เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 134 ลงชื่อเข้าใช้! เทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทรา!

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 134 ลงชื่อเข้าใช้! เทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทรา! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

Sign in Buddha’s palm 134 ลงชื่อเข้าใช้! เทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทรา!

 

“นี่คือ?!”

 

ร่างมายาสั่นสะท้านไปทั้งตัว นางมองดูองค์ยูไลทองคําที่อยู่ในส่วนลึกของกึ่งกลางระหว่างคิ้ว ตัวตนนี้ช่างสูงใหญ่คับฟ้า

 

รัศมีแสงแห่งพุทธานุภาพขจรขจายไปทั่ว

 

แกร็ก

 

แกร็ก

 

ร่างมายาในชุดกระโปรงยาวรู้สึกว่าตอนนี้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของนางกําลังจะพังทลายลงสําหรับนางแล้ว เพียงแค่เหลือบมองไปยังองค์ยูไลทองคําก็ไม่สามารถทานทนได้

 

“เป็นไปไม่ได้?!”

 

ร่างมายารู้สึกเหมือนหัวใจจมดิ่งไปที่ก้นเหว

 

นางเคยไปยังต่างดินแดนและเห็นตัวตนในขอบเขตนภา ชั้นที่ห้าจากที่ไกลๆ มาก่อน จอมยุทธที่อยู่ในระดับนภาชั้นที่ห้านั้นช่างสูงส่งกว่านางราวฟ้ากับดิน

 

แต่เมื่อร่างมายาในชุดชาววังเปรียบเทียบตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่ห้ากับองค์ยูไลทองคําที่อยู่เบื้องหน้า ก็พบว่าทั้งสองตัวตนไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลยแม้แต่น้อย

สําหรับตัวตนอย่างองค์ยูไลสีทองที่ยิ่งใหญ่คับฟ้าเช่นนี้ นับประสาอะไรกับตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่ห้า แม้แต่เซียนเทพปฐพีก็คงเปรียบได้กับมด

 

“ไม่คาดคิดเลยว่าวันนี้ข้าต้องมาตกอยู่ในเงื้อมมือของตัวตนที่ทรงพลังเช่นนี้ ”

 

ทันทีที่ร่างมายาเกิดความคิดเช่นนั้นขึ้น ด้วยรัศมีแสงที่เปล่งออกมาขององค์ยูไลทองคํา ร่างมายาจากจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ค่อยๆ สลายหายไปภายนอก

 

ซูฉินแตะที่กึ่งกลางระหว่างคิ้วตน สีหน้าของเขาดูประหลาดใจ

 

เขาไม่ได้คาดคิดว่าร่างมายาในชุดชาววังผู้นั้นจะกล้าหาญ ถึงขนาดทะลวงไปยังกึ่งกลางหว่างคิ้วแบบนั้น ร่างมายาจากจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้เผชิญหน้ากับองค์ยูไลทองคําซึ่งเป็นตัวแทนของวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างฝ่ามือยูไล

 

ต้องรู้ว่าแม้แต่ซูฉินเองก็ยังรู้สึกกดดันเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าองค์ยูไลทองคํา แต่เนื่องจากองค์ยูไลทองคําได้ยอมรับให้ซูฉินเป็นผู้ถือครอง ฉะนั้นจึงไม่เป็นอันตรายใดกับซูฉิน

 

ส่วนร่างมายาในชุดกระโปรงยาวนั้น

 

หากร่างมายาหมุนตัวแล้ววิ่งหนีไป ซูฉินอาจจะใช้เวลา ครูใหญ่ในการจัดการกับมัน แต่อีกฝ่ายกลับเจาะเข้ามาระหว่างคิ้วของเขา

 

เรียกได้ว่าทําตัวราวกับไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วจริงๆ…

 

“ครั้งนี้ที่ข้าได้ออกมาข้างนอก ก็พอจะได้ข้อมูลเกี่ยวกับดินแดนอื่นๆ มาบ้าง…”

 

จิตของซูฉินผสานเข้าไปช่องว่างระหว่างคิ้วของตน และมองไปที่องค์ยูไลทองคําที่ดูราวกับเป็นอมตะและคงอยู่ไปได้ชั่วนิรันดร์ แล้วจึงครุ่นคิดอยู่ในใจตนเองอย่างเงียบๆ

 

หลังจากที่ได้ยืนยันแล้วว่าไม่มีผู้ที่แข็งแกร่งถึงระดับเซียนเทพปฐพี ซูฉินก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น

 

สําหรับตํานานยุทธในต่างแดน การเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีนั้นช่างเป็นทางเดินที่ไกลแสนไกล แต่ในสายตาของซูฉินก็แค่ทําไปทีละขั้นตอน ใช้เวลาอย่างมากแค่สองสามร้อยปีก็คงเกือบจะถึงขั้นนั้นแล้ว

 

หลายร้อยปีนั้นถือว่าพอรับได้ เมื่อเทียบกับอายุขัยพันปีของซูฉินมันก็ไม่ได้เป็นราคาที่แพงจนเกินไป

 

“โอ้ จริงสิ”

 

“ข้ายังไม่ได้ลองลงชื่อเข้าใช้ที่นี่เลย”

 

ซูฉินพลันนึกขึ้นมาได้

 

เขาออกจากเมืองฉางอันในครั้งนี้โดยทิ้งโอกาสการลงชื่อเข้าใช้ในวังไปเพราะคิดว่าอาจจะหาสถานที่ลงชื่อตามทางที่ผ่านได้

 

น่าเสียดายที่ซูฉันไม่เจอสถานที่ที่สามารถลงชื่อเข้าใช้ได้ เลยระหว่างทางจนมาถึงทิวเขานับแสนลูก เขาก็ยังไม่เจอสถานที่ที่ลงชื่อเข้าใช้ได้เช่นเคย

 

มีแค่สถานที่ตรงจุดนี้เท่านั้นที่ซูฉันยังไม่ได้ลองลงชื่อเข้าใช้

 

หากยังไม่สามารถลงชื่อเข้าใช้ตรงจุดนี้ได้อีก ซูฉินจะรีบกลับวังเพื่อไปลงชื่อเข้าใช้ทันที

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้”

 

ซูฉินหยุดพักครู่หนึ่งจากส่งเสียงพูดในใจ

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สําเร็จ ได้รับ “เทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทรา” ]

 

“หลอมจิตวิญญาณจันทรา?”

 

ความคิดของซูฉินแล่นไปมา

 

ในเวลาต่อมา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับ “เทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทรา” ก็หลั่งไหลเข้ามาในจิตของซูฉิน 

 

“มันกลับกลายเป็นวิธีการลับในการทําให้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เสถียรมากขึ้น”

 

ซูฉินเปิดเปลือกตาขึ้น ใบหน้าปรากฏแววครุ่นคิด

 

ก่อนหน้านี้ที่เขาเห็นร่างมายาในชุดชาววัง เขาก็สงสัยอยู่ ว่าทําไมจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของอีกฝ่ายสงบนิ่งอย่างมาก ดู เหมือนมันอาจจะมาจากเคล็ดวิชาลับอันนี้

 

“เป็นของที่ดี”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย ใบหน้าของเขาแสดงให้เห็นถึงความยินดี

 

ถึงแม้ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดจะสามารถกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้ แต่เมื่อขึ้นไปถึงขอบเขตอรหันต์จึงจะสามารถรวมพวกมันให้กลายเป็นธาตุส สารได้ และจะง่ายต่อการนําไปใช้ในการต่อสู้ สร้างภาพมายาหรือความสามารถอื่นๆ

 

แต่ในหมู่ตัวตนระดับอรหันต์หรือตํานานยุทธก็มีทั้งที่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์สูงและที่มีจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ต่ำ

 

ยิ่งจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่งและมั่นคงมากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการฝึกฝนบ่มเพาะมากขึ้นเท่านั้น ถึงขนาดที่ตํานานยุทธบางคนยอมแพ้ในการฝึกฝนร่า งกายไปฝึกฝนแต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เพียงอย่างเดียว 

 

อย่างไรก็ตาม “เทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทรา ทําให้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินเสถียรขึ้น หลังจากนี้หากซูฉินได้พบเจอกับตํานานยุทธที่มีจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลัง แม้ว่าเขาอาจจะไม่สามารถเอาชนะศัตรูได้ในการต่อสู้ทางจิตวิญญาณ แต่อย่างน้อยก็จะไม่ถูกอีกฝ่ายข่มเหงแน่นอน”

 

นับว่าเป็นอานิสงส์จากการมีจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่เสถียร

 

“ถึงเวลากลับแล้ว”

 

“เมื่อกลับไปที่วังหลวงครานี้ ข้าคงต้องลองฝึก “เทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทรา” ดูสักครั้ง”

 

ซูฉินก้าวไปข้างหน้าแล้วหายวับไป รีบเดินทางกลับฉางอัน

 

ไม่นานหลังจากที่ซูฉินจากไป

 

ครึ่งวันต่อมาก็มีคนค้นพบว่าวิหารศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิบูชาจันทร์ได้หายไปแล้ว

 

ข่าวแพร่สะพัดออกไป

 

ทั่วทั้งอาณาจักรหนานจ้าวสั่นสะเทือน

 

เป็นเวลานับแสนปีแล้วที่ลัทธิบูชาจันทร์ตั้งอยู่ในอาณาจักรหนานจ้าว และสถานะของมันก็สูงยิ่งกว่าราชวงศ์ แล้วตัวตนยักษ์ใหญ่เช่นนี้จะหายไปได้เช่นไร?

 

ตอนแรกไม่มีใครเชื่อเพราะคิดว่าเป็นเพียงคําคนพูดกันพล่อยๆ

 

แต่เมื่อเวลาผ่านไป มีผู้คนจํานวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่กลับมาจากทิวเขาแสนลูกได้เล่าเรื่องนี้กันต่อมาซ้ําแล้วซ้ำเล่า ผู้คนต่างตกตะลึง

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตําแหน่งที่ตั้งเดิมของวิหารลัทธิบูชาจันทร์ ปรากฏเป็นรอยฝ่ามือขนาดใหญ่ ราวกับวิหารศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิบูชาจันทร์ถูกลบทิ้ง” โดยเจ้าของรอยฝ่ามืออันนี้

 

ทันใดนั้น

 

ทั้งอาณาจักรหนานจ้าวก็ตกอยู่ในความตื่นตระหนก

 

นั่นเป็นถึงลัทธิบูชาจันทร์เชียวนะ

 

คิดว่าอยากจะลบทิ้งก็ลบทิ้งได้ง่ายๆ เลยหรืออย่างไร? 

 

หากบอกว่าสุดยอดพรรคในยุทธภพร่วมมือกันส่งกองกําลังเข้าต่อสู้อย่างดุ

 

เดือดกับลัทธิบูชาจันทร์เป็นเวลาหลายวันหลายคืน จนสุดท้ายก็กําจัดลัทธิบูชาจันทร์ไปได้ สิ่งนี้ยังพอรับได้ขึ้นมาหน่อย

 

แต่ความจริงกลับกลายเป็นเช่นนี้?

 

ลัทธิบูชาจันทร์กลับหายไปอย่างเงียบๆ ราวกับว่าไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน

 

“ใครเป็นคนประทับรอยฝ่ามืออันนั้นกัน?”

 

“ใครเป็นคนประทับรอยฝ่ามือเอาไว้ ข้าคิดว่าอาจจะเป็นเซียนเทพก็เป็นได้”

 

ผู้คนจํานวนมากในอาณาจักรหนานจ้าวซุบซิบพูดคุยกันไปทั่วหัวระแหง น้ำเสียงของพวกเขามีความกริ่งเกรงอยู่หลายส่วน

 

สําหรับพวกเขา การที่สามารถทําลายทั้งลัทธิบูชาจันทร์ได้ในฝ่ามือเดียว แม้ว่าจะไม่ใช่เซียนเทพ แต่ก็ไม่ได้ต่างไปจากเซียนเทพเลย

 

เมืองหลวง อาณาจักรหนานจ้าว

 

ผู้ปกครองอาณาจักรหนานจ้าวดูกังวลอย่างยิ่ง เดี๋ยวก็เดินไปเดี๋ยวก็เดินมา

 

“ทําเช่นไรดี ทําเช่นไรดี”

 

“ผู้น้าหายตัวไป เหล่าผู้อาวุโสก็หายตัวไป ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับลัทธิบูชาจันทร์ก็หายไปหมดสิ้น…”

 

ผู้ปกครองอาณาจักรหนานจ้าวบ่นพึมพํากับตนเอง แสดงออกถึงความกลัว

 

ทันใดนั้นหนึ่งในขุนนางก็ลุกขึ้น “ท่านผู้ปกครอง บางที่การหายไปของลัทธิบูชาจันทร์อาจจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายสําหรับท่านและอาณาจักรหนานจ้าว…”

 

คําที่กล่าวออกมา

 

ท่าทีของเหล่าขุนนางก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

หากลัทธิบูชาจันทร์ยังคงอยู่ คงไม่มีขุนนางข้าราชบริพารคนใดหาญกล้ามีความคิดเช่นนี้ แต่ตอนนี้ลัทธิบูชาจันทร์ได้หายไปแล้ว ตั้งแต่ผู้นไปจนถึงศิษย์สาวกของลัทธิบูชาจันทร์ไม่มีใครรอดชีวิต ย่อมมีความคิดแบบนี้เกิดขึ้นเป็นธรรมดา

 

เป็นเวลานับแสนปีแล้วที่สถานะของลัทธิบูชาจันทร์นั้นสูงส่งเกินไป ตัวตนสูงส่งเช่นนี้สามารถยื่นมือเข้ามายุ่มย่ามกับการปกครองได้อย่างง่ายดาย

 

และตอนนี้ลัทธิบูชาจันทร์ได้หายไป โซ่ตรวนที่เหนี่ยวรั้งอาณาจักรหนานจ้าวเอาไว้ก็หายไปพร้อมกับมัน

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 134 ลงชื่อเข้าใช้! เทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทรา!

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 134 ลงชื่อเข้าใช้! เทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทรา! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

Sign in Buddha’s palm 134 ลงชื่อเข้าใช้! เทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทรา!

 

“นี่คือ?!”

 

ร่างมายาสั่นสะท้านไปทั้งตัว นางมองดูองค์ยูไลทองคําที่อยู่ในส่วนลึกของกึ่งกลางระหว่างคิ้ว ตัวตนนี้ช่างสูงใหญ่คับฟ้า

 

รัศมีแสงแห่งพุทธานุภาพขจรขจายไปทั่ว

 

แกร็ก

 

แกร็ก

 

ร่างมายาในชุดกระโปรงยาวรู้สึกว่าตอนนี้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของนางกําลังจะพังทลายลงสําหรับนางแล้ว เพียงแค่เหลือบมองไปยังองค์ยูไลทองคําก็ไม่สามารถทานทนได้

 

“เป็นไปไม่ได้?!”

 

ร่างมายารู้สึกเหมือนหัวใจจมดิ่งไปที่ก้นเหว

 

นางเคยไปยังต่างดินแดนและเห็นตัวตนในขอบเขตนภา ชั้นที่ห้าจากที่ไกลๆ มาก่อน จอมยุทธที่อยู่ในระดับนภาชั้นที่ห้านั้นช่างสูงส่งกว่านางราวฟ้ากับดิน

 

แต่เมื่อร่างมายาในชุดชาววังเปรียบเทียบตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่ห้ากับองค์ยูไลทองคําที่อยู่เบื้องหน้า ก็พบว่าทั้งสองตัวตนไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลยแม้แต่น้อย

สําหรับตัวตนอย่างองค์ยูไลสีทองที่ยิ่งใหญ่คับฟ้าเช่นนี้ นับประสาอะไรกับตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่ห้า แม้แต่เซียนเทพปฐพีก็คงเปรียบได้กับมด

 

“ไม่คาดคิดเลยว่าวันนี้ข้าต้องมาตกอยู่ในเงื้อมมือของตัวตนที่ทรงพลังเช่นนี้ ”

 

ทันทีที่ร่างมายาเกิดความคิดเช่นนั้นขึ้น ด้วยรัศมีแสงที่เปล่งออกมาขององค์ยูไลทองคํา ร่างมายาจากจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ค่อยๆ สลายหายไปภายนอก

 

ซูฉินแตะที่กึ่งกลางระหว่างคิ้วตน สีหน้าของเขาดูประหลาดใจ

 

เขาไม่ได้คาดคิดว่าร่างมายาในชุดชาววังผู้นั้นจะกล้าหาญ ถึงขนาดทะลวงไปยังกึ่งกลางหว่างคิ้วแบบนั้น ร่างมายาจากจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้เผชิญหน้ากับองค์ยูไลทองคําซึ่งเป็นตัวแทนของวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างฝ่ามือยูไล

 

ต้องรู้ว่าแม้แต่ซูฉินเองก็ยังรู้สึกกดดันเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าองค์ยูไลทองคํา แต่เนื่องจากองค์ยูไลทองคําได้ยอมรับให้ซูฉินเป็นผู้ถือครอง ฉะนั้นจึงไม่เป็นอันตรายใดกับซูฉิน

 

ส่วนร่างมายาในชุดกระโปรงยาวนั้น

 

หากร่างมายาหมุนตัวแล้ววิ่งหนีไป ซูฉินอาจจะใช้เวลา ครูใหญ่ในการจัดการกับมัน แต่อีกฝ่ายกลับเจาะเข้ามาระหว่างคิ้วของเขา

 

เรียกได้ว่าทําตัวราวกับไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วจริงๆ…

 

“ครั้งนี้ที่ข้าได้ออกมาข้างนอก ก็พอจะได้ข้อมูลเกี่ยวกับดินแดนอื่นๆ มาบ้าง…”

 

จิตของซูฉินผสานเข้าไปช่องว่างระหว่างคิ้วของตน และมองไปที่องค์ยูไลทองคําที่ดูราวกับเป็นอมตะและคงอยู่ไปได้ชั่วนิรันดร์ แล้วจึงครุ่นคิดอยู่ในใจตนเองอย่างเงียบๆ

 

หลังจากที่ได้ยืนยันแล้วว่าไม่มีผู้ที่แข็งแกร่งถึงระดับเซียนเทพปฐพี ซูฉินก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น

 

สําหรับตํานานยุทธในต่างแดน การเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีนั้นช่างเป็นทางเดินที่ไกลแสนไกล แต่ในสายตาของซูฉินก็แค่ทําไปทีละขั้นตอน ใช้เวลาอย่างมากแค่สองสามร้อยปีก็คงเกือบจะถึงขั้นนั้นแล้ว

 

หลายร้อยปีนั้นถือว่าพอรับได้ เมื่อเทียบกับอายุขัยพันปีของซูฉินมันก็ไม่ได้เป็นราคาที่แพงจนเกินไป

 

“โอ้ จริงสิ”

 

“ข้ายังไม่ได้ลองลงชื่อเข้าใช้ที่นี่เลย”

 

ซูฉินพลันนึกขึ้นมาได้

 

เขาออกจากเมืองฉางอันในครั้งนี้โดยทิ้งโอกาสการลงชื่อเข้าใช้ในวังไปเพราะคิดว่าอาจจะหาสถานที่ลงชื่อตามทางที่ผ่านได้

 

น่าเสียดายที่ซูฉันไม่เจอสถานที่ที่สามารถลงชื่อเข้าใช้ได้ เลยระหว่างทางจนมาถึงทิวเขานับแสนลูก เขาก็ยังไม่เจอสถานที่ที่ลงชื่อเข้าใช้ได้เช่นเคย

 

มีแค่สถานที่ตรงจุดนี้เท่านั้นที่ซูฉันยังไม่ได้ลองลงชื่อเข้าใช้

 

หากยังไม่สามารถลงชื่อเข้าใช้ตรงจุดนี้ได้อีก ซูฉินจะรีบกลับวังเพื่อไปลงชื่อเข้าใช้ทันที

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้”

 

ซูฉินหยุดพักครู่หนึ่งจากส่งเสียงพูดในใจ

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สําเร็จ ได้รับ “เทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทรา” ]

 

“หลอมจิตวิญญาณจันทรา?”

 

ความคิดของซูฉินแล่นไปมา

 

ในเวลาต่อมา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับ “เทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทรา” ก็หลั่งไหลเข้ามาในจิตของซูฉิน 

 

“มันกลับกลายเป็นวิธีการลับในการทําให้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เสถียรมากขึ้น”

 

ซูฉินเปิดเปลือกตาขึ้น ใบหน้าปรากฏแววครุ่นคิด

 

ก่อนหน้านี้ที่เขาเห็นร่างมายาในชุดชาววัง เขาก็สงสัยอยู่ ว่าทําไมจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของอีกฝ่ายสงบนิ่งอย่างมาก ดู เหมือนมันอาจจะมาจากเคล็ดวิชาลับอันนี้

 

“เป็นของที่ดี”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย ใบหน้าของเขาแสดงให้เห็นถึงความยินดี

 

ถึงแม้ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดจะสามารถกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้ แต่เมื่อขึ้นไปถึงขอบเขตอรหันต์จึงจะสามารถรวมพวกมันให้กลายเป็นธาตุส สารได้ และจะง่ายต่อการนําไปใช้ในการต่อสู้ สร้างภาพมายาหรือความสามารถอื่นๆ

 

แต่ในหมู่ตัวตนระดับอรหันต์หรือตํานานยุทธก็มีทั้งที่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์สูงและที่มีจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ต่ำ

 

ยิ่งจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่งและมั่นคงมากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการฝึกฝนบ่มเพาะมากขึ้นเท่านั้น ถึงขนาดที่ตํานานยุทธบางคนยอมแพ้ในการฝึกฝนร่า งกายไปฝึกฝนแต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เพียงอย่างเดียว 

 

อย่างไรก็ตาม “เทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทรา ทําให้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินเสถียรขึ้น หลังจากนี้หากซูฉินได้พบเจอกับตํานานยุทธที่มีจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลัง แม้ว่าเขาอาจจะไม่สามารถเอาชนะศัตรูได้ในการต่อสู้ทางจิตวิญญาณ แต่อย่างน้อยก็จะไม่ถูกอีกฝ่ายข่มเหงแน่นอน”

 

นับว่าเป็นอานิสงส์จากการมีจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่เสถียร

 

“ถึงเวลากลับแล้ว”

 

“เมื่อกลับไปที่วังหลวงครานี้ ข้าคงต้องลองฝึก “เทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทรา” ดูสักครั้ง”

 

ซูฉินก้าวไปข้างหน้าแล้วหายวับไป รีบเดินทางกลับฉางอัน

 

ไม่นานหลังจากที่ซูฉินจากไป

 

ครึ่งวันต่อมาก็มีคนค้นพบว่าวิหารศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิบูชาจันทร์ได้หายไปแล้ว

 

ข่าวแพร่สะพัดออกไป

 

ทั่วทั้งอาณาจักรหนานจ้าวสั่นสะเทือน

 

เป็นเวลานับแสนปีแล้วที่ลัทธิบูชาจันทร์ตั้งอยู่ในอาณาจักรหนานจ้าว และสถานะของมันก็สูงยิ่งกว่าราชวงศ์ แล้วตัวตนยักษ์ใหญ่เช่นนี้จะหายไปได้เช่นไร?

 

ตอนแรกไม่มีใครเชื่อเพราะคิดว่าเป็นเพียงคําคนพูดกันพล่อยๆ

 

แต่เมื่อเวลาผ่านไป มีผู้คนจํานวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่กลับมาจากทิวเขาแสนลูกได้เล่าเรื่องนี้กันต่อมาซ้ําแล้วซ้ำเล่า ผู้คนต่างตกตะลึง

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตําแหน่งที่ตั้งเดิมของวิหารลัทธิบูชาจันทร์ ปรากฏเป็นรอยฝ่ามือขนาดใหญ่ ราวกับวิหารศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิบูชาจันทร์ถูกลบทิ้ง” โดยเจ้าของรอยฝ่ามืออันนี้

 

ทันใดนั้น

 

ทั้งอาณาจักรหนานจ้าวก็ตกอยู่ในความตื่นตระหนก

 

นั่นเป็นถึงลัทธิบูชาจันทร์เชียวนะ

 

คิดว่าอยากจะลบทิ้งก็ลบทิ้งได้ง่ายๆ เลยหรืออย่างไร? 

 

หากบอกว่าสุดยอดพรรคในยุทธภพร่วมมือกันส่งกองกําลังเข้าต่อสู้อย่างดุ

 

เดือดกับลัทธิบูชาจันทร์เป็นเวลาหลายวันหลายคืน จนสุดท้ายก็กําจัดลัทธิบูชาจันทร์ไปได้ สิ่งนี้ยังพอรับได้ขึ้นมาหน่อย

 

แต่ความจริงกลับกลายเป็นเช่นนี้?

 

ลัทธิบูชาจันทร์กลับหายไปอย่างเงียบๆ ราวกับว่าไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน

 

“ใครเป็นคนประทับรอยฝ่ามืออันนั้นกัน?”

 

“ใครเป็นคนประทับรอยฝ่ามือเอาไว้ ข้าคิดว่าอาจจะเป็นเซียนเทพก็เป็นได้”

 

ผู้คนจํานวนมากในอาณาจักรหนานจ้าวซุบซิบพูดคุยกันไปทั่วหัวระแหง น้ำเสียงของพวกเขามีความกริ่งเกรงอยู่หลายส่วน

 

สําหรับพวกเขา การที่สามารถทําลายทั้งลัทธิบูชาจันทร์ได้ในฝ่ามือเดียว แม้ว่าจะไม่ใช่เซียนเทพ แต่ก็ไม่ได้ต่างไปจากเซียนเทพเลย

 

เมืองหลวง อาณาจักรหนานจ้าว

 

ผู้ปกครองอาณาจักรหนานจ้าวดูกังวลอย่างยิ่ง เดี๋ยวก็เดินไปเดี๋ยวก็เดินมา

 

“ทําเช่นไรดี ทําเช่นไรดี”

 

“ผู้น้าหายตัวไป เหล่าผู้อาวุโสก็หายตัวไป ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับลัทธิบูชาจันทร์ก็หายไปหมดสิ้น…”

 

ผู้ปกครองอาณาจักรหนานจ้าวบ่นพึมพํากับตนเอง แสดงออกถึงความกลัว

 

ทันใดนั้นหนึ่งในขุนนางก็ลุกขึ้น “ท่านผู้ปกครอง บางที่การหายไปของลัทธิบูชาจันทร์อาจจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายสําหรับท่านและอาณาจักรหนานจ้าว…”

 

คําที่กล่าวออกมา

 

ท่าทีของเหล่าขุนนางก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

หากลัทธิบูชาจันทร์ยังคงอยู่ คงไม่มีขุนนางข้าราชบริพารคนใดหาญกล้ามีความคิดเช่นนี้ แต่ตอนนี้ลัทธิบูชาจันทร์ได้หายไปแล้ว ตั้งแต่ผู้นไปจนถึงศิษย์สาวกของลัทธิบูชาจันทร์ไม่มีใครรอดชีวิต ย่อมมีความคิดแบบนี้เกิดขึ้นเป็นธรรมดา

 

เป็นเวลานับแสนปีแล้วที่สถานะของลัทธิบูชาจันทร์นั้นสูงส่งเกินไป ตัวตนสูงส่งเช่นนี้สามารถยื่นมือเข้ามายุ่มย่ามกับการปกครองได้อย่างง่ายดาย

 

และตอนนี้ลัทธิบูชาจันทร์ได้หายไป โซ่ตรวนที่เหนี่ยวรั้งอาณาจักรหนานจ้าวเอาไว้ก็หายไปพร้อมกับมัน

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+