เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 144 ขจัดทิ้ง

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 144 ขจัดทิ้ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 144 ขจัดทิ้ง

ภายในโถงชีวิตนิรันดร์

 

จักรพรรดิหลี่เชิงแห่งราชวงศ์ถังกําลังกังวลใจเกี่ยวกับเรื่องกองทัพพันธมิตรของเหล่าราชาหัวเมือง

 

ในตอนนั้นเอง จักรพรรดิถังก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาโดยพลัน

 

แม้คนธรรมดาจะมองไม่เห็นความผันผวนของพลังฟ้าดิน แต่เมื่อพลังฟ้าดินจากหลายสิบลี่มารวมตัวกัน พวกเขาก็จะรู้สึกถึงอันตรายเหมือนถูกสัตว์ร้ายจ้องมอง

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงดูประหลาดใจและสงสัย

 

“ฝ่าบาท”

 

ร่างของหลิวกงกงปรากฏขึ้นต่อหน้าองค์จักรพรรดิหลี่เชิง และพูดออกมาด้วยเสียงอันสั่นเทา “พลังฟ้าดิน พลังฟ้าดินหลุดจากการควบคุมอย่างสมบูรณ์”

 

น้ำเสียงของหลิวกงกงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

 

ในฐานะยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง หลิวกงกงย่อมสามารถรับรู้พลังฟ้าดินได้เป็นธรรมดา แต่ในตอนนี้เขาพลันรู้สึกถึงพลังฟ้าดินที่แต่เดิมอ่อนโยนและเรียบง่ายกลาย เป็นรุนแรงเกรี้ยวกราด

 

ถูกล้อมรอบไว้ด้วยพลังฟ้าดินเช่นนี้ หลิวกงกงรู้สึกได้ว่าความแข็งแกร่งเก้าในสิบส่วนของตนถูกสะกดเอาไว้ และยิ่งเวลาผ่านไปแรงกดดันนั้นก็ยิ่งเพิ่มขึ้น

 

พลังฟ้าดินที่จู่ๆ ก็มารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว สําหรับคนธรรมดาอาจทําให้รู้สึกว่าจิตใจหดหูรู้สึกไม่สบายใจ แต่ในสายตาของจอมยุทธขอบเขตสามระดับบนที่ต้องแบกรับพลังฟ้าดินเอาไว้ก็ไม่ต่างจากเอาร่างไปปะทะกับภัยธรรมชาติ

 

ไม่เพียงแต่จ้าวกงกงเท่านั้น แต่ยอดยุทธขอบเขตสามระดับบนในเมืองฉางอันต่างเป็นเช่นนี้กันหมด

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ด้านหน้าตําหนักชุนฝั่งขวา

 

ซูฉินกําลังถือธนูเก้าประกาย ดวงตาลุ่มลึก และตอนนี้ลูกศรที่พาดอยู่บนคันธนูก็ควบแน่นอย่างสมบูรณ์

 

ฟู!

 

ชี่!

 

ลูกธนูดูดกลืนพลังฟ้าดินจากทุกทิศทางราวกับมันมีชีวิต

 

“ใกล้แล้ว”

 

ซูฉินหรีตาลงเล็กน้อย ค่อยๆ ปรับระดับลูกศรให้เล็งไปยังตําแหน่งที่เขาจับจ้องด้วยดวงตาแห่งสัจจะควบคู่กับวิชาปราณฉีฟ้ากําหนด

 

และแล้ว

 

ผึง!!

 

ซูฉินปล่อยมือซ้ายออกจากสายรั้งของธนูเก้าประกาย

 

ฟิ่ว!!!

 

ราวกับโยนหินกระทบแม่น้ํา

 

ลูกธนูจากธนูเก้าประกายซึ่งเต็มไปด้วยเจตจํานงอันน่าหวาดหวั่น กลายเป็นเส้นแสงส่องประกาย ยิงไปยังทิศทางหนึ่งด้วยความเร็วที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง

 

ในขณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นกองทัพทหารภายในวังหลวงหรือจะเป็นพลเรือนบางคนภายในเมืองฉางอัน พวกเขาต่างก็ได้เห็นฉากที่ไม่อาจลืมได้ลง

 

แสงอันงดงามพุ่งออกจากส่วนลึกของพระราชวังแล้วหาย ไปในท้องฟ้าและมวลหมู่เมฆ

 

ตําหนักขุนฝั่งขวา

 

ซูฉินคลายมือจากคันธนูแล้วจึงใส่กลับเข้าไปในคลังของ ระบบความคิดของเขาผันผวนเล็กน้อย

 

และเพราะธนูเก้าประกายได้หายไป พลังฟ้าดินที่จู่ๆ รุนแรงขึ้นมาก็สงบลงอย่างช้าๆ กระจายออกไปทั่วทุกทิศกลับไปยังรัศมีสิบสี่โดยรอบ

 

“ไม่คาดคิดเลยว่าพลังธนูเก้าประกายจะดูดพลังงานเยอะ มากขนาดนี้?”

 

“ถ้าข้ายิงธนูหลายสิบดอกติดต่อกัน มันจะมิกินพลังงานของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของข้าไปหนึ่งส่วนสิบเลยหรอกหรือ…”

 

ซูฉินดูประหลาดใจ

 

ธนูเก้าประกายเป็นสมบัติจิตวิญญาณที่ละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง การที่จะสามารถรั้งสายธนูได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแรงกาย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแก่นแท้แห่งพลังที่ต้องใช้มีเพียงจิต สัมผัสศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น

 

“ข้ารู้สึกได้ว่าลูกศรที่ยิงออกไปเมื่อครู่ยังไม่ใช่ขีดจํากัดของมัน หากข้ารั้งสายธนูเอาไว้พลังของลูกศรคงจะพุ่งขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ในขณะเดียวกันมันก็กินพลังงานจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เพิ่มขึ้นไปด้วย”

 

ซูฉันรู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้ได้จากตอนที่เขายิงธนูออกไป

 

แม้แต่ซูฉินเองยังรู้สึกได้เลยว่า หากเขาใช้พลังงานจนหมดสิ้น ลูกศรที่ยิงออกไปก็สามารถจัดการกับขอบเขตตํานานยุทธได้เลย ยกเว้นแต่จะเป็นตํานานยุทธระดับนภา ชั้นที่เจ็ดที่สามารถควบแน่นอาณาเขต ” ขนาดเล็กของตนเองได้แล้ว ส่วนตํานานยุทธระดับอื่นๆ ไม่สามารถหยุดลูกศรนี้ได้เลย

 

และแน่นอนซูฉินจะไม่ทดลองทําสิ่งนั้นดูหรอก

 

ควรรู้ว่าสําหรับจอมยุทธที่ควบแน่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว และจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์หมดลง ความแข็งแกร่งของพวกเขาย่อมลดลงไปอย่างมาก แม้ว่าซูฉินจะมีไพ่ลับอีกมากมาย การที่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์หมดลงจริงๆ ก็คงจะมีวิธีการเอาตัวรอดอื่น แต่เขาคงไม่พาตัวเองไปตกอยู่ในอันตรายตั้งแต่แรกแน่

 

“ในตอนที่เอาธนูเก้าประกายออกมา พลังฟ้าดินที่ไหลมารวมตัวกันเสมือนถูกบีบบังคับ?”

 

ซูฉินแตะปลายคาง ใบหน้ามีแววครุ่นคิด

 

โดยปกติพลังของฟ้าดินที่ถูกรวบรวมโดยค่ายกลฟ้าดิน เช่น ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์จะถูกกลั่นกรองมาแล้ว และซูฉินก็จะสามารถดูดซับมันได้อย่างมีเสถียรภาพ

 

แต่พลังฟ้าดินที่ธนูเก้าประกายชักนํามานั้นเป็นความเกรี้ยวกราดรุนแรงอย่างสมบูรณ์

 

ที่กองทัพของเหล่าองค์ชาย

 

“รายงาน กองทัพอาณาจักรถังล่าถอยกลับไปแล้ว เหมือนว่าจะวางแผนที่จะไม่ประชิดกับกองทัพของเรา”

 

ทหารคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว คุกเข่าลงข้างหนึ่ง แล้วกล่าวรายงานด้วยความเคารพ

 

“ถอยกลับ?”

 

“เป็นไปได้ไหมว่าจักรพรรดิถังจะกลัวพวกเรา?”

 

ราชาอันหยางเยาะเย้ยเมื่อได้ฟังคํารายงาน

 

ยิ่งจักรพรรดิหลี่เชิงเป็นเช่นนี้ ก็พิสูจน์ได้ว่าอีกฝ่ายจิตใจไม่มั่นคง

 

“จักรพรรดิถังอาจจะต้องการรวบรวมกําลังพลทั้งหมด เพื่อเตรียมตั้งรับกับกองทัพขุนนางหัวเมืองของพวกเราที่นอกเมืองฉางอัน”

 

ราชาชวอฟางคิดอยู่ครู่หนึ่ง และกล่าวออกมาด้วยน้ําเสียงที่ส่อแววชื่นชมไม่น้อย

 

แม้ว่าเขาจะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับจักรพรรดิถัง ราชาชวอฟางก็รู้สึกว่าการตัดสินใจเลือกของจักรพรรดิถังนั้นไม่ได้ ผิดปกติ

 

ละทิ้งพื้นที่ผืนเล็กๆ เพื่อแลกกับความแข็งแกร่งของกองทัพ โอกาสในการชนะจะเพิ่มขึ้น อาจจะกล่าวได้ว่าจักรพรรดิถังทําทุกอย่างเท่าที่ทําได้แล้ว

 

“น่าเสียดาย…”

 

ราชาชวอฟางถอนหายใจเล็กน้อย มองไปยังชายหน้าตาเฉยเมยที่อยู่ไม่ไกลและกล่าวอย่างให้ความเคารพ “ด้วยการ มีผู้อาวุโสอยู่ด้วย จักรพรรดิถังมีแต่จะต้องเศร้า เสียใจเท่านั้น”

 

คําที่กล่าวออกมา

 

ทําให้รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของราชาหัวเมือง อีกเก้าคนที่เหลือ

 

ชายหน้าตาเฉยเมยก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยโดยที่ไม่พูดอะไร

 

ออกมา

 

ขณะที่ราชาหัวเมืองกําลังคิดกันอยู่ว่าจะแบ่งสมบัติจากวังหลวงอย่างไร หลังจากยึดเมืองฉางอันได้แล้ว

 

ทหารอีกคนก็รีบวิ่งเข้ามา

 

“ด้านนอกด้านนอก เกิดเรื่องขึ้นที่ด้านนอก…” 

 

น้ําเสียงของทหารคนนั้นดูร้อนรน เผยให้เห็นถึงความหวาดกลัว

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

ราชาเจี้ยนหนานขมวดคิ้ว

 

จะมีอะไรเกิดขึ้นได้กัน ในเมื่อพวกเขาอยู่กันเป็นกองทัพขนาดนี้?

 

ราชาชวอฟางดูงงงวย จากมุมของเขาด้วยการคุ้มกัน จากกองทหารนับล้านในตอนนี้ ทั้งยังมียอดฝีมือมากมายที่อยู่กับพวกเขา สถานที่นี้ควรจะปลอดภัยที่สุด มันจะเกิดอะ ไรขึ้นได้กัน?

 

มีเพียงชายหน้าตาเฉยเมยเท่านั้นที่สีหน้าเปลี่ยนไป รีบลุกขึ้นยืนและเดินออกจากกระโจมไป

 

เมื่อเห็นเช่นนี้ราชาหัวเมืองทั้งสิบก็หันมองหน้ากันเองและ รีบเดินตามออกไป

 

เมื่อราชาหัวเมืองทั้งสิบเดินออกมาจากกระโจม พวกเขาก็สังเกตเห็นประกายแสงจางๆ มาจากปลายขอบฟ้า

 

ท่ามกลางสายตาที่ตื่นตะลึงของเหล่าราชา

 

แสงที่ดูศักดิ์สิทธิ์ยังคงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดก็กลายเป็นลูกศรขนาดใหญ่สีจางๆ ซึ่งพุ่งทะลวงมาจากหลายพันล้ํา

 

“ไม่ดีแล้ว!”

 

ราชาชวอฟางขนหัวลุกชัน

 

ไม่ใช่เพียงแค่ราชาชวอฟางเท่านั้น แต่ชายหน้าตาเฉยเมยที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เหงื่อไหลเย็นเยียบ

 

ในเวลาต่อมา

 

แสงสว่างที่ดูศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นลูกศรขนาดมหึมาในทันที และครอบคลุมค่ายทหารบริเวณที่ราชาหัวเมืองทั้งสิบกําลังยีนอยู่อย่างสมบูรณ์

 

ในขณะที่ถูกธนูแสงขนาดมหึมาครอบคลุมไว้ ภายในค่ายทหารก็มีเสียงร้องคํารามแว่วออกมา และถึงกับมีกลิ่นอาย ของยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดโผล่ขึ้นมา

 

อย่างไรก็ตามกลิ่นอายเหล่านั้นก็อยู่ได้เพียงชั่วครู่ ก่อนที่มันจะโดนทําลายล้างอย่างสมบูรณ์ด้วยศรแสงศักดิ์สิทธิ์ขนาดใหญ่

 

ไม่ว่าลูกศรจะผ่านไปที่ใด ทุกสิ่งก็ถูกกวาดทําลายด้วยอํานาจพลังที่แสนรุนแรง ราชาหัวเมืองทั้งสิบต่างไม่สามารถตอบสนองได้ทัน ร่างสลายกลายเป็นความว่างเปล่าไป ภายในบัดดล

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 144 ขจัดทิ้ง

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 144 ขจัดทิ้ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 144 ขจัดทิ้ง

ภายในโถงชีวิตนิรันดร์

 

จักรพรรดิหลี่เชิงแห่งราชวงศ์ถังกําลังกังวลใจเกี่ยวกับเรื่องกองทัพพันธมิตรของเหล่าราชาหัวเมือง

 

ในตอนนั้นเอง จักรพรรดิถังก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาโดยพลัน

 

แม้คนธรรมดาจะมองไม่เห็นความผันผวนของพลังฟ้าดิน แต่เมื่อพลังฟ้าดินจากหลายสิบลี่มารวมตัวกัน พวกเขาก็จะรู้สึกถึงอันตรายเหมือนถูกสัตว์ร้ายจ้องมอง

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงดูประหลาดใจและสงสัย

 

“ฝ่าบาท”

 

ร่างของหลิวกงกงปรากฏขึ้นต่อหน้าองค์จักรพรรดิหลี่เชิง และพูดออกมาด้วยเสียงอันสั่นเทา “พลังฟ้าดิน พลังฟ้าดินหลุดจากการควบคุมอย่างสมบูรณ์”

 

น้ำเสียงของหลิวกงกงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

 

ในฐานะยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง หลิวกงกงย่อมสามารถรับรู้พลังฟ้าดินได้เป็นธรรมดา แต่ในตอนนี้เขาพลันรู้สึกถึงพลังฟ้าดินที่แต่เดิมอ่อนโยนและเรียบง่ายกลาย เป็นรุนแรงเกรี้ยวกราด

 

ถูกล้อมรอบไว้ด้วยพลังฟ้าดินเช่นนี้ หลิวกงกงรู้สึกได้ว่าความแข็งแกร่งเก้าในสิบส่วนของตนถูกสะกดเอาไว้ และยิ่งเวลาผ่านไปแรงกดดันนั้นก็ยิ่งเพิ่มขึ้น

 

พลังฟ้าดินที่จู่ๆ ก็มารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว สําหรับคนธรรมดาอาจทําให้รู้สึกว่าจิตใจหดหูรู้สึกไม่สบายใจ แต่ในสายตาของจอมยุทธขอบเขตสามระดับบนที่ต้องแบกรับพลังฟ้าดินเอาไว้ก็ไม่ต่างจากเอาร่างไปปะทะกับภัยธรรมชาติ

 

ไม่เพียงแต่จ้าวกงกงเท่านั้น แต่ยอดยุทธขอบเขตสามระดับบนในเมืองฉางอันต่างเป็นเช่นนี้กันหมด

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ด้านหน้าตําหนักชุนฝั่งขวา

 

ซูฉินกําลังถือธนูเก้าประกาย ดวงตาลุ่มลึก และตอนนี้ลูกศรที่พาดอยู่บนคันธนูก็ควบแน่นอย่างสมบูรณ์

 

ฟู!

 

ชี่!

 

ลูกธนูดูดกลืนพลังฟ้าดินจากทุกทิศทางราวกับมันมีชีวิต

 

“ใกล้แล้ว”

 

ซูฉินหรีตาลงเล็กน้อย ค่อยๆ ปรับระดับลูกศรให้เล็งไปยังตําแหน่งที่เขาจับจ้องด้วยดวงตาแห่งสัจจะควบคู่กับวิชาปราณฉีฟ้ากําหนด

 

และแล้ว

 

ผึง!!

 

ซูฉินปล่อยมือซ้ายออกจากสายรั้งของธนูเก้าประกาย

 

ฟิ่ว!!!

 

ราวกับโยนหินกระทบแม่น้ํา

 

ลูกธนูจากธนูเก้าประกายซึ่งเต็มไปด้วยเจตจํานงอันน่าหวาดหวั่น กลายเป็นเส้นแสงส่องประกาย ยิงไปยังทิศทางหนึ่งด้วยความเร็วที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง

 

ในขณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นกองทัพทหารภายในวังหลวงหรือจะเป็นพลเรือนบางคนภายในเมืองฉางอัน พวกเขาต่างก็ได้เห็นฉากที่ไม่อาจลืมได้ลง

 

แสงอันงดงามพุ่งออกจากส่วนลึกของพระราชวังแล้วหาย ไปในท้องฟ้าและมวลหมู่เมฆ

 

ตําหนักขุนฝั่งขวา

 

ซูฉินคลายมือจากคันธนูแล้วจึงใส่กลับเข้าไปในคลังของ ระบบความคิดของเขาผันผวนเล็กน้อย

 

และเพราะธนูเก้าประกายได้หายไป พลังฟ้าดินที่จู่ๆ รุนแรงขึ้นมาก็สงบลงอย่างช้าๆ กระจายออกไปทั่วทุกทิศกลับไปยังรัศมีสิบสี่โดยรอบ

 

“ไม่คาดคิดเลยว่าพลังธนูเก้าประกายจะดูดพลังงานเยอะ มากขนาดนี้?”

 

“ถ้าข้ายิงธนูหลายสิบดอกติดต่อกัน มันจะมิกินพลังงานของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของข้าไปหนึ่งส่วนสิบเลยหรอกหรือ…”

 

ซูฉินดูประหลาดใจ

 

ธนูเก้าประกายเป็นสมบัติจิตวิญญาณที่ละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง การที่จะสามารถรั้งสายธนูได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแรงกาย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแก่นแท้แห่งพลังที่ต้องใช้มีเพียงจิต สัมผัสศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น

 

“ข้ารู้สึกได้ว่าลูกศรที่ยิงออกไปเมื่อครู่ยังไม่ใช่ขีดจํากัดของมัน หากข้ารั้งสายธนูเอาไว้พลังของลูกศรคงจะพุ่งขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ในขณะเดียวกันมันก็กินพลังงานจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เพิ่มขึ้นไปด้วย”

 

ซูฉันรู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้ได้จากตอนที่เขายิงธนูออกไป

 

แม้แต่ซูฉินเองยังรู้สึกได้เลยว่า หากเขาใช้พลังงานจนหมดสิ้น ลูกศรที่ยิงออกไปก็สามารถจัดการกับขอบเขตตํานานยุทธได้เลย ยกเว้นแต่จะเป็นตํานานยุทธระดับนภา ชั้นที่เจ็ดที่สามารถควบแน่นอาณาเขต ” ขนาดเล็กของตนเองได้แล้ว ส่วนตํานานยุทธระดับอื่นๆ ไม่สามารถหยุดลูกศรนี้ได้เลย

 

และแน่นอนซูฉินจะไม่ทดลองทําสิ่งนั้นดูหรอก

 

ควรรู้ว่าสําหรับจอมยุทธที่ควบแน่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว และจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์หมดลง ความแข็งแกร่งของพวกเขาย่อมลดลงไปอย่างมาก แม้ว่าซูฉินจะมีไพ่ลับอีกมากมาย การที่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์หมดลงจริงๆ ก็คงจะมีวิธีการเอาตัวรอดอื่น แต่เขาคงไม่พาตัวเองไปตกอยู่ในอันตรายตั้งแต่แรกแน่

 

“ในตอนที่เอาธนูเก้าประกายออกมา พลังฟ้าดินที่ไหลมารวมตัวกันเสมือนถูกบีบบังคับ?”

 

ซูฉินแตะปลายคาง ใบหน้ามีแววครุ่นคิด

 

โดยปกติพลังของฟ้าดินที่ถูกรวบรวมโดยค่ายกลฟ้าดิน เช่น ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์จะถูกกลั่นกรองมาแล้ว และซูฉินก็จะสามารถดูดซับมันได้อย่างมีเสถียรภาพ

 

แต่พลังฟ้าดินที่ธนูเก้าประกายชักนํามานั้นเป็นความเกรี้ยวกราดรุนแรงอย่างสมบูรณ์

 

ที่กองทัพของเหล่าองค์ชาย

 

“รายงาน กองทัพอาณาจักรถังล่าถอยกลับไปแล้ว เหมือนว่าจะวางแผนที่จะไม่ประชิดกับกองทัพของเรา”

 

ทหารคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว คุกเข่าลงข้างหนึ่ง แล้วกล่าวรายงานด้วยความเคารพ

 

“ถอยกลับ?”

 

“เป็นไปได้ไหมว่าจักรพรรดิถังจะกลัวพวกเรา?”

 

ราชาอันหยางเยาะเย้ยเมื่อได้ฟังคํารายงาน

 

ยิ่งจักรพรรดิหลี่เชิงเป็นเช่นนี้ ก็พิสูจน์ได้ว่าอีกฝ่ายจิตใจไม่มั่นคง

 

“จักรพรรดิถังอาจจะต้องการรวบรวมกําลังพลทั้งหมด เพื่อเตรียมตั้งรับกับกองทัพขุนนางหัวเมืองของพวกเราที่นอกเมืองฉางอัน”

 

ราชาชวอฟางคิดอยู่ครู่หนึ่ง และกล่าวออกมาด้วยน้ําเสียงที่ส่อแววชื่นชมไม่น้อย

 

แม้ว่าเขาจะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับจักรพรรดิถัง ราชาชวอฟางก็รู้สึกว่าการตัดสินใจเลือกของจักรพรรดิถังนั้นไม่ได้ ผิดปกติ

 

ละทิ้งพื้นที่ผืนเล็กๆ เพื่อแลกกับความแข็งแกร่งของกองทัพ โอกาสในการชนะจะเพิ่มขึ้น อาจจะกล่าวได้ว่าจักรพรรดิถังทําทุกอย่างเท่าที่ทําได้แล้ว

 

“น่าเสียดาย…”

 

ราชาชวอฟางถอนหายใจเล็กน้อย มองไปยังชายหน้าตาเฉยเมยที่อยู่ไม่ไกลและกล่าวอย่างให้ความเคารพ “ด้วยการ มีผู้อาวุโสอยู่ด้วย จักรพรรดิถังมีแต่จะต้องเศร้า เสียใจเท่านั้น”

 

คําที่กล่าวออกมา

 

ทําให้รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของราชาหัวเมือง อีกเก้าคนที่เหลือ

 

ชายหน้าตาเฉยเมยก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยโดยที่ไม่พูดอะไร

 

ออกมา

 

ขณะที่ราชาหัวเมืองกําลังคิดกันอยู่ว่าจะแบ่งสมบัติจากวังหลวงอย่างไร หลังจากยึดเมืองฉางอันได้แล้ว

 

ทหารอีกคนก็รีบวิ่งเข้ามา

 

“ด้านนอกด้านนอก เกิดเรื่องขึ้นที่ด้านนอก…” 

 

น้ําเสียงของทหารคนนั้นดูร้อนรน เผยให้เห็นถึงความหวาดกลัว

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

ราชาเจี้ยนหนานขมวดคิ้ว

 

จะมีอะไรเกิดขึ้นได้กัน ในเมื่อพวกเขาอยู่กันเป็นกองทัพขนาดนี้?

 

ราชาชวอฟางดูงงงวย จากมุมของเขาด้วยการคุ้มกัน จากกองทหารนับล้านในตอนนี้ ทั้งยังมียอดฝีมือมากมายที่อยู่กับพวกเขา สถานที่นี้ควรจะปลอดภัยที่สุด มันจะเกิดอะ ไรขึ้นได้กัน?

 

มีเพียงชายหน้าตาเฉยเมยเท่านั้นที่สีหน้าเปลี่ยนไป รีบลุกขึ้นยืนและเดินออกจากกระโจมไป

 

เมื่อเห็นเช่นนี้ราชาหัวเมืองทั้งสิบก็หันมองหน้ากันเองและ รีบเดินตามออกไป

 

เมื่อราชาหัวเมืองทั้งสิบเดินออกมาจากกระโจม พวกเขาก็สังเกตเห็นประกายแสงจางๆ มาจากปลายขอบฟ้า

 

ท่ามกลางสายตาที่ตื่นตะลึงของเหล่าราชา

 

แสงที่ดูศักดิ์สิทธิ์ยังคงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดก็กลายเป็นลูกศรขนาดใหญ่สีจางๆ ซึ่งพุ่งทะลวงมาจากหลายพันล้ํา

 

“ไม่ดีแล้ว!”

 

ราชาชวอฟางขนหัวลุกชัน

 

ไม่ใช่เพียงแค่ราชาชวอฟางเท่านั้น แต่ชายหน้าตาเฉยเมยที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เหงื่อไหลเย็นเยียบ

 

ในเวลาต่อมา

 

แสงสว่างที่ดูศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นลูกศรขนาดมหึมาในทันที และครอบคลุมค่ายทหารบริเวณที่ราชาหัวเมืองทั้งสิบกําลังยีนอยู่อย่างสมบูรณ์

 

ในขณะที่ถูกธนูแสงขนาดมหึมาครอบคลุมไว้ ภายในค่ายทหารก็มีเสียงร้องคํารามแว่วออกมา และถึงกับมีกลิ่นอาย ของยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดโผล่ขึ้นมา

 

อย่างไรก็ตามกลิ่นอายเหล่านั้นก็อยู่ได้เพียงชั่วครู่ ก่อนที่มันจะโดนทําลายล้างอย่างสมบูรณ์ด้วยศรแสงศักดิ์สิทธิ์ขนาดใหญ่

 

ไม่ว่าลูกศรจะผ่านไปที่ใด ทุกสิ่งก็ถูกกวาดทําลายด้วยอํานาจพลังที่แสนรุนแรง ราชาหัวเมืองทั้งสิบต่างไม่สามารถตอบสนองได้ทัน ร่างสลายกลายเป็นความว่างเปล่าไป ภายในบัดดล

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+