เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 119 ทะลวงขั้น! นภาชั้นที่สี่!

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 119 ทะลวงขั้น! นภาชั้นที่สี่! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 119 ทะลวงขั้น! นภาชั้นที่สี่!

 

ในขณะที่กำลังฟัง ‘คำท้วงติง‘ ขององค์จักรพรรดิหลี่เชิงพระองค์ใหม่นี้ ซูฉินก็ยิ่งรู้สึกชัดเจนมากขึ้นว่าสิ่งที่เขาได้เลือกนั้นถูกต้องเพียงใด

 

ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ไม่ว่าจะเป็นวัดเส้าหลินหรือพระราชวังถัง การให้อะไรไปมากก็ยิ่งได้สิ่งตอบแทนกลับมามากเท่านั้น

 

ตอนนี้ตัวซูฉินนั้นดูเหมือนจะไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไรในวัง แต่อันที่จริงเขาคือคนที่สบายที่สุด

 

ลงชื่อเข้าใช้ ฝึกฝนทุกวัน เดินเตร่ไปรอบๆ ค่อยๆ พัฒนาความแข็งแกร่งขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่านี่มันช่างแสนจะดีงามหรอกหรือ?

 

“สภาขุนนางต่างเคารพและยำเกรงตัวข้า แต่ในปีนี้กลับมีข้อพิพาทค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในแต่ละฝ่าย”

 

เมื่อจักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงพูดถึงหัวข้อนี้ น้ำเสียงของเขาดูหนักแน่นจริงจังขึ้น

 

ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าจะอาณาจักรใดย่อมไม่สามารถหลีกเลี่ยงข้อพิพาทที่เกิดขึ้นในฝ่ายต่างๆ ได้ แต่ก่อนหน้านี้จักรพรรดิถังพระองค์เก่าได้กวาดล้างสภาขุนนางเสียใหม่แล้วก่อนที่หลี่เชิงจะขึ้นครองบัลลังก์ จึงทำให้ข้อพิพาทต่างๆ ลดน้อยลงจนแทบไม่มี

 

แต่หลังจากผ่านไปหนึ่งปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือหลังจากที่มีการจัดการสอบประจำปี ข้อพิพาทระหว่างกลุ่มขุนนางก็เริ่มเกิดขึ้นมาอีกครั้ง

 

สิ่งนี้ทำให้องค์จักรพรรดิพระองค์ใหม่เช่นหลี่เชิงเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก เขาอนุญาตให้มีความเห็นที่แตกต่างได้ แต่สิ่งที่จำเป็นที่สุดก็คือผลประโยชน์ของอาณาจักรถังต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก

 

เมื่อมีการรวมตัวเป็นกลุ่มเป็นก้อนขึ้น ขุนนางบางคนก็เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าประโยชน์ของต้าถัง

 

“มีข้อพิพาทกันในแต่ละฝ่าย?”

 

ซูฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามไปว่า “ทำไมถึงทะเลาะกันเล่า?”

 

“มันยากที่จะอธิบาย”

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่ใคร่ครวญเรื่องนี้อยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดประโยคถัดมา “เจ้าหน้าที่ของอาณาจักรถังนั้นล้วนมาจากการจัดการสอบโดยราชสำนัก”

 

“การจัดการสอบของราชสำนักดำเนินการโดยหัวหน้าผู้ตรวจสอบเพียงผู้เดียว สิ่งนี้นำไปสู่ความจริงที่ว่าผู้สมัครสอบจำนวนมาก ทั้งหมดล้วนอยู่ภายใต้อาณัติของคนผู้นี้ไปเสีย”

 

“ด้วยวิธีเช่นนี้ ผู้สมัครเหล่านี้ที่เข้ามาอยู่ภายในสภาขุนนางได้ ก็จะอยู่ฝั่งเดียวกับหัวหน้าผู้ตรวจสอบและจัดตั้งกลุ่มของตนเองขึ้นมา ขับไล่คนนอกออกไป…”

 

จักรพรรดิหลี่เชิงอธิบายที่มาที่ไปของข้อพิพาทภายในไม่กี่คำ

 

ความจริงจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถังต่างก็รู้เรื่องนี้ดี แต่รู้ก็ส่วนรู้ แต่กลับแก้ไขอะไรไม่ได้

 

ยกเลิกการสอบของราชสำนักได้หรือไม่เล่า?

 

หรือทุกครั้งที่เกิดเรื่องนี้จะต้องกวาดล้างสภาขุนนางให้สิ้นซากเหมือนที่จักรพรรดิถังพระองค์เก่าได้ทำไป?

 

“พี่สาม ท่านคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้”

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงถูนวดบริเวณหัวคิ้วของตน มองไปยังซูฉินแล้วจึงตั้งคำถาม

 

“ความเห็นของข้างั้นหรือ?”

 

ซูฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เนื่องจากมีข้อพิพาทเกิดขึ้นเกี่ยวกับหัวหน้าผู้ตรวจสอบ ทำไมไม่เปลี่ยนหัวหน้าผู้ตรวจสอบเสียเล่า?”

 

ซูฉินกล่าวออกมาอย่างสบายๆ

 

“เปลี่ยนหัวหน้าผู้ตรวจสอบอย่างนั้นหรือ?”

 

ดวงตาของจักรพรรดิหลี่เชิงสว่างขึ้น แต่ก็มอดดับลงไปในทันที เขาส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “การสอบของราชสำนัก มีผู้เข้าสมัครจากทั่วดินแดน ซึ่งตามราชประเพณีที่สืบมาในอาณาจักรถัง หัวหน้าผู้ตรวจสอบจะต้องได้รับเลือกมาจากสภาขุนนางภายในราชสำนักเท่านั้น”

“เพราะมีเพียงข้าราชบริพารที่อยู่ในสภาขุนนางเท่านั้นที่จะโน้มน้าวใจผู้สมัครพวกนั้นได้”

 

“แต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนใครขึ้นมาทำหน้าที่ มันก็จะเกิดการณ์เช่นเดิม ผู้สมัครที่เข้ามาอยู่ในสภาขุนนางก็จะเบนอำนาจไปอีกฝั่ง สร้างกลุ่มใหม่ขึ้นมา…”

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงขมขื่น

 

“เจ้าเข้าใจความหมายที่ข้าสื่อผิดไป

 

ซูฉินส่ายหัวแล้วจึงกล่าวต่อว่า “ข้าไม่ได้จะให้เจ้าเปลี่ยนเจ้าหน้าที่คนอื่นขึ้นมาทำหน้าที่ผู้ตรวจสอบ”

 

“ไม่ได้เปลี่ยนตัวเจ้าหน้าที่งั้นหรือ?”

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่รู้สึกงุนงงเล็กน้อย แต่ยังไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร

 

“เจ้าสามารถเป็นหัวหน้าผู้ตรวจสอบเองได้”

 

ซูฉินมองไปที่จักรพรรดิหลี่เชิง กล่าวคำขึ้นเสียงแผ่วเบา

 

“ข้าจะต้องเป็นหัวหน้าผู้ตรวจสอบ”

 

“ข้าจะต้องเป็นหัวหน้าผู้ตรวจสอบ”

 

“ข้าจะต้องเป็นหัวหน้าผู้ตรวจสอบ”

 

ยิ่งเขาคิดถึงเรื่องนี้ ดวงตาของจักรพรรดิหลี่เชิงก็สว่างไสวมากยิ่งขึ้น

 

ที่มาของข้อพิพาทในครั้งนี้ก็คือผู้สมัครสอบที่สอบผ่านในปีนี้จะได้รับมอบหมายให้ขึ้นตรงต่อหัวหน้าผู้ตรวจสอบ ถ้าหากทุกสิ่งยังเป็นเช่นนี้จะเกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายขึ้นภายในสภาขุนนางเป็นแน่

 

แต่ถ้าองค์จักรพรรดิถังดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าผู้ตรวจสอบเสียเอง ผู้สมัครทั้งหมดก็จะขึ้นตรงต่อองค์จักรพรรดิถัง ด้วยวิธีนี้ย่อมเหลือแค่ฝ่ายเดียวภายในสภาขุนนาง

 

ข้อพิพาทระหว่างกลุ่มที่เกิดขึ้นหมายความว่ามีหลายฝ่ายที่ทะเลาะกัน แต่ถ้ามีเพียงฝ่ายเดียวเล่า พวกเขาจะสู้รบตบมือกันเองไปเพื่ออะไร?

 

ทุกคนเป็นพวกเดียวกัน จะทะเลาะกันเองทำไม?

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ข้อพิพาทในเรื่องนี้ย่อมหายไปเองตามธรรมชาติ

 

“พี่สาม”

 

“ท่านได้ชี้ทางสว่างให้แก่ข้าแล้ว”

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง รีบกล่าวขึ้นอย่างรวดเร็ว “ข้าจะกลับไปก่อนในวันนี้ แล้วจะมาหาท่านในวันพรุ่งนี้”

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่รีบกลับไปยังห้องโถงชีวิตนิรันดร์อย่างกระตือรือร้น

 

ซูฉินมองตามหลังของจักรพรรดิหลี่เชิงที่กำลังเดินจากไป รอยยิ้มของเขาค่อยๆ จางลง

 

“ใกล้จะถึงเวลาแล้ว”

 

ซูฉินมองไปบนท้องฟ้าจากนั้นจึงเดินกลับไปยังตำหนักชุนฝั่งขวา

 

ในตอนนี้ นอกเหนือจาก ‘ค่ายกลห้าธาตุย้อนทิศทาง‘ ภายในตำหนักชุนฝั่งขวาแล้ว ซูฉินยังก่อตั้งค่ายกลระดับสูงประเภทอื่นๆ อีกหลายชิ้น

 

ความต้องการหลักๆ ในการสร้างค่ายกลเหล่านี้ก็เพื่อระงับกลิ่นอายพลังไม่ให้รั่วไหลออกไป

 

ด้วยวิธีนี้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาระดับของซูฉินจะไม่ส่งผลกระทบต่อโลกภายนอก มันช่วยให้ซูฉินไม่ต้องหนีไปซ่อนตัวในทุกๆ ครั้งที่ต้องการจะทะลวงระดับ

 

“เริ่มได้”

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิพลางใช้จิตสั่งการ

 

ฟึ่บ!

 

พลันปรากฏขวดยาหลายร้อยขวด นอกจากนั้นยังมีหยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติอีกมากกว่าร้อยหยด

 

หยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาตินับร้อยหยดนี้เป็นของที่ได้รับมาจากการสะสมภายในช่วงปีนี้ ซึ่งซูฉินตั้งใจจะใช้มันเพื่อการทะลวงขั้นในวันนี้นั่นเอง

 

ถึงหยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาตินั้นจะมีจำนวนที่น้อยแต่มันกลับให้ผลที่ดีอย่างมากไม่ว่าจะเป็นการบ่มเพาะตามปกติหรือในช่วงเวลาสำคัญอย่างขั้นตอนทะลวงระดับ

 

“แล้วก็สิ่งนี้”

 

เบื้องหน้าของซูฉินมีดวงจิตรู้แจ้งสีทองซีดๆ มีลวดลายอันลึกลับอยู่โดยรอบพื้นผิวสัมผัส

 

สิ่งนี้ก็คือดวงจิตรู้แจ้งพันปี

 

ในช่วงที่ซูฉินฝึกฝนการรับรู้และทำความเข้าใจในพลังฟ้าดิน เขาได้เก็บดวงจิตรู้แจ้งพันปีกลับเข้าไปในคลังเก็บของของระบบ

 

แต่ในช่วงเวลาสำคัญอย่างการทะลวงขั้นนั้น เพื่อป้องกันข้อผิดพลาดจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาต้องนำดวงจิตรู้แจ้งพันปีออกมาใช้ปกป้องจิตวิญญาณของตนเอง

 

ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าด้วยการเตรียมพร้อมที่เขาได้จัดเตรียมเอาไว้จะดีพอจนไม่ต้องใช้ดวงจิตรู้แจ้งพันปีเลย แต่การนำออกมาเผื่อไว้ก็ดีกว่าไม่ได้ใช้อะไร

 

ในช่วงเวลาต่อมา

 

ซูฉินหลับตาลงอย่างช้าๆ

 

ฟู่ว!

 

ชี่!

 

ในขณะที่ซูฉินกำลังสูดลมหายใจเข้าไป หยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติมากกว่าร้อยหยดที่อยู่เบื้องหน้าของเขาก็กลายเป็นสายน้ำไหลเข้าไปในปากของซูฉิน

 

ในเวลาเดียวกัน โอสถชนิดอื่นๆ ก็มีชะตาเช่นเดียวกัน ต่างถูกซูฉินดูดกลืนเข้าไปทั้งหมด

 

ทันใดนั้น

 

แก่นแท้แห่งพลังในร่างของซูฉินก็เพิ่มปริมาณขึ้นและโคจรไปทั่วร่าง ไอพลังที่พวยพุ่งออกมาดูน่าหวาดกลัวมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าหากที่นี่ไม่ได้ถูกคลุมไว้ด้วยค่ายกลฟ้าดินจำนวนมาก ป่านนี้ทั่วทั้งเมืองฉางอันคงสั่นสะเทือนไปแล้ว

ด้วยหยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติมากกว่าร้อยหยดรวมไปถึงโอสถชนิดอื่นๆ จำนวนหลายร้อยเม็ด ต่างช่วยให้แก่นแท้แห่งพลังของซูฉินเพิ่มสูงขึ้นในทันที

 

รู้หรือไม่ว่าแม้หยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติจะไม่ได้มีฤทธิ์ที่รุนแรง แต่นั่นก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่าซูฉินใช้มันไปทีละหยดเท่านั้น

 

ตอนนี้ตัวเขาใช้มากกว่าร้อยหยดภายในพริบตา หากร่างกายซูฉินไม่ได้เปลี่ยนแปลงครั้งที่สี่ในช่วงก่อนหน้าจนเกิด ‘อัตลักษณ์สีทอง‘ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งการอยู่ยงคงกระพัน ร่างของเขาก็คงจะระเบิดและตายไปแล้ว

 

ตูม!!!

 

เลือดในร่างของซูฉินพลุ่งพล่านเคลื่อนตัวชักนำพลังสวรรค์ให้หมุนตามไปอย่างช้าๆ

 

หวึ่ง!!!

 

ในตอนนั้นเอง

 

แก่นแท้แห่งพลังที่หมุนวนอยู่ตลอดเวลาก็เหมือนจะโคจรไปในทิศทางที่แปลกประหลาด

 

แก่นแท้แห่งพลังที่เปลี่ยนไป ทรงพลังและลึกซึ้งยิ่งกว่า จนเหมือนกับว่าสามารถใช้บดบังโลกนี้ไว้ได้เลยทีเดียว

 

เวลาค่อยๆ ผ่านเลยไปอย่างเชื่องช้า

 

เมื่อแก่นแท้แห่งพลังทั้งหมดในร่างของซูฉินถูกเปลี่ยนไปกลายเป็นแก่นแท้แห่งพลังที่ยิ่งใหญ่และลึกซึ้งยิ่งขึ้น

 

พลังที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในตอนแรกก็เริ่มลดระดับลง ราวกับมันถูกสูบกลับเข้าไปในหลุมและจมนิ่งอยู่แบบนั้น

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

ซูฉินค่อยๆ ขยับเปิดเปลือกตาขึ้น

 

“นี่คือขอบเขตนภาชั้นที่สี่งั้นรึ?”

 

ซูฉินพยายามรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงภายในตนอย่างระมัดระวัง รอยยิ้มค่อยๆ โผล่ขึ้นมาบนใบหน้า

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 119 ทะลวงขั้น! นภาชั้นที่สี่!

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 119 ทะลวงขั้น! นภาชั้นที่สี่! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 119 ทะลวงขั้น! นภาชั้นที่สี่!

 

ในขณะที่กำลังฟัง ‘คำท้วงติง‘ ขององค์จักรพรรดิหลี่เชิงพระองค์ใหม่นี้ ซูฉินก็ยิ่งรู้สึกชัดเจนมากขึ้นว่าสิ่งที่เขาได้เลือกนั้นถูกต้องเพียงใด

 

ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ไม่ว่าจะเป็นวัดเส้าหลินหรือพระราชวังถัง การให้อะไรไปมากก็ยิ่งได้สิ่งตอบแทนกลับมามากเท่านั้น

 

ตอนนี้ตัวซูฉินนั้นดูเหมือนจะไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไรในวัง แต่อันที่จริงเขาคือคนที่สบายที่สุด

 

ลงชื่อเข้าใช้ ฝึกฝนทุกวัน เดินเตร่ไปรอบๆ ค่อยๆ พัฒนาความแข็งแกร่งขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่านี่มันช่างแสนจะดีงามหรอกหรือ?

 

“สภาขุนนางต่างเคารพและยำเกรงตัวข้า แต่ในปีนี้กลับมีข้อพิพาทค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในแต่ละฝ่าย”

 

เมื่อจักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงพูดถึงหัวข้อนี้ น้ำเสียงของเขาดูหนักแน่นจริงจังขึ้น

 

ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าจะอาณาจักรใดย่อมไม่สามารถหลีกเลี่ยงข้อพิพาทที่เกิดขึ้นในฝ่ายต่างๆ ได้ แต่ก่อนหน้านี้จักรพรรดิถังพระองค์เก่าได้กวาดล้างสภาขุนนางเสียใหม่แล้วก่อนที่หลี่เชิงจะขึ้นครองบัลลังก์ จึงทำให้ข้อพิพาทต่างๆ ลดน้อยลงจนแทบไม่มี

 

แต่หลังจากผ่านไปหนึ่งปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือหลังจากที่มีการจัดการสอบประจำปี ข้อพิพาทระหว่างกลุ่มขุนนางก็เริ่มเกิดขึ้นมาอีกครั้ง

 

สิ่งนี้ทำให้องค์จักรพรรดิพระองค์ใหม่เช่นหลี่เชิงเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก เขาอนุญาตให้มีความเห็นที่แตกต่างได้ แต่สิ่งที่จำเป็นที่สุดก็คือผลประโยชน์ของอาณาจักรถังต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก

 

เมื่อมีการรวมตัวเป็นกลุ่มเป็นก้อนขึ้น ขุนนางบางคนก็เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าประโยชน์ของต้าถัง

 

“มีข้อพิพาทกันในแต่ละฝ่าย?”

 

ซูฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามไปว่า “ทำไมถึงทะเลาะกันเล่า?”

 

“มันยากที่จะอธิบาย”

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่ใคร่ครวญเรื่องนี้อยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดประโยคถัดมา “เจ้าหน้าที่ของอาณาจักรถังนั้นล้วนมาจากการจัดการสอบโดยราชสำนัก”

 

“การจัดการสอบของราชสำนักดำเนินการโดยหัวหน้าผู้ตรวจสอบเพียงผู้เดียว สิ่งนี้นำไปสู่ความจริงที่ว่าผู้สมัครสอบจำนวนมาก ทั้งหมดล้วนอยู่ภายใต้อาณัติของคนผู้นี้ไปเสีย”

 

“ด้วยวิธีเช่นนี้ ผู้สมัครเหล่านี้ที่เข้ามาอยู่ภายในสภาขุนนางได้ ก็จะอยู่ฝั่งเดียวกับหัวหน้าผู้ตรวจสอบและจัดตั้งกลุ่มของตนเองขึ้นมา ขับไล่คนนอกออกไป…”

 

จักรพรรดิหลี่เชิงอธิบายที่มาที่ไปของข้อพิพาทภายในไม่กี่คำ

 

ความจริงจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถังต่างก็รู้เรื่องนี้ดี แต่รู้ก็ส่วนรู้ แต่กลับแก้ไขอะไรไม่ได้

 

ยกเลิกการสอบของราชสำนักได้หรือไม่เล่า?

 

หรือทุกครั้งที่เกิดเรื่องนี้จะต้องกวาดล้างสภาขุนนางให้สิ้นซากเหมือนที่จักรพรรดิถังพระองค์เก่าได้ทำไป?

 

“พี่สาม ท่านคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้”

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงถูนวดบริเวณหัวคิ้วของตน มองไปยังซูฉินแล้วจึงตั้งคำถาม

 

“ความเห็นของข้างั้นหรือ?”

 

ซูฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เนื่องจากมีข้อพิพาทเกิดขึ้นเกี่ยวกับหัวหน้าผู้ตรวจสอบ ทำไมไม่เปลี่ยนหัวหน้าผู้ตรวจสอบเสียเล่า?”

 

ซูฉินกล่าวออกมาอย่างสบายๆ

 

“เปลี่ยนหัวหน้าผู้ตรวจสอบอย่างนั้นหรือ?”

 

ดวงตาของจักรพรรดิหลี่เชิงสว่างขึ้น แต่ก็มอดดับลงไปในทันที เขาส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “การสอบของราชสำนัก มีผู้เข้าสมัครจากทั่วดินแดน ซึ่งตามราชประเพณีที่สืบมาในอาณาจักรถัง หัวหน้าผู้ตรวจสอบจะต้องได้รับเลือกมาจากสภาขุนนางภายในราชสำนักเท่านั้น”

“เพราะมีเพียงข้าราชบริพารที่อยู่ในสภาขุนนางเท่านั้นที่จะโน้มน้าวใจผู้สมัครพวกนั้นได้”

 

“แต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนใครขึ้นมาทำหน้าที่ มันก็จะเกิดการณ์เช่นเดิม ผู้สมัครที่เข้ามาอยู่ในสภาขุนนางก็จะเบนอำนาจไปอีกฝั่ง สร้างกลุ่มใหม่ขึ้นมา…”

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงขมขื่น

 

“เจ้าเข้าใจความหมายที่ข้าสื่อผิดไป

 

ซูฉินส่ายหัวแล้วจึงกล่าวต่อว่า “ข้าไม่ได้จะให้เจ้าเปลี่ยนเจ้าหน้าที่คนอื่นขึ้นมาทำหน้าที่ผู้ตรวจสอบ”

 

“ไม่ได้เปลี่ยนตัวเจ้าหน้าที่งั้นหรือ?”

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่รู้สึกงุนงงเล็กน้อย แต่ยังไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร

 

“เจ้าสามารถเป็นหัวหน้าผู้ตรวจสอบเองได้”

 

ซูฉินมองไปที่จักรพรรดิหลี่เชิง กล่าวคำขึ้นเสียงแผ่วเบา

 

“ข้าจะต้องเป็นหัวหน้าผู้ตรวจสอบ”

 

“ข้าจะต้องเป็นหัวหน้าผู้ตรวจสอบ”

 

“ข้าจะต้องเป็นหัวหน้าผู้ตรวจสอบ”

 

ยิ่งเขาคิดถึงเรื่องนี้ ดวงตาของจักรพรรดิหลี่เชิงก็สว่างไสวมากยิ่งขึ้น

 

ที่มาของข้อพิพาทในครั้งนี้ก็คือผู้สมัครสอบที่สอบผ่านในปีนี้จะได้รับมอบหมายให้ขึ้นตรงต่อหัวหน้าผู้ตรวจสอบ ถ้าหากทุกสิ่งยังเป็นเช่นนี้จะเกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายขึ้นภายในสภาขุนนางเป็นแน่

 

แต่ถ้าองค์จักรพรรดิถังดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าผู้ตรวจสอบเสียเอง ผู้สมัครทั้งหมดก็จะขึ้นตรงต่อองค์จักรพรรดิถัง ด้วยวิธีนี้ย่อมเหลือแค่ฝ่ายเดียวภายในสภาขุนนาง

 

ข้อพิพาทระหว่างกลุ่มที่เกิดขึ้นหมายความว่ามีหลายฝ่ายที่ทะเลาะกัน แต่ถ้ามีเพียงฝ่ายเดียวเล่า พวกเขาจะสู้รบตบมือกันเองไปเพื่ออะไร?

 

ทุกคนเป็นพวกเดียวกัน จะทะเลาะกันเองทำไม?

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ข้อพิพาทในเรื่องนี้ย่อมหายไปเองตามธรรมชาติ

 

“พี่สาม”

 

“ท่านได้ชี้ทางสว่างให้แก่ข้าแล้ว”

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง รีบกล่าวขึ้นอย่างรวดเร็ว “ข้าจะกลับไปก่อนในวันนี้ แล้วจะมาหาท่านในวันพรุ่งนี้”

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่รีบกลับไปยังห้องโถงชีวิตนิรันดร์อย่างกระตือรือร้น

 

ซูฉินมองตามหลังของจักรพรรดิหลี่เชิงที่กำลังเดินจากไป รอยยิ้มของเขาค่อยๆ จางลง

 

“ใกล้จะถึงเวลาแล้ว”

 

ซูฉินมองไปบนท้องฟ้าจากนั้นจึงเดินกลับไปยังตำหนักชุนฝั่งขวา

 

ในตอนนี้ นอกเหนือจาก ‘ค่ายกลห้าธาตุย้อนทิศทาง‘ ภายในตำหนักชุนฝั่งขวาแล้ว ซูฉินยังก่อตั้งค่ายกลระดับสูงประเภทอื่นๆ อีกหลายชิ้น

 

ความต้องการหลักๆ ในการสร้างค่ายกลเหล่านี้ก็เพื่อระงับกลิ่นอายพลังไม่ให้รั่วไหลออกไป

 

ด้วยวิธีนี้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาระดับของซูฉินจะไม่ส่งผลกระทบต่อโลกภายนอก มันช่วยให้ซูฉินไม่ต้องหนีไปซ่อนตัวในทุกๆ ครั้งที่ต้องการจะทะลวงระดับ

 

“เริ่มได้”

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิพลางใช้จิตสั่งการ

 

ฟึ่บ!

 

พลันปรากฏขวดยาหลายร้อยขวด นอกจากนั้นยังมีหยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติอีกมากกว่าร้อยหยด

 

หยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาตินับร้อยหยดนี้เป็นของที่ได้รับมาจากการสะสมภายในช่วงปีนี้ ซึ่งซูฉินตั้งใจจะใช้มันเพื่อการทะลวงขั้นในวันนี้นั่นเอง

 

ถึงหยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาตินั้นจะมีจำนวนที่น้อยแต่มันกลับให้ผลที่ดีอย่างมากไม่ว่าจะเป็นการบ่มเพาะตามปกติหรือในช่วงเวลาสำคัญอย่างขั้นตอนทะลวงระดับ

 

“แล้วก็สิ่งนี้”

 

เบื้องหน้าของซูฉินมีดวงจิตรู้แจ้งสีทองซีดๆ มีลวดลายอันลึกลับอยู่โดยรอบพื้นผิวสัมผัส

 

สิ่งนี้ก็คือดวงจิตรู้แจ้งพันปี

 

ในช่วงที่ซูฉินฝึกฝนการรับรู้และทำความเข้าใจในพลังฟ้าดิน เขาได้เก็บดวงจิตรู้แจ้งพันปีกลับเข้าไปในคลังเก็บของของระบบ

 

แต่ในช่วงเวลาสำคัญอย่างการทะลวงขั้นนั้น เพื่อป้องกันข้อผิดพลาดจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาต้องนำดวงจิตรู้แจ้งพันปีออกมาใช้ปกป้องจิตวิญญาณของตนเอง

 

ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าด้วยการเตรียมพร้อมที่เขาได้จัดเตรียมเอาไว้จะดีพอจนไม่ต้องใช้ดวงจิตรู้แจ้งพันปีเลย แต่การนำออกมาเผื่อไว้ก็ดีกว่าไม่ได้ใช้อะไร

 

ในช่วงเวลาต่อมา

 

ซูฉินหลับตาลงอย่างช้าๆ

 

ฟู่ว!

 

ชี่!

 

ในขณะที่ซูฉินกำลังสูดลมหายใจเข้าไป หยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติมากกว่าร้อยหยดที่อยู่เบื้องหน้าของเขาก็กลายเป็นสายน้ำไหลเข้าไปในปากของซูฉิน

 

ในเวลาเดียวกัน โอสถชนิดอื่นๆ ก็มีชะตาเช่นเดียวกัน ต่างถูกซูฉินดูดกลืนเข้าไปทั้งหมด

 

ทันใดนั้น

 

แก่นแท้แห่งพลังในร่างของซูฉินก็เพิ่มปริมาณขึ้นและโคจรไปทั่วร่าง ไอพลังที่พวยพุ่งออกมาดูน่าหวาดกลัวมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าหากที่นี่ไม่ได้ถูกคลุมไว้ด้วยค่ายกลฟ้าดินจำนวนมาก ป่านนี้ทั่วทั้งเมืองฉางอันคงสั่นสะเทือนไปแล้ว

ด้วยหยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติมากกว่าร้อยหยดรวมไปถึงโอสถชนิดอื่นๆ จำนวนหลายร้อยเม็ด ต่างช่วยให้แก่นแท้แห่งพลังของซูฉินเพิ่มสูงขึ้นในทันที

 

รู้หรือไม่ว่าแม้หยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติจะไม่ได้มีฤทธิ์ที่รุนแรง แต่นั่นก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่าซูฉินใช้มันไปทีละหยดเท่านั้น

 

ตอนนี้ตัวเขาใช้มากกว่าร้อยหยดภายในพริบตา หากร่างกายซูฉินไม่ได้เปลี่ยนแปลงครั้งที่สี่ในช่วงก่อนหน้าจนเกิด ‘อัตลักษณ์สีทอง‘ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งการอยู่ยงคงกระพัน ร่างของเขาก็คงจะระเบิดและตายไปแล้ว

 

ตูม!!!

 

เลือดในร่างของซูฉินพลุ่งพล่านเคลื่อนตัวชักนำพลังสวรรค์ให้หมุนตามไปอย่างช้าๆ

 

หวึ่ง!!!

 

ในตอนนั้นเอง

 

แก่นแท้แห่งพลังที่หมุนวนอยู่ตลอดเวลาก็เหมือนจะโคจรไปในทิศทางที่แปลกประหลาด

 

แก่นแท้แห่งพลังที่เปลี่ยนไป ทรงพลังและลึกซึ้งยิ่งกว่า จนเหมือนกับว่าสามารถใช้บดบังโลกนี้ไว้ได้เลยทีเดียว

 

เวลาค่อยๆ ผ่านเลยไปอย่างเชื่องช้า

 

เมื่อแก่นแท้แห่งพลังทั้งหมดในร่างของซูฉินถูกเปลี่ยนไปกลายเป็นแก่นแท้แห่งพลังที่ยิ่งใหญ่และลึกซึ้งยิ่งขึ้น

 

พลังที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในตอนแรกก็เริ่มลดระดับลง ราวกับมันถูกสูบกลับเข้าไปในหลุมและจมนิ่งอยู่แบบนั้น

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

ซูฉินค่อยๆ ขยับเปิดเปลือกตาขึ้น

 

“นี่คือขอบเขตนภาชั้นที่สี่งั้นรึ?”

 

ซูฉินพยายามรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงภายในตนอย่างระมัดระวัง รอยยิ้มค่อยๆ โผล่ขึ้นมาบนใบหน้า

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+