เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 10 หมัดเดียว

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 10 หมัดเดียว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 10 หมัดเดียว

 

 

 

“ข้าเป็นใครน่ะหรือ?”

 

ซูฉินมองไปที่เจินซิ่งแล้วกล่าวออกอย่างไม่ได้คิดอะไรมาก “ข้าก็คือเจินกวนแห่งลานจิปาถะอย่างไรเล่า เจ้าจำข้ามิได้หรอกรึ?”

 

“เป็นไปไม่ได้!”

 

เจินซิ่งจ้องไปที่ซูฉินอย่างระแวดระวัง “เจินกวนเป็นแค่พระกวาดลานของวัดเส้าหลิน ความแข็งแกร่งนั้นเรียกว่าต่ำมาก แต่เจ้า…”

 

เจินซิ่งต้องการจะเอ่ยถามคำต่อไป แต่ความรู้สึกถึงวิกฤติเกิดขึ้นในใจเขาอย่างรุนแรง มันกระตุ้นเตือนให้เขาหนีไป

 

วิ่ง!

 

วิ่ง!

 

ไม่งั้นตายแน่!

 

เจินซิ่งรู้ดีว่าเป็นจิตมารที่ฝังรากอยู่ในใจเขาเอ่ยเตือน

 

“เมื่อครู่ ใช่เจ้าหรือไม่ที่โจมตีข้า?”

 

เจินซิ่งพยายามทำตัวให้สงบลงอย่างเต็มที่และถามออกไป

 

“ถ้าสิ่งที่เจ้ากำลังกล่าวถึงคือใบไม้ล่ะก็ นั่นน่ะข้าทำเอง” ซูฉินยอมรับอย่างไม่มีปิดบัง

 

เมื่อได้ฟังคำเหล่านั้น เจินซิ่งไม่สามารถทำใจเชื่อได้ลง

 

เขารู้ว่ามีแค่ตัวตนระดับชั้นที่หนึ่งเท่านั้นเป็นอย่างน้อยถึงจะสามารถฆ่าเขาได้ด้วยใบไม้นั่น

 

ย้ำอีกครั้ง ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเชียวนะ!

 

ทั่วทั้งยุทธภพ มีคนเหล่านั้นเพียงหยิบมือเดียว คนเหล่านั้นเป็นพลังอันไร้เปรียบ

 

วัดเส้าหลินมีภูมิหลังที่ลึกซึ้งและไม่อาจประเมินวัดได้ ถ้าจะมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งซ่อนตัวอยู่อย่างลับๆ จริงๆ เจินซิ่งย่อมจะโกรธเกรี้ยวแต่มันก็พอรับได้อยู่

 

แต่ซูฉิน…

 

ซูฉินมันจะสามารถเป็นยอดปรมาจารย์ชนชั้นที่หนึ่งได้ยังไง?

 

มันอายุสักกี่ปีกันเชียว?

 

มันจะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งได้ยังไง?

 

แม้แต่ตัวเจินซิ่งเองถ้าปราศจากมรดกตกทอดจากมารพุทธะ ไม่มีจิตมารเพื่อเปลี่ยนแปลงร่างกาย อย่างมากเขาก็อยู่แค่ที่ระดับชั้นที่เจ็ด

 

แล้วนี่ยังต้องขึ้นอยู่กับการที่ได้รับทรัพยากรจากวัดเส้าหลินอย่างต่อเนื่องด้วยนะ

 

แต่ตอนนี้ มีคนมาบอกเขาว่าใครบางคนที่อายุพอๆ กับเขากลายเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเรียบร้อยแล้ว?

 

แถมคนคนนั้นยังเป็นแค่พระกวาดลานที่ไม่มีอะไรโดดเด่นอีกงั้นหรือ

 

เจินซิ่งจะยอมรับความห่างชั้นนี้ได้อย่างไร

 

“เป็นไปไม่ได้!”

 

“มันเป็นไปไม่ได้!!!”

 

เจินซิ่งพึมพำอยู่กับตนเอง พลังมารในร่างของเขาถูกปลดปล่อยออกมา

 

การเป็นผู้สืบทอดของมารพุทธะนั้นเดิมทีก็เป็นเหมือน ‘ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปที่สร้างมาอย่างลวกๆ‘ ทุกคนต้องอาศัยจิตมารเพื่อปรับสภาพร่างกาย และพยายามอย่างยากลำบากเพื่อที่จะเข้าใจให้ลึกซึ้งถึงพลังของตนเอง

 

แต่ในตอนนี้ เมื่อได้ถูกกระตุ้นเตือนด้วยเรื่องราวแท้จริงในโลกภายนอกแบบนี้ เขารู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่งเมื่อได้รู้ความเป็นไปของโลก

 

 

“นี่…”

 

“ถ้าแกแค่อยากจะหลบหนีออกจากวัดเส้าหลิน ข้าจะไม่ใส่ใจแกเลย”

 

“ไม่ว่าจะเป็นมารพุทธะหรือองค์ยูไล มันจะมีอะไรมาเกี่ยวข้องกับข้าเล่า? ก็แค่พระกวาดลานใช่ไหมล่ะ?”

 

ซูฉินถอนหายใจออก น้ำเสียงของเขาเริ่มถูกกดต่ำลงเรื่อยๆ “แต่ทำไมแกจะต้องมาทำลายวัดเส้าหลินด้วย?”

 

“ถ้าวัดเส้าหลินถูกทำลายลง ข้าจะไปกวาดพื้นได้ที่ไหนอีก?”

 

ใบหน้าของซูฉินเริ่มจะสงบอารมณ์ไว้ไม่ไหว

 

ในที่สุดเขาก็ค้นพบสถานที่ที่ประหนึ่งขุมทรัพย์ให้เขาได้ลงชื่อรับของรางวัลแบบวัดเส้าหลินแห่งนี้ ดังนั้นเขาจะปล่อยให้มันถูกทำลายลงได้อย่างไร?

 

“กวาด…กวาดพื้นงั้นหรือ?”

 

เจินซิ่งดูเหมือนจะสับสนและหยุดการตอบสนองใดๆ ไปนานพอตัว

 

ตอนนี้เขาคิดมากถึงขนาดว่าบางที่ซูฉินอาจจะเป็นยอดอัจฉริยะที่ถูกวัดเส้าหลินฝึกฝนอย่างลับๆ เพราะทางวัดอาจจะกลัวว่าโลกภายนอกจะอิจฉาที่มีศิษย์อัจฉริยะแบบนี้ พวกเขาจึงจงใจวางซูฉินไว้ในตำแหน่งพระกวาดลานสังกัดลานจิปาถะ

 

ถึงแม้ว่านี่ดูจะยังไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมซูฉินจึงได้เป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งได้ด้วยอายุเท่านี้ แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เจินซิ่งรู้สึกดีขึ้นหน่อย

 

แต่เมื่อกี้ ฟังจากคำพูดของซูฉินแล้ว เขาดูเหมือนแค่พระกวาดลานสุดๆ ไปเลยไม่ใช่หรือ?

 

เหตุผลที่ทำไมเขาจึงถูกโจมตีโดยเจ้าหมอนี่เพราะเขาต้องการจะทำลายวัดเส้าหลิน และทำลายสถานที่ปัดกวาดเช็ดถูของหมอนี่งั้นหรือ?

 

เจินซิ่งรู้สึกถึงรสชาติหวานในลำคอ แทบจะกระอักเลือดออกมา

 

“แกจะดูหมิ่นข้าเกินไปแล้ว!!”

 

ดวงตาของมันแดงก่ำ พลังมารไร้สิ้นสุดถูกปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง ปกคลุมไปทุกทิศทาง

 

พลังมารสีดำเข้มข้นราวกับเป็นตาข่ายล้อมจับที่ไร้ทางหนี คุมขังซูฉินไว้ภายใน

 

“ข้าไม่เชื่อ!”

 

“ข้าไม่เชื่อว่าแกจะเป็นยอดปรมาจารย์เด็ดขาด!”

 

ด้านหลังของเจินซิ่งมารพุทธะครึ่งดำครึ่งทองเปล่งแสงออกมา

 

เจินซิ่งรู้ดีอยู่แกใจว่าถ้าซูฉินเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่โจมตีเขาในวัดจริงๆ ต่อให้เขาวิ่งหนีไปสุดขอบโลก ยังไงเขาก็ไม่รอดพ้นความตาย

 

แต่ถ้าซูฉินไม่ใช่ปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งแล้วล่ะก็ มันจะต้องตายลงด้วยความโกรธเกรี้ยวของเขา

 

ฟูม!

 

พลังมารอันน่าสยดสยองสั่นสะเทือนขวัญผู้คน

 

“ในเมื่อแกเคยเป็นศิษย์ของลานอรหันต์”

 

“ฉะนั้น แกต้องจำ [หมัดอรหันต์] ได้อยู่บ้างสินะ?”

 

ซูฉินยกมือขวาขึ้น ไอพลังของเขาถูกปลดปล่อยออกมา ค่อยๆ เคลื่อนไหวไปตามกระบวนท่าของ [หมัดอรหันต์]

 

“หมัดอรหันต์?”

 

เจินซิ่งรู้สึกว่าตนได้ยินเรื่องน่าหัวร่อ

 

[หมัดอรหันต์] เป็นวิชาต่อสู้ที่เป็นพื้นฐานสุดๆ ของลานอรหันต์ แม้แต่เณรที่เพิ่งเข้ามาใหม่ในตำหนักก็ยังฝึกฝนมันได้ง่ายๆ

 

แต่เมื่อครู่ ซูฉินไม่ได้มีความต้องการที่จะใช้สุดยอดวิชาหลากหลายแขนงในวัดเส้าหลิน แต่กลับจะใช้วิชาพื้นฐานที่สุดมาจัดการกับเขาแทนหรอ?

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

 

“สมควรตาย!!!”

 

ไอพลังสีดำระเบิดออก พลังของเจินซิ่งพุ่งขึ้นสูงเสียดฟ้า

 

อย่างไรก็ตาม

 

ถัดจากนั้น

 

ซูฉินปล่อยหมัดเบาๆ เข้าใส่เจินซิ่ง

 

ไม่อาจจะมีใครอธิบายความน่ากลัวของหมัดนี้ได้

 

หมัดนี้ถูกเหวี่ยงออกคล้ายกับมีอรหันต์ตัวเป็นๆ มาปล่อยหมัดใส่ พลังมารถูกฉีกกระชากออกพุ่งตรงเข้าใส่หน้าอกเจินซิ่ง

 

แกร็ก

 

สายตาของของเจินซิ่งมืดมัวลงอย่างรวดเร็ว ไอพลังสีดำจางหายไป

 

“งั้นนี่ก็คือ [หมัดอรหันต์] ที่แท้จริง…”

 

เสียงของเจินซิ่งมีแต่แผ่วลงแล้วก็แผ่วลง ก่อนที่เข่าจะทรุดลงกับพื้น

 

ซูม

 

ควันสีดำทะมึนพวยพุ่งออกมาจากร่างเจินซิ่ง เมื่อต้องแสงแดดมันก็กระจายหายไปอย่างรวดเร็ว

 

“นี่คือจิตมารงั้นรึ?”

 

ซูฉินรอคอยจนกระทั่งจิตมารระเหยหายไปจนหมดก่อนที่จะเดินจากไป

 

 

ไม่กี่ชั่วโมงให้หลัง ณ วัดเส้าหลิน

 

เมื่อผู้สืบทอดของมารพุทธะได้จากไป จิตมารดับสูญ เหล่าหัวหน้าตำหนักก็ค่อยๆ ตื่นขึ้นอย่างช้าๆ

 

กลุ่มหัวหน้าตำหนักอยู่ระดับชั้นที่สาม เป็นธรรมดาที่การฟื้นตัวจะสูงมาก

 

“ท่านเจ้าอาวาส มารร้ายมันไปอยู่ที่ไหนแล้ว?” หัวหน้าลานอรหันต์กล่าวถาม พยายามสะกดกลั้นโทสะ

 

เมื่อกล่าวคำออก ทุกคนล้วนแต่ตกใจ

 

กว่าเก้าร้อยปี ผู้สืบทอดมารพุทธะที่ดุดันและชั่วร้าย พวกมันทั้งหมดต่างพุ่งเป้าจะทำลายล้างวัดเส้าหลิน

 

แล้ววันนี้ท่านเจ้าอาวาสได้รับบาดเจ็บสาหัส หัวหน้าตำหนักพ่ายแพ้ แต่วัดเส้าหลินกลับไร้เภทภัย นี่ทำให้เหล่าหัวหน้าตำหนักสงสัยเอามากๆ

 

“เมื่อกี้นี้ผู้เชี่ยวชาญของวัดเส้าหลินเราได้ลงมือ ขับไล่ทายาทมารพุทธะออกไปแล้วด้วยใบไม้”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินหันไปยังพวกหัวหน้าตำหนักแล้วเปิดเปลือกตาอย่างเชื่องช้า

 

“ผู้ชี่ยวชาญ?”

 

“ใบไม้ถึงกับสร้างความหวาดกลัวให้ทายาทมารพุทธะ?”

 

“มันเป็นไปได้ยังไงกัน”

 

“ทายาทของมารพุทธะได้เข้าสู่ระดับชั้นที่สองเรียบร้อยแล้ว”

 

“มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่ขับไล่ออกไปได้ด้วยใบไม้?”

 

เหล่าหัวหน้าตำหนักตกใจและไม่อยากจะเชื่อ

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินนำหัวหน้าตำหนักไปดูระฆังโบราณพันปีที่ด้านนอกลานธรรม ชี้ไปที่ใบไม้ใบหนึ่งที่ปักอยู่ที่ตัวระฆัง “ความจริงก็เป็นอย่างที่เห็นนั่นล่ะ”

 

“ใบไม้จริงๆ หรือนี่?”

 

“นอกจากนี้ข้ายังรู้สึกได้ถึงไอพลังหยางอันบริสุทธิ์มาจากใบไม้นี้ด้วย”

 

“สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ มีเพียงแค่สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับชั้นที่หนึ่งเท่านั้นที่จะทำสิ่งนี้ได้ด้วยใบไม้ใบหนึ่ง!”

 

หัวหน้าตำหนักต่างลิงโลด

 

“อย่าเพิ่งดีใจเกินไปเลย”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินส่ายศีรษะน้อยๆ “ทายาทของมารพุทธะหนีไปได้ ตามประสบการณ์ที่ได้เจอทายาทมารพุทธะรุ่นก่อนๆ พวกนั้นสามารถเข้าสู่ระดับชั้นที่สองหรือแม้แต่ชั้นที่หนึ่งได้อีกครั้งในเวลาสองสามปี”

 

“ถึงแม้ทายาทของมารพุทธะจะถูกทำให้ต้องหลบหนีไปในครานี้ แต่เมื่อมันกลับมาที่เส้าหลินอีกครั้งในอนาคต อาตมากลัวว่ามันจักกลายมาเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งจริงๆ น่ะสิ”

 

คำพูดของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินทำเอาเหล่าหัวหน้าตำหนักสงบเสงี่ยมลงทันที

 

เป็นจริงดังนั้น

 

ถึงแม้ว่าวัดเส้าหลินจะมีสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับชั้นที่หนึ่งซุ่มซ่อนอยู่ แต่ผู้สืบทอดของมารพุทธะก็ไม่ใช่ว่าจะไปถึงระดับชั้นที่หนึ่งด้วยหรอกหรอ?

 

เมื่อเวลานั้นมาถึง ยังคงมีคำถามที่ค้างคาในใจว่าวัดเส้าหลินจะผ่านเหตุการณ์นั้นไปได้หรือเปล่า

 

ในตอนที่เจ้าอาวาสกำลังถกเถียงปัญหาอยู่กับเหล่าหัวหน้าตำหนักว่าจะทำอย่างไรดีในอนาคต ศิษย์วัดเส้าหลินคนหนึ่งก็รีบวิ่งเข้ามาหา

 

“ท่านเจ้าอาวาส ท่านหัวหน้าตำหนัก!” ศิษย์เส้าหลินคนนั้นพูดออกมาอย่างรวดเร็ว “ที่ด้านนอกวัดเส้าหลิน มีคนพบร่างของศิษย์พี่เจินซิ่งขอรับ”

 

“เจ้าว่ากระไรนะ?!”

 

“ทายาทแห่งมารพุทธะได้ตายลงแล้ว?”

 

ม่านตาของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินสั่นไหวด้วยความตื่นตกใจ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 10 หมัดเดียว

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 10 หมัดเดียว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 10 หมัดเดียว

 

 

 

“ข้าเป็นใครน่ะหรือ?”

 

ซูฉินมองไปที่เจินซิ่งแล้วกล่าวออกอย่างไม่ได้คิดอะไรมาก “ข้าก็คือเจินกวนแห่งลานจิปาถะอย่างไรเล่า เจ้าจำข้ามิได้หรอกรึ?”

 

“เป็นไปไม่ได้!”

 

เจินซิ่งจ้องไปที่ซูฉินอย่างระแวดระวัง “เจินกวนเป็นแค่พระกวาดลานของวัดเส้าหลิน ความแข็งแกร่งนั้นเรียกว่าต่ำมาก แต่เจ้า…”

 

เจินซิ่งต้องการจะเอ่ยถามคำต่อไป แต่ความรู้สึกถึงวิกฤติเกิดขึ้นในใจเขาอย่างรุนแรง มันกระตุ้นเตือนให้เขาหนีไป

 

วิ่ง!

 

วิ่ง!

 

ไม่งั้นตายแน่!

 

เจินซิ่งรู้ดีว่าเป็นจิตมารที่ฝังรากอยู่ในใจเขาเอ่ยเตือน

 

“เมื่อครู่ ใช่เจ้าหรือไม่ที่โจมตีข้า?”

 

เจินซิ่งพยายามทำตัวให้สงบลงอย่างเต็มที่และถามออกไป

 

“ถ้าสิ่งที่เจ้ากำลังกล่าวถึงคือใบไม้ล่ะก็ นั่นน่ะข้าทำเอง” ซูฉินยอมรับอย่างไม่มีปิดบัง

 

เมื่อได้ฟังคำเหล่านั้น เจินซิ่งไม่สามารถทำใจเชื่อได้ลง

 

เขารู้ว่ามีแค่ตัวตนระดับชั้นที่หนึ่งเท่านั้นเป็นอย่างน้อยถึงจะสามารถฆ่าเขาได้ด้วยใบไม้นั่น

 

ย้ำอีกครั้ง ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเชียวนะ!

 

ทั่วทั้งยุทธภพ มีคนเหล่านั้นเพียงหยิบมือเดียว คนเหล่านั้นเป็นพลังอันไร้เปรียบ

 

วัดเส้าหลินมีภูมิหลังที่ลึกซึ้งและไม่อาจประเมินวัดได้ ถ้าจะมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งซ่อนตัวอยู่อย่างลับๆ จริงๆ เจินซิ่งย่อมจะโกรธเกรี้ยวแต่มันก็พอรับได้อยู่

 

แต่ซูฉิน…

 

ซูฉินมันจะสามารถเป็นยอดปรมาจารย์ชนชั้นที่หนึ่งได้ยังไง?

 

มันอายุสักกี่ปีกันเชียว?

 

มันจะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งได้ยังไง?

 

แม้แต่ตัวเจินซิ่งเองถ้าปราศจากมรดกตกทอดจากมารพุทธะ ไม่มีจิตมารเพื่อเปลี่ยนแปลงร่างกาย อย่างมากเขาก็อยู่แค่ที่ระดับชั้นที่เจ็ด

 

แล้วนี่ยังต้องขึ้นอยู่กับการที่ได้รับทรัพยากรจากวัดเส้าหลินอย่างต่อเนื่องด้วยนะ

 

แต่ตอนนี้ มีคนมาบอกเขาว่าใครบางคนที่อายุพอๆ กับเขากลายเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเรียบร้อยแล้ว?

 

แถมคนคนนั้นยังเป็นแค่พระกวาดลานที่ไม่มีอะไรโดดเด่นอีกงั้นหรือ

 

เจินซิ่งจะยอมรับความห่างชั้นนี้ได้อย่างไร

 

“เป็นไปไม่ได้!”

 

“มันเป็นไปไม่ได้!!!”

 

เจินซิ่งพึมพำอยู่กับตนเอง พลังมารในร่างของเขาถูกปลดปล่อยออกมา

 

การเป็นผู้สืบทอดของมารพุทธะนั้นเดิมทีก็เป็นเหมือน ‘ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปที่สร้างมาอย่างลวกๆ‘ ทุกคนต้องอาศัยจิตมารเพื่อปรับสภาพร่างกาย และพยายามอย่างยากลำบากเพื่อที่จะเข้าใจให้ลึกซึ้งถึงพลังของตนเอง

 

แต่ในตอนนี้ เมื่อได้ถูกกระตุ้นเตือนด้วยเรื่องราวแท้จริงในโลกภายนอกแบบนี้ เขารู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่งเมื่อได้รู้ความเป็นไปของโลก

 

 

“นี่…”

 

“ถ้าแกแค่อยากจะหลบหนีออกจากวัดเส้าหลิน ข้าจะไม่ใส่ใจแกเลย”

 

“ไม่ว่าจะเป็นมารพุทธะหรือองค์ยูไล มันจะมีอะไรมาเกี่ยวข้องกับข้าเล่า? ก็แค่พระกวาดลานใช่ไหมล่ะ?”

 

ซูฉินถอนหายใจออก น้ำเสียงของเขาเริ่มถูกกดต่ำลงเรื่อยๆ “แต่ทำไมแกจะต้องมาทำลายวัดเส้าหลินด้วย?”

 

“ถ้าวัดเส้าหลินถูกทำลายลง ข้าจะไปกวาดพื้นได้ที่ไหนอีก?”

 

ใบหน้าของซูฉินเริ่มจะสงบอารมณ์ไว้ไม่ไหว

 

ในที่สุดเขาก็ค้นพบสถานที่ที่ประหนึ่งขุมทรัพย์ให้เขาได้ลงชื่อรับของรางวัลแบบวัดเส้าหลินแห่งนี้ ดังนั้นเขาจะปล่อยให้มันถูกทำลายลงได้อย่างไร?

 

“กวาด…กวาดพื้นงั้นหรือ?”

 

เจินซิ่งดูเหมือนจะสับสนและหยุดการตอบสนองใดๆ ไปนานพอตัว

 

ตอนนี้เขาคิดมากถึงขนาดว่าบางที่ซูฉินอาจจะเป็นยอดอัจฉริยะที่ถูกวัดเส้าหลินฝึกฝนอย่างลับๆ เพราะทางวัดอาจจะกลัวว่าโลกภายนอกจะอิจฉาที่มีศิษย์อัจฉริยะแบบนี้ พวกเขาจึงจงใจวางซูฉินไว้ในตำแหน่งพระกวาดลานสังกัดลานจิปาถะ

 

ถึงแม้ว่านี่ดูจะยังไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมซูฉินจึงได้เป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งได้ด้วยอายุเท่านี้ แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เจินซิ่งรู้สึกดีขึ้นหน่อย

 

แต่เมื่อกี้ ฟังจากคำพูดของซูฉินแล้ว เขาดูเหมือนแค่พระกวาดลานสุดๆ ไปเลยไม่ใช่หรือ?

 

เหตุผลที่ทำไมเขาจึงถูกโจมตีโดยเจ้าหมอนี่เพราะเขาต้องการจะทำลายวัดเส้าหลิน และทำลายสถานที่ปัดกวาดเช็ดถูของหมอนี่งั้นหรือ?

 

เจินซิ่งรู้สึกถึงรสชาติหวานในลำคอ แทบจะกระอักเลือดออกมา

 

“แกจะดูหมิ่นข้าเกินไปแล้ว!!”

 

ดวงตาของมันแดงก่ำ พลังมารไร้สิ้นสุดถูกปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง ปกคลุมไปทุกทิศทาง

 

พลังมารสีดำเข้มข้นราวกับเป็นตาข่ายล้อมจับที่ไร้ทางหนี คุมขังซูฉินไว้ภายใน

 

“ข้าไม่เชื่อ!”

 

“ข้าไม่เชื่อว่าแกจะเป็นยอดปรมาจารย์เด็ดขาด!”

 

ด้านหลังของเจินซิ่งมารพุทธะครึ่งดำครึ่งทองเปล่งแสงออกมา

 

เจินซิ่งรู้ดีอยู่แกใจว่าถ้าซูฉินเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่โจมตีเขาในวัดจริงๆ ต่อให้เขาวิ่งหนีไปสุดขอบโลก ยังไงเขาก็ไม่รอดพ้นความตาย

 

แต่ถ้าซูฉินไม่ใช่ปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งแล้วล่ะก็ มันจะต้องตายลงด้วยความโกรธเกรี้ยวของเขา

 

ฟูม!

 

พลังมารอันน่าสยดสยองสั่นสะเทือนขวัญผู้คน

 

“ในเมื่อแกเคยเป็นศิษย์ของลานอรหันต์”

 

“ฉะนั้น แกต้องจำ [หมัดอรหันต์] ได้อยู่บ้างสินะ?”

 

ซูฉินยกมือขวาขึ้น ไอพลังของเขาถูกปลดปล่อยออกมา ค่อยๆ เคลื่อนไหวไปตามกระบวนท่าของ [หมัดอรหันต์]

 

“หมัดอรหันต์?”

 

เจินซิ่งรู้สึกว่าตนได้ยินเรื่องน่าหัวร่อ

 

[หมัดอรหันต์] เป็นวิชาต่อสู้ที่เป็นพื้นฐานสุดๆ ของลานอรหันต์ แม้แต่เณรที่เพิ่งเข้ามาใหม่ในตำหนักก็ยังฝึกฝนมันได้ง่ายๆ

 

แต่เมื่อครู่ ซูฉินไม่ได้มีความต้องการที่จะใช้สุดยอดวิชาหลากหลายแขนงในวัดเส้าหลิน แต่กลับจะใช้วิชาพื้นฐานที่สุดมาจัดการกับเขาแทนหรอ?

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

 

“สมควรตาย!!!”

 

ไอพลังสีดำระเบิดออก พลังของเจินซิ่งพุ่งขึ้นสูงเสียดฟ้า

 

อย่างไรก็ตาม

 

ถัดจากนั้น

 

ซูฉินปล่อยหมัดเบาๆ เข้าใส่เจินซิ่ง

 

ไม่อาจจะมีใครอธิบายความน่ากลัวของหมัดนี้ได้

 

หมัดนี้ถูกเหวี่ยงออกคล้ายกับมีอรหันต์ตัวเป็นๆ มาปล่อยหมัดใส่ พลังมารถูกฉีกกระชากออกพุ่งตรงเข้าใส่หน้าอกเจินซิ่ง

 

แกร็ก

 

สายตาของของเจินซิ่งมืดมัวลงอย่างรวดเร็ว ไอพลังสีดำจางหายไป

 

“งั้นนี่ก็คือ [หมัดอรหันต์] ที่แท้จริง…”

 

เสียงของเจินซิ่งมีแต่แผ่วลงแล้วก็แผ่วลง ก่อนที่เข่าจะทรุดลงกับพื้น

 

ซูม

 

ควันสีดำทะมึนพวยพุ่งออกมาจากร่างเจินซิ่ง เมื่อต้องแสงแดดมันก็กระจายหายไปอย่างรวดเร็ว

 

“นี่คือจิตมารงั้นรึ?”

 

ซูฉินรอคอยจนกระทั่งจิตมารระเหยหายไปจนหมดก่อนที่จะเดินจากไป

 

 

ไม่กี่ชั่วโมงให้หลัง ณ วัดเส้าหลิน

 

เมื่อผู้สืบทอดของมารพุทธะได้จากไป จิตมารดับสูญ เหล่าหัวหน้าตำหนักก็ค่อยๆ ตื่นขึ้นอย่างช้าๆ

 

กลุ่มหัวหน้าตำหนักอยู่ระดับชั้นที่สาม เป็นธรรมดาที่การฟื้นตัวจะสูงมาก

 

“ท่านเจ้าอาวาส มารร้ายมันไปอยู่ที่ไหนแล้ว?” หัวหน้าลานอรหันต์กล่าวถาม พยายามสะกดกลั้นโทสะ

 

เมื่อกล่าวคำออก ทุกคนล้วนแต่ตกใจ

 

กว่าเก้าร้อยปี ผู้สืบทอดมารพุทธะที่ดุดันและชั่วร้าย พวกมันทั้งหมดต่างพุ่งเป้าจะทำลายล้างวัดเส้าหลิน

 

แล้ววันนี้ท่านเจ้าอาวาสได้รับบาดเจ็บสาหัส หัวหน้าตำหนักพ่ายแพ้ แต่วัดเส้าหลินกลับไร้เภทภัย นี่ทำให้เหล่าหัวหน้าตำหนักสงสัยเอามากๆ

 

“เมื่อกี้นี้ผู้เชี่ยวชาญของวัดเส้าหลินเราได้ลงมือ ขับไล่ทายาทมารพุทธะออกไปแล้วด้วยใบไม้”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินหันไปยังพวกหัวหน้าตำหนักแล้วเปิดเปลือกตาอย่างเชื่องช้า

 

“ผู้ชี่ยวชาญ?”

 

“ใบไม้ถึงกับสร้างความหวาดกลัวให้ทายาทมารพุทธะ?”

 

“มันเป็นไปได้ยังไงกัน”

 

“ทายาทของมารพุทธะได้เข้าสู่ระดับชั้นที่สองเรียบร้อยแล้ว”

 

“มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่ขับไล่ออกไปได้ด้วยใบไม้?”

 

เหล่าหัวหน้าตำหนักตกใจและไม่อยากจะเชื่อ

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินนำหัวหน้าตำหนักไปดูระฆังโบราณพันปีที่ด้านนอกลานธรรม ชี้ไปที่ใบไม้ใบหนึ่งที่ปักอยู่ที่ตัวระฆัง “ความจริงก็เป็นอย่างที่เห็นนั่นล่ะ”

 

“ใบไม้จริงๆ หรือนี่?”

 

“นอกจากนี้ข้ายังรู้สึกได้ถึงไอพลังหยางอันบริสุทธิ์มาจากใบไม้นี้ด้วย”

 

“สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ มีเพียงแค่สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับชั้นที่หนึ่งเท่านั้นที่จะทำสิ่งนี้ได้ด้วยใบไม้ใบหนึ่ง!”

 

หัวหน้าตำหนักต่างลิงโลด

 

“อย่าเพิ่งดีใจเกินไปเลย”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินส่ายศีรษะน้อยๆ “ทายาทของมารพุทธะหนีไปได้ ตามประสบการณ์ที่ได้เจอทายาทมารพุทธะรุ่นก่อนๆ พวกนั้นสามารถเข้าสู่ระดับชั้นที่สองหรือแม้แต่ชั้นที่หนึ่งได้อีกครั้งในเวลาสองสามปี”

 

“ถึงแม้ทายาทของมารพุทธะจะถูกทำให้ต้องหลบหนีไปในครานี้ แต่เมื่อมันกลับมาที่เส้าหลินอีกครั้งในอนาคต อาตมากลัวว่ามันจักกลายมาเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งจริงๆ น่ะสิ”

 

คำพูดของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินทำเอาเหล่าหัวหน้าตำหนักสงบเสงี่ยมลงทันที

 

เป็นจริงดังนั้น

 

ถึงแม้ว่าวัดเส้าหลินจะมีสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับชั้นที่หนึ่งซุ่มซ่อนอยู่ แต่ผู้สืบทอดของมารพุทธะก็ไม่ใช่ว่าจะไปถึงระดับชั้นที่หนึ่งด้วยหรอกหรอ?

 

เมื่อเวลานั้นมาถึง ยังคงมีคำถามที่ค้างคาในใจว่าวัดเส้าหลินจะผ่านเหตุการณ์นั้นไปได้หรือเปล่า

 

ในตอนที่เจ้าอาวาสกำลังถกเถียงปัญหาอยู่กับเหล่าหัวหน้าตำหนักว่าจะทำอย่างไรดีในอนาคต ศิษย์วัดเส้าหลินคนหนึ่งก็รีบวิ่งเข้ามาหา

 

“ท่านเจ้าอาวาส ท่านหัวหน้าตำหนัก!” ศิษย์เส้าหลินคนนั้นพูดออกมาอย่างรวดเร็ว “ที่ด้านนอกวัดเส้าหลิน มีคนพบร่างของศิษย์พี่เจินซิ่งขอรับ”

 

“เจ้าว่ากระไรนะ?!”

 

“ทายาทแห่งมารพุทธะได้ตายลงแล้ว?”

 

ม่านตาของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินสั่นไหวด้วยความตื่นตกใจ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+