เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 136 สง่างาม!

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 136 สง่างาม! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 136 สง่างาม!

 

ภายในตําหนักชุนฝั่งขวา

 

ซูฉินรวบรวมไอพลังของเขาเข้าหากัน

 

“เมื่อเทียบดูจากการคาดคะเนก่อนหน้าของข้า นี่บรรลุถึงนภาชั้นที่สี่เร็วกว่ากําหนดอย่างน้อยก็หนึ่งถึงสองปีที่เดียว”

ซูฉินแตะปลายคาง ดวงตาส่อแววครุ่นคิด

 

ด้วยสายตาอันกว้างไกลของซูฉินในปัจจุบัน แม้จะประมาณการณ์ผิดไป แต่ความแตกต่างอย่างมากสุดก็ไม่กี่เดือน แต่ตอนนี้มันกลับเร็วกว่ากําหนดถึงปีสองปีเต็ม

 

“คงจะเป็นเพราะ ‘เทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทรา’ ที่ทําให้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของข้าเสถียรมั่งคง ช่วยเพิ่มความเร็วในการฝึกฝนไปได้มากโข”

 

ซูฉินคาดเดาอยู่ในใจ

 

แม้ว่าเขาจะรู้ว่าจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่มั่นคง ดีอย่างยิ่ง สําหรับการบ่มเพาะเมื่อยามที่ฝึกฝน “เทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทรา” แต่เขาก็ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะช่วยปรับเปลี่ยนประสิทธิภาพได้มากขนาดนี้

 

“การเดินทางไปยังอาณาจักรหนานจ้าวช่างคุ้มค่า”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย ค่อนข้างพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

 

การไปเยี่ยมเยือนหนานจ้าวครั้งนั้น ไม่เพียงแต่จะได้ลงชื่อเข้าใช้และรับเคล็ดวิชาอันแสนวิเศษนี้มา แต่เขายังได้เรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเหล่าจอมยุทธในดินแดนอันไกลโพ้นอีกด้วย

 

“ในเมื่อบรรลุถึงความสมบูรณ์แบบของนภาชั้นที่สี่แล้ว ข้าก็ควรเตรียมตัวทะลวงขั้นเข้าสู่นภาชั้นที่ห้า”

 

ซูฉินค่อยๆ ลุกขึ้นเดินออกจากตําหนักชุนฝั่งขวาแล้วเดินช้าๆ ไปตามทางเดินอันร่มรื่น

 

พระราชวังตะวันออกยังคงร้างผู้คนเช่นเคย แต่ซูฉินคุ้นเคยกับมันมาตั้งนานแล้ว และก็ชื่นชอบมันไม่น้อย

 

สําหรับซูฉิน อํานาจ รูปโฉม และความมั่งคั่งทางโลกนั้นล้วนราวกับเป็นเพียงเมฆหมอกควันไฟ มีเพียงความแข็งแกร่งของตนเท่านั้นที่ยึดถือเป็นรากฐาน

 

สิ่งนี้เป็นความจริงแท้ ไม่ว่าจะอยู่ที่วัดเส้าหลินหรือพระราชวังถัง

 

มิฉะนั้นด้วยความสามารถของซูฉิน หากเขาต้องการจะนั่งบนบัลลังก์มังกร มันก็ทําได้ดั่งใจนึก จะมีใครในอาณาจักรถังมาหยุดเขาได้?

 

แต่เขาไม่มีความต้องการที่จะเป็นจักรพรรดิ

 

ตลอดห้าร้อยปีของราชวงศ์ถัง นอกจากปฐมจักรพรรดิผู้ก่อตั้งราชวงศ์ถัง จักรพรรดิเกือบทุกคนแทบจะไม่ประสบความสําเร็จในการฝึกฝนวิทยายุทธเลย

 

แม้แต่ตัวปฐมจักรพรรดิก็ไม่สามารถก่อตั้งอาณาจักรถังได้ หากเขาไม่ก้าวขึ้นมาถึงขอบเขตตํานานยุทธ

 

ไม่เพียงแต่อาณาจักรถังเท่านั้น แต่จักรพรรดิในทุกอาณาจักรต่างก็มีเรื่องราวคล้ายคลึงกัน

 

ทําไมจึงเป็นเช่นนั้น?

 

พลังงานของมนุษย์นั้นมีจํากัด เพื่อให้บรรลุถึงความสําเร็จอันยิ่งใหญ่ในด้านการฝึกยุทธจําเป็นต้องทุ่มเทพลังงานทั้งหมดทั้งมวลไปกับมัน แต่คนเช่นจักรพรรดิไม่สามารถกระทําได้

 

เห็นได้ชัดว่าสิ่งนั้นจึงขัดกับสิ่งที่ซูฉินต้องการ

 

ซูฉินเดินอย่างเอื่อยเฉื่อยไม่เร่งรีบไปตามทางเดินภายในพระราชวังตะวันออก ปล่อยความคิดของตนให้ล่องลอย

 

ในช่วงสามปีที่ผ่านมา นอกเหนือจากการฝึกตนแล้ว ซูฉินยังเก็บรวบรวมสมบัติมาได้จํานวนนับไม่ถ้วน

 

แม้ว่าสถานที่ส่วนใหญ่ในพระราชวังถึงจะสามารถลงชื่อเข้าใช้ได้เพียงครั้งเดียว แต่ก็ยังมีสถานที่อีกเป็นโหลที่ซูฉิน สามารถกอบโกย” ซ้ำๆ ได้

 

ตัวอย่างเช่น แท่นบูชาเทพธรณีฯ เขาได้รับผลไม้สีแดงมา

 

ที่ด้านหน้าของตําหนักไฟจี้ก็ลงชื่อได้รับ “วิชาปราณฉีฟ้ากําหนด

 

ด้านหน้าจัตุรัสหยกขาวได้รับ สิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกร

 

….

 

….

 

ในหมู่ของที่ได้มาทั้งหมด ผลไม้สีแดงมีประโยชน์กับซูฉินมากที่สุด มันมีผลมากกว่าโลหิตรู้แจ้งหลายสิบเท่า แม้แต่เป็นตัวซูฉินเองที่กินผลไม้สีแดงเข้าไปก็ต้องใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์ในการย่อยมันจนหมด

 

รู้หรือไม่ว่าร่างกายของซูฉินที่ได้รับการแปรสภาพมาแล้วถึงสี่ครั้งรวมถึงเข้าสู่ขอบเขตอรหันต์ระดับนภาชั้นที่สี่ แม้แต่โอสถหมุนวนเก้าโคจรหรือ โอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคํา ตอนนี้เขาก็สามารถดูดซึมมันได้โดยใช้เวลาเพียงครู่เดียว

 

แต่ผลไม้สีแดงนี่กลับใช้เวลาถึงหนึ่งสัปดาห์ คงจะพอนึกภาพปริมาณพลังที่สะสมไว้ภายในของมันได้ 

 

“น่าเสียดาย ในสามปีมานี้ข้าลงชื่อได้รับผลไม้สีแดงนี้มา แค่ไม่กี่ร้อยผล…”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย เขาค่อนข้างเสียใจอยู่ เดิมทีหลังจากลงชื่อได้รับโลหิตรู้แจ้งและหยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาตินับพันหยด เขาก็วางแผนว่าหลังจากนั้นจะลงชื่อเข้าใช้ที่อื่นต่อ แต่หลังจากที่ครั้งหนึ่งลงชื่อได้รับผลไม้สีแดงมา ซูฉินก็กลับมาให้ความสนใจแท่นบูชาเทพธรณีฯ ใหม่อีกครั้ง

 

นอกจากนี้ยังมีวิชาปราณฉีฟ้ากําหนดที่ทําให้ซูฉินมีความสุขมาก

 

วิชาปราณฉีฟ้ากําหนดสามารถสังเกตเห็นถึงพลังได้ คล้ายคลึงกับดวงตาแห่งสัจจะของซูฉิน ความแตกต่างก็คือวิชาปราณฉีฟ้ากําหนดเป็นวิชาในการตรวจจับพลังฉี ไม่ใช่ที่อพยอํานาจ

 

ซูฉินพบอีกว่า หากเขารวมวิชาปราณฉีฟ้ากําหนดเข้ากับดวงตาแห่งสัจจะ เขาสามารถรับรู้จุดเล็กๆ บางส่วนของอาณาจักรได้อย่างรวดเร็ว

 

ส่วนสิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกรนั้นเป็นเคล็ดวิชาโจมตีด้วยการใช้กําลังภายใน ด้วยความแข็งแกร่งปัจจุบันของซูฉินเมื่อใช้ออก เกรงว่าจะสามารถปลดปล่อยมังกรทองออกมา หนึ่งร้อยแปดตัวพร้อมกัน และสามารถทําลายล้างทุกสิ่งที่ขวางหน้า

 

สิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกรเป็นหนึ่งในเคล็ดวิชาจํานวนนับไม่ถ้วนที่ซูฉินเชี่ยวชาญ มันสามารถจัดอยู่ในห้าร้อยอันดับแรกได้เลย

 

นอกจากสามอย่างที่กล่าวเอาไว้ข้างต้น ซูฉินยังได้รับสม บัติอื่นๆ มาเป็นจํานวนมาก ทั้งเคล็ดวิชา โอสถ ผลไม้จิตวิ ญญาณ ซึ่งพอจะมีประโยชน์ต่อซูฉินอยู่บ้าง

 

ซูฉินเดินกลับไปอย่างช้าๆ และเมื่อเขากลับมาถึงตําหนักชุนฝั่งขวา ก็พบว่าองค์จักรพรรดิถังยืนรออยู่ด้านนอกเป็นเวลานานแล้ว

 

“พี่สาม”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงโบกมือให้ เมื่อเห็นซูฉินเข้ามา

 

ในช่วงสามปีมานี้ จักรพรรดิหลี่เชิงมีภาระรับผิดชอบเยอะขึ้นมาก เครียดมาก เก็บกดความโกรธเกรี้ยวไว้มาก และยังมีอายุเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย ตอนนี้เส้นผมสีขาวเริ่มขึ้นแซมช่วงบริเวณขมับเสียแล้ว

 

“เจ้ามาแล้วรึ?”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

 

“ช่วงนี้เจ้าอารมณ์ไม่ค่อยดีหรือ?” ซูฉินเหลือบมองจักรพรรดิถังหลีเชิง และถามอย่างเป็นกันเอง

 

แม้ว่าจักรพรรดิหลี่เชิงจะไม่แสดงออกท่าที่ทั้งสุขหรือโกรธเกรี้ยวมานานแล้ว แต่เขาจะปิดบังอารมณ์ของตนต่อหน้าซูฉินได้อย่างไร

 

“มีเรื่องราวบางประการในสภาขุนนาง”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงส่ายหัว ใช้มือซ้ายยกขวดที่ข้างสะโพกขึ้นมาแล้วยิ้ม “พี่สาม วันนี้มาดื่มกันเถอะ”

 

“ได้สิ”

 

ซูฉินไม่ได้ปฏิเสธ

 

ยามใดที่จักรพรรดิถังหลี่เชิงชวนซุฉินดื่ม ทุกครั้งจะเป็นการเผชิญหน้ากับการตัดสินใจครั้งสําคัญเสมอ

 

หลังจากดื่มไปไม่กี่แก้ว จักรพรรดิหลี่เชิงมองดูซูฉินอย่างอิจฉา “บางครั้งข้าก็อิจฉาพี่สามจริงๆ ท่านเหมือนไม่ได้ข้องเกี่ยวกับโลกหล้านี้เลย ทั้งอิสระและแสนสบาย พอมาเปรียบเทียบกับข้า แม้ว่าจะเป็นถึงจักรพรรดิแห่งอาณาจักร ข้าก็ไม่เคยได้รู้สึกเช่นนั้นเลย”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงกล่าวด้วยอารมณ์ความรู้สึก

 

ซูฉินเงียบไปเมื่อได้ยินคําพูดนั้น

 

แม้ว่าเขาจะดูสบายใจ แต่จะมีสักกี่คนบนโลกเชียวที่ทําสิ่งซ้ำซากจําเจได้อยู่หลายสิบปี?

 

“หยุดพูดเรื่องนั้นแล้วกัน”

 

จักรพรรดิถังวางแก้วในมือลงแล้วถามขึ้นว่า “พี่สาม รู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับอาณาจักรหนานจ้าวเมื่อสามปีก่อน?”

 

“หนานจ้าว?”

 

ซูฉินมองไปทางจักรพรรดิหลี่เชิง

 

“ใช่แล้ว”

 

“พี่สาม ในเมื่อท่านไม่ได้ออกไปไหน ท่านก็คงจะไม่รู้”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงคิดอะไรบางอย่างแล้วพูดต่อ “ลัทธิบูชาจันทร์จากอาณาจักรหนานจ้าวถูกทําลายลงในชั่วข้ามคืน ทิ้งรอยฝ่ามือไว้เหนือยอดเขา ฮืมม…”

 

เมื่อจักรพรรดิถังพูดเช่นนี้ เขาก็หยุดพูดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ข้ามักคิดอยู่เสมอว่าคงไม่มีตํานานยุทธอยู่ในยุคนี้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ารอยฝ่ามือที่ถูกประทับทิ้งไว้คงจะเป็นฝีมือของตํานานยุทธ…”

 

เมื่อตอนที่จักรพรรดิหลี่เชิงรู้เรื่องนี้เมื่อสองปีก่อน เขายังตกใจอย่างมากอยู่เลยและคิดว่ามันไม่น่าเป็นไปได้

 

แต่เมื่อเวลาผ่านเลยไป ข้อมูลมากมายก็ผ่านหูเขาเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายเขาก็ค่อยๆ ยอมรับความจริงเรื่องนี้

 

ซูฉินได้ยินทุกคําพูดและเหลือบไปมองจักรพรรดิหลี่เชิงแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร ก็รอยฝ่ามือนั่นเป็นสิ่งที่เขาทิ้งเอาไว้

 

“ไม่รู้ว่าตลอดชีวิตของข้าจะมีโอกาสได้มองเห็นความสง่างามของตํานานยุทธจากที่ไกลๆ หรือไม่…”

 

จักรพรรดิหลี่เชิงดูโหยหาอย่างมาก

 

กว่าห้าร้อยปีของราชวงศ์ถัง มีเพียงปฐมจักรพรรดิเท่านั้นที่เป็นตํานานยุทธ หลังจากยุคของปฐมจักรพรรดิ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็ไม่เกินไปกว่ายอดปรมาจารย์สําหรับในยุคนี้

 

อย่าว่าแต่อาณาจักรถังไม่มีตํานานยุทธเลย

 

ตั้งแต่ที่จ้าวกงกงสิ้นลมไป ก็ไม่มียอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดภายในวังหลวงอีกเลย

 

แม้จักรพรรดิถังพยายามจะหาหนทาง แต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย

 

การฝึกฝนวิทยายุทธอาจจะสามารถใช้ทรัพยากรมากมาย เพื่อเพิ่มความรวดเร็วได้ในช่วงแรก แต่ในระยะหลัง โดยเฉพาะการแปรสภาพพลังของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง ทรัพยากรภายนอกอาจจะมีประโยชน์จริง แต่การพึ่งพาตนเองต่างหากที่เป็นส่วนสําคัญที่สุด

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 136 สง่างาม!

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 136 สง่างาม! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 136 สง่างาม!

 

ภายในตําหนักชุนฝั่งขวา

 

ซูฉินรวบรวมไอพลังของเขาเข้าหากัน

 

“เมื่อเทียบดูจากการคาดคะเนก่อนหน้าของข้า นี่บรรลุถึงนภาชั้นที่สี่เร็วกว่ากําหนดอย่างน้อยก็หนึ่งถึงสองปีที่เดียว”

ซูฉินแตะปลายคาง ดวงตาส่อแววครุ่นคิด

 

ด้วยสายตาอันกว้างไกลของซูฉินในปัจจุบัน แม้จะประมาณการณ์ผิดไป แต่ความแตกต่างอย่างมากสุดก็ไม่กี่เดือน แต่ตอนนี้มันกลับเร็วกว่ากําหนดถึงปีสองปีเต็ม

 

“คงจะเป็นเพราะ ‘เทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทรา’ ที่ทําให้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของข้าเสถียรมั่งคง ช่วยเพิ่มความเร็วในการฝึกฝนไปได้มากโข”

 

ซูฉินคาดเดาอยู่ในใจ

 

แม้ว่าเขาจะรู้ว่าจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่มั่นคง ดีอย่างยิ่ง สําหรับการบ่มเพาะเมื่อยามที่ฝึกฝน “เทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทรา” แต่เขาก็ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะช่วยปรับเปลี่ยนประสิทธิภาพได้มากขนาดนี้

 

“การเดินทางไปยังอาณาจักรหนานจ้าวช่างคุ้มค่า”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย ค่อนข้างพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

 

การไปเยี่ยมเยือนหนานจ้าวครั้งนั้น ไม่เพียงแต่จะได้ลงชื่อเข้าใช้และรับเคล็ดวิชาอันแสนวิเศษนี้มา แต่เขายังได้เรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเหล่าจอมยุทธในดินแดนอันไกลโพ้นอีกด้วย

 

“ในเมื่อบรรลุถึงความสมบูรณ์แบบของนภาชั้นที่สี่แล้ว ข้าก็ควรเตรียมตัวทะลวงขั้นเข้าสู่นภาชั้นที่ห้า”

 

ซูฉินค่อยๆ ลุกขึ้นเดินออกจากตําหนักชุนฝั่งขวาแล้วเดินช้าๆ ไปตามทางเดินอันร่มรื่น

 

พระราชวังตะวันออกยังคงร้างผู้คนเช่นเคย แต่ซูฉินคุ้นเคยกับมันมาตั้งนานแล้ว และก็ชื่นชอบมันไม่น้อย

 

สําหรับซูฉิน อํานาจ รูปโฉม และความมั่งคั่งทางโลกนั้นล้วนราวกับเป็นเพียงเมฆหมอกควันไฟ มีเพียงความแข็งแกร่งของตนเท่านั้นที่ยึดถือเป็นรากฐาน

 

สิ่งนี้เป็นความจริงแท้ ไม่ว่าจะอยู่ที่วัดเส้าหลินหรือพระราชวังถัง

 

มิฉะนั้นด้วยความสามารถของซูฉิน หากเขาต้องการจะนั่งบนบัลลังก์มังกร มันก็ทําได้ดั่งใจนึก จะมีใครในอาณาจักรถังมาหยุดเขาได้?

 

แต่เขาไม่มีความต้องการที่จะเป็นจักรพรรดิ

 

ตลอดห้าร้อยปีของราชวงศ์ถัง นอกจากปฐมจักรพรรดิผู้ก่อตั้งราชวงศ์ถัง จักรพรรดิเกือบทุกคนแทบจะไม่ประสบความสําเร็จในการฝึกฝนวิทยายุทธเลย

 

แม้แต่ตัวปฐมจักรพรรดิก็ไม่สามารถก่อตั้งอาณาจักรถังได้ หากเขาไม่ก้าวขึ้นมาถึงขอบเขตตํานานยุทธ

 

ไม่เพียงแต่อาณาจักรถังเท่านั้น แต่จักรพรรดิในทุกอาณาจักรต่างก็มีเรื่องราวคล้ายคลึงกัน

 

ทําไมจึงเป็นเช่นนั้น?

 

พลังงานของมนุษย์นั้นมีจํากัด เพื่อให้บรรลุถึงความสําเร็จอันยิ่งใหญ่ในด้านการฝึกยุทธจําเป็นต้องทุ่มเทพลังงานทั้งหมดทั้งมวลไปกับมัน แต่คนเช่นจักรพรรดิไม่สามารถกระทําได้

 

เห็นได้ชัดว่าสิ่งนั้นจึงขัดกับสิ่งที่ซูฉินต้องการ

 

ซูฉินเดินอย่างเอื่อยเฉื่อยไม่เร่งรีบไปตามทางเดินภายในพระราชวังตะวันออก ปล่อยความคิดของตนให้ล่องลอย

 

ในช่วงสามปีที่ผ่านมา นอกเหนือจากการฝึกตนแล้ว ซูฉินยังเก็บรวบรวมสมบัติมาได้จํานวนนับไม่ถ้วน

 

แม้ว่าสถานที่ส่วนใหญ่ในพระราชวังถึงจะสามารถลงชื่อเข้าใช้ได้เพียงครั้งเดียว แต่ก็ยังมีสถานที่อีกเป็นโหลที่ซูฉิน สามารถกอบโกย” ซ้ำๆ ได้

 

ตัวอย่างเช่น แท่นบูชาเทพธรณีฯ เขาได้รับผลไม้สีแดงมา

 

ที่ด้านหน้าของตําหนักไฟจี้ก็ลงชื่อได้รับ “วิชาปราณฉีฟ้ากําหนด

 

ด้านหน้าจัตุรัสหยกขาวได้รับ สิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกร

 

….

 

….

 

ในหมู่ของที่ได้มาทั้งหมด ผลไม้สีแดงมีประโยชน์กับซูฉินมากที่สุด มันมีผลมากกว่าโลหิตรู้แจ้งหลายสิบเท่า แม้แต่เป็นตัวซูฉินเองที่กินผลไม้สีแดงเข้าไปก็ต้องใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์ในการย่อยมันจนหมด

 

รู้หรือไม่ว่าร่างกายของซูฉินที่ได้รับการแปรสภาพมาแล้วถึงสี่ครั้งรวมถึงเข้าสู่ขอบเขตอรหันต์ระดับนภาชั้นที่สี่ แม้แต่โอสถหมุนวนเก้าโคจรหรือ โอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคํา ตอนนี้เขาก็สามารถดูดซึมมันได้โดยใช้เวลาเพียงครู่เดียว

 

แต่ผลไม้สีแดงนี่กลับใช้เวลาถึงหนึ่งสัปดาห์ คงจะพอนึกภาพปริมาณพลังที่สะสมไว้ภายในของมันได้ 

 

“น่าเสียดาย ในสามปีมานี้ข้าลงชื่อได้รับผลไม้สีแดงนี้มา แค่ไม่กี่ร้อยผล…”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย เขาค่อนข้างเสียใจอยู่ เดิมทีหลังจากลงชื่อได้รับโลหิตรู้แจ้งและหยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาตินับพันหยด เขาก็วางแผนว่าหลังจากนั้นจะลงชื่อเข้าใช้ที่อื่นต่อ แต่หลังจากที่ครั้งหนึ่งลงชื่อได้รับผลไม้สีแดงมา ซูฉินก็กลับมาให้ความสนใจแท่นบูชาเทพธรณีฯ ใหม่อีกครั้ง

 

นอกจากนี้ยังมีวิชาปราณฉีฟ้ากําหนดที่ทําให้ซูฉินมีความสุขมาก

 

วิชาปราณฉีฟ้ากําหนดสามารถสังเกตเห็นถึงพลังได้ คล้ายคลึงกับดวงตาแห่งสัจจะของซูฉิน ความแตกต่างก็คือวิชาปราณฉีฟ้ากําหนดเป็นวิชาในการตรวจจับพลังฉี ไม่ใช่ที่อพยอํานาจ

 

ซูฉินพบอีกว่า หากเขารวมวิชาปราณฉีฟ้ากําหนดเข้ากับดวงตาแห่งสัจจะ เขาสามารถรับรู้จุดเล็กๆ บางส่วนของอาณาจักรได้อย่างรวดเร็ว

 

ส่วนสิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกรนั้นเป็นเคล็ดวิชาโจมตีด้วยการใช้กําลังภายใน ด้วยความแข็งแกร่งปัจจุบันของซูฉินเมื่อใช้ออก เกรงว่าจะสามารถปลดปล่อยมังกรทองออกมา หนึ่งร้อยแปดตัวพร้อมกัน และสามารถทําลายล้างทุกสิ่งที่ขวางหน้า

 

สิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกรเป็นหนึ่งในเคล็ดวิชาจํานวนนับไม่ถ้วนที่ซูฉินเชี่ยวชาญ มันสามารถจัดอยู่ในห้าร้อยอันดับแรกได้เลย

 

นอกจากสามอย่างที่กล่าวเอาไว้ข้างต้น ซูฉินยังได้รับสม บัติอื่นๆ มาเป็นจํานวนมาก ทั้งเคล็ดวิชา โอสถ ผลไม้จิตวิ ญญาณ ซึ่งพอจะมีประโยชน์ต่อซูฉินอยู่บ้าง

 

ซูฉินเดินกลับไปอย่างช้าๆ และเมื่อเขากลับมาถึงตําหนักชุนฝั่งขวา ก็พบว่าองค์จักรพรรดิถังยืนรออยู่ด้านนอกเป็นเวลานานแล้ว

 

“พี่สาม”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงโบกมือให้ เมื่อเห็นซูฉินเข้ามา

 

ในช่วงสามปีมานี้ จักรพรรดิหลี่เชิงมีภาระรับผิดชอบเยอะขึ้นมาก เครียดมาก เก็บกดความโกรธเกรี้ยวไว้มาก และยังมีอายุเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย ตอนนี้เส้นผมสีขาวเริ่มขึ้นแซมช่วงบริเวณขมับเสียแล้ว

 

“เจ้ามาแล้วรึ?”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

 

“ช่วงนี้เจ้าอารมณ์ไม่ค่อยดีหรือ?” ซูฉินเหลือบมองจักรพรรดิถังหลีเชิง และถามอย่างเป็นกันเอง

 

แม้ว่าจักรพรรดิหลี่เชิงจะไม่แสดงออกท่าที่ทั้งสุขหรือโกรธเกรี้ยวมานานแล้ว แต่เขาจะปิดบังอารมณ์ของตนต่อหน้าซูฉินได้อย่างไร

 

“มีเรื่องราวบางประการในสภาขุนนาง”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงส่ายหัว ใช้มือซ้ายยกขวดที่ข้างสะโพกขึ้นมาแล้วยิ้ม “พี่สาม วันนี้มาดื่มกันเถอะ”

 

“ได้สิ”

 

ซูฉินไม่ได้ปฏิเสธ

 

ยามใดที่จักรพรรดิถังหลี่เชิงชวนซุฉินดื่ม ทุกครั้งจะเป็นการเผชิญหน้ากับการตัดสินใจครั้งสําคัญเสมอ

 

หลังจากดื่มไปไม่กี่แก้ว จักรพรรดิหลี่เชิงมองดูซูฉินอย่างอิจฉา “บางครั้งข้าก็อิจฉาพี่สามจริงๆ ท่านเหมือนไม่ได้ข้องเกี่ยวกับโลกหล้านี้เลย ทั้งอิสระและแสนสบาย พอมาเปรียบเทียบกับข้า แม้ว่าจะเป็นถึงจักรพรรดิแห่งอาณาจักร ข้าก็ไม่เคยได้รู้สึกเช่นนั้นเลย”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงกล่าวด้วยอารมณ์ความรู้สึก

 

ซูฉินเงียบไปเมื่อได้ยินคําพูดนั้น

 

แม้ว่าเขาจะดูสบายใจ แต่จะมีสักกี่คนบนโลกเชียวที่ทําสิ่งซ้ำซากจําเจได้อยู่หลายสิบปี?

 

“หยุดพูดเรื่องนั้นแล้วกัน”

 

จักรพรรดิถังวางแก้วในมือลงแล้วถามขึ้นว่า “พี่สาม รู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับอาณาจักรหนานจ้าวเมื่อสามปีก่อน?”

 

“หนานจ้าว?”

 

ซูฉินมองไปทางจักรพรรดิหลี่เชิง

 

“ใช่แล้ว”

 

“พี่สาม ในเมื่อท่านไม่ได้ออกไปไหน ท่านก็คงจะไม่รู้”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงคิดอะไรบางอย่างแล้วพูดต่อ “ลัทธิบูชาจันทร์จากอาณาจักรหนานจ้าวถูกทําลายลงในชั่วข้ามคืน ทิ้งรอยฝ่ามือไว้เหนือยอดเขา ฮืมม…”

 

เมื่อจักรพรรดิถังพูดเช่นนี้ เขาก็หยุดพูดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ข้ามักคิดอยู่เสมอว่าคงไม่มีตํานานยุทธอยู่ในยุคนี้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ารอยฝ่ามือที่ถูกประทับทิ้งไว้คงจะเป็นฝีมือของตํานานยุทธ…”

 

เมื่อตอนที่จักรพรรดิหลี่เชิงรู้เรื่องนี้เมื่อสองปีก่อน เขายังตกใจอย่างมากอยู่เลยและคิดว่ามันไม่น่าเป็นไปได้

 

แต่เมื่อเวลาผ่านเลยไป ข้อมูลมากมายก็ผ่านหูเขาเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายเขาก็ค่อยๆ ยอมรับความจริงเรื่องนี้

 

ซูฉินได้ยินทุกคําพูดและเหลือบไปมองจักรพรรดิหลี่เชิงแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร ก็รอยฝ่ามือนั่นเป็นสิ่งที่เขาทิ้งเอาไว้

 

“ไม่รู้ว่าตลอดชีวิตของข้าจะมีโอกาสได้มองเห็นความสง่างามของตํานานยุทธจากที่ไกลๆ หรือไม่…”

 

จักรพรรดิหลี่เชิงดูโหยหาอย่างมาก

 

กว่าห้าร้อยปีของราชวงศ์ถัง มีเพียงปฐมจักรพรรดิเท่านั้นที่เป็นตํานานยุทธ หลังจากยุคของปฐมจักรพรรดิ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็ไม่เกินไปกว่ายอดปรมาจารย์สําหรับในยุคนี้

 

อย่าว่าแต่อาณาจักรถังไม่มีตํานานยุทธเลย

 

ตั้งแต่ที่จ้าวกงกงสิ้นลมไป ก็ไม่มียอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดภายในวังหลวงอีกเลย

 

แม้จักรพรรดิถังพยายามจะหาหนทาง แต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย

 

การฝึกฝนวิทยายุทธอาจจะสามารถใช้ทรัพยากรมากมาย เพื่อเพิ่มความรวดเร็วได้ในช่วงแรก แต่ในระยะหลัง โดยเฉพาะการแปรสภาพพลังของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง ทรัพยากรภายนอกอาจจะมีประโยชน์จริง แต่การพึ่งพาตนเองต่างหากที่เป็นส่วนสําคัญที่สุด

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+