เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 139 นภาชั้นที่ห้า

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 139 นภาชั้นที่ห้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 139 นภาชั้นที่ห้า

 

ด้านนอกห้องโถงชีวิตนิรันดร์

 

ดวงตาของซูฉินสงบนิ่ง พร้อมที่จะเข้าไปในห้องโถงชีวิตนิรันดร์

 

“หยุด ที่แห่งนี้คือพระราชฐานส่วนใน…” ขันทีที่ยืนอยู่หน้าประตูมองซูฉินด้วยใบหน้าระแวดระวัง

 

อย่างไรก็ตาม ขันทีผู้นี้ถูกขัดจังหวะก่อนที่จะทันพูดได้จบ

 

“เสี่ยวเต๋อจื่อ ถอยออกมาซะ นี่คือพระเชษฐภาดาขององค์จักรพรรดิ” ขันทีอีกคนหนึ่งที่ติดตามใกล้ชิดองค์จักรพรรดิถังบ่อยๆ รีบปรามขันที่ผู้น้อยในทันที

 

“ พระเชษฐภาดา…”

 

ขันทีผู้นั้นมองไปที่ซูฉิน กล่าวออกด้วยความเคารพ

 

ท่าทีของซูฉินไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร เขาเดินเข้าไปในโถงชีวิตนิรันดร์โดยไม่เร่งรีบ

 

หลังจากที่ซูฉินเข้าไปด้านในโถงชีวิตนิรันดร์ ขันทีผู้น้อยที่เพิ่งจะหยุดซูฉินไปก่อนหน้าก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาว่า “พระเชษฐภาดา? ทําไมข้าถึงไม่เคยเห็นพระเชษฐภาดาพระองค์นี้มาก่อนเลย?”

 

ขันทีผู้น้อยพูดอย่างระมัดระวัง

 

“ฮื่ม!”

 

ขันทีอีกคนจ้องไปที่ขนที่ชั้นผู้น้อย “มีหลายสิ่งที่เจ้ายังไม่รู้ หากเจ้าข้าไม่ห้ามเจ้าเอาไว้ เจ้าคงได้ทําผิดพลาดครั้งใหญ่ไปแล้ว”

 

“อะไรนะ?!”

 

ขันทีผู้น้อยตกใจ

 

“ข้าจะพูดถึงเรื่องคนในราชวงศ์เช่นนี้เพียงครั้งเดียว ในบรรดาสิบอันดับคนที่ไม่ควรยั่วยุที่สุดในวังหลวงหนึ่งในนั้นคือพระเชษฐภาดาคนนี้ เข้าใจหรือไม่?”

 

ร่องรอยความหวาดกลัวเผยออกมาผ่านน้ำเสียงของขันทีผู้นั้น

 

เขามักจะติดตามจักรพรรดิถังหลี่เชิงอยู่ตลอดและทราบดี ว่าจักรพรรดิหลี่เชิงไม่เคยแสดงท่าที่สูงส่งของจักรพรรดิต่อหน้าซูฉินเลยแม้แต่ครั้งเดียว

 

ยิ่งไปกว่านั้น เฉพาะต่อหน้าซูฉินเท่านั้นที่จักรพรรดิถังหลี่เชิงจะแสดงรอยยิ้มอันจริงใจออกมา

 

จากสิ่งนี้เพียงสิ่งเดียวขันที่ผู้นี้ก็รู้แล้วว่าซูฉินเป็นหนึ่งในคนที่จักรพรรดิถังหลี่เชิงให้ความสําคัญมากที่สุด

 

นอกจากนี้ซูฉินยังเป็นพี่ชายแท้ๆ ของฮองเฮาองค์ปัจจุบัน เป็นลุงสามขององค์ชายหลี่หยวน

 

ตัวตนเช่นนี้ แม้แต่องค์ชายเองก็ไม่ได้มีความสําคัญเท่ากับซูฉิน

 

…..

 

…..

 

ภายในโถงชีวิตนิรันดร์

 

ขุนนางทั้งหลายต่างนิ่งเงียบ บรรยากาศอบอวลไปด้วยความหนักใจ

 

“พี่สาม”

 

“ท่านมาได้อย่างไรกัน?”

 

ฮองเฮาซูเยว่หยุนเห็นซูฉินก็รีบลุกขึ้นและปาดน้ำตาของนาง

 

“ พี่สาม?”

 

“เขาเป็นบุตรชายคนที่สามของตระกูลซู?”

 

ขุนนางหลายคนมองมาที่ซูฉินและพวกเขาก็เริ่มพูดคุยกันเสียงต่ำ

 

ในฐานะข้าราชบริพารคนสําคัญในราชสํานัก พวกเขารู้จักซูฉินผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในวังมาโดยตลอด

 

ขุนนางเหล่านี้ค่อนข้างสงสัยเกี่ยวกับตัวตนของซูฉิน พวกเขารู้เรื่องราวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างองค์จักรพรรดิและตระกูลซู สิ่งที่ซูฉินต้องการไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด ตํา แหน่งขุนนางหรือแม่ทัพในกองทัพล้วนแต่เพียงเอ่ยปาก ขึ้นหนึ่งประโยคเท่านั้น

 

ความมั่งคั่งและอํานาจอยู่ใกล้แค่เอื้อม

 

แต่ซูฉินกลับไม่ทําเช่นนั้น เขาอยู่ในวังมาตลอดสิบปีและออกไปนอกวังน้อยครั้งมาก

 

นี่ทําให้เหล่าขุนนางในราชสํานักสงสัยว่าหรือนี่จะเป็นปราชญ์ประเภทหนึ่งที่มองชื่อเสียงเป็นสิ่งไร้ค่าใช่หรือไม่?

 

ซูฉินเดินไปที่บัลลังก์มังกรเหลือบมองไปที่จักรพรรดิถังหลี่เชิง

 

ในขณะนี้จักรพรรดิถังหลี่เชิงอยู่ในอาการสลบไสลไม่ได้สติ ใบหน้าซีดเซียว ถ้าไม่ใช่เพราะหน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงบ้างเป็นครั้งคราวก็คงไม่ต่างจากคนตายนัก

 

“พวกเจ้าทั้งหมดออกไปก่อน”

 

ซูฉินพูดโดยไม่หันไปมองเหล่าขุนนางทั้งหลาย

 

คําที่พูดออกมา

 

ใบหน้าของเหล่าขุนนางเปลี่ยนแปลงไป

 

ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เชื่อมั่นในตัวของซูฉิน แต่หากพวกเขาออกไป ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับฝ่าบาท ใครจะรับผิดชอบ?

 

ตอนนี้องค์ชายหลี่หยวนก็ทรงพระเยาว์นัก พระองค์ไม่สามารถรับภาระหน้าที่อันสําคัญได้เลย

 

มีเพียงฮองเฮาซูเยว่หยุนเท่านั้นจิตใจสั่นไหวครึกโครม 

 

เนื่องจากซูฉินบอกให้คนอื่นออกไป แสดงให้เห็นว่ามีวิธีช่วยเหลือองค์จักรพรรดิถัง

 

ซูเยว่หยุนเชื่อมั่นในตัวซูฉินมาก หากไม่ใช่เพราะซูฉิน นางคงจะมีพลังงานธาตุหยินแทรกตัวอยู่ในกายและไม่สามารถให้กําเนิดทายาทได้

 

“ในเมื่อพี่สามให้พวกเราออกไป พวกเราก็ออกไปกันเถอะ ”

 

ฮองเฮาซูเยว่หยุนมองไปที่เหล่าขุนนาง

 

“พระนาง นี่ไม่เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาล…” ขุนนางอดที่จะเอ่ยออกมาไม่ได้

 

“ไม่เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาลงนหรือ?”

 

ฮองเฮาซูเยว่หยุนขมวดคิ้วและพูดออกมาอย่างเย็นชาว่า “ถ้าเกิดอะไรขึ้น ข้าจะรับผิดชอบเอง ตอนนี้เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาลแล้วหรือไม่?”

 

ขุนนางทั้งหลายชําเลืองมองหน้ากัน แต่พวกเขาก็หาได้มีทางเลือกอื่นไม่ นอกเสียจากโค้งคํานับแล้วตอบว่า “พ่ะย่ะ ค่ะ”

 

ไม่ช้านาน

 

ฮองเฮาซูเยว่หยุน ขุนนาง ขันที และนางกํานัลต่างออกจากโถงชีวิตนิรันดร์แล้วไปรออยู่ด้านนอก

 

มีเพียงซูฉินและจักรพรรดิถังหลี่เชิงเท่านั้นที่เหลืออยู่ในโถงชีวิตนิรันดร์

 

“ข้าบอกให้เจ้ารั้งรอ เหตุใดจึงใจร้อนเช่นนี้?”

 

ซูฉินยกมือขวาขึ้น สายใยจากแก่นแท้แห่งพลังผสานเข้าไปกับร่างกายของจักรพรรดิถังหลี่เชิง

 

ทันใดนั้น จักรพรรดิถังหลี่เชิงก็ตัวสั่นไปทั้งตัว ร่างกายที่อ่อนล้าในตอนแรกเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

 

แก่นแท้แห่งพลังของขอบเขตอรหันต์มีผลในการชาระเส้นเอ็นล้างไขกระดูก ร่างกายของจักรพรรดิหลี่เชิงที่ได้รับสายใยจากแก่นแท้แห่งพลังไปก็เหมือนกับความแห้งแล้งได้น้ำหวานรดลงมาให้ชุ่มฉ่ำ ผิวที่ซีดเซียวก็เริ่มกลับมาแดงเปล่งปลั่ง

 

อย่างไรก็ตาม ซูฉินไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงมีอาการทางใจ ไม่ใช่สาเหตุมาจากทางกาย

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

ซูฉินเหยียดนิ้วชี้ออกไป ค่อยกดลงที่กึ่งกลางระหว่างคิ้วของจักรพรรดิถังหลี่เชิง

 

ราวกับว่ามีระฆังส่งเสียงดังก้อง จักรพรรดิถังหลี่เชิงพลัน รู้สึกว่าเขาได้ตื่นขึ้นจากอาการมึนงง

 

“นี่คือ?”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงลืมตาตื่นขึ้นมาในทันที

 

“ พี่สาม..”

 

เมื่อจักรพรรดิถังหลี่เชิงเห็นซูฉิน พระองค์ก็ผ่อนคลายลง

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงกล่าวอย่างอ่อนล้า “ดูเหมือนพี่สามจะเป็นคนช่วยข้าไว้”

 

แม้ว่าจักรพรรดิหลี่เชิงจะตกอยู่ในอาการสลบไสลไม่ได้สติก่อนหน้านี้ แต่เขาพอจะรับรู้เรื่องราวภายนอกได้อย่างคลุมเครือ และทราบว่าซูฉินมาเพื่อช่วยเหลือตนเอง

 

“ไม่ได้ยากเย็นอะไรนักหรอก”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อยและมองไปยังจักรพรรดิหลี่เชิงพร้อม ทั้งกล่าวว่า “เจ้าครองบัลลังก์มาเกือบสิบปีแล้ว แม้ว่ามันจะดูสงบนิ่ง แต่จริงๆ แล้วเจ้าไม่เคยพบพานกับความพ่ายแพ้ใดๆ เลย”

 

“พี่สามได้สั่งสอนข้าแล้ว…” จักรพรรดิหลี่เชิงยิ้มออกมาอย่างขมขื่น ในตอนนี้เขาก็ตระหนักถึงปัญหาของตนเองเช่นกัน

 

ซูฉินเหลือบมองจักรพรรดิถังหลี่เชิงจากนั้นจึงหันหลังเดิน ออกจากโถงชีวิตนิรันดร์ไป

 

หลังจากที่ซูฉินจากไป

 

ขุนนางทั้งหลายก็รีบเข้ามา

 

“ฝ่าบาท”

 

“ฝ่าบาทสบายดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

 

เมื่อเหล่าข้าราชบริพารเห็นว่าจักรพรรดิหลี่เชิงฟื้นขึ้นมา พวกเขาก็หลั่งน้ำตาออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ

 

ฮองเฮาซูเยว่หยุนยิ่งยินดียิ่งกว่า

 

“ฝ่าบาท ขอตรวจดูพระวรกายของพระองค์หน่อยได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ในเวลานี้หมอชราผู้หนึ่งก็พูดขึ้น

 

“ดูสิ”

 

จักรพรรดิถังพยักหน้าให้เล็กน้อย

 

หลังจากนั้นไม่นาน หมอหลวงก็ตรวจร่างกายของจักรพรรดิถังด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ

 

“เป็นไปไม่ได้”

 

“เป็นไปได้อย่างไร?”

 

“พลังชีวิตเต็มเปี่ยม มันเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?”

 

หมอชราผู้นี้ดูตกใจมาก ในสายตาของเขา แม้จักรพรรดิถังจะฟื้นขึ้นมา แต่ก็ต้องใช้เวลาพักฟื้นสักพักหนึ่งจึงจะฟื้นตัว แต่ในตอนนี้ร่างกายและจิตใจของจักรพรรดิถังฟื้นตัวจนเป็นปกติแล้ว

 

“นี่มันทักษะการแพทย์อะไรกัน…”

 

หมอชราตะลึงงันด้วยความเหลือเชื่อ

 

หลังจากที่ซูฉินช่วยเหลือจักรพรรดิถังหลี่เชิงเอาไว้ เขาก็กลับไปที่ตําหนักชุนฝั่งขวาอีกครั้ง

 

“ใกล้ได้เวลาแล้ว”

 

“ข้าจะเริ่มทะลวงด่านได้เสียที”

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิและตัดสินใจ

 

ซูฉินได้ปรับสภาพสภาวะของเขาตั้งแต่ขึ้นมาถึงนภาชนที่สี่ขั้นสมบูรณ์แล้วเมื่อหลายเดือนก่อน และตอนนี้เกือบจะคงที่เต็มที่แล้ว

 

เมื่อคิดได้ดังนั้น ซูฉินก็หลับตาลงอย่างช้าๆ ลมปราณในร่างโคจรหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง

 

หลังจากนั้นครึ่งวัน

 

รัศมีพลังของซูฉินก็เริ่มหดตัวควบแน่นเข้าหาแหล่งกําเนิดพลังเพียงจุดเดียว

 

ในทันทีหลังจากนั้น

     

ฟูววว!

 

กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวพุ่งขึ้นจรดฟ้า จนเกือบจะทําลายกําแพงเขตแดนค่ายกลฟ้าดินที่ติดตั้งอยู่ภายในตําหนักชุนฝั่งขวา

 

“ในที่สุดก็บรรลุระดับนภาชั้นที่ห้า…”

 

ซูฉินลืมตาขึ้น จิตใจผสานเข้ากับร่างกาย รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของตนเอง

                  

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 139 นภาชั้นที่ห้า

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 139 นภาชั้นที่ห้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 139 นภาชั้นที่ห้า

 

ด้านนอกห้องโถงชีวิตนิรันดร์

 

ดวงตาของซูฉินสงบนิ่ง พร้อมที่จะเข้าไปในห้องโถงชีวิตนิรันดร์

 

“หยุด ที่แห่งนี้คือพระราชฐานส่วนใน…” ขันทีที่ยืนอยู่หน้าประตูมองซูฉินด้วยใบหน้าระแวดระวัง

 

อย่างไรก็ตาม ขันทีผู้นี้ถูกขัดจังหวะก่อนที่จะทันพูดได้จบ

 

“เสี่ยวเต๋อจื่อ ถอยออกมาซะ นี่คือพระเชษฐภาดาขององค์จักรพรรดิ” ขันทีอีกคนหนึ่งที่ติดตามใกล้ชิดองค์จักรพรรดิถังบ่อยๆ รีบปรามขันที่ผู้น้อยในทันที

 

“ พระเชษฐภาดา…”

 

ขันทีผู้นั้นมองไปที่ซูฉิน กล่าวออกด้วยความเคารพ

 

ท่าทีของซูฉินไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร เขาเดินเข้าไปในโถงชีวิตนิรันดร์โดยไม่เร่งรีบ

 

หลังจากที่ซูฉินเข้าไปด้านในโถงชีวิตนิรันดร์ ขันทีผู้น้อยที่เพิ่งจะหยุดซูฉินไปก่อนหน้าก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาว่า “พระเชษฐภาดา? ทําไมข้าถึงไม่เคยเห็นพระเชษฐภาดาพระองค์นี้มาก่อนเลย?”

 

ขันทีผู้น้อยพูดอย่างระมัดระวัง

 

“ฮื่ม!”

 

ขันทีอีกคนจ้องไปที่ขนที่ชั้นผู้น้อย “มีหลายสิ่งที่เจ้ายังไม่รู้ หากเจ้าข้าไม่ห้ามเจ้าเอาไว้ เจ้าคงได้ทําผิดพลาดครั้งใหญ่ไปแล้ว”

 

“อะไรนะ?!”

 

ขันทีผู้น้อยตกใจ

 

“ข้าจะพูดถึงเรื่องคนในราชวงศ์เช่นนี้เพียงครั้งเดียว ในบรรดาสิบอันดับคนที่ไม่ควรยั่วยุที่สุดในวังหลวงหนึ่งในนั้นคือพระเชษฐภาดาคนนี้ เข้าใจหรือไม่?”

 

ร่องรอยความหวาดกลัวเผยออกมาผ่านน้ำเสียงของขันทีผู้นั้น

 

เขามักจะติดตามจักรพรรดิถังหลี่เชิงอยู่ตลอดและทราบดี ว่าจักรพรรดิหลี่เชิงไม่เคยแสดงท่าที่สูงส่งของจักรพรรดิต่อหน้าซูฉินเลยแม้แต่ครั้งเดียว

 

ยิ่งไปกว่านั้น เฉพาะต่อหน้าซูฉินเท่านั้นที่จักรพรรดิถังหลี่เชิงจะแสดงรอยยิ้มอันจริงใจออกมา

 

จากสิ่งนี้เพียงสิ่งเดียวขันที่ผู้นี้ก็รู้แล้วว่าซูฉินเป็นหนึ่งในคนที่จักรพรรดิถังหลี่เชิงให้ความสําคัญมากที่สุด

 

นอกจากนี้ซูฉินยังเป็นพี่ชายแท้ๆ ของฮองเฮาองค์ปัจจุบัน เป็นลุงสามขององค์ชายหลี่หยวน

 

ตัวตนเช่นนี้ แม้แต่องค์ชายเองก็ไม่ได้มีความสําคัญเท่ากับซูฉิน

 

…..

 

…..

 

ภายในโถงชีวิตนิรันดร์

 

ขุนนางทั้งหลายต่างนิ่งเงียบ บรรยากาศอบอวลไปด้วยความหนักใจ

 

“พี่สาม”

 

“ท่านมาได้อย่างไรกัน?”

 

ฮองเฮาซูเยว่หยุนเห็นซูฉินก็รีบลุกขึ้นและปาดน้ำตาของนาง

 

“ พี่สาม?”

 

“เขาเป็นบุตรชายคนที่สามของตระกูลซู?”

 

ขุนนางหลายคนมองมาที่ซูฉินและพวกเขาก็เริ่มพูดคุยกันเสียงต่ำ

 

ในฐานะข้าราชบริพารคนสําคัญในราชสํานัก พวกเขารู้จักซูฉินผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในวังมาโดยตลอด

 

ขุนนางเหล่านี้ค่อนข้างสงสัยเกี่ยวกับตัวตนของซูฉิน พวกเขารู้เรื่องราวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างองค์จักรพรรดิและตระกูลซู สิ่งที่ซูฉินต้องการไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด ตํา แหน่งขุนนางหรือแม่ทัพในกองทัพล้วนแต่เพียงเอ่ยปาก ขึ้นหนึ่งประโยคเท่านั้น

 

ความมั่งคั่งและอํานาจอยู่ใกล้แค่เอื้อม

 

แต่ซูฉินกลับไม่ทําเช่นนั้น เขาอยู่ในวังมาตลอดสิบปีและออกไปนอกวังน้อยครั้งมาก

 

นี่ทําให้เหล่าขุนนางในราชสํานักสงสัยว่าหรือนี่จะเป็นปราชญ์ประเภทหนึ่งที่มองชื่อเสียงเป็นสิ่งไร้ค่าใช่หรือไม่?

 

ซูฉินเดินไปที่บัลลังก์มังกรเหลือบมองไปที่จักรพรรดิถังหลี่เชิง

 

ในขณะนี้จักรพรรดิถังหลี่เชิงอยู่ในอาการสลบไสลไม่ได้สติ ใบหน้าซีดเซียว ถ้าไม่ใช่เพราะหน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงบ้างเป็นครั้งคราวก็คงไม่ต่างจากคนตายนัก

 

“พวกเจ้าทั้งหมดออกไปก่อน”

 

ซูฉินพูดโดยไม่หันไปมองเหล่าขุนนางทั้งหลาย

 

คําที่พูดออกมา

 

ใบหน้าของเหล่าขุนนางเปลี่ยนแปลงไป

 

ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เชื่อมั่นในตัวของซูฉิน แต่หากพวกเขาออกไป ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับฝ่าบาท ใครจะรับผิดชอบ?

 

ตอนนี้องค์ชายหลี่หยวนก็ทรงพระเยาว์นัก พระองค์ไม่สามารถรับภาระหน้าที่อันสําคัญได้เลย

 

มีเพียงฮองเฮาซูเยว่หยุนเท่านั้นจิตใจสั่นไหวครึกโครม 

 

เนื่องจากซูฉินบอกให้คนอื่นออกไป แสดงให้เห็นว่ามีวิธีช่วยเหลือองค์จักรพรรดิถัง

 

ซูเยว่หยุนเชื่อมั่นในตัวซูฉินมาก หากไม่ใช่เพราะซูฉิน นางคงจะมีพลังงานธาตุหยินแทรกตัวอยู่ในกายและไม่สามารถให้กําเนิดทายาทได้

 

“ในเมื่อพี่สามให้พวกเราออกไป พวกเราก็ออกไปกันเถอะ ”

 

ฮองเฮาซูเยว่หยุนมองไปที่เหล่าขุนนาง

 

“พระนาง นี่ไม่เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาล…” ขุนนางอดที่จะเอ่ยออกมาไม่ได้

 

“ไม่เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาลงนหรือ?”

 

ฮองเฮาซูเยว่หยุนขมวดคิ้วและพูดออกมาอย่างเย็นชาว่า “ถ้าเกิดอะไรขึ้น ข้าจะรับผิดชอบเอง ตอนนี้เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาลแล้วหรือไม่?”

 

ขุนนางทั้งหลายชําเลืองมองหน้ากัน แต่พวกเขาก็หาได้มีทางเลือกอื่นไม่ นอกเสียจากโค้งคํานับแล้วตอบว่า “พ่ะย่ะ ค่ะ”

 

ไม่ช้านาน

 

ฮองเฮาซูเยว่หยุน ขุนนาง ขันที และนางกํานัลต่างออกจากโถงชีวิตนิรันดร์แล้วไปรออยู่ด้านนอก

 

มีเพียงซูฉินและจักรพรรดิถังหลี่เชิงเท่านั้นที่เหลืออยู่ในโถงชีวิตนิรันดร์

 

“ข้าบอกให้เจ้ารั้งรอ เหตุใดจึงใจร้อนเช่นนี้?”

 

ซูฉินยกมือขวาขึ้น สายใยจากแก่นแท้แห่งพลังผสานเข้าไปกับร่างกายของจักรพรรดิถังหลี่เชิง

 

ทันใดนั้น จักรพรรดิถังหลี่เชิงก็ตัวสั่นไปทั้งตัว ร่างกายที่อ่อนล้าในตอนแรกเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

 

แก่นแท้แห่งพลังของขอบเขตอรหันต์มีผลในการชาระเส้นเอ็นล้างไขกระดูก ร่างกายของจักรพรรดิหลี่เชิงที่ได้รับสายใยจากแก่นแท้แห่งพลังไปก็เหมือนกับความแห้งแล้งได้น้ำหวานรดลงมาให้ชุ่มฉ่ำ ผิวที่ซีดเซียวก็เริ่มกลับมาแดงเปล่งปลั่ง

 

อย่างไรก็ตาม ซูฉินไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงมีอาการทางใจ ไม่ใช่สาเหตุมาจากทางกาย

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

ซูฉินเหยียดนิ้วชี้ออกไป ค่อยกดลงที่กึ่งกลางระหว่างคิ้วของจักรพรรดิถังหลี่เชิง

 

ราวกับว่ามีระฆังส่งเสียงดังก้อง จักรพรรดิถังหลี่เชิงพลัน รู้สึกว่าเขาได้ตื่นขึ้นจากอาการมึนงง

 

“นี่คือ?”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงลืมตาตื่นขึ้นมาในทันที

 

“ พี่สาม..”

 

เมื่อจักรพรรดิถังหลี่เชิงเห็นซูฉิน พระองค์ก็ผ่อนคลายลง

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงกล่าวอย่างอ่อนล้า “ดูเหมือนพี่สามจะเป็นคนช่วยข้าไว้”

 

แม้ว่าจักรพรรดิหลี่เชิงจะตกอยู่ในอาการสลบไสลไม่ได้สติก่อนหน้านี้ แต่เขาพอจะรับรู้เรื่องราวภายนอกได้อย่างคลุมเครือ และทราบว่าซูฉินมาเพื่อช่วยเหลือตนเอง

 

“ไม่ได้ยากเย็นอะไรนักหรอก”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อยและมองไปยังจักรพรรดิหลี่เชิงพร้อม ทั้งกล่าวว่า “เจ้าครองบัลลังก์มาเกือบสิบปีแล้ว แม้ว่ามันจะดูสงบนิ่ง แต่จริงๆ แล้วเจ้าไม่เคยพบพานกับความพ่ายแพ้ใดๆ เลย”

 

“พี่สามได้สั่งสอนข้าแล้ว…” จักรพรรดิหลี่เชิงยิ้มออกมาอย่างขมขื่น ในตอนนี้เขาก็ตระหนักถึงปัญหาของตนเองเช่นกัน

 

ซูฉินเหลือบมองจักรพรรดิถังหลี่เชิงจากนั้นจึงหันหลังเดิน ออกจากโถงชีวิตนิรันดร์ไป

 

หลังจากที่ซูฉินจากไป

 

ขุนนางทั้งหลายก็รีบเข้ามา

 

“ฝ่าบาท”

 

“ฝ่าบาทสบายดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

 

เมื่อเหล่าข้าราชบริพารเห็นว่าจักรพรรดิหลี่เชิงฟื้นขึ้นมา พวกเขาก็หลั่งน้ำตาออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ

 

ฮองเฮาซูเยว่หยุนยิ่งยินดียิ่งกว่า

 

“ฝ่าบาท ขอตรวจดูพระวรกายของพระองค์หน่อยได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ในเวลานี้หมอชราผู้หนึ่งก็พูดขึ้น

 

“ดูสิ”

 

จักรพรรดิถังพยักหน้าให้เล็กน้อย

 

หลังจากนั้นไม่นาน หมอหลวงก็ตรวจร่างกายของจักรพรรดิถังด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ

 

“เป็นไปไม่ได้”

 

“เป็นไปได้อย่างไร?”

 

“พลังชีวิตเต็มเปี่ยม มันเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?”

 

หมอชราผู้นี้ดูตกใจมาก ในสายตาของเขา แม้จักรพรรดิถังจะฟื้นขึ้นมา แต่ก็ต้องใช้เวลาพักฟื้นสักพักหนึ่งจึงจะฟื้นตัว แต่ในตอนนี้ร่างกายและจิตใจของจักรพรรดิถังฟื้นตัวจนเป็นปกติแล้ว

 

“นี่มันทักษะการแพทย์อะไรกัน…”

 

หมอชราตะลึงงันด้วยความเหลือเชื่อ

 

หลังจากที่ซูฉินช่วยเหลือจักรพรรดิถังหลี่เชิงเอาไว้ เขาก็กลับไปที่ตําหนักชุนฝั่งขวาอีกครั้ง

 

“ใกล้ได้เวลาแล้ว”

 

“ข้าจะเริ่มทะลวงด่านได้เสียที”

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิและตัดสินใจ

 

ซูฉินได้ปรับสภาพสภาวะของเขาตั้งแต่ขึ้นมาถึงนภาชนที่สี่ขั้นสมบูรณ์แล้วเมื่อหลายเดือนก่อน และตอนนี้เกือบจะคงที่เต็มที่แล้ว

 

เมื่อคิดได้ดังนั้น ซูฉินก็หลับตาลงอย่างช้าๆ ลมปราณในร่างโคจรหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง

 

หลังจากนั้นครึ่งวัน

 

รัศมีพลังของซูฉินก็เริ่มหดตัวควบแน่นเข้าหาแหล่งกําเนิดพลังเพียงจุดเดียว

 

ในทันทีหลังจากนั้น

     

ฟูววว!

 

กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวพุ่งขึ้นจรดฟ้า จนเกือบจะทําลายกําแพงเขตแดนค่ายกลฟ้าดินที่ติดตั้งอยู่ภายในตําหนักชุนฝั่งขวา

 

“ในที่สุดก็บรรลุระดับนภาชั้นที่ห้า…”

 

ซูฉินลืมตาขึ้น จิตใจผสานเข้ากับร่างกาย รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของตนเอง

                  

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+