เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 129 ไปยังหนานจ้าว

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 129 ไปยังหนานจ้าว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 129 ไปยังหนานจ้าว

 

“ข้ายังต้องระมัดระวังตนเพิ่มอีก”

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ ความคิดถูกเหวี่ยงไปมาในหัว

 

แม้ว่าตัวเขาจะมีไพ่ลับในมือจํานวนนับไม่ถ้วน และมีฝ่ามือยูไลซึ่งเป็นเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดในวิชาสายพุทธ แต่เขาก็ยังไม่สามารถใช้มันได้อย่างเต็มที่

 

ถ้าวันใดวันหนึ่ง ซูฉินถูกบังคับให้ต้องใช้ฝ่ามือยูไลจริงๆ ก็หมายความว่าตัวเขาไม่มีทางให้ถอยหนีแล้ว

 

“ยังไงข้าก็ยังแข็งแกร่งไม่พอ ข้าต้องก้าวเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่เก้าในขอบเขตอรหันต์เสียก่อน ตอนนั้นคงไม่มีใครในโลกนี้มาคุกคามข้าได้”

 

ซูฉันคิดตัดสินใจ

 

“ช่วงเวลาต่อจากนี้ ข้าจะต้องปรับแต่งจิตวิญญาณภายในจี้หยกให้เร็วที่สุดแล้วเปลี่ยนมาเป็นพลังงานของตัวเอง”

 

ซูฉินหยิบจี้หยกขึ้นมาแล้วส่งจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตนหลอมเข้าไปภายในเพื่อกลั่นเกลาจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายใน

 

การกลั่นเกลาจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์แบบนี้แตกต่างจากการกลืนโอสถ

 

แม้ว่าเจ้าของเดิมของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์อันนี้จะเสียชีวิตไปแล้ว แต่มันก็ยังเป็นพลังของผู้อื่นอยู่ดี ซูฉินจําจะต้องปรับแต่งมันสักเล็กน้อยหากเขาต้องการที่จะดูดซับมันโดยไม่มีปัญหาใดเกิดขึ้น

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

ซูฉินก็กลับสู่วงจรชีวิตรูปแบบเดิมอีกครั้ง

 

แต่เมื่อเทียบกับเมื่อก่อน ตอนนี้ซูฉินมุ่งเน้นเวลาทั้งหมดไปกับการกลั่นเกลาจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ภายในจี้หยก จะยกเว้นก็แต่เวลาที่ไปลงชื่อเข้าใช้ตามสถานที่ต่างๆ

“อย่างน้อยก็อีกสองเดือน ข้าน่าจะกลั่นมันจนสมบูรณ์ได้”

 

ซูฉันคิดในใจ

 

มันคุ้มค่าที่จะใช้เวลาสองเดือนเพื่อแลกกับพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เพิ่มขึ้นถึงหนึ่งส่วน

 

และขณะที่ซูฉินกําลังกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ภายในจี้หยกนั้น

 

“ลุงสาม พวกเรามาแล้ว”

 

ที่ด้านนอกของตําหนักชุนฝั่งขวา เสียงของเด็กตัวน้อยก็ดังลอดเข้ามา

 

ซูฉินเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นพระโอรสและพระธิดาของจักรพรรดิถังทั้งสองคน นั่นก็คือหลี่หยวนและหลีหว่านยืนอยู่ด้านนอก

 

ข้างๆ หลี่หยวนกับหลีหว่านมีขันทีคนสนิทและนางกํานัลกําลังยืนโค้งตัวอยู่ เห็นได้ชัดว่าเป็นพวกเขาที่พามาที่นี่

 

“ทําไมพวกเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”

 

ซูฉินเดินออกมาจากตําหนักขุนฝั่งขวา และถามไถ่อย่างไม่ได้จริงจังนัก

 

“ลุงสาม ในวังนะน่าเบื่อเกินไป” หลีหว่านเอ่ยเสียงใส

 

“หือ?”

 

“แล้วเจ้าล่ะทําไมไม่เห็นพูดอะไรเลย?”

 

หลีหว่านหันกลับไปมองหลี่หยวนที่ซ่อนตัวอยู่ข้างหลัง เธอดึงตัวเขาให้เข้าไปหาซูฉินแล้วกล่าวขึ้นว่า “ลุงสาม เสด็จพ่อให้เรามาเยี่ยมท่านบ่อยๆ…”

 

“ลุงสาม…”

 

หลี่หยวนก้มหัวและพูดอะไรออกมาบางอย่าง

 

ไม่รู้ทําไม เด็กที่ไม่กลัวใครและถึงขนาดกล้าดึงหนวดของท่านอาจารย์อย่างหลี่หยวน เมื่อพบซูฉินเขากลับเกรงกลัวขึ้นมาจับใจ

 

“จักรพรรดิถัง…”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย

 

แม้ว่าตัวเขาจะปฏิเสธข้อเสนอขององค์จักรพรรดิถังไปตรงๆ และไม่เต็มใจที่จะสร้างสัมพันธ์ที่มากเกินไปกับองค์ชายและองค์หญิงทั้งคู่อย่างหลี่หยวนและหลีหว่าน แต่ที่เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิถังยังต้องการจะให้ลูกๆ ของตนมาอยู่ใกล้ชิดซูฉินอยู่ดี

 

“ลุงสาม ข้าคิดว่าที่นี่นั้นสบายมากๆ สบายกว่าที่อื่นในวังหลวงทุกที่เลย…”

 

หลีหว่านกะพริบตาและกล่าวคํา

 

“งั้นรึ?”

 

ซูฉินไม่ได้ประหลาดใจแม้แต่น้อย

 

หลีหว่านเดิมทีก็เป็นอัจฉริยะในด้านการฝึกยุทธ โดยที่มีเส้นลมปราณที่ปลอดโปร่งตั้งแต่กําเนิดสามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานฟ้าดินได้เล็กน้อย

 

สําหรับตําหนักขุนฝั่งขวาที่ซูฉินอาศัยอยู่ ไม่รู้ว่ามีค่ายกลฟ้าดินระดับสูงอยู่ตั้งกี่แห่ง ถึงแม้ว่าค่ายกลฟ้าดินพวกนี้จะไม่ได้ใช้สําหรับรวบรวมพลังงานฟ้าดิน แต่พวกมันก็สามารถสร้างผลกระทบต่อพลังงานในพื้นที่ได้บ้าง

 

นั่นเป็นเหตุผลที่ทําให้หลีหว่านรู้สึกว่าที่นี่แตกต่างไปจากที่อื่น

 

“เจ้าชื่นชอบวิทยายุทธหรือไม่?” ซูฉินเหลือบมองไปที่หลีหว่านและถามอย่างไม่จริงจังนัก

 

“วิทยายุทธ?”

 

“ที่พวกกงกงพวกนั้นใช้เหาะเหินเดินอากาศนะหรือ?”

 

ดวงตาของหลีหว่านเป็นประกายและเธอก็รีบพูดขึ้นในทันที “แน่นอนว่าหลีหว่านชอบแบบนั้น”

 

“ถ้าเจ้าชอบ เจ้าก็จงไปบอกพ่อของเจ้าว่าเจ้าอยากจะฝึกฝนวิทยายุทธ”

 

ซูฉันมองไปที่หลีหว่านแล้วกล่าวคําแผ่วเบา

 

ด้วยพรสวรรค์ด้านวิทยายุทธของหลีหว่าน คงจะน่าเสียดายแย่หากไม่ได้ฝึกฝนวิชายุทธ

 

ซูฉินก็แค่คิดแบบนั้น แต่ไม่ได้ตั้งใจจะสอนหลีหว่านด้วยตนเอง

 

ในวังหลวงมีจอมยุทธมากมาย และมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งตั้งหลายสิบคน ฉะนั้นซูฉินจึงไม่จําเป็นต้องทําด้วยตนเอง

 

จากนั้นไม่นาน

 

หลี่หยวนและหลีหว่านก็ขอให้นางกํานัลและขันทีข้างกายให้พาเธอกลับที่ประทับ

หลังจากที่หลีหว่านกับหลี่หยวนจากไป

 

ที่สัมผัสบางอย่างด้วยจิตใจแล้วมองไปยังทิศทางหนึ่ง

 

“ตราประทับที่ใส่เอาไว้กําลังจะสลายไปแล้ว”

 

“รอจนกว่าข้าจะกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เสร็จสิ้นก่อนเถิด แล้วจะหาเวลาเดินทางไปยังอาณาจักรหนานจ้าว”

ดวงตาของซูฉินสงบนิ่งแต่มีความคิดบางประการอยู่ในใจ

 

ไม่กี่ปีก่อน สาวกลัทธิบูชาจันทร์พยายามควบคุมซูเฉิงฮ่าวด้วยมนต์คาถา

 

ในตอนนั้นซูฉินกําจัดคนที่ร่ายคาถาทันที และใช้ส่วนหนึ่งที่แยกออกจากประกายแสงดาบสร้างรอยประทับให้กับคนของอีกฝ่ายเพื่อจับตําแหน่งของเจ้าพวกนั้น และมันก็เป็นไปตามแผนที่ซูฉินวางเอาไว้

 

ในช่วงไม่กี่ปีมานี้อีกฝ่ายก็เดินทางกลับไปจนถึงอาณาจักรหนานจ้าว ก่อนที่จะมีการจัดพิธีบูชาเทพแห่งจันทรา ยามนั้นก็ถึงเวลาที่ซูฉินจะไปเยือนที่นั่น

 

ลัทธิบูชาจันทร์ถึงกับกล้ายื่นมือมาแตะต้องตระกูลซู พวกเขาก็ต้องเตรียมพร้อมกับการโดนล้างบาง

 

“ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ข้าได้เห็นผ่านตามาจากคัมภีร์โบราณในวังหลวง เหมือนว่า เทพจันทรา ที่สาวกลัทธิบูชาจันทร์เคารพนับถือนั้นค่อนข้างแปลก…”

 

ซูฉินแตะปลายคางของตนเองและครุ่นคิด

 

ถึงแม้ซูฉินจะสงสัย แต่เขาเองก็ไม่ได้กังวลอะไรมาก

 

“เทพจันทรา” ของลัทธิบูชาจันทร์ถึงความจริงจะไม่ได้ง่ายดายอย่างที่ตาเห็น แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นถึงระดับตํานานยุทธ ไม่เช่นนั้นลัทธิบูชาจันทร์ก็คงเรืองอํานาจไปทั่วดินแดนแล้ว ทําไมถึงมีอิทธิพลอยู่แค่ในมุมเล็กๆ อย่างอาณาจักรหนานจ้าว?

 

“ไม่ว่าจะเป็นอะไร ไปดูเดี๋ยวคงได้รู้กัน”

 

เมื่อคิดได้แบบนั้นซูฉินก็เริ่มปรับแต่งจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก้อนใหญ่ภายในจี้หยกอีกครั้ง

 

สองเดือนผ่านไปในพริบตา

 

ในวันนี้ฉันลืมตาขึ้นมา ไอพลังที่ไม่อาจหยั่งถึงได้แผ่ออกมา และจางหายไปในเวลาเพียงไม่นาน

 

เบื้องหน้าของซูฉิน รอยร้าวเริ่มปรากฏบนผิวของจี้หยกอันใสสะอาด

 

หลังจากที่รอยร้าวนี้ปรากฏขึ้น มันก็ค่อยๆ แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว รอยแตกลามไปทั่วทั้งตัวหยกในพริบตา

 

หลังจากนั้น

 

แกร๊กๆ

 

มันก็กลายเป็นผุยผงทันที

 

จี้หยกชิ้นนี้แต่เดิมมีไว้เพื่อบรรจุจิตวิญญาณของปฐมจักรพรรดิราชวงศ์ถัง และตอนนี้จิตวิญญาณภายในได้หายไปแล้ว ฉะนั้นจี้หยกก็ย่อมจะสลายหายไปด้วย

 

“อีกไม่นานแล้ว”

 

ซูฉินลุกขึ้นและเดินออกจากตําหนักชุนฝั่งขวา

 

ในการเดินทางไปหนานจ้าวในครั้งนี้ ซูฉินไม่ได้ตั้งใจจะบอกใครเอาไว้ ด้วยความเร็วของเขาระยะทางจากฉางอันไปหนานจ้าวที่คนทั่วไปคงจะใช้เวลาอย่างเร็วที่สุดก็หนึ่งปี เขาสามารถไปถึงได้ภายในครึ่งวัน

 

เพราะฉะนั้นเขาไม่จําเป็นต้องไปแจ้งใครเรื่องนี้

 

อย่างไรก็ตามก่อนที่จะจากไป ซูฉินได้แวะไปที่ตระกูลซูโดยแยกจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาเล็กน้อย แล้วผูกติดไว้ที่ตระกูลซู

 

ตอนที่ซูฉินอยู่ในเมืองฉางอัน จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาห่อหุ้มทั่วทั้งเมืองฉางอันเอาไว้ตลอดเวลา ทุกคนในตระกูลซูจะต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ซูฉินต้องการจะออกจากฉางอันไปอาณาจักรหนานจ้าว ถึงจะเป็นเวลาเพียงครู่เดียวเขาก็จะไม่ลดการเฝ้าระวังลง

 

ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของซูฉิน แต่รัศมีพลังของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็เพียงพอจะปกคลุมผืนปฐพีได้ แม้ว่าจะต้องเจอกับตํานานยุทธก็ยังพอยื้อเวลาได้สักพักใหญ่ เพียงพอให้ตัวเขารีบกลับมาได้ทัน

 

สําหรับจักรพรรดิหลี่เชิงและซูเยวหยุน ซูฉินก็ได้แยกจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ไว้ที่พวกเขาเช่นกัน

 

แม้ว่าซูเย่วหยุนจะมีจี้หยกที่มีเศษเสี้ยวของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่ซูฉินมอบไว้ให้

 

แต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ในจี้หยกนั้นแตกต่างไปจากจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ยามที่ซูฉินเข้าสู่ระดับตำนานยุทธได้แล้ว มันมีประโยชน์น้อยกว่าจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ในปัจจุบัน

 

“วันนี้ข้าจะทิ้งโอกาสในการลงชื่อเข้าใช้ไปก่อน บางทีอาจจะเอาไปใช้ตอนที่อยู่ในลัทธิบูชาจันทร์ได้”

 

ซูฉินเลือกที่จะละทิ้งโอกาสในการลงชื่อเข้าใช้วันนี้ไป

 

หากที่ลัทธิบูชาจันทร์สามารถลงชื่อเข้าใช้ได้ ซูฉินก็จะใช้สิทธิ์ลงชื่อที่นั่น แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น ซูฉินจะรีบกลับมาที่วังก่อนจะเปลี่ยนผ่านวันใหม่

 

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

ซูฉินเดินทางออกจากวังหลวงตั้งแต่เช้าตรู่

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 129 ไปยังหนานจ้าว

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 129 ไปยังหนานจ้าว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 129 ไปยังหนานจ้าว

 

“ข้ายังต้องระมัดระวังตนเพิ่มอีก”

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ ความคิดถูกเหวี่ยงไปมาในหัว

 

แม้ว่าตัวเขาจะมีไพ่ลับในมือจํานวนนับไม่ถ้วน และมีฝ่ามือยูไลซึ่งเป็นเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดในวิชาสายพุทธ แต่เขาก็ยังไม่สามารถใช้มันได้อย่างเต็มที่

 

ถ้าวันใดวันหนึ่ง ซูฉินถูกบังคับให้ต้องใช้ฝ่ามือยูไลจริงๆ ก็หมายความว่าตัวเขาไม่มีทางให้ถอยหนีแล้ว

 

“ยังไงข้าก็ยังแข็งแกร่งไม่พอ ข้าต้องก้าวเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่เก้าในขอบเขตอรหันต์เสียก่อน ตอนนั้นคงไม่มีใครในโลกนี้มาคุกคามข้าได้”

 

ซูฉันคิดตัดสินใจ

 

“ช่วงเวลาต่อจากนี้ ข้าจะต้องปรับแต่งจิตวิญญาณภายในจี้หยกให้เร็วที่สุดแล้วเปลี่ยนมาเป็นพลังงานของตัวเอง”

 

ซูฉินหยิบจี้หยกขึ้นมาแล้วส่งจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตนหลอมเข้าไปภายในเพื่อกลั่นเกลาจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายใน

 

การกลั่นเกลาจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์แบบนี้แตกต่างจากการกลืนโอสถ

 

แม้ว่าเจ้าของเดิมของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์อันนี้จะเสียชีวิตไปแล้ว แต่มันก็ยังเป็นพลังของผู้อื่นอยู่ดี ซูฉินจําจะต้องปรับแต่งมันสักเล็กน้อยหากเขาต้องการที่จะดูดซับมันโดยไม่มีปัญหาใดเกิดขึ้น

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

ซูฉินก็กลับสู่วงจรชีวิตรูปแบบเดิมอีกครั้ง

 

แต่เมื่อเทียบกับเมื่อก่อน ตอนนี้ซูฉินมุ่งเน้นเวลาทั้งหมดไปกับการกลั่นเกลาจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ภายในจี้หยก จะยกเว้นก็แต่เวลาที่ไปลงชื่อเข้าใช้ตามสถานที่ต่างๆ

“อย่างน้อยก็อีกสองเดือน ข้าน่าจะกลั่นมันจนสมบูรณ์ได้”

 

ซูฉันคิดในใจ

 

มันคุ้มค่าที่จะใช้เวลาสองเดือนเพื่อแลกกับพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เพิ่มขึ้นถึงหนึ่งส่วน

 

และขณะที่ซูฉินกําลังกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ภายในจี้หยกนั้น

 

“ลุงสาม พวกเรามาแล้ว”

 

ที่ด้านนอกของตําหนักชุนฝั่งขวา เสียงของเด็กตัวน้อยก็ดังลอดเข้ามา

 

ซูฉินเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นพระโอรสและพระธิดาของจักรพรรดิถังทั้งสองคน นั่นก็คือหลี่หยวนและหลีหว่านยืนอยู่ด้านนอก

 

ข้างๆ หลี่หยวนกับหลีหว่านมีขันทีคนสนิทและนางกํานัลกําลังยืนโค้งตัวอยู่ เห็นได้ชัดว่าเป็นพวกเขาที่พามาที่นี่

 

“ทําไมพวกเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”

 

ซูฉินเดินออกมาจากตําหนักขุนฝั่งขวา และถามไถ่อย่างไม่ได้จริงจังนัก

 

“ลุงสาม ในวังนะน่าเบื่อเกินไป” หลีหว่านเอ่ยเสียงใส

 

“หือ?”

 

“แล้วเจ้าล่ะทําไมไม่เห็นพูดอะไรเลย?”

 

หลีหว่านหันกลับไปมองหลี่หยวนที่ซ่อนตัวอยู่ข้างหลัง เธอดึงตัวเขาให้เข้าไปหาซูฉินแล้วกล่าวขึ้นว่า “ลุงสาม เสด็จพ่อให้เรามาเยี่ยมท่านบ่อยๆ…”

 

“ลุงสาม…”

 

หลี่หยวนก้มหัวและพูดอะไรออกมาบางอย่าง

 

ไม่รู้ทําไม เด็กที่ไม่กลัวใครและถึงขนาดกล้าดึงหนวดของท่านอาจารย์อย่างหลี่หยวน เมื่อพบซูฉินเขากลับเกรงกลัวขึ้นมาจับใจ

 

“จักรพรรดิถัง…”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย

 

แม้ว่าตัวเขาจะปฏิเสธข้อเสนอขององค์จักรพรรดิถังไปตรงๆ และไม่เต็มใจที่จะสร้างสัมพันธ์ที่มากเกินไปกับองค์ชายและองค์หญิงทั้งคู่อย่างหลี่หยวนและหลีหว่าน แต่ที่เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิถังยังต้องการจะให้ลูกๆ ของตนมาอยู่ใกล้ชิดซูฉินอยู่ดี

 

“ลุงสาม ข้าคิดว่าที่นี่นั้นสบายมากๆ สบายกว่าที่อื่นในวังหลวงทุกที่เลย…”

 

หลีหว่านกะพริบตาและกล่าวคํา

 

“งั้นรึ?”

 

ซูฉินไม่ได้ประหลาดใจแม้แต่น้อย

 

หลีหว่านเดิมทีก็เป็นอัจฉริยะในด้านการฝึกยุทธ โดยที่มีเส้นลมปราณที่ปลอดโปร่งตั้งแต่กําเนิดสามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานฟ้าดินได้เล็กน้อย

 

สําหรับตําหนักขุนฝั่งขวาที่ซูฉินอาศัยอยู่ ไม่รู้ว่ามีค่ายกลฟ้าดินระดับสูงอยู่ตั้งกี่แห่ง ถึงแม้ว่าค่ายกลฟ้าดินพวกนี้จะไม่ได้ใช้สําหรับรวบรวมพลังงานฟ้าดิน แต่พวกมันก็สามารถสร้างผลกระทบต่อพลังงานในพื้นที่ได้บ้าง

 

นั่นเป็นเหตุผลที่ทําให้หลีหว่านรู้สึกว่าที่นี่แตกต่างไปจากที่อื่น

 

“เจ้าชื่นชอบวิทยายุทธหรือไม่?” ซูฉินเหลือบมองไปที่หลีหว่านและถามอย่างไม่จริงจังนัก

 

“วิทยายุทธ?”

 

“ที่พวกกงกงพวกนั้นใช้เหาะเหินเดินอากาศนะหรือ?”

 

ดวงตาของหลีหว่านเป็นประกายและเธอก็รีบพูดขึ้นในทันที “แน่นอนว่าหลีหว่านชอบแบบนั้น”

 

“ถ้าเจ้าชอบ เจ้าก็จงไปบอกพ่อของเจ้าว่าเจ้าอยากจะฝึกฝนวิทยายุทธ”

 

ซูฉันมองไปที่หลีหว่านแล้วกล่าวคําแผ่วเบา

 

ด้วยพรสวรรค์ด้านวิทยายุทธของหลีหว่าน คงจะน่าเสียดายแย่หากไม่ได้ฝึกฝนวิชายุทธ

 

ซูฉินก็แค่คิดแบบนั้น แต่ไม่ได้ตั้งใจจะสอนหลีหว่านด้วยตนเอง

 

ในวังหลวงมีจอมยุทธมากมาย และมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งตั้งหลายสิบคน ฉะนั้นซูฉินจึงไม่จําเป็นต้องทําด้วยตนเอง

 

จากนั้นไม่นาน

 

หลี่หยวนและหลีหว่านก็ขอให้นางกํานัลและขันทีข้างกายให้พาเธอกลับที่ประทับ

หลังจากที่หลีหว่านกับหลี่หยวนจากไป

 

ที่สัมผัสบางอย่างด้วยจิตใจแล้วมองไปยังทิศทางหนึ่ง

 

“ตราประทับที่ใส่เอาไว้กําลังจะสลายไปแล้ว”

 

“รอจนกว่าข้าจะกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เสร็จสิ้นก่อนเถิด แล้วจะหาเวลาเดินทางไปยังอาณาจักรหนานจ้าว”

ดวงตาของซูฉินสงบนิ่งแต่มีความคิดบางประการอยู่ในใจ

 

ไม่กี่ปีก่อน สาวกลัทธิบูชาจันทร์พยายามควบคุมซูเฉิงฮ่าวด้วยมนต์คาถา

 

ในตอนนั้นซูฉินกําจัดคนที่ร่ายคาถาทันที และใช้ส่วนหนึ่งที่แยกออกจากประกายแสงดาบสร้างรอยประทับให้กับคนของอีกฝ่ายเพื่อจับตําแหน่งของเจ้าพวกนั้น และมันก็เป็นไปตามแผนที่ซูฉินวางเอาไว้

 

ในช่วงไม่กี่ปีมานี้อีกฝ่ายก็เดินทางกลับไปจนถึงอาณาจักรหนานจ้าว ก่อนที่จะมีการจัดพิธีบูชาเทพแห่งจันทรา ยามนั้นก็ถึงเวลาที่ซูฉินจะไปเยือนที่นั่น

 

ลัทธิบูชาจันทร์ถึงกับกล้ายื่นมือมาแตะต้องตระกูลซู พวกเขาก็ต้องเตรียมพร้อมกับการโดนล้างบาง

 

“ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ข้าได้เห็นผ่านตามาจากคัมภีร์โบราณในวังหลวง เหมือนว่า เทพจันทรา ที่สาวกลัทธิบูชาจันทร์เคารพนับถือนั้นค่อนข้างแปลก…”

 

ซูฉินแตะปลายคางของตนเองและครุ่นคิด

 

ถึงแม้ซูฉินจะสงสัย แต่เขาเองก็ไม่ได้กังวลอะไรมาก

 

“เทพจันทรา” ของลัทธิบูชาจันทร์ถึงความจริงจะไม่ได้ง่ายดายอย่างที่ตาเห็น แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นถึงระดับตํานานยุทธ ไม่เช่นนั้นลัทธิบูชาจันทร์ก็คงเรืองอํานาจไปทั่วดินแดนแล้ว ทําไมถึงมีอิทธิพลอยู่แค่ในมุมเล็กๆ อย่างอาณาจักรหนานจ้าว?

 

“ไม่ว่าจะเป็นอะไร ไปดูเดี๋ยวคงได้รู้กัน”

 

เมื่อคิดได้แบบนั้นซูฉินก็เริ่มปรับแต่งจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก้อนใหญ่ภายในจี้หยกอีกครั้ง

 

สองเดือนผ่านไปในพริบตา

 

ในวันนี้ฉันลืมตาขึ้นมา ไอพลังที่ไม่อาจหยั่งถึงได้แผ่ออกมา และจางหายไปในเวลาเพียงไม่นาน

 

เบื้องหน้าของซูฉิน รอยร้าวเริ่มปรากฏบนผิวของจี้หยกอันใสสะอาด

 

หลังจากที่รอยร้าวนี้ปรากฏขึ้น มันก็ค่อยๆ แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว รอยแตกลามไปทั่วทั้งตัวหยกในพริบตา

 

หลังจากนั้น

 

แกร๊กๆ

 

มันก็กลายเป็นผุยผงทันที

 

จี้หยกชิ้นนี้แต่เดิมมีไว้เพื่อบรรจุจิตวิญญาณของปฐมจักรพรรดิราชวงศ์ถัง และตอนนี้จิตวิญญาณภายในได้หายไปแล้ว ฉะนั้นจี้หยกก็ย่อมจะสลายหายไปด้วย

 

“อีกไม่นานแล้ว”

 

ซูฉินลุกขึ้นและเดินออกจากตําหนักชุนฝั่งขวา

 

ในการเดินทางไปหนานจ้าวในครั้งนี้ ซูฉินไม่ได้ตั้งใจจะบอกใครเอาไว้ ด้วยความเร็วของเขาระยะทางจากฉางอันไปหนานจ้าวที่คนทั่วไปคงจะใช้เวลาอย่างเร็วที่สุดก็หนึ่งปี เขาสามารถไปถึงได้ภายในครึ่งวัน

 

เพราะฉะนั้นเขาไม่จําเป็นต้องไปแจ้งใครเรื่องนี้

 

อย่างไรก็ตามก่อนที่จะจากไป ซูฉินได้แวะไปที่ตระกูลซูโดยแยกจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาเล็กน้อย แล้วผูกติดไว้ที่ตระกูลซู

 

ตอนที่ซูฉินอยู่ในเมืองฉางอัน จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาห่อหุ้มทั่วทั้งเมืองฉางอันเอาไว้ตลอดเวลา ทุกคนในตระกูลซูจะต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ซูฉินต้องการจะออกจากฉางอันไปอาณาจักรหนานจ้าว ถึงจะเป็นเวลาเพียงครู่เดียวเขาก็จะไม่ลดการเฝ้าระวังลง

 

ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของซูฉิน แต่รัศมีพลังของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็เพียงพอจะปกคลุมผืนปฐพีได้ แม้ว่าจะต้องเจอกับตํานานยุทธก็ยังพอยื้อเวลาได้สักพักใหญ่ เพียงพอให้ตัวเขารีบกลับมาได้ทัน

 

สําหรับจักรพรรดิหลี่เชิงและซูเยวหยุน ซูฉินก็ได้แยกจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ไว้ที่พวกเขาเช่นกัน

 

แม้ว่าซูเย่วหยุนจะมีจี้หยกที่มีเศษเสี้ยวของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่ซูฉินมอบไว้ให้

 

แต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ในจี้หยกนั้นแตกต่างไปจากจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ยามที่ซูฉินเข้าสู่ระดับตำนานยุทธได้แล้ว มันมีประโยชน์น้อยกว่าจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ในปัจจุบัน

 

“วันนี้ข้าจะทิ้งโอกาสในการลงชื่อเข้าใช้ไปก่อน บางทีอาจจะเอาไปใช้ตอนที่อยู่ในลัทธิบูชาจันทร์ได้”

 

ซูฉินเลือกที่จะละทิ้งโอกาสในการลงชื่อเข้าใช้วันนี้ไป

 

หากที่ลัทธิบูชาจันทร์สามารถลงชื่อเข้าใช้ได้ ซูฉินก็จะใช้สิทธิ์ลงชื่อที่นั่น แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น ซูฉินจะรีบกลับมาที่วังก่อนจะเปลี่ยนผ่านวันใหม่

 

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

ซูฉินเดินทางออกจากวังหลวงตั้งแต่เช้าตรู่

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+