เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 14 เหตุการณ์ในยุทธภพ

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 14 เหตุการณ์ในยุทธภพ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 14 เหตุการณ์ในยุทธภพ

 

 

 

ในโถงใหญ่มีบรรยากาศที่มืดมน

 

เหล่าจอมยุทธในพรรคมารต่างตื่นตระหนก

 

ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่โจมตีพวกเขา

 

“เช่นนี้ใช่หมายความว่าวัดเส้าหลินมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งอยู่หรือ?” ผู้อาวุโสกล่าวคำออกไปอย่างขื่นขม

 

เมื่อกี้เขาพูดออกอย่างโหดเหี้ยมว่าจะทำลายวัดเส้าหลิน แต่ตอนนี้กลับไม่กล้าเอ่ยถึงมันอีก

 

การที่วัดเส้าหลินมียอดปรมาจารย์ชั้นที่หนึ่งกับการไม่มียอดปรมาจารย์ชั้นที่หนึ่งเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

 

“ท่านประมุข ท่านเป็นอันใดหรือไม่?” หญิงร่างอวบมองตรงไปที่ชายในชุดม่วงแล้วเอ่ยถามขึ้น

 

“ไม่เป็นอะไร”

 

ลมหายใจของชายในชุดคลุมสีม่วงกลับมาสงบ “แน่นอนว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งนั้นแข็งแกร่งแต่การจะสังหารข้าด้วยเพียงดัชนีจากพื้นที่ห่างไกลออกไปหลายร้อยลี้มันเป็นไปไม่ได้”

 

น้ำเสียงของชายในชุดม่วงมีความมั่นใจมาก

 

เดิมทีเขาเป็นปรมาจารย์วิชายุทธอยู่ในจุดสูงสุดของระดับชั้นที่สอง หากเขาไม่ทะเยอทะยานที่จะประสบความสำเร็จเร็วเกินไป ไขว่คว้าการก้าวข้ามไประดับชั้นที่หนึ่งโดยเร็วที่สุดก็คงไม่เดือดร้อนตนเองที่ต้องเที่ยวหา‘คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น‘เพื่อมารักษาอาการบาดเจ็บ

 

แต่ถึงแม้ว่าเขาจะบาดเจ็บอยู่เขาก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าผู้เชี่ยวชาญระดับชั้นที่สองทั่วๆ ไปเลย

 

“ในเมื่อวัดเส้าหลินมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง และพรรคมารของเราก็ได้รับคำเตือนมาแล้ว แผนการจำต้องเปลี่ยนแปลงสักหน่อย” ชายในชุดคลุมสีม่วงเดินกลับไปยังบัลลังก์แล้วเอ่ยขึ้น

 

เมื่อเหล่าจอมยุทธพรรคมารคนอื่นๆ ได้ยินสิ่งนี้ พวกมันต่างก็ผ่อนคลายลง

 

ห้าสิบปีก่อน ประมุขพรรคคนก่อนล้มเหลวในการตัดผ่านขั้นไปยังขอบเขตตำนานยุทธและตายลง ห้าสิบปีให้หลังการสูญเสียประมุขพรรคทำให้กำลังของพรรคมารแห่งนี้ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว

 

หากไม่ใช่เพราะประมุขพรรคมารในยุคนี้นั้นแข็งแกร่งพอ พรรคมารในปัจจุบันคงเป็นเพียงเหมือนกับหนูที่ต้องคอยหลบซ่อนระวังคนจะมาทุบตี

 

แต่กระนั้นก็ไม่มีใครต้องการจะเผชิญหน้ากับยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งอยู่ดี

 

“เช่นนั้นแล้วท่านประมุขพรรคจะทำอย่างไรต่อไป?” หญิงร่างอวบกล่าวถาม

 

“ในเมื่อวัดเส้าหลินไม่มีที่ให้ไป ฉะนั้นจงไปที่เขาจู้หยาง[1]”

 

“เขาจู้หยาง?”

 

จอมยุทธพรรคมารหลายคนในโถงต่างมองหน้ากันไปมา

 

เมื่อเทียบกับสุดยอดพรรคที่มีการสืบทอดมรดกมากว่าพันปีอย่างวัดเส้าหลิน ขุนเขาจู้หยางมีพื้นฐานตื้นเขินกว่ามาก

 

อย่างไรก็ตามเขาจู้หยางนั้นมีรากฐานมาจากบรรพบุรุษที่เป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง แม้ว่าในยุคนี้เขาจู้หยางค่อนข้างอ่อนแอและไม่ได้มีระดับชั้นที่หนึ่ง แต่ยังมีสิ่งดีๆ มากมายด้านใน

 

“ข้าจะรักษาอาการบาดเจ็บด้วยการสละเลือกจากศิษย์นับพันในขุนเขาจู้หยาง!”

 

สายตาสะกดข่มรุนแรงสาดประกายออกมาจากตาของชายชุดม่วงยามเมื่อกล่าวประโยคนั้นออกมา

 

 

ที่วัดเส้าหลิน

 

เป็นเรื่องปกติที่ซูฉินจะไม่อาจรู้ได้ว่าการกระทำของเขา ทำให้ขุนเขาจู้หยางกำลังจะถูกทำลายลง

 

ตอนนี้ซูฉินได้กลับมาที่ลานจิปาถะแล้ว

 

เมื่อพลังไร้ลักษณ์ที่เขาแฝงเอาไว้ในร่างของเงาดำได้ระเบิดออก ซูฉินก็เงยหน้าขึ้นราวกับรู้สึกได้

 

“ดัชนีลงทัณฑ์ไร้สภาพนี่ทั้งมองไม่เห็นและไร้ตัวตน จากใจจริงๆ ขอยกย่องว่าวิชานี้เหมาะสมแล้วที่ได้เป็นหนึ่งในเคล็ดวิชาชั้นสูงของวัดเส้าหลิน”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อยด้วยความพึงพอใจ

 

สิบปีที่ผ่านมา ซูฉินลงชื่อเข้าใช้ไปทั่วทุกที่ในวัดเส้าหลิน และรับวิชาชั้นสูงไปมากมายจนนับไม่ไหว แต่ของอย่างเช่นดัชนีลงทัณฑ์ไร้สภาพนั้นจัดว่าหายาก

 

“แต่ว่า นี่ข้าก็มาถึงระดับชั้นที่หนึ่งแล้วนะ ทำไมยังใช้ [ฝ่ามือยูไล] ไม่ได้อีกล่ะ?”

 

ซูฉินนวดหัวคิ้วทั้งสองข้างพลางคิดอย่างหมดหนทาง

 

ในฐานะที่เป็นสุดยอดเคล็ดวิชาของวัดเส้าหลินที่แกร่งที่สุดและเป็นวิชาแรกที่เขาได้รับมา ซูฉินย่อมคาดหวัง [วิชาฝ่ามือยูไล] เอาไว้ใหญ่โต

 

ในตอนที่เขาอยู่ในสามระดับล่าง และสามระดับกลางซูฉินคิดว่าความแข็งแกร่งของเขายังอ่อนแอและไม่ถึงขีดจำกัดขั้นต่ำในการใช้ [ฝ่ามือยูไล]

 

แต่ตอนนี้

 

ซูฉินมาถึงระดับชั้นที่หนึ่งแล้ว

 

ถ้าเพียงได้ลองมองไปในใต้หล้า เขาย่อมเป็นตัวตนระดับต้นๆ

 

แต่องค์ยูไลสีทองที่เป็นตัวแทนของ [ฝ่ามือยูไล] ก็ยังประทับอยู่ที่หว่างคิ้วของเขาไม่ขยับเขยื้อนไปไหน

 

“เป็นไปได้หรือไม่ว่า [ฝ่ามือยูไล] เป็นเคล็ดวิชาชั้นสูงที่มีเพียงแค่ผู้เชี่ยวชาญในขั้นอรหันต์ถึงจะสามารถใช้ได้?”

 

ซูฉินคาดเดาในใจ

 

ตามจริงแล้วข่าวสารที่ซูฉินได้ยินมาในช่วงสิบปีนี้ ว่ากันว่าแม้แต่ในช่วงเก้าร้อยปีก่อน ตอนที่ [ฝ่ามือยูไล] ยังไม่สูญหายไปก็แทบจะไม่มีศิษย์คนใดที่สามารถเข้าใจเคล็ดวิชาอันทรงพลังนี้ได้

 

“ลืมมันไปซะ ไม่คิดแล้ววุ้ย”

 

ซูฉินส่ายหัว ปัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไป

 

ครึ่งเดือนต่อมา ซูฉินก็กลับเข้าสู่ชีวิตปกติอีกครั้ง กวาดลาน แล้วก็ลงชื่อเข้าใช้ไปด้วย

 

หลังจากเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่ง ความก้าวหน้าในการฝึกฝนของซูฉินก็ช้าลงอย่างเห็นได้ชัด แต่วัตถุดิบชั้นยอดและสมบัติระดับโลกที่ได้รับมาจากการลงชื่อเข้าใช้งานผลักดันให้เขาเข้าใกล้หนทางสู่ระดับอรหันต์อย่างเป็นลำดับ

 

ในวันนี้ซูฉินวางแผนว่าจะไปลงชื่อที่ลานโพธิ์ พลันได้ยินศิษย์คนอื่นกระซิบกระซาบกันเสียก่อน

 

“ข้าได้ยินมาว่าพรรคมารบุกโจมตีขุนเขาจู้หยางแล้วละเลงทั้งเขาด้วยเลือด เรื่องนี้จริงใช่ไหม?”

 

“โอย ในยุทธภพนี่มันช่างไม่สงบสุขเอาเสียเลย ช่วงนี้ก็มีการขัดแย้งกันระหว่างอาณาจักรและก็มีข้อพิพาทกันไปทั่วยุทธภพเลย”

 

“นี่ตามที่ได้ยินข่าวลือมานะ มีการปรากฏตัวของอัจฉริยะที่หาได้ยากยิ่งในรอบร้อยปีที่เขาอู๋ตั้งด้วย เขาเดินพลังตามแนวทางของไท่ฉีได้ภายในสามชั่วโมงนักพรตจางถึงขนาดออกหน้าเป็นการส่วนตัวแล้วรับเขาเป็นศิษย์สายตรง”

 

“นั่นมันสุดยอดมาก นักพรตจางคือสุดยอดในหมู่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง ลูกศิษย์สายตรงของเขาเกือบทั้งหมดได้เข้าไปอยู่ในสามระดับบนกันหมดแล้ว”

 

ศิษย์ของลานจิปาถะต่างพูดคุยแลกเปลี่ยนกันอย่างตื่นเต้น

 

นี่ถือว่าเป็นความชื่นชอบอย่างหนึ่งของศิษย์ลานจิปาถะ

 

ไม่เหมือนกับตำหนักอื่นๆ ลานจิปาถะไม่จำเป็นต้องฝึกศิลปะการต่อสู้ ดังนั้นในเวลาว่างพวกศิษย์ต่างก็จับกลุ่มพูดคุยเรื่องความเป็นไปในยุทธภพ

 

“นี่ยังมีอีกนะ มีคนบอกว่าทายาทของมีดบินเสี้ยวหลี่ได้กำเนิดขึ้นแล้ว”

 

“อะไรนะ? มีดบินเสี้ยวหลี่? นี่เจ้ากำลังกล่าวถึงมีดบินเสี้ยวหลี่คนนั้นน่ะรึ?”

 

“ถูกต้องแล้ว ทายาทของเสี้ยวหลี่ใช้มีดบินฆ่าสังหารผู้เยี่ยมยุทธในสามระดับบนได้ สร้างความวุ่นวายครั้งยิ่งใหญ่เชียวล่ะ”

 

“ไม่ใช่แค่เรื่องของมีดบินเสี้ยวหลี่นะ ยังมีอารามวัชระ เป็นอีกหนึ่งแห่งในนิกายพุทธที่มีชื่อเสียงพอๆ กับวัดเส้าหลิน และยังมียูไล…”

 

 

 

ซูฉินฟังการสนทนาเหล่านั้นไปเพลินๆ

 

ทุกวันนี้ความวุ่นวายมีอยู่นับไม่ถ้วน ผู้เชี่ยวชาญวิชายุทธตกตายรายวัน และพรรคน้อยใหญ่หลายแห่งถึงกับสาบสูญ……

 

ส่วนวัดเส้าหลินที่เป็นสุดยอดพรรคมีความเป็นมายาวนาน อย่างน้อยๆ ก็คงไม่มีใครมารบกวนในเร็ววัน

 

ซูฉินได้แต่รู้สึกว่าทางเลือกของเขาที่จะอยู่ที่นี่นั้นถูกต้องยิ่ง

 

ก็แค่ลงชื่อเข้าใช้อย่างซื่อตรงไม่หยุดพักภายในวัด รอจนกว่าจะแข็งแกร่งไร้เทียมทานค่อยออกไปเผชิญยุทธภพ

 

สมบูรณ์แบบ

 

“ด้านนอกมันอันตรายเกินไป”

 

ซูฉินค่อยๆ เดินตรงไปยังลานโพธิ์

 

ไม่ว่าจะอัจฉริยะของหุบเขาตระกูลอู๋ตั้งที่ฝึกฝนไท่ฉีเอย ทายาทของมีดบินเสี้ยวหลี่เอย หรือจะเป็นยูไลของวัดวัชระ พวกเขาเหมือนได้รับพรจากสวรรค์

 

พวกเข้าได้รับการฝึกสอนโดยพรรคโดยสำนัก หรือบางคนก็มีบรรพบุรุษคอยช่วยเหลือเกื้อหนุน กลับกันซูฉินก็เป็นเพียงพระกวาดลานในเส้าหลิน

 

เขาไม่ได้รับทรัพยากรการฝึกฝนจากใคร เขาไม่มีบรรพบุรุษคอยเกื้อหนุน

 

“ในการฝึกฝนวิชายุทธ ทรัพยากรภายนอกนั้นสำคัญมาก ถึงแม้พรสวรรค์จะสูงส่งไร้เปรียบเพียงใด ถ้าขาดซึ่งทรัพยากรแล้วล่ะก็ ความสำเร็จในอนาคตย่อมถูกจำกัด”

 

“ถึงแม้ว่าตัวข้า ซูฉิน จะโดดเดี่ยวและไม่มีผู้ใดเกื้อหนุน ข้าก็ยังพึ่งพาความพยายามของตนเองในการก้าวเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่งได้ และข้านั้นไม่ได้อ่อนแอไปกว่าผู้ใด!”

 

ซูฉินได้มาหยุดที่หน้าลานโพธิ์

 

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้!”

 

———————————————————————————————————————-

[1] เขาจู้หยาง – คือภูเขาหยางอันยิ่งใหญ่ มาจากสามคำคือ 巨 – จู้ = ยิ่งใหญ่
阳 – หยาง = พระอาทิตย์หรือพลังของฝ่ายชายซึ่งตรงข้ามกับพลังหยินของฝ่ายหญิงในทางเต๋า

และ山 – ซาน = ภูเขา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 14 เหตุการณ์ในยุทธภพ

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 14 เหตุการณ์ในยุทธภพ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 14 เหตุการณ์ในยุทธภพ

 

 

 

ในโถงใหญ่มีบรรยากาศที่มืดมน

 

เหล่าจอมยุทธในพรรคมารต่างตื่นตระหนก

 

ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่โจมตีพวกเขา

 

“เช่นนี้ใช่หมายความว่าวัดเส้าหลินมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งอยู่หรือ?” ผู้อาวุโสกล่าวคำออกไปอย่างขื่นขม

 

เมื่อกี้เขาพูดออกอย่างโหดเหี้ยมว่าจะทำลายวัดเส้าหลิน แต่ตอนนี้กลับไม่กล้าเอ่ยถึงมันอีก

 

การที่วัดเส้าหลินมียอดปรมาจารย์ชั้นที่หนึ่งกับการไม่มียอดปรมาจารย์ชั้นที่หนึ่งเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

 

“ท่านประมุข ท่านเป็นอันใดหรือไม่?” หญิงร่างอวบมองตรงไปที่ชายในชุดม่วงแล้วเอ่ยถามขึ้น

 

“ไม่เป็นอะไร”

 

ลมหายใจของชายในชุดคลุมสีม่วงกลับมาสงบ “แน่นอนว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งนั้นแข็งแกร่งแต่การจะสังหารข้าด้วยเพียงดัชนีจากพื้นที่ห่างไกลออกไปหลายร้อยลี้มันเป็นไปไม่ได้”

 

น้ำเสียงของชายในชุดม่วงมีความมั่นใจมาก

 

เดิมทีเขาเป็นปรมาจารย์วิชายุทธอยู่ในจุดสูงสุดของระดับชั้นที่สอง หากเขาไม่ทะเยอทะยานที่จะประสบความสำเร็จเร็วเกินไป ไขว่คว้าการก้าวข้ามไประดับชั้นที่หนึ่งโดยเร็วที่สุดก็คงไม่เดือดร้อนตนเองที่ต้องเที่ยวหา‘คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น‘เพื่อมารักษาอาการบาดเจ็บ

 

แต่ถึงแม้ว่าเขาจะบาดเจ็บอยู่เขาก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าผู้เชี่ยวชาญระดับชั้นที่สองทั่วๆ ไปเลย

 

“ในเมื่อวัดเส้าหลินมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง และพรรคมารของเราก็ได้รับคำเตือนมาแล้ว แผนการจำต้องเปลี่ยนแปลงสักหน่อย” ชายในชุดคลุมสีม่วงเดินกลับไปยังบัลลังก์แล้วเอ่ยขึ้น

 

เมื่อเหล่าจอมยุทธพรรคมารคนอื่นๆ ได้ยินสิ่งนี้ พวกมันต่างก็ผ่อนคลายลง

 

ห้าสิบปีก่อน ประมุขพรรคคนก่อนล้มเหลวในการตัดผ่านขั้นไปยังขอบเขตตำนานยุทธและตายลง ห้าสิบปีให้หลังการสูญเสียประมุขพรรคทำให้กำลังของพรรคมารแห่งนี้ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว

 

หากไม่ใช่เพราะประมุขพรรคมารในยุคนี้นั้นแข็งแกร่งพอ พรรคมารในปัจจุบันคงเป็นเพียงเหมือนกับหนูที่ต้องคอยหลบซ่อนระวังคนจะมาทุบตี

 

แต่กระนั้นก็ไม่มีใครต้องการจะเผชิญหน้ากับยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งอยู่ดี

 

“เช่นนั้นแล้วท่านประมุขพรรคจะทำอย่างไรต่อไป?” หญิงร่างอวบกล่าวถาม

 

“ในเมื่อวัดเส้าหลินไม่มีที่ให้ไป ฉะนั้นจงไปที่เขาจู้หยาง[1]”

 

“เขาจู้หยาง?”

 

จอมยุทธพรรคมารหลายคนในโถงต่างมองหน้ากันไปมา

 

เมื่อเทียบกับสุดยอดพรรคที่มีการสืบทอดมรดกมากว่าพันปีอย่างวัดเส้าหลิน ขุนเขาจู้หยางมีพื้นฐานตื้นเขินกว่ามาก

 

อย่างไรก็ตามเขาจู้หยางนั้นมีรากฐานมาจากบรรพบุรุษที่เป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง แม้ว่าในยุคนี้เขาจู้หยางค่อนข้างอ่อนแอและไม่ได้มีระดับชั้นที่หนึ่ง แต่ยังมีสิ่งดีๆ มากมายด้านใน

 

“ข้าจะรักษาอาการบาดเจ็บด้วยการสละเลือกจากศิษย์นับพันในขุนเขาจู้หยาง!”

 

สายตาสะกดข่มรุนแรงสาดประกายออกมาจากตาของชายชุดม่วงยามเมื่อกล่าวประโยคนั้นออกมา

 

 

ที่วัดเส้าหลิน

 

เป็นเรื่องปกติที่ซูฉินจะไม่อาจรู้ได้ว่าการกระทำของเขา ทำให้ขุนเขาจู้หยางกำลังจะถูกทำลายลง

 

ตอนนี้ซูฉินได้กลับมาที่ลานจิปาถะแล้ว

 

เมื่อพลังไร้ลักษณ์ที่เขาแฝงเอาไว้ในร่างของเงาดำได้ระเบิดออก ซูฉินก็เงยหน้าขึ้นราวกับรู้สึกได้

 

“ดัชนีลงทัณฑ์ไร้สภาพนี่ทั้งมองไม่เห็นและไร้ตัวตน จากใจจริงๆ ขอยกย่องว่าวิชานี้เหมาะสมแล้วที่ได้เป็นหนึ่งในเคล็ดวิชาชั้นสูงของวัดเส้าหลิน”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อยด้วยความพึงพอใจ

 

สิบปีที่ผ่านมา ซูฉินลงชื่อเข้าใช้ไปทั่วทุกที่ในวัดเส้าหลิน และรับวิชาชั้นสูงไปมากมายจนนับไม่ไหว แต่ของอย่างเช่นดัชนีลงทัณฑ์ไร้สภาพนั้นจัดว่าหายาก

 

“แต่ว่า นี่ข้าก็มาถึงระดับชั้นที่หนึ่งแล้วนะ ทำไมยังใช้ [ฝ่ามือยูไล] ไม่ได้อีกล่ะ?”

 

ซูฉินนวดหัวคิ้วทั้งสองข้างพลางคิดอย่างหมดหนทาง

 

ในฐานะที่เป็นสุดยอดเคล็ดวิชาของวัดเส้าหลินที่แกร่งที่สุดและเป็นวิชาแรกที่เขาได้รับมา ซูฉินย่อมคาดหวัง [วิชาฝ่ามือยูไล] เอาไว้ใหญ่โต

 

ในตอนที่เขาอยู่ในสามระดับล่าง และสามระดับกลางซูฉินคิดว่าความแข็งแกร่งของเขายังอ่อนแอและไม่ถึงขีดจำกัดขั้นต่ำในการใช้ [ฝ่ามือยูไล]

 

แต่ตอนนี้

 

ซูฉินมาถึงระดับชั้นที่หนึ่งแล้ว

 

ถ้าเพียงได้ลองมองไปในใต้หล้า เขาย่อมเป็นตัวตนระดับต้นๆ

 

แต่องค์ยูไลสีทองที่เป็นตัวแทนของ [ฝ่ามือยูไล] ก็ยังประทับอยู่ที่หว่างคิ้วของเขาไม่ขยับเขยื้อนไปไหน

 

“เป็นไปได้หรือไม่ว่า [ฝ่ามือยูไล] เป็นเคล็ดวิชาชั้นสูงที่มีเพียงแค่ผู้เชี่ยวชาญในขั้นอรหันต์ถึงจะสามารถใช้ได้?”

 

ซูฉินคาดเดาในใจ

 

ตามจริงแล้วข่าวสารที่ซูฉินได้ยินมาในช่วงสิบปีนี้ ว่ากันว่าแม้แต่ในช่วงเก้าร้อยปีก่อน ตอนที่ [ฝ่ามือยูไล] ยังไม่สูญหายไปก็แทบจะไม่มีศิษย์คนใดที่สามารถเข้าใจเคล็ดวิชาอันทรงพลังนี้ได้

 

“ลืมมันไปซะ ไม่คิดแล้ววุ้ย”

 

ซูฉินส่ายหัว ปัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไป

 

ครึ่งเดือนต่อมา ซูฉินก็กลับเข้าสู่ชีวิตปกติอีกครั้ง กวาดลาน แล้วก็ลงชื่อเข้าใช้ไปด้วย

 

หลังจากเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่ง ความก้าวหน้าในการฝึกฝนของซูฉินก็ช้าลงอย่างเห็นได้ชัด แต่วัตถุดิบชั้นยอดและสมบัติระดับโลกที่ได้รับมาจากการลงชื่อเข้าใช้งานผลักดันให้เขาเข้าใกล้หนทางสู่ระดับอรหันต์อย่างเป็นลำดับ

 

ในวันนี้ซูฉินวางแผนว่าจะไปลงชื่อที่ลานโพธิ์ พลันได้ยินศิษย์คนอื่นกระซิบกระซาบกันเสียก่อน

 

“ข้าได้ยินมาว่าพรรคมารบุกโจมตีขุนเขาจู้หยางแล้วละเลงทั้งเขาด้วยเลือด เรื่องนี้จริงใช่ไหม?”

 

“โอย ในยุทธภพนี่มันช่างไม่สงบสุขเอาเสียเลย ช่วงนี้ก็มีการขัดแย้งกันระหว่างอาณาจักรและก็มีข้อพิพาทกันไปทั่วยุทธภพเลย”

 

“นี่ตามที่ได้ยินข่าวลือมานะ มีการปรากฏตัวของอัจฉริยะที่หาได้ยากยิ่งในรอบร้อยปีที่เขาอู๋ตั้งด้วย เขาเดินพลังตามแนวทางของไท่ฉีได้ภายในสามชั่วโมงนักพรตจางถึงขนาดออกหน้าเป็นการส่วนตัวแล้วรับเขาเป็นศิษย์สายตรง”

 

“นั่นมันสุดยอดมาก นักพรตจางคือสุดยอดในหมู่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง ลูกศิษย์สายตรงของเขาเกือบทั้งหมดได้เข้าไปอยู่ในสามระดับบนกันหมดแล้ว”

 

ศิษย์ของลานจิปาถะต่างพูดคุยแลกเปลี่ยนกันอย่างตื่นเต้น

 

นี่ถือว่าเป็นความชื่นชอบอย่างหนึ่งของศิษย์ลานจิปาถะ

 

ไม่เหมือนกับตำหนักอื่นๆ ลานจิปาถะไม่จำเป็นต้องฝึกศิลปะการต่อสู้ ดังนั้นในเวลาว่างพวกศิษย์ต่างก็จับกลุ่มพูดคุยเรื่องความเป็นไปในยุทธภพ

 

“นี่ยังมีอีกนะ มีคนบอกว่าทายาทของมีดบินเสี้ยวหลี่ได้กำเนิดขึ้นแล้ว”

 

“อะไรนะ? มีดบินเสี้ยวหลี่? นี่เจ้ากำลังกล่าวถึงมีดบินเสี้ยวหลี่คนนั้นน่ะรึ?”

 

“ถูกต้องแล้ว ทายาทของเสี้ยวหลี่ใช้มีดบินฆ่าสังหารผู้เยี่ยมยุทธในสามระดับบนได้ สร้างความวุ่นวายครั้งยิ่งใหญ่เชียวล่ะ”

 

“ไม่ใช่แค่เรื่องของมีดบินเสี้ยวหลี่นะ ยังมีอารามวัชระ เป็นอีกหนึ่งแห่งในนิกายพุทธที่มีชื่อเสียงพอๆ กับวัดเส้าหลิน และยังมียูไล…”

 

 

 

ซูฉินฟังการสนทนาเหล่านั้นไปเพลินๆ

 

ทุกวันนี้ความวุ่นวายมีอยู่นับไม่ถ้วน ผู้เชี่ยวชาญวิชายุทธตกตายรายวัน และพรรคน้อยใหญ่หลายแห่งถึงกับสาบสูญ……

 

ส่วนวัดเส้าหลินที่เป็นสุดยอดพรรคมีความเป็นมายาวนาน อย่างน้อยๆ ก็คงไม่มีใครมารบกวนในเร็ววัน

 

ซูฉินได้แต่รู้สึกว่าทางเลือกของเขาที่จะอยู่ที่นี่นั้นถูกต้องยิ่ง

 

ก็แค่ลงชื่อเข้าใช้อย่างซื่อตรงไม่หยุดพักภายในวัด รอจนกว่าจะแข็งแกร่งไร้เทียมทานค่อยออกไปเผชิญยุทธภพ

 

สมบูรณ์แบบ

 

“ด้านนอกมันอันตรายเกินไป”

 

ซูฉินค่อยๆ เดินตรงไปยังลานโพธิ์

 

ไม่ว่าจะอัจฉริยะของหุบเขาตระกูลอู๋ตั้งที่ฝึกฝนไท่ฉีเอย ทายาทของมีดบินเสี้ยวหลี่เอย หรือจะเป็นยูไลของวัดวัชระ พวกเขาเหมือนได้รับพรจากสวรรค์

 

พวกเข้าได้รับการฝึกสอนโดยพรรคโดยสำนัก หรือบางคนก็มีบรรพบุรุษคอยช่วยเหลือเกื้อหนุน กลับกันซูฉินก็เป็นเพียงพระกวาดลานในเส้าหลิน

 

เขาไม่ได้รับทรัพยากรการฝึกฝนจากใคร เขาไม่มีบรรพบุรุษคอยเกื้อหนุน

 

“ในการฝึกฝนวิชายุทธ ทรัพยากรภายนอกนั้นสำคัญมาก ถึงแม้พรสวรรค์จะสูงส่งไร้เปรียบเพียงใด ถ้าขาดซึ่งทรัพยากรแล้วล่ะก็ ความสำเร็จในอนาคตย่อมถูกจำกัด”

 

“ถึงแม้ว่าตัวข้า ซูฉิน จะโดดเดี่ยวและไม่มีผู้ใดเกื้อหนุน ข้าก็ยังพึ่งพาความพยายามของตนเองในการก้าวเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่งได้ และข้านั้นไม่ได้อ่อนแอไปกว่าผู้ใด!”

 

ซูฉินได้มาหยุดที่หน้าลานโพธิ์

 

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้!”

 

———————————————————————————————————————-

[1] เขาจู้หยาง – คือภูเขาหยางอันยิ่งใหญ่ มาจากสามคำคือ 巨 – จู้ = ยิ่งใหญ่
阳 – หยาง = พระอาทิตย์หรือพลังของฝ่ายชายซึ่งตรงข้ามกับพลังหยินของฝ่ายหญิงในทางเต๋า

และ山 – ซาน = ภูเขา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+