เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 146 ความรู้สึก

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 146 ความรู้สึก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 146 ความรู้สึก

 

ตําหนักไท่จี๋

 

ข่าวการล้มตายของเหล่าราชาหัวเมืองทั้งสิบพระองค์ การถอยทัพของกองกําลังนับล้านได้แพร่กระจายออกไป ทั้งขุนนางพลเรือนและฝายทหารของวังหลวงต่างก็รู้สึกเหลือเชื่อ

 

ถ้าไม่ได้ตรวจสอบตัวตนของหน่วยสอดแนมคนนี้ก่อนเข้าวังหลวง เกรงว่าเหล่าขุนนางคงสงสัยว่าอีกฝ่ายเป็นสายลับของราชาหัวเมืองส่งมาเพื่อสร้างความสับสนวุ่นวายภายในพระราชวังถังไปแล้ว

 

“ฝ่าบาท พวกเราควรทําเช่นไรต่อไป”

 

ขุนนางบางคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก

 

เมื่อกองทัพของเหล่าราชาหัวเมืองถอยทัพ อย่างน้อยเมืองฉางอันก็รอดตัวไป ไม่จําเป็นต้องเผชิญการบุกรุกของกองทัพนับล้าน

 

แม้ว่าเหล่าขุนนางในท้องพระโรงเหล่านี้จะพร้อมอยู่ร่วมเป็นร่วมตายกับอาณาจักรถังมาเนิ่นนานแล้ว แต่หากพวกเขาสามารถมีชีวิตอยู่รอดได้ ใครจะอยากตายกันเล่า?

 

ในขณะที่เหล่าขุนนางน้อยใหญ่เต็มไปด้วยความปีติยินดีใบหน้าเบิกบานแจ่มใส

 

จักรพรรดิถังก็ลุกขึ้นยืน

 

“จงฟังคําสังข้า”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงมองไปที่ผู้คนรอบตัว ค่อยๆ พูดทีละคํา “รวบรวมกองทัพ บุกกวาดล้างดินแดนของราชาหัวเมือง ทั้งสิบทีละเมือง!”

 

แม้ว่าจักรพรรดิถังหลี่เชิงจะตกใจกับ “ตัวตนประดุจทวยเทพ” ที่ซ่อนอยู่ภายในวัง แต่เขาก็ตระหนักได้ว่านี่เป็นโอกาสเพียงครั้งเดียว ต้องรีบจัดการ

 

ในเมื่อราชาหัวเมืองทั้งสิบได้ตกตายไปแล้ว ความวุ่นวายย่อมเกิดแก่ดินแดนของพวกเขาอย่างมิอาจเลี่ยง

 

เหล่าองค์ชายตกตายกะทันหัน ไม่มีเวลาให้ถ่ายโอนอํานาจ สถานการณ์เช่นนี้แม้แต่บุตรชายคนโตของเหล่าองค์ชายก็คงยากที่จะจัดการสถานการณ์ให้กลับมามั่นคงได้ใน ช่วงเวลาสั้นๆ

 

หากเวลานี้จักรพรรดิถังกวาดล้างเขตแดนทั้งสิบในคราวเดียว “เมื่อรวมกับมาตรการ นโยบายกระจายอํานาจ” ที่จักรพรรดิถังหลี่เชิงดําเนินการไว้ก่อนหน้านี้ มันย่อมจะก ลายเป็นหายนะของเหล่าขุนนางหัวเมือง และช่วยแก้ปัญหาภายในราชสํานักได้อย่างสมบูรณ์แบบ

 

“รับพระบัญชา”

 

ขุนนางเจ้ากระทรวงยุทธนาการเข้าใจความหมายที่จักรพรรดิต้องการได้ในทันที จึงลุกขึ้นยืนเตรียมไประดมกําลังพลภาคพื้นดินและกองทหารม้า

 

….

 

….

 

กองทัพของราชาหัวเมืองได้แตกพ่ายไปแล้ว

 

กองทัพนับล้านไม่ได้เห็นแม้แต่เมืองฉางอัน และราชาหัวเมืองทั้งสิบก็กลายเป็นเพียงอากาศธาตุด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ที่พุ่งลงมาจากฟากฟ้า

 

ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วด้วยความเร็วราวกับสายฟ้าแลบ

 

ผู้คนมากมาย จอมยุทธในยุทธภพ ทุกคนที่รู้เรื่องนี้ต่างตกตะลึง

 

ในป่าไผ่แห่งหนึ่ง มีร่างหลายร่างกําลังนั่งขัดสมาธิอยู่ ดวงตาของพวกเขาค่อนข้างผ่อนคลาย แต่กลิ่นอายทรงพลัง พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง

 

“พวกเจ้าลองบอกซิ ทําไมกองทัพของเหล่าราชาหัวเมืองราชวงศ์ถังถึงพ่ายแพ้?” ชายชราคนหนึ่งในชุดสีเขียวเปิดปากถามและมองไปยังทุกคนที่อยู่ตรงนั้น

 

“นี่…..”

 

ทุกคนมองหน้ากันไม่รู้จะตอบอะไร

 

ความพ่ายแพ้ของราชาหัวเมืองทั้งสิบนั้นยากจะอธิบาย กองทัพของราชาหัวเมืองไม่ได้สู้กับกองทัพของอาณาจักรถังด้วยซ้ำ พวกเขาก็ถอนกําลังกลับไปเสียก่อน….

 

“ข้าได้ยินมาว่าตอนที่กองทัพของราชาหัวเมืองอยู่ห่างจากเมืองฉางอันหลายพันลี้ จู่ๆ มีแสงสว่างดูศักดิ์สิทธิ์พุ่งลงมาจากท้องฟ้า กวาดล้างราชาหัวเมืองทั้งสิบในคราวเดียว ทําให้กองทัพไม่มีผู้นํา จึงต้องถอยทัพกลับไป…” 

 

ชายวัยกลางคนคนหนึ่งขมวดคิ้วแล้วพูดต่อว่า “มีข่าวลือจากภายนอกบอกมาว่าจักรพรรดิถังหลี่เชิงอยู่ในอาณัติแห่งสวรรค์ แม้แต่ทวยเทพก็ช่วยเหลือ…”

 

คําที่กล่าวออกมา

 

คนที่เหลือต่างก็มองหน้ากันอย่างแปลกใจ

 

เพราะคําพูดของชายวัยกลางคนผู้นี้ช่างน่าเหลือเชื่อเสียเหลือเกิน

 

“ฮ่าฮ่า…”

 

“อาณัติแห่งสวรรค์? เจ้าเชื่อเรื่องนี้จริงๆ หรือ?”

 

ชายชราในชุดสีเขียวส่ายหัวแล้วพูดออกมาอย่างช้าๆ

 

“เฒ่าเขียว ท่านหมายความว่าเรื่องนี้มีลับลมคมในใดนั้นหรือ?” ดวงตาของชายวัยกลางคนเป็นประกายและเอ่ยถามทันที

 

อันที่จริงเมื่อเขารู้เรื่องราวนี้ครั้งแรก เขาก็ไม่เชื่อเหมือนกัน แต่เหตุผลอื่นนอกจากนี้จะอธิบายแสงที่ตกลงมาจากฟ้าได้อย่างไร

 

“เป็นไปได้ไหมว่าไม่มีแสงศักดิ์สิทธิ์อะไรทั้งนั้น ทั้งหมดเป็นเพียงข่าวเท็จที่ทั้งทางอาณาจักรถังและเหล่าราชาหัวเมืองจงใจปล่อยออกมา?”

 

ทันใดนั้นหญิงร่างอ้วนก็คาดเดาขึ้นมา

 

เมื่อคนอื่นๆ ได้ยิน พวกเขาก็พยักหน้าเห็นด้วยอย่างลับๆ

 

จริงดังนั้น

 

พวกเขายังคิดอยู่ว่าเรื่องแสงศักดิ์สิทธิ์พุ่งลงมาจากฟ้านั้นมันน่าเหลือเชื่อจนเกินไป

 

บางทีเรื่องทวยเทพอาจจะเป็นที่ถูกกุขึ้นมา ทุกคนต่างถูกหลอกโดยอาณาจักรถังและเหล่าราชาหัวเมือง

 

“แสงศักดิ์สิทธิ์นั่นเป็นเรื่องจริง” ชายชราในชุดสีเขียวกล่าวออก

 

“เฒ่าเขียว ตกลงมันมีความลับอันใด บอกออกมาได้แล้ว…” ชายวัยกลางคนไม่สามารถทนสงสัยต่อไปได้

 

“มันไม่ใช่อาณัติสวรรค์ มันเป็นฝีมือของมนุษย์”

 

พอพูดถึงเรื่องนี้ ชายชราในชุดเขียวก็หยุดไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อว่า “ข้ามีเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่ผ่านเมืองฉางอันในวันที่กองทัพราชาหัวเมืองพ่ายแพ้ เขาได้เห็นแสงศักดิ์สิทธิ์พุ่งออกจากส่วนลึกของวังหลวงขึ้นสู่ท้องฟ้า แล้วมันก็หายไป”

 

“หลังจากนั้น ราชาหัวเมืองก็ตกตายภายใต้ลําแสงศักดิ์สิทธิ์ที่พุ่งลงมาจากฟากฟ้า”

 

ในประโยคทั้งสองของชายชราชุดเขียวซ่อนความหมายอันลึกซึ้งเอาไว้

 

“เฒ่าเขียว เจ้าหมายความว่าแสงศักดิ์สิทธิ์นั่นเกิดจากน้ำมือของใครบางคนในพระราชวังถังงั้นรึ?”

 

“ทั้งยังส่งการโจมตีระยะไกลกว่าพันลี้ สังหารราชาหัวเมืองทั้งสิบคนที่อยู่ในหมู่กองทัพนับล้าน?”

 

หญิงสาวร่างอ้วนรู้สึกเพียงว่านี่มันเรื่องไร้สาระอันใดกัน

 

เมื่อเทียบกับสิ่งที่ชายชราชุดเขียวพูด นางรู้สึกเชื่อข่าวลือว่าเป็นอาณัติสวรรค์ เป็นโชคชะตาแห่งอาณาจักรถังมากกว่าอีก

 

“สิ่งที่เพื่อนของท่านพูดเป็นเรื่องจริงงั้นหรือ?”

 

ชายวัยกลางคนมองอย่างระแวงก่อนจะถามออกไป

 

“แน่นอนว่าเรื่องจริง”

 

ชายชราชุดเขียวยืนยัน

 

“เป็นไปได้ไหมว่ามีตํานานยุทธอยู่ในพระราชวังถัง?” 

 

บางคนที่อยู่ตรงนั้นสูดลมหายใจเข้าลึกเป็นการตอบสนอง แล้วจึงพึมพําอยู่กับตนเอง

 

พวกเขาล้วนเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง และแน่นอนพวกเขารู้ดีว่าการสังหารราชาหัวเมืองทั้งสิบคนที่อยู่ภายในกองทัพด้วยระยะทางหลายพันลี้นั้นยากเย็นเพียงใด

 

นอกจากอีกฝ่ายจะเป็นตํานานยุทธแล้ว ไม่สามารถคิดเป็นอื่นได้

 

“ข้าเกรงว่าจะเป็นเช่นนั้น”

 

ชายชราชุดเขียวกล่าวคําออกมาช้าๆ

 

“เป็นตัวตนขอบเขตตํานานยุทธ…”

 

คนอื่นๆ ได้แต่มองหน้ากัน เค้าลางความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขา

 

 

 

อาณาจักรเหมิ่งหยวน

 

ทุ่งหญ้าเขียวขจีกว้างใหญ่ไพศาล

 

ชายร่างสูงมีดวงตาที่สงบนิ่งจ้องมองไปยังท้องฟ้ากว้าง

 

แม้ว่าชายร่างสูงจะยืนอยู่ตรงนั้นเฉยๆ แต่ก็ทําให้ผู้คนต่างรู้สึกว่ากําลังเชิญหน้ากับผืนแผ่นอันยิ่งใหญ่

 

“ท่านราชครู”

 

“มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นที่ที่ราบภาคกลางขอรับ”

 

ในเวลานั้นมีชายฉกรรจ์วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว

 

“ราชาหัวเมืองทั้งสิบของราชวงศ์ถังก่อกบฏ นํากองกําลังนับล้านเข้ามาตั้งค่ายอยู่ห่างจากเมืองฉางอันหลายพันลี้ แต่พวกเขากลับถูกสังหารโดยแสงศักดิ์สิทธิ์ที่พุ่งออกมาจากเมืองฉางอัน…”

 

ชายฉกรรจ์คนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

 

หากไม่มั่นใจว่าแหล่งข่าวที่ได้มาเป็นความจริงเขาก็จะไม่เชื่อถือสิ่งนี้เลย

 

“โอ้?”

 

“ตํานานยุทธงั้นหรือ?”

 

ชายร่างสูงค่อยๆ เหม่อมองออกไปแล้วกระซิบอยู่กับตนเอง

 

“ท่านราชครู ท่านคิดว่าภายในพระราชวังถังมีตํานานยุทธงั้นหรือ”

 

ใบหน้าของชายฉกรรจ์ที่มาส่งข่าวก็กลายเป็นบิดเบี้ยวน่าเกลียด

 

การมีตํานานยุทธในพระราชวังถังก็เปรียบเสมือนสายฟ้าฟาดลงมาใส่อาณาจักรเหมิ่งหยวน

 

แม้ว่าเมื่อสิบปีก่อนวัดเส้าหลินจะให้กําเนิดอรหันต์ขึ้นมา เช่นกัน แต่วัดเส้าหลินเป็นสุดยอดพรรคในยุทธภพ ไม่ว่าจะมีอีกคนหรืออีกสองคนก็เพียงส่งเสริมสถานะของวัดเส้าหลินในฐานะสุดยอดพรรคในยุทธภพเท่านั้น

 

ไม่มีผลกระทบใดต่อแผ่นดิน

 

เพราะตลอดเวลาหลายพันปี วัดเส้าหลินก็สงบสุขมาโดยตลอด

 

ไม่มีความทะเยอทะยาน

 

แต่กับอาณาจักรถังนั้นต่างออกไป

 

หากมีตํานานยุทธในพระราชวังถังย่อมมีผลกระทบใหญ่หลวงต่อสถานการณ์ภายในโลกหล้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

“ไม่ต้องห่วง…”

 

ชายร่างสูงส่ายหัวและมองขึ้นไปบนท้องฟ้ากว้างอีกครั้ง

 

“ตํานานยุทธ…”

 

“อีกเดี๋ยวข้าก็จะไปถึงแล้ว…”

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 146 ความรู้สึก

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 146 ความรู้สึก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 146 ความรู้สึก

 

ตําหนักไท่จี๋

 

ข่าวการล้มตายของเหล่าราชาหัวเมืองทั้งสิบพระองค์ การถอยทัพของกองกําลังนับล้านได้แพร่กระจายออกไป ทั้งขุนนางพลเรือนและฝายทหารของวังหลวงต่างก็รู้สึกเหลือเชื่อ

 

ถ้าไม่ได้ตรวจสอบตัวตนของหน่วยสอดแนมคนนี้ก่อนเข้าวังหลวง เกรงว่าเหล่าขุนนางคงสงสัยว่าอีกฝ่ายเป็นสายลับของราชาหัวเมืองส่งมาเพื่อสร้างความสับสนวุ่นวายภายในพระราชวังถังไปแล้ว

 

“ฝ่าบาท พวกเราควรทําเช่นไรต่อไป”

 

ขุนนางบางคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก

 

เมื่อกองทัพของเหล่าราชาหัวเมืองถอยทัพ อย่างน้อยเมืองฉางอันก็รอดตัวไป ไม่จําเป็นต้องเผชิญการบุกรุกของกองทัพนับล้าน

 

แม้ว่าเหล่าขุนนางในท้องพระโรงเหล่านี้จะพร้อมอยู่ร่วมเป็นร่วมตายกับอาณาจักรถังมาเนิ่นนานแล้ว แต่หากพวกเขาสามารถมีชีวิตอยู่รอดได้ ใครจะอยากตายกันเล่า?

 

ในขณะที่เหล่าขุนนางน้อยใหญ่เต็มไปด้วยความปีติยินดีใบหน้าเบิกบานแจ่มใส

 

จักรพรรดิถังก็ลุกขึ้นยืน

 

“จงฟังคําสังข้า”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงมองไปที่ผู้คนรอบตัว ค่อยๆ พูดทีละคํา “รวบรวมกองทัพ บุกกวาดล้างดินแดนของราชาหัวเมือง ทั้งสิบทีละเมือง!”

 

แม้ว่าจักรพรรดิถังหลี่เชิงจะตกใจกับ “ตัวตนประดุจทวยเทพ” ที่ซ่อนอยู่ภายในวัง แต่เขาก็ตระหนักได้ว่านี่เป็นโอกาสเพียงครั้งเดียว ต้องรีบจัดการ

 

ในเมื่อราชาหัวเมืองทั้งสิบได้ตกตายไปแล้ว ความวุ่นวายย่อมเกิดแก่ดินแดนของพวกเขาอย่างมิอาจเลี่ยง

 

เหล่าองค์ชายตกตายกะทันหัน ไม่มีเวลาให้ถ่ายโอนอํานาจ สถานการณ์เช่นนี้แม้แต่บุตรชายคนโตของเหล่าองค์ชายก็คงยากที่จะจัดการสถานการณ์ให้กลับมามั่นคงได้ใน ช่วงเวลาสั้นๆ

 

หากเวลานี้จักรพรรดิถังกวาดล้างเขตแดนทั้งสิบในคราวเดียว “เมื่อรวมกับมาตรการ นโยบายกระจายอํานาจ” ที่จักรพรรดิถังหลี่เชิงดําเนินการไว้ก่อนหน้านี้ มันย่อมจะก ลายเป็นหายนะของเหล่าขุนนางหัวเมือง และช่วยแก้ปัญหาภายในราชสํานักได้อย่างสมบูรณ์แบบ

 

“รับพระบัญชา”

 

ขุนนางเจ้ากระทรวงยุทธนาการเข้าใจความหมายที่จักรพรรดิต้องการได้ในทันที จึงลุกขึ้นยืนเตรียมไประดมกําลังพลภาคพื้นดินและกองทหารม้า

 

….

 

….

 

กองทัพของราชาหัวเมืองได้แตกพ่ายไปแล้ว

 

กองทัพนับล้านไม่ได้เห็นแม้แต่เมืองฉางอัน และราชาหัวเมืองทั้งสิบก็กลายเป็นเพียงอากาศธาตุด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ที่พุ่งลงมาจากฟากฟ้า

 

ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วด้วยความเร็วราวกับสายฟ้าแลบ

 

ผู้คนมากมาย จอมยุทธในยุทธภพ ทุกคนที่รู้เรื่องนี้ต่างตกตะลึง

 

ในป่าไผ่แห่งหนึ่ง มีร่างหลายร่างกําลังนั่งขัดสมาธิอยู่ ดวงตาของพวกเขาค่อนข้างผ่อนคลาย แต่กลิ่นอายทรงพลัง พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง

 

“พวกเจ้าลองบอกซิ ทําไมกองทัพของเหล่าราชาหัวเมืองราชวงศ์ถังถึงพ่ายแพ้?” ชายชราคนหนึ่งในชุดสีเขียวเปิดปากถามและมองไปยังทุกคนที่อยู่ตรงนั้น

 

“นี่…..”

 

ทุกคนมองหน้ากันไม่รู้จะตอบอะไร

 

ความพ่ายแพ้ของราชาหัวเมืองทั้งสิบนั้นยากจะอธิบาย กองทัพของราชาหัวเมืองไม่ได้สู้กับกองทัพของอาณาจักรถังด้วยซ้ำ พวกเขาก็ถอนกําลังกลับไปเสียก่อน….

 

“ข้าได้ยินมาว่าตอนที่กองทัพของราชาหัวเมืองอยู่ห่างจากเมืองฉางอันหลายพันลี้ จู่ๆ มีแสงสว่างดูศักดิ์สิทธิ์พุ่งลงมาจากท้องฟ้า กวาดล้างราชาหัวเมืองทั้งสิบในคราวเดียว ทําให้กองทัพไม่มีผู้นํา จึงต้องถอยทัพกลับไป…” 

 

ชายวัยกลางคนคนหนึ่งขมวดคิ้วแล้วพูดต่อว่า “มีข่าวลือจากภายนอกบอกมาว่าจักรพรรดิถังหลี่เชิงอยู่ในอาณัติแห่งสวรรค์ แม้แต่ทวยเทพก็ช่วยเหลือ…”

 

คําที่กล่าวออกมา

 

คนที่เหลือต่างก็มองหน้ากันอย่างแปลกใจ

 

เพราะคําพูดของชายวัยกลางคนผู้นี้ช่างน่าเหลือเชื่อเสียเหลือเกิน

 

“ฮ่าฮ่า…”

 

“อาณัติแห่งสวรรค์? เจ้าเชื่อเรื่องนี้จริงๆ หรือ?”

 

ชายชราในชุดสีเขียวส่ายหัวแล้วพูดออกมาอย่างช้าๆ

 

“เฒ่าเขียว ท่านหมายความว่าเรื่องนี้มีลับลมคมในใดนั้นหรือ?” ดวงตาของชายวัยกลางคนเป็นประกายและเอ่ยถามทันที

 

อันที่จริงเมื่อเขารู้เรื่องราวนี้ครั้งแรก เขาก็ไม่เชื่อเหมือนกัน แต่เหตุผลอื่นนอกจากนี้จะอธิบายแสงที่ตกลงมาจากฟ้าได้อย่างไร

 

“เป็นไปได้ไหมว่าไม่มีแสงศักดิ์สิทธิ์อะไรทั้งนั้น ทั้งหมดเป็นเพียงข่าวเท็จที่ทั้งทางอาณาจักรถังและเหล่าราชาหัวเมืองจงใจปล่อยออกมา?”

 

ทันใดนั้นหญิงร่างอ้วนก็คาดเดาขึ้นมา

 

เมื่อคนอื่นๆ ได้ยิน พวกเขาก็พยักหน้าเห็นด้วยอย่างลับๆ

 

จริงดังนั้น

 

พวกเขายังคิดอยู่ว่าเรื่องแสงศักดิ์สิทธิ์พุ่งลงมาจากฟ้านั้นมันน่าเหลือเชื่อจนเกินไป

 

บางทีเรื่องทวยเทพอาจจะเป็นที่ถูกกุขึ้นมา ทุกคนต่างถูกหลอกโดยอาณาจักรถังและเหล่าราชาหัวเมือง

 

“แสงศักดิ์สิทธิ์นั่นเป็นเรื่องจริง” ชายชราในชุดสีเขียวกล่าวออก

 

“เฒ่าเขียว ตกลงมันมีความลับอันใด บอกออกมาได้แล้ว…” ชายวัยกลางคนไม่สามารถทนสงสัยต่อไปได้

 

“มันไม่ใช่อาณัติสวรรค์ มันเป็นฝีมือของมนุษย์”

 

พอพูดถึงเรื่องนี้ ชายชราในชุดเขียวก็หยุดไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อว่า “ข้ามีเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่ผ่านเมืองฉางอันในวันที่กองทัพราชาหัวเมืองพ่ายแพ้ เขาได้เห็นแสงศักดิ์สิทธิ์พุ่งออกจากส่วนลึกของวังหลวงขึ้นสู่ท้องฟ้า แล้วมันก็หายไป”

 

“หลังจากนั้น ราชาหัวเมืองก็ตกตายภายใต้ลําแสงศักดิ์สิทธิ์ที่พุ่งลงมาจากฟากฟ้า”

 

ในประโยคทั้งสองของชายชราชุดเขียวซ่อนความหมายอันลึกซึ้งเอาไว้

 

“เฒ่าเขียว เจ้าหมายความว่าแสงศักดิ์สิทธิ์นั่นเกิดจากน้ำมือของใครบางคนในพระราชวังถังงั้นรึ?”

 

“ทั้งยังส่งการโจมตีระยะไกลกว่าพันลี้ สังหารราชาหัวเมืองทั้งสิบคนที่อยู่ในหมู่กองทัพนับล้าน?”

 

หญิงสาวร่างอ้วนรู้สึกเพียงว่านี่มันเรื่องไร้สาระอันใดกัน

 

เมื่อเทียบกับสิ่งที่ชายชราชุดเขียวพูด นางรู้สึกเชื่อข่าวลือว่าเป็นอาณัติสวรรค์ เป็นโชคชะตาแห่งอาณาจักรถังมากกว่าอีก

 

“สิ่งที่เพื่อนของท่านพูดเป็นเรื่องจริงงั้นหรือ?”

 

ชายวัยกลางคนมองอย่างระแวงก่อนจะถามออกไป

 

“แน่นอนว่าเรื่องจริง”

 

ชายชราชุดเขียวยืนยัน

 

“เป็นไปได้ไหมว่ามีตํานานยุทธอยู่ในพระราชวังถัง?” 

 

บางคนที่อยู่ตรงนั้นสูดลมหายใจเข้าลึกเป็นการตอบสนอง แล้วจึงพึมพําอยู่กับตนเอง

 

พวกเขาล้วนเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง และแน่นอนพวกเขารู้ดีว่าการสังหารราชาหัวเมืองทั้งสิบคนที่อยู่ภายในกองทัพด้วยระยะทางหลายพันลี้นั้นยากเย็นเพียงใด

 

นอกจากอีกฝ่ายจะเป็นตํานานยุทธแล้ว ไม่สามารถคิดเป็นอื่นได้

 

“ข้าเกรงว่าจะเป็นเช่นนั้น”

 

ชายชราชุดเขียวกล่าวคําออกมาช้าๆ

 

“เป็นตัวตนขอบเขตตํานานยุทธ…”

 

คนอื่นๆ ได้แต่มองหน้ากัน เค้าลางความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขา

 

 

 

อาณาจักรเหมิ่งหยวน

 

ทุ่งหญ้าเขียวขจีกว้างใหญ่ไพศาล

 

ชายร่างสูงมีดวงตาที่สงบนิ่งจ้องมองไปยังท้องฟ้ากว้าง

 

แม้ว่าชายร่างสูงจะยืนอยู่ตรงนั้นเฉยๆ แต่ก็ทําให้ผู้คนต่างรู้สึกว่ากําลังเชิญหน้ากับผืนแผ่นอันยิ่งใหญ่

 

“ท่านราชครู”

 

“มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นที่ที่ราบภาคกลางขอรับ”

 

ในเวลานั้นมีชายฉกรรจ์วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว

 

“ราชาหัวเมืองทั้งสิบของราชวงศ์ถังก่อกบฏ นํากองกําลังนับล้านเข้ามาตั้งค่ายอยู่ห่างจากเมืองฉางอันหลายพันลี้ แต่พวกเขากลับถูกสังหารโดยแสงศักดิ์สิทธิ์ที่พุ่งออกมาจากเมืองฉางอัน…”

 

ชายฉกรรจ์คนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

 

หากไม่มั่นใจว่าแหล่งข่าวที่ได้มาเป็นความจริงเขาก็จะไม่เชื่อถือสิ่งนี้เลย

 

“โอ้?”

 

“ตํานานยุทธงั้นหรือ?”

 

ชายร่างสูงค่อยๆ เหม่อมองออกไปแล้วกระซิบอยู่กับตนเอง

 

“ท่านราชครู ท่านคิดว่าภายในพระราชวังถังมีตํานานยุทธงั้นหรือ”

 

ใบหน้าของชายฉกรรจ์ที่มาส่งข่าวก็กลายเป็นบิดเบี้ยวน่าเกลียด

 

การมีตํานานยุทธในพระราชวังถังก็เปรียบเสมือนสายฟ้าฟาดลงมาใส่อาณาจักรเหมิ่งหยวน

 

แม้ว่าเมื่อสิบปีก่อนวัดเส้าหลินจะให้กําเนิดอรหันต์ขึ้นมา เช่นกัน แต่วัดเส้าหลินเป็นสุดยอดพรรคในยุทธภพ ไม่ว่าจะมีอีกคนหรืออีกสองคนก็เพียงส่งเสริมสถานะของวัดเส้าหลินในฐานะสุดยอดพรรคในยุทธภพเท่านั้น

 

ไม่มีผลกระทบใดต่อแผ่นดิน

 

เพราะตลอดเวลาหลายพันปี วัดเส้าหลินก็สงบสุขมาโดยตลอด

 

ไม่มีความทะเยอทะยาน

 

แต่กับอาณาจักรถังนั้นต่างออกไป

 

หากมีตํานานยุทธในพระราชวังถังย่อมมีผลกระทบใหญ่หลวงต่อสถานการณ์ภายในโลกหล้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

“ไม่ต้องห่วง…”

 

ชายร่างสูงส่ายหัวและมองขึ้นไปบนท้องฟ้ากว้างอีกครั้ง

 

“ตํานานยุทธ…”

 

“อีกเดี๋ยวข้าก็จะไปถึงแล้ว…”

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+