เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 11 สั่นสะเทือน

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 11 สั่นสะเทือน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 11 สั่นสะเทือน

 

 

อย่างเร่งรีบ

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักออกไปด้านนอกวัดเส้าหลิน ต้องการที่จะยืนยันด้วยตาของตนเองว่าผู้สืบทอดมารพุทธะตายแล้วจริงๆ หรือไม่

 

ไม่ใช่ว่าเจ้าอาวาสไม่เชื่อถือลูกศิษย์ของตน แต่เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นมันเหลือเชื่อเกินไป

 

มารพุทธะมีวิธีการต่างๆ มากมายในการหลบหนี เชี่ยวชาญวิชาแม้กระทั่ง [วิชาตัวตายตัวแทน] ในตำนานแม้แต่การโจมตีของคนที่สงสัยว่าจะบรรพบุรุษลึกลับของวัดเส้าหลินก็ยังล้มเหลวในคราวแรก…

 

อยู่ดีๆ จะมาตายง่ายๆ แบบนี้ได้อย่างไร?

 

เมื่อเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักเดินทางมาถึงด้านนอกวัดเส้าหลินต่างก็ตกอยู่ในอารมณ์ตกใจ มีร่างของเจินซิ่งกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นจริงๆ

 

“นี่คือมารร้ายตนนั้นจริงๆ หรือนี่?”

 

หัวหน้าตำหนักอรหันต์นิ่งอึ้ง

 

จากสายตาเขาสามารถมองเห็นเจินซิ่งอยู่ตรงจุดนั้น ไม่มีบาดแผลใดๆ ปรากฏให้เห็น แต่ความจริงร่างนี้ไม่มีลมหายใจเหลืออยู่แล้ว

 

ในเมื่อคนคนหนึ่งตายแล้ว ย่อมจะตายซ้ำไม่ได้อีก

 

“ตายแล้วจริงงั้นรึ?”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินผ่อนคลายลงในที่สุด รู้สึกภูเขาที่แบกรับเอาไว้บนบ่าได้ถูกยกออกไปแล้ว

 

หากผู้สืบทอดของมารพุทธะยังไม่ตาย ไม่ช้าก็เร็วจะมีสักวันที่มันจะหวนกลับมาพร้อมความแกร่งที่ยิ่งกว่าเก่าก่อนและมาทำลายวัดเส้าหลิน

 

แต่ตอนนี้ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามได้ตายลงแล้ว วิกฤติการณ์วัดเส้าหลินย่อมคลี่คลายลงไปตามธรรมชาติ

 

อย่างน้อยก็อีกศตวรรษหนึ่งที่วัดเส้าหลินจะสามารถอยู่อย่างสงบ ไม่ต้องกังวลกับเกี่ยวกับปัญหาที่ชื่อว่าผู้สืบทอดของมารพุทธะ

 

“เป็นหมัดที่ทรงพลังยิ่งนัก!”

 

ม่านตาของหัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์สั่นไหว รู้สึกถึงไอพลังที่ออกมาจากร่างของผู้สืบทอดมารพุทธะ เขาตื่นตะลึงไป

 

ในจุดที่ถือเป็นผู้เชี่ยวชาญในสามระดับบน หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์ย่อมมองเห็นสาเหตุการตายของผู้สืบทอดของมารพุทธะ

 

“หมัดเดียวถึงตาย…ช่างเป็นการต่อยที่น่ากลัวอะไรแบบนี้!”

 

หัวหน้าแผนกวินัยเข้าไปพินิจใกล้ๆ อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา

 

บาดแผลที่ส่งทายาทมารพุทธะเข้าสู่ประตูแห่งความตายคือรอยหมัดจางๆ อยู่บริเวณหน้าอก

 

รอยหมัดนี้แผ่กลิ่นอายที่โดดเด่นมาก มันทำลายทั้งวิญญาณ พลังปราณ และอวัยวะภายในของผู้สืบทอดแห่งมารพุทธะไม่มีเหลือ

 

“นี่คือ หมัดอรหันต์งั้นหรือ?”

 

หัวหน้าลานอรหันต์เหมือนจะพบความจริงที่น่าประหลาดใจ

 

เขาไม่คิดฝันว่าตัวตนอย่างผู้สืบทอดของมารพุทธะจะตายด้วยเคล็ดวิชาหมัดพื้นฐานอย่างที่สุดของลานอรหันต์

 

“อะไรนะ?”

 

“หมัดอรหันต์?”

 

ใบหน้าของพระรูปอื่นๆ เปลี่ยนไป

 

“เป็นหมัดอรหันต์จริงๆ ด้วย…”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินถอนหายใจแล้วพูดต่อ “ดูเหมือนว่าแท้จริงมันจะเป็นฝีมือของบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์จากวัดเส้าหลินของพวกเราที่ซุ่มซ่อนตัวอยู่…”

 

เมื่อทราบข่าวการตายของผู้สืบทอดแห่งมารพุทธะ เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็ได้แต่คาดเดา

 

แค่เพียงตอนนี้ยังไม่แน่ใจนัก

 

เพราะในสายตาของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน แม้ว่าจะมีบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ในวัดเส้าหลิน พลังชีวิตและเลือดเนื้อของท่านย่อมโรยราเต็มที มันคงถึงขีดจำกัดของท่านแล้วหลังจากที่ได้จัดการผู้สืบทอดมารพุทธะลงได้

 

ไม่อย่างนั้นแล้ว ทำไมบรรพบุรุษถึงไม่เปิดการโจมตีและกำจัดผู้สืบทอดมารพุทธะตั้งแต่แรก แต่กลับใช้ใบไม้โจมตีเข้าไปในช่วงสุดท้ายแทนล่ะ?

 

แต่ในยุคนี้เนี่ย…

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินคิดเท่าไรก็คิดไม่ออก

 

ศิษย์ในยุคหลังมานี้ เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินรู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่มีใครเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่งได้

 

ในส่วนที่ว่าหากจะมีบรรพบุรุษคนอื่นๆ นั้น ยังไงวัดเส้าหลินก็ลึกซึ้งกว้างใหญ่มีความเป็นไปได้มากมาย แม้ตัวเจ้าอาวาสเองเขาก็ไม่สามารถคาดเดาได้

 

“บรรพบุรุษหรือ?”

 

“ถูกต้อง ต้องเป็นบรรพบุรุษในระดับสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์แน่ๆ ไม่อย่างนั้นจะมีใครอื่นที่สามารถกำจัดผู้สืบทอดมารพุทธะได้?”

 

“นี่ต้องเป็นพรจากองค์ท่าน! อา ไม่คาดคิดจริงๆว่าวัดเส้าหลินยังมีสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์เหลืออยู่”

 

พวกหัวหน้าตำหนักตื่นเต้นดีใจเริ่มพูดคุยกันด้วยเสียงทุ้มต่ำ

 

ในขณะนี้ไม่เพียงแต่วัดเส้าหลินจะข้ามผ่านอันตรายจากทายาทมารพุทธะมาได้ แต่ยังได้รับรู้ถึงการคงอยู่ของบรรพบุรุษที่หลบซ่อนตัวอยู่อีก

 

จะไม่ให้หัวหน้าตำหนักเหล่านี้ไม่ดีอกดีใจได้อย่างไรเล่า?

 

แต่หากเหล่าหัวหน้าตำหนักที่กำลังตื่นเต้นกันอยู่นั้นได้รู้ว่าบรรพบุรุษลึกลับที่ยากจะหยั่งถึง คนที่กำจัดผู้สืบทอดของมารพุทธะไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นพระกวาดลานสังกัดลานจิปาถะ จะมีใครนึกภาพอาการตกใจของพวกเขาออกได้บ้าง ดวงตาของพวกเขาต้องถลนออกจากเบ้าเป็นแน่แท้

 

 

เมื่อผู้สืบทอดของมารพุทธะตายไป จิตมารก็สลายหายไปด้วย

 

ลึกเข้าไปในภูเขาด้านหลังวัดเส้าหลิน ร่างเงาทะมึนค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา

 

“น่าสนใจ”

 

“คราวนี้จิตมารหายไปเร็วขนาดนี้เชียวหรือ?”

 

“ไม่ควรจะเป็นเช่นนี้สิ? ไม่ใช่ว่าในเวลาเก้าร้อยปีมานี้ มรดกตกทอดของวัดเส้าหลินย่ำแย่ลงทุกวี่วันและยุคนี้ไม่ควรมีแม้กระทั่งระดับชั้นที่หนึ่งสิ”

 

ร่างเงาพึมพำกับตนเอง

 

“หรืออาจจะมีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้น?”

 

ร่างเงาพยายามจะลึกขึ้นแล้วออกไปจากสถานที่แห่งนี้

 

อย่างไรก็ตาม

 

เหตุการณ์ต่อมานั้น

 

เกราะคุ้มกันสีทองพลันก่อตัวขึ้นห่อหุ้มเงาปีศาจเอาไว้

 

พลังมารสลายออกไปเป็นจำนวนมากทันทีเมื่อสัมผัสเข้ากับเกราะคุ้มกันสีทอง

 

“บ้าเอ้ย”

 

“ไอ้ผนึกนี่อีกแล้ว!”

 

“เก้าร้อยปีแล้วนะโว้ย จะคุมขังข้าเอาไว้อีกนานแค่ไหน?!”

 

ร่างเงาโกรธเกรี้ยวลุกโชน แต่ก็ค่อยๆ กลับไปอยู่ที่เดิมอย่างช้าๆ

 

“อีกไม่นานหรอก”

 

“ข้ารู้สึกได้ว่าพลังของผนึกกำลังอ่อนกำลังลง”

 

“เมื่อไรก็ตามที่มันอ่อนแอยิ่งกว่านี้ ข้าจะต้องทำลายผนึกนี้ได้สำเร็จ ตอนนั้นแหละข้าจะเปลี่ยนวัดเส้าให้กลายเป็นทะเลเลือด”

 

ทันทีที่พูดจบร่างเงาปีศาจก็หายไปในความว่างเปล่า

 

 

หลังเหตุการณ์ของผู้สืบทอดมารพุทธะ ศิษย์มากมายในวัดเส้าหลินได้รู้สึกถึงความเร่งด่วนจำเป็นในใจ แม้แต่หัวหน้าตำหนักก็กำลังเริ่มมองหาหนทางที่สามารถเข้าสู่ระดับชั้นที่สอง

 

แต่แน่นอนว่า

 

นั่นไม่ได้รวมซูฉินเข้าไปด้วย

 

ซูฉินยังคงกวาดพื้นอยู่ทุกวัน ราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกับเขาเลย

 

ในวันนี้ หัวหน้าตำหนักเรียกให้ซูฉินมาพบ

 

สิบปีก็ได้ผ่านไปแล้ว หัวหน้าลานจิปาถะก็ชราขึ้นไปอีก มีริ้วรอยมากมายบนใบหน้า

 

เส้นทางในการฝึกฝนวิทยายุทธซับซ้อนและยาวนาน แม้แต่ตัวผู้เชี่ยวชาญระดับชั้นที่หนึ่งเองก็ไม่สามารถบรรลุความเยาว์วัยชั่วนิรันดร์ได้ มากที่สุดก็ทำได้แค่เพียงยืดอายุขัยออกไป

 

“เจินกวนเอ้ย เจ้าอยู่วัดเส้าหลินมานานแค่ไหนแล้ว?”

 

หัวหน้าลานจิปาถะหยุดการกระทำของตนแล้วถามขึ้นอย่างกระทันหัน

 

“นานแค่ไหนแล้ว?”

 

ซูฉินครู่หนึงก่อนนะตอบออกไป “สิบปีแล้วขอรับ”

 

“อืม ใช่เป็นเวลาสิบปีแล้ว” หัวหน้าตำหนักเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก “สิบปีก่อน ข้านำเจ้ามายังลานจิปาถะ”

 

“สิบปีนี่ผ่านไปในพริบตา…”

 

ซูฉินรับฟังคำพูดของหัวหน้าลานจิปาถะ แต่ไม่ได้กล่าวคำใดออกไป

 

“เป็นพระกวาดลานมาเป็นสิบปี เจ้ามีความขุ่นข้องหมองใจใดหรือไม่” หัวหน้าลานจิปาถะเอ่ยถาม

 

“ความคับข้องใจ?”

 

ซูฉินผงะไปเล็กน้อย

 

เขาก็มีความสุขมาตลอด จะไปมีความข้องใจอะไรได้เล่า?

 

“ไม่มีขอรับ”

 

ซูฉินตอบไปตามความจริง

 

“ไม่มีความหยิ่งผยอง ไม่มีหุนหันพลันแล่น แล้วก็ไม่มีถ่อมตัวจนเกินงาม” หัวหน้าลานจิปาถะจ้องไปที่ซูฉินพักหนึ่ง ในที่สุดร่องรอยตลกขบขันกึ่งประชดประชันก็ปรากฏบนใบหน้า “ข้าไม่คาดคิดเลยว่าศิษย์ในยุคนี้ จะมีสักคนที่มีภาวะจิตใจสูงส่งเช่นนี้ แล้วคนคนนั้นปรากฏว่าเป็นพระกวาดลานรูปหนึ่ง”

 

หากซูฉินอายุห้าสิบหกสิบปี เขาสามารถเชื่อได้ลงและไม่เห็นว่ามันจะแปลกประหลาดอะไร

 

แต่เห็นได้ชัดว่าซูฉินยังไม่แก่เลย

 

จากสิบขวบจนตอนนี้อายุยี่สิบ เวลาอันมีค่ากว่าสิบปีในชีวิตของเขาใช้ไปกับการกวาดลานวัด โดยไม่ประสบความสำเร็จในสิ่งอื่นใด สำหรับคนอื่นๆ พวกเขาจะไม่เต็มไปด้วยความไม่ยินยอมในจิตใจได้เยี่ยงไร?

 

ยิ่งกว่านั้นนี่คือสุดยอดพรรคอย่างวัดเส้าหลินที่ที่มีเคล็ดวิชาระดับสูงมากมายให้ไขว่คว้า แต่ทำได้เพียงกวาดพื้นเท่านั้นเนี่ยนะ…

 

ช่องว่างขนาดนี้เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนคลั่งตาย

 

แต่ซูฉินนั้นไม่ใช่ หรืออย่างน้อยคือหัวหน้าลานจิปาถะไม่เคยเห็นซูฉินไม่พอใจ

 

แค่แง่มุมนี้อย่างเดียว ซูฉินก็เหนือกว่าพวกอัจฉริยะในลานอรหันต์หรือตำหนักยุทธสงฆ์แล้ว

 

แม้แต่ในหมู่หัวหน้าตำหนัก บางคนก็ไม่ยอดเยี่ยมเท่ากับซูฉินในด้านของภาวะจิตใจ

 

“หัวหน้าตำหนักคงจะเข้าใจผิดแล้ว”

 

“ข้าก็แค่พระกวาดลาน ไยจะสามารถมีภาวะจิตใจอันสูงส่งได้เล่า?”

 

ซูฉินรีบบอกปฏิเสธ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 11 สั่นสะเทือน

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 11 สั่นสะเทือน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 11 สั่นสะเทือน

 

 

อย่างเร่งรีบ

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักออกไปด้านนอกวัดเส้าหลิน ต้องการที่จะยืนยันด้วยตาของตนเองว่าผู้สืบทอดมารพุทธะตายแล้วจริงๆ หรือไม่

 

ไม่ใช่ว่าเจ้าอาวาสไม่เชื่อถือลูกศิษย์ของตน แต่เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นมันเหลือเชื่อเกินไป

 

มารพุทธะมีวิธีการต่างๆ มากมายในการหลบหนี เชี่ยวชาญวิชาแม้กระทั่ง [วิชาตัวตายตัวแทน] ในตำนานแม้แต่การโจมตีของคนที่สงสัยว่าจะบรรพบุรุษลึกลับของวัดเส้าหลินก็ยังล้มเหลวในคราวแรก…

 

อยู่ดีๆ จะมาตายง่ายๆ แบบนี้ได้อย่างไร?

 

เมื่อเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักเดินทางมาถึงด้านนอกวัดเส้าหลินต่างก็ตกอยู่ในอารมณ์ตกใจ มีร่างของเจินซิ่งกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นจริงๆ

 

“นี่คือมารร้ายตนนั้นจริงๆ หรือนี่?”

 

หัวหน้าตำหนักอรหันต์นิ่งอึ้ง

 

จากสายตาเขาสามารถมองเห็นเจินซิ่งอยู่ตรงจุดนั้น ไม่มีบาดแผลใดๆ ปรากฏให้เห็น แต่ความจริงร่างนี้ไม่มีลมหายใจเหลืออยู่แล้ว

 

ในเมื่อคนคนหนึ่งตายแล้ว ย่อมจะตายซ้ำไม่ได้อีก

 

“ตายแล้วจริงงั้นรึ?”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินผ่อนคลายลงในที่สุด รู้สึกภูเขาที่แบกรับเอาไว้บนบ่าได้ถูกยกออกไปแล้ว

 

หากผู้สืบทอดของมารพุทธะยังไม่ตาย ไม่ช้าก็เร็วจะมีสักวันที่มันจะหวนกลับมาพร้อมความแกร่งที่ยิ่งกว่าเก่าก่อนและมาทำลายวัดเส้าหลิน

 

แต่ตอนนี้ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามได้ตายลงแล้ว วิกฤติการณ์วัดเส้าหลินย่อมคลี่คลายลงไปตามธรรมชาติ

 

อย่างน้อยก็อีกศตวรรษหนึ่งที่วัดเส้าหลินจะสามารถอยู่อย่างสงบ ไม่ต้องกังวลกับเกี่ยวกับปัญหาที่ชื่อว่าผู้สืบทอดของมารพุทธะ

 

“เป็นหมัดที่ทรงพลังยิ่งนัก!”

 

ม่านตาของหัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์สั่นไหว รู้สึกถึงไอพลังที่ออกมาจากร่างของผู้สืบทอดมารพุทธะ เขาตื่นตะลึงไป

 

ในจุดที่ถือเป็นผู้เชี่ยวชาญในสามระดับบน หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์ย่อมมองเห็นสาเหตุการตายของผู้สืบทอดของมารพุทธะ

 

“หมัดเดียวถึงตาย…ช่างเป็นการต่อยที่น่ากลัวอะไรแบบนี้!”

 

หัวหน้าแผนกวินัยเข้าไปพินิจใกล้ๆ อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา

 

บาดแผลที่ส่งทายาทมารพุทธะเข้าสู่ประตูแห่งความตายคือรอยหมัดจางๆ อยู่บริเวณหน้าอก

 

รอยหมัดนี้แผ่กลิ่นอายที่โดดเด่นมาก มันทำลายทั้งวิญญาณ พลังปราณ และอวัยวะภายในของผู้สืบทอดแห่งมารพุทธะไม่มีเหลือ

 

“นี่คือ หมัดอรหันต์งั้นหรือ?”

 

หัวหน้าลานอรหันต์เหมือนจะพบความจริงที่น่าประหลาดใจ

 

เขาไม่คิดฝันว่าตัวตนอย่างผู้สืบทอดของมารพุทธะจะตายด้วยเคล็ดวิชาหมัดพื้นฐานอย่างที่สุดของลานอรหันต์

 

“อะไรนะ?”

 

“หมัดอรหันต์?”

 

ใบหน้าของพระรูปอื่นๆ เปลี่ยนไป

 

“เป็นหมัดอรหันต์จริงๆ ด้วย…”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินถอนหายใจแล้วพูดต่อ “ดูเหมือนว่าแท้จริงมันจะเป็นฝีมือของบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์จากวัดเส้าหลินของพวกเราที่ซุ่มซ่อนตัวอยู่…”

 

เมื่อทราบข่าวการตายของผู้สืบทอดแห่งมารพุทธะ เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็ได้แต่คาดเดา

 

แค่เพียงตอนนี้ยังไม่แน่ใจนัก

 

เพราะในสายตาของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน แม้ว่าจะมีบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ในวัดเส้าหลิน พลังชีวิตและเลือดเนื้อของท่านย่อมโรยราเต็มที มันคงถึงขีดจำกัดของท่านแล้วหลังจากที่ได้จัดการผู้สืบทอดมารพุทธะลงได้

 

ไม่อย่างนั้นแล้ว ทำไมบรรพบุรุษถึงไม่เปิดการโจมตีและกำจัดผู้สืบทอดมารพุทธะตั้งแต่แรก แต่กลับใช้ใบไม้โจมตีเข้าไปในช่วงสุดท้ายแทนล่ะ?

 

แต่ในยุคนี้เนี่ย…

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินคิดเท่าไรก็คิดไม่ออก

 

ศิษย์ในยุคหลังมานี้ เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินรู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่มีใครเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่งได้

 

ในส่วนที่ว่าหากจะมีบรรพบุรุษคนอื่นๆ นั้น ยังไงวัดเส้าหลินก็ลึกซึ้งกว้างใหญ่มีความเป็นไปได้มากมาย แม้ตัวเจ้าอาวาสเองเขาก็ไม่สามารถคาดเดาได้

 

“บรรพบุรุษหรือ?”

 

“ถูกต้อง ต้องเป็นบรรพบุรุษในระดับสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์แน่ๆ ไม่อย่างนั้นจะมีใครอื่นที่สามารถกำจัดผู้สืบทอดมารพุทธะได้?”

 

“นี่ต้องเป็นพรจากองค์ท่าน! อา ไม่คาดคิดจริงๆว่าวัดเส้าหลินยังมีสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์เหลืออยู่”

 

พวกหัวหน้าตำหนักตื่นเต้นดีใจเริ่มพูดคุยกันด้วยเสียงทุ้มต่ำ

 

ในขณะนี้ไม่เพียงแต่วัดเส้าหลินจะข้ามผ่านอันตรายจากทายาทมารพุทธะมาได้ แต่ยังได้รับรู้ถึงการคงอยู่ของบรรพบุรุษที่หลบซ่อนตัวอยู่อีก

 

จะไม่ให้หัวหน้าตำหนักเหล่านี้ไม่ดีอกดีใจได้อย่างไรเล่า?

 

แต่หากเหล่าหัวหน้าตำหนักที่กำลังตื่นเต้นกันอยู่นั้นได้รู้ว่าบรรพบุรุษลึกลับที่ยากจะหยั่งถึง คนที่กำจัดผู้สืบทอดของมารพุทธะไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นพระกวาดลานสังกัดลานจิปาถะ จะมีใครนึกภาพอาการตกใจของพวกเขาออกได้บ้าง ดวงตาของพวกเขาต้องถลนออกจากเบ้าเป็นแน่แท้

 

 

เมื่อผู้สืบทอดของมารพุทธะตายไป จิตมารก็สลายหายไปด้วย

 

ลึกเข้าไปในภูเขาด้านหลังวัดเส้าหลิน ร่างเงาทะมึนค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา

 

“น่าสนใจ”

 

“คราวนี้จิตมารหายไปเร็วขนาดนี้เชียวหรือ?”

 

“ไม่ควรจะเป็นเช่นนี้สิ? ไม่ใช่ว่าในเวลาเก้าร้อยปีมานี้ มรดกตกทอดของวัดเส้าหลินย่ำแย่ลงทุกวี่วันและยุคนี้ไม่ควรมีแม้กระทั่งระดับชั้นที่หนึ่งสิ”

 

ร่างเงาพึมพำกับตนเอง

 

“หรืออาจจะมีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้น?”

 

ร่างเงาพยายามจะลึกขึ้นแล้วออกไปจากสถานที่แห่งนี้

 

อย่างไรก็ตาม

 

เหตุการณ์ต่อมานั้น

 

เกราะคุ้มกันสีทองพลันก่อตัวขึ้นห่อหุ้มเงาปีศาจเอาไว้

 

พลังมารสลายออกไปเป็นจำนวนมากทันทีเมื่อสัมผัสเข้ากับเกราะคุ้มกันสีทอง

 

“บ้าเอ้ย”

 

“ไอ้ผนึกนี่อีกแล้ว!”

 

“เก้าร้อยปีแล้วนะโว้ย จะคุมขังข้าเอาไว้อีกนานแค่ไหน?!”

 

ร่างเงาโกรธเกรี้ยวลุกโชน แต่ก็ค่อยๆ กลับไปอยู่ที่เดิมอย่างช้าๆ

 

“อีกไม่นานหรอก”

 

“ข้ารู้สึกได้ว่าพลังของผนึกกำลังอ่อนกำลังลง”

 

“เมื่อไรก็ตามที่มันอ่อนแอยิ่งกว่านี้ ข้าจะต้องทำลายผนึกนี้ได้สำเร็จ ตอนนั้นแหละข้าจะเปลี่ยนวัดเส้าให้กลายเป็นทะเลเลือด”

 

ทันทีที่พูดจบร่างเงาปีศาจก็หายไปในความว่างเปล่า

 

 

หลังเหตุการณ์ของผู้สืบทอดมารพุทธะ ศิษย์มากมายในวัดเส้าหลินได้รู้สึกถึงความเร่งด่วนจำเป็นในใจ แม้แต่หัวหน้าตำหนักก็กำลังเริ่มมองหาหนทางที่สามารถเข้าสู่ระดับชั้นที่สอง

 

แต่แน่นอนว่า

 

นั่นไม่ได้รวมซูฉินเข้าไปด้วย

 

ซูฉินยังคงกวาดพื้นอยู่ทุกวัน ราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกับเขาเลย

 

ในวันนี้ หัวหน้าตำหนักเรียกให้ซูฉินมาพบ

 

สิบปีก็ได้ผ่านไปแล้ว หัวหน้าลานจิปาถะก็ชราขึ้นไปอีก มีริ้วรอยมากมายบนใบหน้า

 

เส้นทางในการฝึกฝนวิทยายุทธซับซ้อนและยาวนาน แม้แต่ตัวผู้เชี่ยวชาญระดับชั้นที่หนึ่งเองก็ไม่สามารถบรรลุความเยาว์วัยชั่วนิรันดร์ได้ มากที่สุดก็ทำได้แค่เพียงยืดอายุขัยออกไป

 

“เจินกวนเอ้ย เจ้าอยู่วัดเส้าหลินมานานแค่ไหนแล้ว?”

 

หัวหน้าลานจิปาถะหยุดการกระทำของตนแล้วถามขึ้นอย่างกระทันหัน

 

“นานแค่ไหนแล้ว?”

 

ซูฉินครู่หนึงก่อนนะตอบออกไป “สิบปีแล้วขอรับ”

 

“อืม ใช่เป็นเวลาสิบปีแล้ว” หัวหน้าตำหนักเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก “สิบปีก่อน ข้านำเจ้ามายังลานจิปาถะ”

 

“สิบปีนี่ผ่านไปในพริบตา…”

 

ซูฉินรับฟังคำพูดของหัวหน้าลานจิปาถะ แต่ไม่ได้กล่าวคำใดออกไป

 

“เป็นพระกวาดลานมาเป็นสิบปี เจ้ามีความขุ่นข้องหมองใจใดหรือไม่” หัวหน้าลานจิปาถะเอ่ยถาม

 

“ความคับข้องใจ?”

 

ซูฉินผงะไปเล็กน้อย

 

เขาก็มีความสุขมาตลอด จะไปมีความข้องใจอะไรได้เล่า?

 

“ไม่มีขอรับ”

 

ซูฉินตอบไปตามความจริง

 

“ไม่มีความหยิ่งผยอง ไม่มีหุนหันพลันแล่น แล้วก็ไม่มีถ่อมตัวจนเกินงาม” หัวหน้าลานจิปาถะจ้องไปที่ซูฉินพักหนึ่ง ในที่สุดร่องรอยตลกขบขันกึ่งประชดประชันก็ปรากฏบนใบหน้า “ข้าไม่คาดคิดเลยว่าศิษย์ในยุคนี้ จะมีสักคนที่มีภาวะจิตใจสูงส่งเช่นนี้ แล้วคนคนนั้นปรากฏว่าเป็นพระกวาดลานรูปหนึ่ง”

 

หากซูฉินอายุห้าสิบหกสิบปี เขาสามารถเชื่อได้ลงและไม่เห็นว่ามันจะแปลกประหลาดอะไร

 

แต่เห็นได้ชัดว่าซูฉินยังไม่แก่เลย

 

จากสิบขวบจนตอนนี้อายุยี่สิบ เวลาอันมีค่ากว่าสิบปีในชีวิตของเขาใช้ไปกับการกวาดลานวัด โดยไม่ประสบความสำเร็จในสิ่งอื่นใด สำหรับคนอื่นๆ พวกเขาจะไม่เต็มไปด้วยความไม่ยินยอมในจิตใจได้เยี่ยงไร?

 

ยิ่งกว่านั้นนี่คือสุดยอดพรรคอย่างวัดเส้าหลินที่ที่มีเคล็ดวิชาระดับสูงมากมายให้ไขว่คว้า แต่ทำได้เพียงกวาดพื้นเท่านั้นเนี่ยนะ…

 

ช่องว่างขนาดนี้เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนคลั่งตาย

 

แต่ซูฉินนั้นไม่ใช่ หรืออย่างน้อยคือหัวหน้าลานจิปาถะไม่เคยเห็นซูฉินไม่พอใจ

 

แค่แง่มุมนี้อย่างเดียว ซูฉินก็เหนือกว่าพวกอัจฉริยะในลานอรหันต์หรือตำหนักยุทธสงฆ์แล้ว

 

แม้แต่ในหมู่หัวหน้าตำหนัก บางคนก็ไม่ยอดเยี่ยมเท่ากับซูฉินในด้านของภาวะจิตใจ

 

“หัวหน้าตำหนักคงจะเข้าใจผิดแล้ว”

 

“ข้าก็แค่พระกวาดลาน ไยจะสามารถมีภาวะจิตใจอันสูงส่งได้เล่า?”

 

ซูฉินรีบบอกปฏิเสธ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+