม่ว่าคนออกคำสั่งจะเป็นจักรพรรดินีหรือจักรพรรดิก็ตาม แต่คนพวกนั้นตั้งใจที่จะบั่นทอนอำนาจของพวกเขาเป็นแน่

 

“คำสั่งของจักรพรรดินีอย่างนั้นหรือ”

 

แคลอฮันถามตรงๆ

 

“…”

 

อัศวินได้แต่หลบสายตา ไม่อาจตอบอะไรออกไปได้

 

ช่วยไม่ได้สินะ

 

แคลอฮันถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยพูด

 

“ปล่อยเด็กไว้”

 

เสียงทุ้มต่ำราวกับเอ่ยเตือนนั้น ทำให้อัศวินลอบแลกเปลี่ยนสายตากับเพื่อนร่วมงานอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพยักหน้าตกลง

 

แคลอฮันก้าวลงจากรถม้า

 

พอหันไปมองรอบๆ ถึงได้พบว่าสถานที่ที่รถม้าหยุดจอดคือพระราชวังส่วนในซึ่งเป็นที่ตั้งวังของจักรพรรดินี

 

มันเป็นเพียงแค่หัวมุมถนนธรรมดาว่างเปล่า ไม่มีแม้กระทั่งป้อมยามรักษาการณ์ของอัศวินด้วยซ้ำ

 

ผ่านจุดแรกอย่างวังส่วนกลางที่มีสายตาคนมองอยู่มากมายมาแล้ว แต่เพิ่งจะมาสั่งให้หยุดรถม้าที่กำลังวิ่งมาตามปกติเพื่อขอตรวจค้นเอาตอนนี้

 

‘น่าจะพาอัศวินประจำตระกูลมาด้วยสักหลายนายหน่อย’

 

แคลอฮันเริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมาทีหลังเสียแล้ว

 

“ถ้าอย่างนั้นรบกวนสักครู่…”

 

อัศวินเดินเข้ามาตั้งใจจะตรวจค้นตามตัวของแคลอฮัน

 

ความอัปยศที่ไม่เคยต้องเผชิญแม้แต่ครั้งเดียวนับตั้งแต่ที่เกิดมา ทำให้แคลอฮันต้องพยายามควบคุมสีหน้าไม่ให้บิดเบี้ยวไม่น่ามอง ก่อนจะเอ่ยพูด

 

“ไม่แตะต้องตัวข้าน่าจะดีกว่านะ”

 

อัศวินที่เดินเข้าไปใกล้เผลอผงะไปชั่วครู่

 

“ถ้าหากไม่อยากเสียตำแหน่งของเจ้าไป เพราะเลือกปฏิบัติจงใจมาตรวจค้นตัวข้า”

 

“อะแฮ่ม”

 

อัศวินก้าวถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าวเมื่อเผชิญกับแรงกดดันของแคลอฮัน เขาเหลือบสังเกตสีหน้าของอีกฝ่ายครู่หนึ่ง ก่อนจะกระแอมไอพลางพยักหน้าตกลง

 

“ดูเหมือนจะไม่มีอะไร ตรวจค้นเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ เชิญกลับขึ้นรถม้าได้เลยครับ”

 

มันเป็นสถานการณ์น่าทุเรศที่ทำให้โมโหจนพูดอะไรไม่ออก

 

หลังจากที่จ้องเหล่าอัศวินด้วยนัยน์ตาเย็นชาเป็นครั้งสุดท้าย แคลอฮันก็เดินกลับขึ้นรถม้า

 

ไม่สิ ตั้งใจจะทำเช่นนั้นต่างหาก

 

แต่เมื่อมองเห็นข้างในรถม้าว่างเปล่า กับประตูรถม้าที่ถูกเปิดเคว้งทิ้งไว้ครึ่งหนึ่ง เขาก็ต้องหยุดชะงักตัวเกร็งมันทั้งอย่างนั้น

 

“ฟีเรนเทีย?”

 

ลูกสาวของเขาหายตัวไปแล้ว

 

Related

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+