เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 26.2

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 26.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในระหว่างที่ทุกคนกำลังยุ่งอยู่กับการจัดเตรียมอาหาร เธอรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างแปลกไปเล็กน้อย

 

อย่างไรก็เป็นพระโอรส แต่หลังจากที่จักรพรรดิเสด็จมาถึงงาน พระองค์ก็ไม่ได้มองเจ้าชายลำดับที่หนึ่งเลยแม้แต่ครั้งเดียว

 

อาสทาน่าเองก็ดูจะไม่สนใจอะไร คล้ายกับว่าเคยชินกับบิดาที่เป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว

 

“แล้วนี่ก่อนข้าจะมา พูดคุยเรื่องอะไรกันไปแล้วบ้างล่ะ”

 

“ไม่มีเรื่องอะไรหรอกเพคะ เพียงแค่กำลังทักทายกันอยู่เท่านั้นเอง”

 

จักรพรรดินีเปลี่ยนเรื่องด้วยเสียงหัวเราะ

 

ท่านพ่อจ้องจักรพรรดินีที่กล่าวเช่นนั้นเขม็ง

 

“ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้นนะ แคลอฮัน?”

 

จักรพรรดิมองท่านพ่อสลับไปมากับจักรพรรดินี ก่อนจะตรัสออกมา

 

“หากมีเรื่องอะไรค้างคาใจ ก็พูดออกมาตรงๆ เถอะ”

 

แต่คล้ายกับคำพูดของจักรพรรดิเองก็ไม่ได้จริงใจอะไรนัก เป็นเพียงแค่คำพูดลอยๆ มากกว่า

 

ท่าทางไม่ได้อยากรู้เลยแม้แต่น้อยว่าท่านพ่ออยากจะพูดอะไร ส่วนจักรพรรดินีเองก็ดูเหมือนจะไม่คิดว่าท่านพ่อจะกล้าพูดอะไรต่อหน้าองค์จักรพรรดิอยู่แล้ว ท่าทางยามจิบไวน์ผลไม้ที่ผู้ดูแลเทให้จึงดูผ่อนคลายมากนัก

 

เพราะอย่างนี้ฟีเรนเทียจึงโมโหสองคนนี้ที่หากอยู่ต่อหน้าท่านปู่ของพวกเรา จะพูดอะไรแม้แต่คำเดียวยังต้องระมัดระวัง กลับดูหมิ่นท่านพ่อถึงเพียงนี้แต่ในขณะเดียวกันท่าทางผ่อนคลายของจักรพรรดินีเองก็ถือว่าเหมาะสม

 

เพราะเธอเองก็คิดว่าท่านพ่อคงจะไม่พูดอะไรออกมาเหมือนกัน

 

แต่ว่า

 

“กำลังพูดกับจักรพรรดินีเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างทางมางานเลี้ยงวันนี้น่ะพ่ะย่ะค่ะ”

 

น่าตกใจที่แม้แต่อยู่ต่อหน้าจักรพรรดิ ท่านพ่อก็ยังไม่ยอมถอย

 

ทั้งองค์จักรพรรดิ ทั้งจักรพรรดินี ต่างก็คงจะไม่คิดว่าท่านพ่อจะกล้าถึงขนาดนี้ ใบหน้ายิ้มแย้มถึงได้หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง

 

“มีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ”

 

จักรพรรดิลูบเคราในขณะที่ตรัสถาม

 

“รถม้าของพวกเราถูกกองกำลังอัศวินส่วนพระองค์บังคับตรวจค้นพ่ะย่ะค่ะ”

 

“หืม?”

 

องค์จักรพรรดิเองก็ดูจะตกใจไม่น้อย ก่อนจะเหลือบตามองจักรพรรดินี

 

“ฮ่าๆ มีเรื่องแบบนั้นด้วยเหรอเนี่ย”

 

ท่าทางจะพอรู้อยู่บ้างแล้วว่ามีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น

 

ดูเหมือนว่าการท้าทายด้วยวิธีการเช่นนั้นจะไม่ได้เกิดขึ้นแค่เฉพาะกับพวกเราสินะ

 

เธอสังหรณ์ใจอย่างรุนแรงว่า บางทีแม้แต่เบเจอร์เองก็อาจจะเจอเรื่องแบบเดียวกันนี่ก็ได้

 

จักรพรรดินีหลุบตามองลงต่ำ ไม่เผยสีหน้าใดๆ ออกมาให้เห็น

 

“อย่างไรก็ตาม…คงจะมีเรื่องเข้าใจผิดอะไรกันกระมัง”

 

องค์จักรพรรดินิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตรัสออกมา

 

“พวกนั้นสั่งให้รถม้าติดสัญลักษณ์ตระกูลลอมบาร์เดียจอดพ่ะย่ะค่ะ คงจะไม่ใช่การเข้าใจผิดหรอกนะพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

 

“…แคลอฮัน ดูเหมือนเจ้าจะโมโหมากเลยนะ”

 

ท่าทางของท่านพ่อในตอนนี้ดูไม่เหมือนกับท่านพ่อเลยจริงๆ เพราะเป็นคนนิสัยทึ่มทื่อ ต่อให้ไม่ใช่จักรพรรดิแต่เป็นแค่พวกลูกจ้าง ก็ยังไม่ค่อยกล้าพูดกับพวกเขาเลยด้วยซ้ำ วันนี้กลับดูแตกต่างไปจากปกติเป็นอย่างมาก

 

“ลูกสาวกระหม่อมตกใจมากพ่ะย่ะค่ะ”

 

ท่านพ่อเอ่ยตอบเสียงทุ้มต่ำ

 

ในตอนนั้นเอง เธอถึงได้เข้าใจพฤติกรรมของท่านพ่อ

 

ที่ตอนนี้ท่านพ่อกำลังโกรธ ไม่ได้เป็นเพราะตัวเองถูกเหยียดหยาม แต่เป็นเพราะพวกอัศวินทำให้เธอหวาดกลัวต่างหากล่ะ

 

รู้สึกราวกับสายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านมาบนโต๊ะอาหารอยู่ครู่หนึ่ง

 

“ฮ่าฮ่า! ขอโทษจริงๆ!”

 

ถึงแม้จะหัวเราะอย่างคนใจกว้าง แต่สุดท้ายจักรพรรดิก็ต้องกล่าวขอโทษอยู่ดีแต่คำพูดหลังจากนั้นก็ยังไม่มีการเอ่ยอ้างถึงจักรพรรดินีเลยแม้แต่คำเดียว

 

“ช่วยเข้าใจความโง่เขลาของอัศวินพวกนั้นด้วยเถอะนะยังมีอยู่หลายคนที่จงรักภักดีเสียจนไม่อาจยอมรับความสัมพันธ์พิเศษระหว่างลอมบาร์เดียกับราชวงศ์อยู่”

 

สุดท้ายคนที่กลายเป็นแพะรับบาปก็คือ พวกอัศวิน

 

จักรพรรดินีผู้สั่งการทุกเรื่องกลับหลุดลอยไปได้และโยนความผิดให้กับพวกอัศวินแทน

 

ท่านพ่อเองก็รู้เรื่องนั้นดี จึงได้แต่ถอนหายใจแผ่วเบา พยักหน้าลง

 

“เพียงแต่หวังว่าจะไม่มีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นอีกนะพ่ะย่ะค่ะ”

 

“แน่นอนๆ จะไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีก! เอาละดื่มให้ข้าสักแก้ว!”

 

จักรพรรดิตบหน้าอกตัวเองเป็นการการันตี ก่อนจะเทเหล้าให้ท่านพ่อ

 

ฟีเรนเทียแสร้งทำเป็นดื่มน้ำผลไม้ที่วางอยู่ตรงหน้า ลอบสำรวจใบหน้าของจักรพรรดินี แต่แล้วก็ต้องขนลุกชันขึ้นมาใบหน้างดงามนั่นยังคงแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มเหมือนเคย ทว่านัยน์ตาดุดันคู่นั้นกำลังจับจ้องไปที่ท่านพ่อไม่กะพริบ

 

เธอเองก็รู้ตั้งแต่ที่นางพยายามฆ่าเจ้าชายลำดับที่สองด้วยวิธีการเช่นนั้นอยู่แล้ว แต่นางช่างเป็นคนที่น่ากลัวจริงๆ

 

งานเลี้ยงมื้อเย็นจึงเริ่มขึ้นอย่างเต็มรูปแบบเช่นนั้น อาหารที่ถูกจัดเตรียมไว้เริ่มถูกทยอยนำออกมาเสิร์ฟ

 

ในเมื่อเป็นงานที่จักรพรรดินีรับรองด้วยตัวพระองค์เอง แน่นอนว่าอาหารพวกนี้ย่อมเป็นอาหารหรูหราน่าทาน แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับตระกูลลอมบาร์เดียอยู่ดี

 

ในตอนที่เธอกำลังประเมินการต้อนรับด้วยความเย็นชาเช่นนั้นจู่ๆ องค์จักรพรรดิที่กำลังสนทนาเรื่องโน่นนี่อยู่กับท่านพ่อ ก็โยนคำถามเกี่ยวกับกิจการขึ้นมา

 

“ใช่แล้ว ได้ยินว่ากิจการที่เจ้าเป็นผู้นำให้ผลที่งอกเงยมากทีเดียว”

 

แม้แต่จักรพรรดินีที่แทบจะไม่ได้พูดอะไรหลังจากที่ท่านพ่อตำหนิองค์จักรพรรดิยังให้ความสนใจกับเรื่องครั้งนี้

 

“สองตระกูลอย่างอังเกนัสและลอมบาร์เดียที่เรียกได้ว่าเป็นแกนนำสำคัญของอาณาจักร มาร่วมมือกันทำงานแบบนี้นี่ดีจริง!”

 

“…ชมเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

 

ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่อังเกนัสกลายเป็นแกนนำของอาณาจักรแห่งนี้?

 

องค์จักรพรรดิแอบยกระดับอังเกนัสซึ่งเป็นตระกูลฝั่งภริยาของตน ให้ขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกับลอมบาร์เดีย

 

ก็นะตอนนี้จักรพรรดิโยบาเนสกำลังพยายามใช้ตระกูลอังเกนัสมาคานอำนาจของตระกูลลอมบาร์เดียอยู่

 

นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่พระองค์แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องใดๆ ทั้งๆ ที่ทราบดีว่าจักรพรรดินีทำเรื่องอะไรกับเจ้าชายลำดับที่สองบ้าง

 

ทว่าสามปีให้หลัง ตระกูลอังเกนัสจะทำให้องค์จักรพรรดิเกิดโทสะเพราะการหลบเลี่ยงภาษี ความสัมพันธ์ของจักรพรรดิและจักรพรรดินีเองก็จบลงด้วยเช่นกัน

 

“ต่อไปก็คอยช่วยเหลือกลุ่มการค้าดิวรักด้วยนะคะ ท่านชายลอมบาร์เดีย พวกเขาเพิ่งจะเริ่มทำการค้า จึงยังไม่เชี่ยวชาญนัก”

 

จักรพรรดินียิ้มเป็นมิตร ในขณะที่เอ่ยพูดกับท่านพ่อ

 

แต่คำตอบที่ได้รับกลับไปไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย

 

“กระหม่อมเคยบอกหัวหน้ากลุ่มการค้าดิวรักไปแล้ว อันที่จริงกระหม่อมตั้งใจจะวางมือจากกิจการผ้าทอพ่ะย่ะค่ะ จักรพรรดินี”

 

“…คะ?”

 

ดูเหมือนจะเพิ่งทราบเรื่องนี้เป็นครั้งแรกจริงๆ ในที่สุดโป๊กเกอร์เฟสของจักรพรรดินีก็แตกเพล้ง

 

บางทีคงจะคิดว่า ถ้าหากแกนนำกิจการอย่างท่านพ่อถอนตัวออกไป กิจการอาจจะล้มเหลวก็เป็นได้

 

มันเป็นแหล่งสนับสนุนทางการเงินที่จะนำพาเจ้าชายลำดับที่หนึ่งไปสู่ตำแหน่งรัชทายาท หากถูกตัดขาดออกไป คงจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่

 

“ตั้งใจจะทำธุรกิจส่วนตัวพ่ะย่ะค่ะ”

 

“นั่นมันช่าง…รวดเร็วจริงๆ นะคะ แต่จะไม่รีบร้อนเกินไปหน่อยหรือคะ อยากให้อยู่ช่วยกลุ่มการค้าดิวรักต่ออีกสักหน่อยแท้ๆ”

 

“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ แต่คงไม่ได้”

 

ถึงแม้จักรพรรดินีที่กำลังตื่นตระหนกจะพยายามเกลี้ยกล่อมทุกวิถีทาง แต่ท่านพ่อก็ไม่แม้แต่จะสะดุ้งสะเทือน

 

“กลุ่มการค้าลอมบาร์เดียจะคอยช่วยเหลือกลุ่มการค้าดิวรักไปตลอดไม่ได้อยู่แล้วนี่พ่ะย่ะค่ะ”

 

พูดง่ายๆ ตอนนี้พวกเจ้าก็ไปจัดการช่วยเหลือกันเองก็แล้วกัน

 

ริมฝีปากของจักรพรรดินีสั่นระริก และเมื่อประเมินได้ว่าคำพูดนั่นหมายความว่าอะไร แววตาของจักรพรรดินีก็เปลี่ยนไปในทันที

 

จนถึงเมื่อครู่นี้นางคิดอยู่ว่า จะต้องใช้วิธีการใดทำให้คนที่ดูอ่อนปวกเปียกคนนี้ยอมทำในสิ่งที่นางต้องการ แต่ดูท่าทางจะต้องเก็บพับความคิดพวกนั้นไปเสียแล้ว

 

“…ท่านแคลอฮันเป็นคนที่แตกต่างจากที่ข้าคิดเอาไว้มากเลยนะคะ”

 

“ไม่ทราบหรอกพ่ะย่ะค่ะว่าองค์จักรพรรดินีทรงคาดหวังอะไรในตัวกระหม่อม แต่ต้องขอประทานอภัยด้วยที่ไม่อาจทำให้พระองค์พอใจได้พ่ะย่ะค่ะ”

 

เดิมทีท่านพ่อไม่ใช่คนหนักแน่นแบบนั้น ท่าทางจะไม่ชอบใจองค์จักรพรรดินีจริงๆ

 

เธอเองก็เหมือนกัน

 

ทั้งเรื่องเจ้าชายลำดับที่สอง ทั้งการปฏิบัติต่อลอมบาร์เดียก็ด้วย ช่างเป็นคนที่ชั่วร้ายในหลายด้านเหลือเกิน

 

งานเลี้ยงมื้อเย็นจบลงโดยที่ไม่รู้แล้วว่าทานอาหารเข้าไปทางปากหรือทางจมูก

 

ระหว่างทางที่นั่งรถม้ากลับคฤหาสน์ ท่านพ่อแทบจะไม่พูดอะไรออกมา ยกเว้นคำพูดประโยคเดียวที่ท่านพูดตอนลูบหน้าพลางมองเธอที่กำลังหลับใหล นอนฟุบลงบนหน้าตักของท่านพ่อเพราะเลยเวลาเข้านอนไปนานแล้ว

 

‘เพราะข้ามันไร้อำนาจ…’

 

ท่านพ่อเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง เอาแต่พึมพำอยู่เช่นนั้น

 

 

ภายในห้องมืดมิดมีเพียงแสงจากเปลวเทียนหนึ่งเล่ม

 

มันอาจจะเป็นแค่วังเล็กๆ แต่สำหรับเด็กชายอายุสิบเอ็ดที่เหลือตัวคนเดียวแล้ว มันเป็นพื้นที่ที่ใหญ่และอ้างว้างมากเกินไป

 

เฟเรสนั่งอยู่มุมเตียงราวกับซ่อนกาย เขาเปิดถุงใบเล็กที่ยังไม่คุ้นมือนัก จากนั้นถึงได้เทยาสีทองที่อยู่ข้างในนั้นออกมาในปริมาณเท่ากับที่ฟีเรนเทียบอก ก่อนจะดื่มมันลงรวดเดียว

 

มันเป็นยารสขม แต่เฟเรสกลับไม่มีท่าทีอันใด

 

เพราะต่อให้แสดงความรู้สึกออกไป ตอนนี้ก็ไม่มีใครสนใจมองเขาอยู่ดี

 

เฟเรสปิดฝาขวดยาแน่นไม่ให้มันหกออกมาได้แม้แต่หยดเดียว คราวนี้เขาหยิบลูกกวาดเม็ดกลมออกมาใส่ปากเคี้ยว

 

แก้มขาวเนียนป่องตามรูปทรงของลูกกวาด

 

“…หวาน”

 

เฟเรสพึมพำพร่ำบ่น

 

รสขมนั้นเขาคุ้นเคยกับมันดีจนเบื่อหน่าย แต่รสหวานแบบนี้นั้นไม่ใช่

 

ไม่คุ้นเคย ทั้งยังแปลกพิกล

 

แต่เฟเรสก็ยังดุนดันลูกอมในปากให้กลิ้งไปทั่ว เพราะเริ่มค่อยๆ รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาทีละน้อย

 

เป็นรสหวานที่แผ่ซ่านไปทั่วนี่หรือที่ทำให้หัวใจเต้นตึ้กตั้ก

 

หรือว่า…

 

เฟเรสลูบไล้พื้นผิวกระเป๋าถือใบนุ่ม นึกถึงใบหน้าของฟีเรนเทียที่ได้พบกันเมื่อช่วงกลางวัน

 

ใบหน้าน่ารักขนาดที่ทำให้เขาเผลอคิดไปว่านางเป็นภูตน้อยในป่าลึก

 

โดยเฉพาะนัยน์ตากลมโตสีเขียวเหมือนยกเอาสีของใบหญ้ามาทั้งแบบนั้น มันเอาแต่ฝังแน่นอยู่ในหัวสมองของเขาไม่จางหาย และยังมีคำพูดที่เด็กคนนั้นพูดทิ้งไว้อีก

 

‘อยากให้เจ้ามีชีวิตอยู่ ไม่สิ คิดว่าเจ้าจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป’

 

เฟเรสกำขวดยาในมือแน่น ราวกับจะไม่มีวันปล่อยให้ใครหน้าไหนแย่งชิงมันไปได้ทั้งสิ้น

 

กลุกกลัก

 

เขาใช้ลิ้นดุนดันลูกกวาดในปากให้กลิ้งอีกครั้ง

 

“…หวาน”

 

เฟเรสเหม่อมองแสงเปลวเทียนสั่นไหวไปมาจนเกิดรูปเงา พลางพูดพึมพำเสียงแผ่ว

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 26.2

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 26.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในระหว่างที่ทุกคนกำลังยุ่งอยู่กับการจัดเตรียมอาหาร เธอรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างแปลกไปเล็กน้อย

 

อย่างไรก็เป็นพระโอรส แต่หลังจากที่จักรพรรดิเสด็จมาถึงงาน พระองค์ก็ไม่ได้มองเจ้าชายลำดับที่หนึ่งเลยแม้แต่ครั้งเดียว

 

อาสทาน่าเองก็ดูจะไม่สนใจอะไร คล้ายกับว่าเคยชินกับบิดาที่เป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว

 

“แล้วนี่ก่อนข้าจะมา พูดคุยเรื่องอะไรกันไปแล้วบ้างล่ะ”

 

“ไม่มีเรื่องอะไรหรอกเพคะ เพียงแค่กำลังทักทายกันอยู่เท่านั้นเอง”

 

จักรพรรดินีเปลี่ยนเรื่องด้วยเสียงหัวเราะ

 

ท่านพ่อจ้องจักรพรรดินีที่กล่าวเช่นนั้นเขม็ง

 

“ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้นนะ แคลอฮัน?”

 

จักรพรรดิมองท่านพ่อสลับไปมากับจักรพรรดินี ก่อนจะตรัสออกมา

 

“หากมีเรื่องอะไรค้างคาใจ ก็พูดออกมาตรงๆ เถอะ”

 

แต่คล้ายกับคำพูดของจักรพรรดิเองก็ไม่ได้จริงใจอะไรนัก เป็นเพียงแค่คำพูดลอยๆ มากกว่า

 

ท่าทางไม่ได้อยากรู้เลยแม้แต่น้อยว่าท่านพ่ออยากจะพูดอะไร ส่วนจักรพรรดินีเองก็ดูเหมือนจะไม่คิดว่าท่านพ่อจะกล้าพูดอะไรต่อหน้าองค์จักรพรรดิอยู่แล้ว ท่าทางยามจิบไวน์ผลไม้ที่ผู้ดูแลเทให้จึงดูผ่อนคลายมากนัก

 

เพราะอย่างนี้ฟีเรนเทียจึงโมโหสองคนนี้ที่หากอยู่ต่อหน้าท่านปู่ของพวกเรา จะพูดอะไรแม้แต่คำเดียวยังต้องระมัดระวัง กลับดูหมิ่นท่านพ่อถึงเพียงนี้แต่ในขณะเดียวกันท่าทางผ่อนคลายของจักรพรรดินีเองก็ถือว่าเหมาะสม

 

เพราะเธอเองก็คิดว่าท่านพ่อคงจะไม่พูดอะไรออกมาเหมือนกัน

 

แต่ว่า

 

“กำลังพูดกับจักรพรรดินีเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างทางมางานเลี้ยงวันนี้น่ะพ่ะย่ะค่ะ”

 

น่าตกใจที่แม้แต่อยู่ต่อหน้าจักรพรรดิ ท่านพ่อก็ยังไม่ยอมถอย

 

ทั้งองค์จักรพรรดิ ทั้งจักรพรรดินี ต่างก็คงจะไม่คิดว่าท่านพ่อจะกล้าถึงขนาดนี้ ใบหน้ายิ้มแย้มถึงได้หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง

 

“มีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ”

 

จักรพรรดิลูบเคราในขณะที่ตรัสถาม

 

“รถม้าของพวกเราถูกกองกำลังอัศวินส่วนพระองค์บังคับตรวจค้นพ่ะย่ะค่ะ”

 

“หืม?”

 

องค์จักรพรรดิเองก็ดูจะตกใจไม่น้อย ก่อนจะเหลือบตามองจักรพรรดินี

 

“ฮ่าๆ มีเรื่องแบบนั้นด้วยเหรอเนี่ย”

 

ท่าทางจะพอรู้อยู่บ้างแล้วว่ามีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น

 

ดูเหมือนว่าการท้าทายด้วยวิธีการเช่นนั้นจะไม่ได้เกิดขึ้นแค่เฉพาะกับพวกเราสินะ

 

เธอสังหรณ์ใจอย่างรุนแรงว่า บางทีแม้แต่เบเจอร์เองก็อาจจะเจอเรื่องแบบเดียวกันนี่ก็ได้

 

จักรพรรดินีหลุบตามองลงต่ำ ไม่เผยสีหน้าใดๆ ออกมาให้เห็น

 

“อย่างไรก็ตาม…คงจะมีเรื่องเข้าใจผิดอะไรกันกระมัง”

 

องค์จักรพรรดินิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตรัสออกมา

 

“พวกนั้นสั่งให้รถม้าติดสัญลักษณ์ตระกูลลอมบาร์เดียจอดพ่ะย่ะค่ะ คงจะไม่ใช่การเข้าใจผิดหรอกนะพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

 

“…แคลอฮัน ดูเหมือนเจ้าจะโมโหมากเลยนะ”

 

ท่าทางของท่านพ่อในตอนนี้ดูไม่เหมือนกับท่านพ่อเลยจริงๆ เพราะเป็นคนนิสัยทึ่มทื่อ ต่อให้ไม่ใช่จักรพรรดิแต่เป็นแค่พวกลูกจ้าง ก็ยังไม่ค่อยกล้าพูดกับพวกเขาเลยด้วยซ้ำ วันนี้กลับดูแตกต่างไปจากปกติเป็นอย่างมาก

 

“ลูกสาวกระหม่อมตกใจมากพ่ะย่ะค่ะ”

 

ท่านพ่อเอ่ยตอบเสียงทุ้มต่ำ

 

ในตอนนั้นเอง เธอถึงได้เข้าใจพฤติกรรมของท่านพ่อ

 

ที่ตอนนี้ท่านพ่อกำลังโกรธ ไม่ได้เป็นเพราะตัวเองถูกเหยียดหยาม แต่เป็นเพราะพวกอัศวินทำให้เธอหวาดกลัวต่างหากล่ะ

 

รู้สึกราวกับสายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านมาบนโต๊ะอาหารอยู่ครู่หนึ่ง

 

“ฮ่าฮ่า! ขอโทษจริงๆ!”

 

ถึงแม้จะหัวเราะอย่างคนใจกว้าง แต่สุดท้ายจักรพรรดิก็ต้องกล่าวขอโทษอยู่ดีแต่คำพูดหลังจากนั้นก็ยังไม่มีการเอ่ยอ้างถึงจักรพรรดินีเลยแม้แต่คำเดียว

 

“ช่วยเข้าใจความโง่เขลาของอัศวินพวกนั้นด้วยเถอะนะยังมีอยู่หลายคนที่จงรักภักดีเสียจนไม่อาจยอมรับความสัมพันธ์พิเศษระหว่างลอมบาร์เดียกับราชวงศ์อยู่”

 

สุดท้ายคนที่กลายเป็นแพะรับบาปก็คือ พวกอัศวิน

 

จักรพรรดินีผู้สั่งการทุกเรื่องกลับหลุดลอยไปได้และโยนความผิดให้กับพวกอัศวินแทน

 

ท่านพ่อเองก็รู้เรื่องนั้นดี จึงได้แต่ถอนหายใจแผ่วเบา พยักหน้าลง

 

“เพียงแต่หวังว่าจะไม่มีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นอีกนะพ่ะย่ะค่ะ”

 

“แน่นอนๆ จะไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีก! เอาละดื่มให้ข้าสักแก้ว!”

 

จักรพรรดิตบหน้าอกตัวเองเป็นการการันตี ก่อนจะเทเหล้าให้ท่านพ่อ

 

ฟีเรนเทียแสร้งทำเป็นดื่มน้ำผลไม้ที่วางอยู่ตรงหน้า ลอบสำรวจใบหน้าของจักรพรรดินี แต่แล้วก็ต้องขนลุกชันขึ้นมาใบหน้างดงามนั่นยังคงแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มเหมือนเคย ทว่านัยน์ตาดุดันคู่นั้นกำลังจับจ้องไปที่ท่านพ่อไม่กะพริบ

 

เธอเองก็รู้ตั้งแต่ที่นางพยายามฆ่าเจ้าชายลำดับที่สองด้วยวิธีการเช่นนั้นอยู่แล้ว แต่นางช่างเป็นคนที่น่ากลัวจริงๆ

 

งานเลี้ยงมื้อเย็นจึงเริ่มขึ้นอย่างเต็มรูปแบบเช่นนั้น อาหารที่ถูกจัดเตรียมไว้เริ่มถูกทยอยนำออกมาเสิร์ฟ

 

ในเมื่อเป็นงานที่จักรพรรดินีรับรองด้วยตัวพระองค์เอง แน่นอนว่าอาหารพวกนี้ย่อมเป็นอาหารหรูหราน่าทาน แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับตระกูลลอมบาร์เดียอยู่ดี

 

ในตอนที่เธอกำลังประเมินการต้อนรับด้วยความเย็นชาเช่นนั้นจู่ๆ องค์จักรพรรดิที่กำลังสนทนาเรื่องโน่นนี่อยู่กับท่านพ่อ ก็โยนคำถามเกี่ยวกับกิจการขึ้นมา

 

“ใช่แล้ว ได้ยินว่ากิจการที่เจ้าเป็นผู้นำให้ผลที่งอกเงยมากทีเดียว”

 

แม้แต่จักรพรรดินีที่แทบจะไม่ได้พูดอะไรหลังจากที่ท่านพ่อตำหนิองค์จักรพรรดิยังให้ความสนใจกับเรื่องครั้งนี้

 

“สองตระกูลอย่างอังเกนัสและลอมบาร์เดียที่เรียกได้ว่าเป็นแกนนำสำคัญของอาณาจักร มาร่วมมือกันทำงานแบบนี้นี่ดีจริง!”

 

“…ชมเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

 

ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่อังเกนัสกลายเป็นแกนนำของอาณาจักรแห่งนี้?

 

องค์จักรพรรดิแอบยกระดับอังเกนัสซึ่งเป็นตระกูลฝั่งภริยาของตน ให้ขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกับลอมบาร์เดีย

 

ก็นะตอนนี้จักรพรรดิโยบาเนสกำลังพยายามใช้ตระกูลอังเกนัสมาคานอำนาจของตระกูลลอมบาร์เดียอยู่

 

นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่พระองค์แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องใดๆ ทั้งๆ ที่ทราบดีว่าจักรพรรดินีทำเรื่องอะไรกับเจ้าชายลำดับที่สองบ้าง

 

ทว่าสามปีให้หลัง ตระกูลอังเกนัสจะทำให้องค์จักรพรรดิเกิดโทสะเพราะการหลบเลี่ยงภาษี ความสัมพันธ์ของจักรพรรดิและจักรพรรดินีเองก็จบลงด้วยเช่นกัน

 

“ต่อไปก็คอยช่วยเหลือกลุ่มการค้าดิวรักด้วยนะคะ ท่านชายลอมบาร์เดีย พวกเขาเพิ่งจะเริ่มทำการค้า จึงยังไม่เชี่ยวชาญนัก”

 

จักรพรรดินียิ้มเป็นมิตร ในขณะที่เอ่ยพูดกับท่านพ่อ

 

แต่คำตอบที่ได้รับกลับไปไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย

 

“กระหม่อมเคยบอกหัวหน้ากลุ่มการค้าดิวรักไปแล้ว อันที่จริงกระหม่อมตั้งใจจะวางมือจากกิจการผ้าทอพ่ะย่ะค่ะ จักรพรรดินี”

 

“…คะ?”

 

ดูเหมือนจะเพิ่งทราบเรื่องนี้เป็นครั้งแรกจริงๆ ในที่สุดโป๊กเกอร์เฟสของจักรพรรดินีก็แตกเพล้ง

 

บางทีคงจะคิดว่า ถ้าหากแกนนำกิจการอย่างท่านพ่อถอนตัวออกไป กิจการอาจจะล้มเหลวก็เป็นได้

 

มันเป็นแหล่งสนับสนุนทางการเงินที่จะนำพาเจ้าชายลำดับที่หนึ่งไปสู่ตำแหน่งรัชทายาท หากถูกตัดขาดออกไป คงจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่

 

“ตั้งใจจะทำธุรกิจส่วนตัวพ่ะย่ะค่ะ”

 

“นั่นมันช่าง…รวดเร็วจริงๆ นะคะ แต่จะไม่รีบร้อนเกินไปหน่อยหรือคะ อยากให้อยู่ช่วยกลุ่มการค้าดิวรักต่ออีกสักหน่อยแท้ๆ”

 

“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ แต่คงไม่ได้”

 

ถึงแม้จักรพรรดินีที่กำลังตื่นตระหนกจะพยายามเกลี้ยกล่อมทุกวิถีทาง แต่ท่านพ่อก็ไม่แม้แต่จะสะดุ้งสะเทือน

 

“กลุ่มการค้าลอมบาร์เดียจะคอยช่วยเหลือกลุ่มการค้าดิวรักไปตลอดไม่ได้อยู่แล้วนี่พ่ะย่ะค่ะ”

 

พูดง่ายๆ ตอนนี้พวกเจ้าก็ไปจัดการช่วยเหลือกันเองก็แล้วกัน

 

ริมฝีปากของจักรพรรดินีสั่นระริก และเมื่อประเมินได้ว่าคำพูดนั่นหมายความว่าอะไร แววตาของจักรพรรดินีก็เปลี่ยนไปในทันที

 

จนถึงเมื่อครู่นี้นางคิดอยู่ว่า จะต้องใช้วิธีการใดทำให้คนที่ดูอ่อนปวกเปียกคนนี้ยอมทำในสิ่งที่นางต้องการ แต่ดูท่าทางจะต้องเก็บพับความคิดพวกนั้นไปเสียแล้ว

 

“…ท่านแคลอฮันเป็นคนที่แตกต่างจากที่ข้าคิดเอาไว้มากเลยนะคะ”

 

“ไม่ทราบหรอกพ่ะย่ะค่ะว่าองค์จักรพรรดินีทรงคาดหวังอะไรในตัวกระหม่อม แต่ต้องขอประทานอภัยด้วยที่ไม่อาจทำให้พระองค์พอใจได้พ่ะย่ะค่ะ”

 

เดิมทีท่านพ่อไม่ใช่คนหนักแน่นแบบนั้น ท่าทางจะไม่ชอบใจองค์จักรพรรดินีจริงๆ

 

เธอเองก็เหมือนกัน

 

ทั้งเรื่องเจ้าชายลำดับที่สอง ทั้งการปฏิบัติต่อลอมบาร์เดียก็ด้วย ช่างเป็นคนที่ชั่วร้ายในหลายด้านเหลือเกิน

 

งานเลี้ยงมื้อเย็นจบลงโดยที่ไม่รู้แล้วว่าทานอาหารเข้าไปทางปากหรือทางจมูก

 

ระหว่างทางที่นั่งรถม้ากลับคฤหาสน์ ท่านพ่อแทบจะไม่พูดอะไรออกมา ยกเว้นคำพูดประโยคเดียวที่ท่านพูดตอนลูบหน้าพลางมองเธอที่กำลังหลับใหล นอนฟุบลงบนหน้าตักของท่านพ่อเพราะเลยเวลาเข้านอนไปนานแล้ว

 

‘เพราะข้ามันไร้อำนาจ…’

 

ท่านพ่อเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง เอาแต่พึมพำอยู่เช่นนั้น

 

 

ภายในห้องมืดมิดมีเพียงแสงจากเปลวเทียนหนึ่งเล่ม

 

มันอาจจะเป็นแค่วังเล็กๆ แต่สำหรับเด็กชายอายุสิบเอ็ดที่เหลือตัวคนเดียวแล้ว มันเป็นพื้นที่ที่ใหญ่และอ้างว้างมากเกินไป

 

เฟเรสนั่งอยู่มุมเตียงราวกับซ่อนกาย เขาเปิดถุงใบเล็กที่ยังไม่คุ้นมือนัก จากนั้นถึงได้เทยาสีทองที่อยู่ข้างในนั้นออกมาในปริมาณเท่ากับที่ฟีเรนเทียบอก ก่อนจะดื่มมันลงรวดเดียว

 

มันเป็นยารสขม แต่เฟเรสกลับไม่มีท่าทีอันใด

 

เพราะต่อให้แสดงความรู้สึกออกไป ตอนนี้ก็ไม่มีใครสนใจมองเขาอยู่ดี

 

เฟเรสปิดฝาขวดยาแน่นไม่ให้มันหกออกมาได้แม้แต่หยดเดียว คราวนี้เขาหยิบลูกกวาดเม็ดกลมออกมาใส่ปากเคี้ยว

 

แก้มขาวเนียนป่องตามรูปทรงของลูกกวาด

 

“…หวาน”

 

เฟเรสพึมพำพร่ำบ่น

 

รสขมนั้นเขาคุ้นเคยกับมันดีจนเบื่อหน่าย แต่รสหวานแบบนี้นั้นไม่ใช่

 

ไม่คุ้นเคย ทั้งยังแปลกพิกล

 

แต่เฟเรสก็ยังดุนดันลูกอมในปากให้กลิ้งไปทั่ว เพราะเริ่มค่อยๆ รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาทีละน้อย

 

เป็นรสหวานที่แผ่ซ่านไปทั่วนี่หรือที่ทำให้หัวใจเต้นตึ้กตั้ก

 

หรือว่า…

 

เฟเรสลูบไล้พื้นผิวกระเป๋าถือใบนุ่ม นึกถึงใบหน้าของฟีเรนเทียที่ได้พบกันเมื่อช่วงกลางวัน

 

ใบหน้าน่ารักขนาดที่ทำให้เขาเผลอคิดไปว่านางเป็นภูตน้อยในป่าลึก

 

โดยเฉพาะนัยน์ตากลมโตสีเขียวเหมือนยกเอาสีของใบหญ้ามาทั้งแบบนั้น มันเอาแต่ฝังแน่นอยู่ในหัวสมองของเขาไม่จางหาย และยังมีคำพูดที่เด็กคนนั้นพูดทิ้งไว้อีก

 

‘อยากให้เจ้ามีชีวิตอยู่ ไม่สิ คิดว่าเจ้าจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป’

 

เฟเรสกำขวดยาในมือแน่น ราวกับจะไม่มีวันปล่อยให้ใครหน้าไหนแย่งชิงมันไปได้ทั้งสิ้น

 

กลุกกลัก

 

เขาใช้ลิ้นดุนดันลูกกวาดในปากให้กลิ้งอีกครั้ง

 

“…หวาน”

 

เฟเรสเหม่อมองแสงเปลวเทียนสั่นไหวไปมาจนเกิดรูปเงา พลางพูดพึมพำเสียงแผ่ว

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+