เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 15 อารามวัชระ

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 15 อารามวัชระ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 15 อารามวัชระ

 

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ได้ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับโอสถ ‘โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์‘ ]

 

“โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์?”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน แสดงให้เห็นถึงความพอใจอย่างมาก

 

โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์เป็นโอสถชนิดพิเศษ ถึงมันจะไม่สามารถเสริมแกร่งร่างกายได้เหมือนโอสถชำระไขกระดูก ทั้งยังไม่สามารถเติมกำลังภายในได้เหมือนโอสถเสริมศักยภาพขนาดใหญ่

 

โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์มีผลเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือ

 

หล่อเลี้ยง ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘!

 

‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ คืออะไร?

 

ในมุมมองของซูฉิน ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ เป็นคำเรียกรวมๆ ของพลังจิตวิญญาณทั้งหลายภายในตัวบุคคล อาทิ กลิ่นอายส่วนตัว พลังฉี และวิญญาณ

 

ในคำสอนลัทธิเต๋า มันคือจิตวิญญาณดั้งเดิม เป็นจุดแรกเริ่มแห่งวิญญาณ

 

โดยทั่วไปแล้วผู้ฝึกยุทธโดยทั่วไป หรือแม้กระทั่งผู้เชี่ยวชาญระดับชั้นที่สองไม่จำเป็นต้องฝึกฝน ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘

 

เนื่องจากการต่อสู้ระหว่างจอมยุทธนั้น พื้นฐานเป็นการเข้าปะทะกันด้วยเลือดเนื้อและกำลังภายใน ส่วน ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ …

 

ถึงแม้จะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง พลังศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาก็ยังอ่อนแอ

 

หากยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งต้องการก้าวไปอีกขั้น บรรลุถึงระดับ ‘อรหันต์‘ หรือก้าวเข้าสู่ระดับตำนานยุทธ ผู้นั้นย่อมต้องฝึกฝนพลังศักดิ์สิทธิ์อย่างต่อเนื่อง

 

ร่างกายของผู้เชี่ยวชาญสามระดับบนเชื่อมต่อเข้ากับพลังฟ้าดิน และต้องถูกชำระล้างด้วยปราณโลกอยู่ตลอดเพื่อจะดึงพลังของฟ้าดินมาใช้ได้มากขึ้น

 

แล้วในระดับของตำนานยุทธนั้น คือผู้ที่ควบคุมพลังฟ้าดินได้อย่างสมบูรณ์ กวาดล้างทุกสิ่งอย่างได้เพียงแค่เคลื่อนไหว

 

การดึงพลังของฟ้าดินมาใช้กับการที่สามารถควบคุมพลังฟ้าดินได้จริงๆ เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

 

อย่างหลังแข็งแกร่งกว่าอย่างแรกไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า

 

แล้วอะไรกันเล่าที่เหล่าจอมยุทธจะใช้เพื่อควบคุมพลังแห่งฟ้าดิน?

 

รู้หรือไม่ว่าต่อหน้าพลังอันยิ่งใหญ่ของฟ้าดิน ร่างของผู้ฝึกยุทธก็เพียงแค่ฝุ่นผงที่ไร้ค่าให้กล่าวถึง

 

ฉะนั้นหากใครต้องการจะควบคุมพลังฟ้าดินได้อย่างสมบูรณ์ มีเพียงจะต้องมีพลังศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งเพียงพอ

 

ระดับอรหันต์ก็เหมือนกับระดับตำนานยุทธ เป็นแค่เพียงเรื่องของคำเรียกขาน

 

‘โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์‘ ที่ซูฉินลงชื่อได้รับมา ก็คือสิ่งที่ใช้หล่อเลี้ยงบำรุง ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘

 

ในทุกๆ วันนี้ สิ่งที่ข้องเกี่ยวกับพลังศักดิ์สิทธิ์นั้นหายากมากๆ แล้วถ้ามันมีสักอันหนึ่งก็เพียงพอที่จะเป็นฉนวนเหตุให้ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งสองคนต่อสู้กันได้เลย

 

ไม่ต้องพูดถึง ‘โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์‘ ที่สามารถรวบรวม‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ได้โดยตรง

 

“คอยก่อนก็แล้วกัน”

 

“เพราะเมื่อใดก็ตามที่กลืนโอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์ลงไปแล้ว มันหยุดกลางคันไม่ได้ แล้วถ้าถูกรบกวนผลของตัวยาคงจะลดประสิทธิภาพลงไปมากโข”

 

ซูฉินคิดเงียบงัน

 

อดทนมาได้เป็นสิบปี กับอีกแค่สักวันสองวันทำไมจะรอไม่ได้กันเล่า?

 

ซูฉินเป็นชายที่มีความอดทนสูง มิฉะนั้นเขาจะไม่อยู่ที่วัดต่อไปหลังจากกลายมาเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งและมุ่งมั่นที่จะแกร่งจนไร้พ่ายในใต้หล้า

 

 

ตกดึก

 

ทุกสิ่งอยู่ในความเงียบสงัด

 

ซูฉินลอบออกมาจากลานจิปาถะแล้วมายังห้องลับที่สร้างอย่างธรรมดาๆ

 

ห้องลับนี้อยู่ใต้ดิน สร้างโดยซูฉินตลอดสิบปีที่ผ่านมา

 

ซู่มมม!

 

ซูฉินนั่งไขว้ขาหายใจออกเบาสบาย กลืนโอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์ลงไป

 

ตูม!!

 

ทันใดนั้นซูฉินพลันรู้สึกราวกับแช่อยู่ในน้ำพุร้อน มันอบอุ่นแต่ก็อึดอัด

 

 

จากนั้นไม่กี่ชั่วโมง

 

ซูฉินก็เปิดเปลือกตาขึ้น

 

เฟี้ยว!

 

มีแสงราวกับฟ้าผ่าส่องออกมาจากห้องลับ

 

นี่ไม่ใช่สายฟ้าจริงๆ แต่เป็นปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อพลังศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่งพอ

 

“หนึ่งเม็ดของ‘โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์‘ ทำให้ ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ทะยานขึ้นไปอีกกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์”

 

ซูฉินรู้ได้ถึงพลังนั้นและพยักหน้ารับรู้

 

หากไม่มี ‘โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์‘ กว่าซูฉินจะบ่มเพาะ ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ มาถึงจุดนี้ได้ ก็คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยห้าปี

 

โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์ช่วยร่นเวลาในการฝึกฝนไปถึงห้าปี

 

 

ในช่วงเวลาเดียวกัน

 

ห่างไกลจากวัดเส้าหลินหลายพันลี้ มีอารามวัชระที่สง่างามและน่าเกรงขามแห่งหนึ่งตั้งอยู่

 

อารามวัชระก็เป็นหนึ่งในสุดยอดพรรคเช่นกัน

 

แต่หากเทียบกับวัดเส้าหลินที่เสื่อมโทรมลง อารามวัชระในยุคนี้กำลังรุ่งเรืองยิ่ง

 

เจ้าอาวาสวัดคนปัจจุบันของอารามวัชระเป็นสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อเสียงก้องไปทั่วภพ

 

ในเวลานั้นเอง

 

ด้านล่างแท่นประดิษฐานขององค์ยูไลในอารามวัชระ

 

เจ้าอาวาสกำลังมองไปที่ใบหน้าของพระหนุ่มอย่างเคร่งขรึมและพูดด้วยความพอใจว่า “ป๋าถัว เจ้าได้ร่ำเรียนคัมภีร์หมดทั้งวัด ตอนนี้ที่อารามวัชระไม่มีอะไรเหลือจะสั่งสอนเจ้าแล้ว”

 

“ถึงเวลาแล้วล่ะ ที่เจ้าจะได้ลงจากเขา”

 

“มุ่งไปยังทิศเหนือ ไปยังวัดเส้าหลิน เป็นพุทธสถานอันดับหนึ่งในสำนักยุทธสายพุทธที่มีทั้งหมดสี่แห่งทั่วทั้งใต้หล้านี้ มันมีมรดกตกทอดที่ชื่อว่า [ฝ่ามือยูไล] อยู่ ถึงแม้ว่าวัดเส้าหลินจะตกต่ำลงไปมาก และ [ฝ่ามือยูไล] ก็ได้สูญหายไปแล้ว แต่มันก็ยังมีมรดกอื่นๆ ที่มีค่าหลงเหลืออยู่ ถ้าเจ้าได้ไปยังวัดเส้าหลิน เจ้าจะได้เรียนรู้บางอย่างมาแน่นอน”

 

เจ้าอาวาสมองไปที่ป๋าถัว กล่าวคำเนิบช้า

 

แม้ว่าเจ้าอาวาสแห่งอารามวัชระจะเป็นสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับชั้นที่หนึ่ง เมื่ออยู่ต่อหน้าพระหนุ่มที่ชื่อว่า ‘ป๋าถัว‘ เขาปฏิบัติตัวราวกับอีกฝ่ายนั้นเท่าเทียม

 

นั่นเป็นเพราะพระหนุ่มนาม ‘ป๋าถัว‘ นั้นพิเศษมาก

 

ป๋าถัวเกิดในหมู่บ้านเล็กๆ นอกอารามวัชระ ตอนที่เขาเกิด ทั่วทั้งหมู่บ้านเต็มไปด้วยเสียงเพลงของชาวพุทธคลอไปทั่ว

 

เมื่อ ‘ป๋าถัว‘ อายุได้สามขวบ ก็มักจะไปนั่งอยู่หน้าพระพุทธรูปเก่าๆ ที่ทรุดโทรมไปตามกาลเวลาแห่งเดียวในหมู่บ้าน นั่งอยู่แบบนั้นตลอดทั้งวัน

 

ตอนที่เจ้าอาวาสของอารามวัชระได้พบ ‘ป๋าถัว‘ ก็ยามเมื่อเขาอายุได้สิบสองขวบปีแล้ว

 

ตั้งแต่แรกพบ เจ้าอาวาสก็ค้นพบว่าป๋าถัวมีความเข้าใจในศาสตร์พุทธเป็นพิเศษ จึงชักชวนให้เข้าร่วมและนมัสการอารามวัชระ

 

เมื่อป๋าถัวได้เข้าอารามวัชระมาเมื่อแปดปีก่อน เขาอ่านคัมภีร์ในวัดจนหมด และมักจะมีการถกเถียงแลกเปลี่ยนถ้อยกระบวนท่ากับพระรูปอื่นบ่อยๆ ส่วนใหญ่จะชนะ และมีแพ้บ้างเป็นบางครั้ง

 

แม้แต่ตัวเจ้าอาวาสก็ได้แพ้ให้กับป๋าถัวมาแล้ว

 

เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ

 

เจ้าอาวาสท่านนี้เป็นใครกัน? ท่านเป็นถึงสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับชั้นที่หนึ่ง

 

เป็นถึงระดับนี้ยังพ่ายแพ้ป๋าถัวที่อายุยี่สิบปี

 

ถ้าเรื่องนี้ถูกแพร่ออกไป แน่นอนต้องมีบางคนตกอกตกใจ

 

ไม่ใช่เพียงเท่านั้น

 

ป๋าถัวยังมีความเข้าใจลึกซึ้งในวิชาการฝึกตนสายพุทธ หลังจากที่เข้านมัสการอารามวัชระมาได้แปดปี เขาก็อยู่ในสามระดับบนเรียบร้อยแล้ว

 

เจ้าอาวาสเกือบจะคิดไปแล้วว่าป๋าถัวเป็นพุทธศาสนิกชนระดับตำนานยุทธกลับชาติมาเกิด

 

เพราะสิ่งนี้ เจ้าอาวาสจึงวางตำแหน่งของป๋าถัวในอารามวัชระไว้ให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าอาวาสคนต่อไป

 

“วัดเส้าหลิน?”

 

ป๋าถัวเงยหน้าขึ้น มองเจ้าอาวาสด้วยสีหน้างงงวยเล็กน้อย

 

“ไม่เลว”

 

“ที่วัดเส้าหลินสินะ”

 

เจ้าอาวาสอารามวัชระพยักหน้า “วัดเส้าหลินน่ะสืบทอดมรดกมากกว่าพันปีแล้ว ทั้งยังมีคนไปถึงระดับอรหันต์แล้วมากมายในสมัยก่อน”

 

“เจ้าจงไปที่วัดเส้าหลินเพื่อสนทนาธรรมกับเหล่าพระรุ่นใหม่ของที่นั่นในนามของอารามวัชระ”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเจ้าอาวาส

 

วัดพุทธทั้งสี่แห่งในโลกจะมีการปฏิสัมพันธ์กันในทุกๆ ยี่สิบสามสิบปี ด้วยเรื่องความเข้ากันได้กับพลังสายพุทธ

 

เหตุผลว่าทำไมวัดเส้าหลินถึงเป็นอันดับหนึ่งจากทั้งหมดสี่สำนักก็เพราะความเข้ากันได้กับพลังสายพุทธในสมัยก่อน วัดเส้าหลินจึงได้เปรียบ

 

แต่ในเวลานี้เจ้าอาวาสอารามวัชระตั้งตาคอย ในเรื่อง ‘ความเข้ากันได้กับพลังสายพุทธ‘ ผู้ใดในหมู่ศิษย์ของวัดเส้าหลินกันที่จะมาเทียบเท่ากับป๋าถัวได้

 

“ขอรับท่านเจ้าอาวาส”

 

ป๋าถัวลดหัวลงเล็กน้อยก่อนจะตอบคำ

 

“จำไว้ให้ดี ถึงแม้จะมีเส้นทางที่แตกต่างกันของชาวพุทธในโลกนี้ ‘ความเข้ากันได้กับพลังสายพุทธ‘ มันเป็นอีกเรื่อง ‘ความเข้ากันได้ของพลังสายพุทธ‘ ก็แค่การแข่งขันอย่างเป็นมิตรตามอุดมคติของสำนักพุทธทั้งสี่ มีแต่คำว่าชนะกันและจะไม่นับว่าใครพ่ายแพ้”

 

เจ้าอาวาสกล่าวเตือน

 

“ข้าเข้าใจแล้วขอรับท่านเจ้าอาวาส” ป๋าถัวเดินกลับไป เตรียมตัวเพื่อออกเดินทางไปยังวัดเส้าหลิน

 

หลังจากป๋าถัวออกไป เจ้าอาวาสยืนอยู่ที่ฐานพระพุทธรูปสีทองด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

 

เพราะเขารู้ดีว่าระหว่างวัดเส้าหลินกับอารามวัชระ ‘การถกปัญหาธรรม‘ กันในครั้งนี้ วัดเส้าหลินย่อมต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 15 อารามวัชระ

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 15 อารามวัชระ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 15 อารามวัชระ

 

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ได้ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับโอสถ ‘โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์‘ ]

 

“โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์?”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน แสดงให้เห็นถึงความพอใจอย่างมาก

 

โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์เป็นโอสถชนิดพิเศษ ถึงมันจะไม่สามารถเสริมแกร่งร่างกายได้เหมือนโอสถชำระไขกระดูก ทั้งยังไม่สามารถเติมกำลังภายในได้เหมือนโอสถเสริมศักยภาพขนาดใหญ่

 

โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์มีผลเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือ

 

หล่อเลี้ยง ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘!

 

‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ คืออะไร?

 

ในมุมมองของซูฉิน ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ เป็นคำเรียกรวมๆ ของพลังจิตวิญญาณทั้งหลายภายในตัวบุคคล อาทิ กลิ่นอายส่วนตัว พลังฉี และวิญญาณ

 

ในคำสอนลัทธิเต๋า มันคือจิตวิญญาณดั้งเดิม เป็นจุดแรกเริ่มแห่งวิญญาณ

 

โดยทั่วไปแล้วผู้ฝึกยุทธโดยทั่วไป หรือแม้กระทั่งผู้เชี่ยวชาญระดับชั้นที่สองไม่จำเป็นต้องฝึกฝน ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘

 

เนื่องจากการต่อสู้ระหว่างจอมยุทธนั้น พื้นฐานเป็นการเข้าปะทะกันด้วยเลือดเนื้อและกำลังภายใน ส่วน ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ …

 

ถึงแม้จะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง พลังศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาก็ยังอ่อนแอ

 

หากยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งต้องการก้าวไปอีกขั้น บรรลุถึงระดับ ‘อรหันต์‘ หรือก้าวเข้าสู่ระดับตำนานยุทธ ผู้นั้นย่อมต้องฝึกฝนพลังศักดิ์สิทธิ์อย่างต่อเนื่อง

 

ร่างกายของผู้เชี่ยวชาญสามระดับบนเชื่อมต่อเข้ากับพลังฟ้าดิน และต้องถูกชำระล้างด้วยปราณโลกอยู่ตลอดเพื่อจะดึงพลังของฟ้าดินมาใช้ได้มากขึ้น

 

แล้วในระดับของตำนานยุทธนั้น คือผู้ที่ควบคุมพลังฟ้าดินได้อย่างสมบูรณ์ กวาดล้างทุกสิ่งอย่างได้เพียงแค่เคลื่อนไหว

 

การดึงพลังของฟ้าดินมาใช้กับการที่สามารถควบคุมพลังฟ้าดินได้จริงๆ เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

 

อย่างหลังแข็งแกร่งกว่าอย่างแรกไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า

 

แล้วอะไรกันเล่าที่เหล่าจอมยุทธจะใช้เพื่อควบคุมพลังแห่งฟ้าดิน?

 

รู้หรือไม่ว่าต่อหน้าพลังอันยิ่งใหญ่ของฟ้าดิน ร่างของผู้ฝึกยุทธก็เพียงแค่ฝุ่นผงที่ไร้ค่าให้กล่าวถึง

 

ฉะนั้นหากใครต้องการจะควบคุมพลังฟ้าดินได้อย่างสมบูรณ์ มีเพียงจะต้องมีพลังศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งเพียงพอ

 

ระดับอรหันต์ก็เหมือนกับระดับตำนานยุทธ เป็นแค่เพียงเรื่องของคำเรียกขาน

 

‘โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์‘ ที่ซูฉินลงชื่อได้รับมา ก็คือสิ่งที่ใช้หล่อเลี้ยงบำรุง ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘

 

ในทุกๆ วันนี้ สิ่งที่ข้องเกี่ยวกับพลังศักดิ์สิทธิ์นั้นหายากมากๆ แล้วถ้ามันมีสักอันหนึ่งก็เพียงพอที่จะเป็นฉนวนเหตุให้ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งสองคนต่อสู้กันได้เลย

 

ไม่ต้องพูดถึง ‘โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์‘ ที่สามารถรวบรวม‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ได้โดยตรง

 

“คอยก่อนก็แล้วกัน”

 

“เพราะเมื่อใดก็ตามที่กลืนโอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์ลงไปแล้ว มันหยุดกลางคันไม่ได้ แล้วถ้าถูกรบกวนผลของตัวยาคงจะลดประสิทธิภาพลงไปมากโข”

 

ซูฉินคิดเงียบงัน

 

อดทนมาได้เป็นสิบปี กับอีกแค่สักวันสองวันทำไมจะรอไม่ได้กันเล่า?

 

ซูฉินเป็นชายที่มีความอดทนสูง มิฉะนั้นเขาจะไม่อยู่ที่วัดต่อไปหลังจากกลายมาเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งและมุ่งมั่นที่จะแกร่งจนไร้พ่ายในใต้หล้า

 

 

ตกดึก

 

ทุกสิ่งอยู่ในความเงียบสงัด

 

ซูฉินลอบออกมาจากลานจิปาถะแล้วมายังห้องลับที่สร้างอย่างธรรมดาๆ

 

ห้องลับนี้อยู่ใต้ดิน สร้างโดยซูฉินตลอดสิบปีที่ผ่านมา

 

ซู่มมม!

 

ซูฉินนั่งไขว้ขาหายใจออกเบาสบาย กลืนโอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์ลงไป

 

ตูม!!

 

ทันใดนั้นซูฉินพลันรู้สึกราวกับแช่อยู่ในน้ำพุร้อน มันอบอุ่นแต่ก็อึดอัด

 

 

จากนั้นไม่กี่ชั่วโมง

 

ซูฉินก็เปิดเปลือกตาขึ้น

 

เฟี้ยว!

 

มีแสงราวกับฟ้าผ่าส่องออกมาจากห้องลับ

 

นี่ไม่ใช่สายฟ้าจริงๆ แต่เป็นปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อพลังศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่งพอ

 

“หนึ่งเม็ดของ‘โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์‘ ทำให้ ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ทะยานขึ้นไปอีกกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์”

 

ซูฉินรู้ได้ถึงพลังนั้นและพยักหน้ารับรู้

 

หากไม่มี ‘โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์‘ กว่าซูฉินจะบ่มเพาะ ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ มาถึงจุดนี้ได้ ก็คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยห้าปี

 

โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์ช่วยร่นเวลาในการฝึกฝนไปถึงห้าปี

 

 

ในช่วงเวลาเดียวกัน

 

ห่างไกลจากวัดเส้าหลินหลายพันลี้ มีอารามวัชระที่สง่างามและน่าเกรงขามแห่งหนึ่งตั้งอยู่

 

อารามวัชระก็เป็นหนึ่งในสุดยอดพรรคเช่นกัน

 

แต่หากเทียบกับวัดเส้าหลินที่เสื่อมโทรมลง อารามวัชระในยุคนี้กำลังรุ่งเรืองยิ่ง

 

เจ้าอาวาสวัดคนปัจจุบันของอารามวัชระเป็นสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อเสียงก้องไปทั่วภพ

 

ในเวลานั้นเอง

 

ด้านล่างแท่นประดิษฐานขององค์ยูไลในอารามวัชระ

 

เจ้าอาวาสกำลังมองไปที่ใบหน้าของพระหนุ่มอย่างเคร่งขรึมและพูดด้วยความพอใจว่า “ป๋าถัว เจ้าได้ร่ำเรียนคัมภีร์หมดทั้งวัด ตอนนี้ที่อารามวัชระไม่มีอะไรเหลือจะสั่งสอนเจ้าแล้ว”

 

“ถึงเวลาแล้วล่ะ ที่เจ้าจะได้ลงจากเขา”

 

“มุ่งไปยังทิศเหนือ ไปยังวัดเส้าหลิน เป็นพุทธสถานอันดับหนึ่งในสำนักยุทธสายพุทธที่มีทั้งหมดสี่แห่งทั่วทั้งใต้หล้านี้ มันมีมรดกตกทอดที่ชื่อว่า [ฝ่ามือยูไล] อยู่ ถึงแม้ว่าวัดเส้าหลินจะตกต่ำลงไปมาก และ [ฝ่ามือยูไล] ก็ได้สูญหายไปแล้ว แต่มันก็ยังมีมรดกอื่นๆ ที่มีค่าหลงเหลืออยู่ ถ้าเจ้าได้ไปยังวัดเส้าหลิน เจ้าจะได้เรียนรู้บางอย่างมาแน่นอน”

 

เจ้าอาวาสมองไปที่ป๋าถัว กล่าวคำเนิบช้า

 

แม้ว่าเจ้าอาวาสแห่งอารามวัชระจะเป็นสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับชั้นที่หนึ่ง เมื่ออยู่ต่อหน้าพระหนุ่มที่ชื่อว่า ‘ป๋าถัว‘ เขาปฏิบัติตัวราวกับอีกฝ่ายนั้นเท่าเทียม

 

นั่นเป็นเพราะพระหนุ่มนาม ‘ป๋าถัว‘ นั้นพิเศษมาก

 

ป๋าถัวเกิดในหมู่บ้านเล็กๆ นอกอารามวัชระ ตอนที่เขาเกิด ทั่วทั้งหมู่บ้านเต็มไปด้วยเสียงเพลงของชาวพุทธคลอไปทั่ว

 

เมื่อ ‘ป๋าถัว‘ อายุได้สามขวบ ก็มักจะไปนั่งอยู่หน้าพระพุทธรูปเก่าๆ ที่ทรุดโทรมไปตามกาลเวลาแห่งเดียวในหมู่บ้าน นั่งอยู่แบบนั้นตลอดทั้งวัน

 

ตอนที่เจ้าอาวาสของอารามวัชระได้พบ ‘ป๋าถัว‘ ก็ยามเมื่อเขาอายุได้สิบสองขวบปีแล้ว

 

ตั้งแต่แรกพบ เจ้าอาวาสก็ค้นพบว่าป๋าถัวมีความเข้าใจในศาสตร์พุทธเป็นพิเศษ จึงชักชวนให้เข้าร่วมและนมัสการอารามวัชระ

 

เมื่อป๋าถัวได้เข้าอารามวัชระมาเมื่อแปดปีก่อน เขาอ่านคัมภีร์ในวัดจนหมด และมักจะมีการถกเถียงแลกเปลี่ยนถ้อยกระบวนท่ากับพระรูปอื่นบ่อยๆ ส่วนใหญ่จะชนะ และมีแพ้บ้างเป็นบางครั้ง

 

แม้แต่ตัวเจ้าอาวาสก็ได้แพ้ให้กับป๋าถัวมาแล้ว

 

เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ

 

เจ้าอาวาสท่านนี้เป็นใครกัน? ท่านเป็นถึงสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับชั้นที่หนึ่ง

 

เป็นถึงระดับนี้ยังพ่ายแพ้ป๋าถัวที่อายุยี่สิบปี

 

ถ้าเรื่องนี้ถูกแพร่ออกไป แน่นอนต้องมีบางคนตกอกตกใจ

 

ไม่ใช่เพียงเท่านั้น

 

ป๋าถัวยังมีความเข้าใจลึกซึ้งในวิชาการฝึกตนสายพุทธ หลังจากที่เข้านมัสการอารามวัชระมาได้แปดปี เขาก็อยู่ในสามระดับบนเรียบร้อยแล้ว

 

เจ้าอาวาสเกือบจะคิดไปแล้วว่าป๋าถัวเป็นพุทธศาสนิกชนระดับตำนานยุทธกลับชาติมาเกิด

 

เพราะสิ่งนี้ เจ้าอาวาสจึงวางตำแหน่งของป๋าถัวในอารามวัชระไว้ให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าอาวาสคนต่อไป

 

“วัดเส้าหลิน?”

 

ป๋าถัวเงยหน้าขึ้น มองเจ้าอาวาสด้วยสีหน้างงงวยเล็กน้อย

 

“ไม่เลว”

 

“ที่วัดเส้าหลินสินะ”

 

เจ้าอาวาสอารามวัชระพยักหน้า “วัดเส้าหลินน่ะสืบทอดมรดกมากกว่าพันปีแล้ว ทั้งยังมีคนไปถึงระดับอรหันต์แล้วมากมายในสมัยก่อน”

 

“เจ้าจงไปที่วัดเส้าหลินเพื่อสนทนาธรรมกับเหล่าพระรุ่นใหม่ของที่นั่นในนามของอารามวัชระ”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเจ้าอาวาส

 

วัดพุทธทั้งสี่แห่งในโลกจะมีการปฏิสัมพันธ์กันในทุกๆ ยี่สิบสามสิบปี ด้วยเรื่องความเข้ากันได้กับพลังสายพุทธ

 

เหตุผลว่าทำไมวัดเส้าหลินถึงเป็นอันดับหนึ่งจากทั้งหมดสี่สำนักก็เพราะความเข้ากันได้กับพลังสายพุทธในสมัยก่อน วัดเส้าหลินจึงได้เปรียบ

 

แต่ในเวลานี้เจ้าอาวาสอารามวัชระตั้งตาคอย ในเรื่อง ‘ความเข้ากันได้กับพลังสายพุทธ‘ ผู้ใดในหมู่ศิษย์ของวัดเส้าหลินกันที่จะมาเทียบเท่ากับป๋าถัวได้

 

“ขอรับท่านเจ้าอาวาส”

 

ป๋าถัวลดหัวลงเล็กน้อยก่อนจะตอบคำ

 

“จำไว้ให้ดี ถึงแม้จะมีเส้นทางที่แตกต่างกันของชาวพุทธในโลกนี้ ‘ความเข้ากันได้กับพลังสายพุทธ‘ มันเป็นอีกเรื่อง ‘ความเข้ากันได้ของพลังสายพุทธ‘ ก็แค่การแข่งขันอย่างเป็นมิตรตามอุดมคติของสำนักพุทธทั้งสี่ มีแต่คำว่าชนะกันและจะไม่นับว่าใครพ่ายแพ้”

 

เจ้าอาวาสกล่าวเตือน

 

“ข้าเข้าใจแล้วขอรับท่านเจ้าอาวาส” ป๋าถัวเดินกลับไป เตรียมตัวเพื่อออกเดินทางไปยังวัดเส้าหลิน

 

หลังจากป๋าถัวออกไป เจ้าอาวาสยืนอยู่ที่ฐานพระพุทธรูปสีทองด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

 

เพราะเขารู้ดีว่าระหว่างวัดเส้าหลินกับอารามวัชระ ‘การถกปัญหาธรรม‘ กันในครั้งนี้ วัดเส้าหลินย่อมต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+