เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 156 ความลับอันยิ่งใหญ่ของปฐมจักรพรรดิราชวงศ์ถัง

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 156 ความลับอันยิ่งใหญ่ของปฐมจักรพรรดิราชวงศ์ถัง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 156 ความลับอันยิ่งใหญ่ของปฐมจักรพรรดิราชวงศ์ถัง

 

ภายในตําหนักขุนฝั่งขวา

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ ความคิดเปลี่ยนผันไปมา

 

“หลังจากเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่หก ด้วยความเร็วขณะปัจจุบันในการบ่มเพาะของข้า ไม่เกินสิบปีข้าคงจะเข้าสู่นภาชั้นที่เจ็ดได้”

 

ซูฉินนั่งคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างสบายอุรา

 

ไม่ว่าจะเป็นอรหันต์หรือตํานานยุทธ เมื่อขึ้นไปถึงระดับนภาชั้นที่เจ็ด หมายถึงการเหยียบลงบนจุดสุดยอดของขอบเขตนี้แล้วอย่างแท้จริง

 

“หลังจากถึงระดับนภาชั้นที่เจ็ด ความเร็วในการบ่มเพาะของข้าคงจะช้าลงอีกครั้งอย่างเลี่ยงไม่ได้ บางทีข้าควรเตรียมพร้อมสําหรับอนาคตเอาไว้?”

 

ดวงตาของซูฉินส่อประกายลึกล้ํา

 

ช่วงแรกๆ ที่เขาเข้าสู่ขอบเขตอรหันต์ เขารู้สึกว่าความเร็วในการบ่มเพาะของตนได้ดีเท่าเมื่อก่อน หากไม่ได้ลงชื่อที่ลานโพธิ์แล้วได้รับโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคําและโอสถศักดิ์สิทธิ์อื่นๆมา เกรงว่าซูฉินคงยังติดอยู่ในนภาชั้นที่หนึ่ง ชั้นที่สอง หรืออย่างมากสุดก็เพิ่งจะแตะนภาชั้นที่สามเท่านั้น

 

หลังจากเข้ามาภายในวังหลวงแล้ว ซูฉินก็ลงชื่อรับหยดน้ํา จิตวิญญาณธรรมชาติ โลหิตรู้แจ้ง ผลไม้สีแดง และสมบัติอื่นๆ ทําให้ความเร็วในการฝึกฝนเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ดังนั้นในเวลาเพียงแค่สิบปีเขาจึงมาถึงขั้นสมบูรณ์ของระดับนภาชั้นที่ห้า

 

ซูฉินพอจะจินตนาการภาพออกได้เลยว่า เมื่อยามที่เขาบรรลุขอบเขตอรหันต์ระดับนภาชั้นที่เจ็ด ไม่ว่าจะเป็นหยดน้ําจิตวิญญาณธรรมชาติ ผลไม้สีแดง หรือโลหิตรู้แจ้งคง เสื่อมฤทธิ์ไปอย่างมากแน่ๆ เมื่อนํามาใช้กับตัวเขา

 

นี้ไม่ได้หมายความว่าหยดน้ําจิตวิญญาณธรรมชาติ โลหิตรู้แจ้ง หรือผลไม้สีแดงนั้นไม่ดี เพียงแต่ระดับชั้นของซูฉินทรงพลังขึ้นไปอีกระดับ

 

เมื่อคนเรามีเงินอยู่แล้วสิบตําลึงเงิน ทุกๆครั้งที่เงินเพิ่มขึ้นสิบตําลึงเงิน ความมั่งคั่งย่อมเพิ่มเป็นสองเท่าและมีความสุขมากเมื่อเงินเพิ่มขึ้นขนาดนั้น

 

แต่เมื่อยามที่มีเงินหมื่นตําลึงเงิน แล้วได้เพิ่มมาอีกสิบตําลึงเงิน เกรงว่าคงจะมองข้ามมันไปได้อย่างง่ายๆเลยทีเดียว

 

หลังจากวันนั้น ซูฉินยังคงลงชื่อเข้าใช้อยู่เป็นนิจ นอกเหนือจากนั้นก็มีให้คําแนะนําต่อหลีหว่านเป็นครั้งคราว

 

และในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น

 

ในที่สุดจักรพรรดิถังก็รวบรวมอาณาเขตทั้งสิบเป็นปึกแผ่น รวมอํานาจกลับเข้ามาในมือได้เป็นผลสําเร็จ

 

ในเวลานี้จักรพรรดิถังก็ตกอยู่ในความสับสนพระทัย ไม่รู้ว่าตนยังควรจะใช้ “นโยบายกระจายอํานาจ” ต่อไปดีหรือไม่

 

ยามที่ราชาหัวเมืองทั้งสิบยังมีชีวิตอยู่ จักรพรรดิถังจําเป็นต้องผลักดันนโยบายอันนี้เพื่อยุยงปลุกปั้นให้เกิดความเกลียดชังในหมู่ขุนนางหัวเมือง

 

แต่ตอนนี้เมืองหลักๆของราชาหัวเมืองทั้งสิบได้ตกมาอยู่ในมือของพระองค์ กลับสู่การควบคุมของอาณาจักรถังอย่างสมบูรณ์ ยังจําเป็นที่จะต้องมีนโยบายกระจายอํานาจต่อไปอีกหรือ?

 

จักรพรรดิถังนอนคิดอยู่สามคืน ในที่สุดก็เสด็จออกไปที่ด้านหน้าของตําหนักขุนฝั่งขวาพร้อมกับเหยือกเหล้าในมือ

 

“พี่สาม”

 

จักรพรรดิถังโบกมือตะโกนเรียก

 

ซูฉินเดินออกมาจากตําหนักขุนฝั่งขวา เหลือบมองไปยังจักรพรรดิถังและรู้ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

 

“พี่สาม”

 

“ท่านคิดว่าข้าควรทําเช่นไรดี?”

 

จักรพรรดิถังนั่งลงพูดคุยกับซูฉินเกี่ยวกับความยากลําบากทั้งหมดที่เขาได้เจอมา

 

“เจ้าวางแผนจะมอบอาณาเขตทั้งสิบให้ใครจัดการ?” ซูฉินเอ่ยถามแทนที่จะตอบคําถาม

 

“ให้อาณาเขตทั้งสิบกับใคร?”

 

จักรพรรดิถังจมอยู่ในห้วงความคิดของตนแน่นอน

 

ปัญหานี้จําเป็นต้องนั่งพิจารณาอย่างจริงจัง

 

อาณาเขตทั้งสิบตั้งอยู่แนวชายแดนของอาณาจักรถัง มีวัตถุประสงค์ก็เพื่อต่อต้านการรุกรานจากชาติพันธุ์อื่นอาณาจักรอื่นๆ

 

“ข้าวางแผนจะเลือกลูกหลานราชวงศ์สักสองสามคนมาดูแล” จักรพรรดิถังคิดอยู่นานจากนั้นจึงหันไปมองซูฉินด้วยท่าทางไม่แน่ใจนัก

 

“ลูกหลานราชวงศ์?” ซูฉินยิ้มแล้วกล่าวอย่างเป็นกันเอง “เจ้าไม่กลัวว่าวันหนึ่งพวกเขาจะก่อการจลาจลขึ้นหรือ?”

 

คําที่กล่าวออกมา

 

ท่าทีของจักรพรรดิถังก็เปลี่ยนไป

 

นับตั้งแต่ก่อตั้งอาณาจักรถัง มีกฏข้อหนึ่งที่ว่าไม่ควรตั้งสมาชิกราชวงศ์ให้ควบคุมกองทัพ

 

จุดประสงค์ในการตั้งกฏนี้ขึ้นมาก็เพื่อป้องกันเหตุวุ่นวายภายในราชวงศ์

 

หากจักรพรรดิถังทรงดําริริเริ่มมอบอาณาเขตทั้งสิบให้ลูกหลานราชวงศ์จริงๆ เกรงว่าพวกเขาคงจะซ้ํารอยราชาหัวเมือง

 

“แล้วถ้าข้าส่งข้าราชบริพารที่มีใจภักดีไปดูแลเล่า” จักรพรรดิถังเงียบไปเป็นเวลานานก่อนจะกล่าวคํา

 

“ข้าราชบริพาร?”

 

“ใจภักดี?”

 

ซูฉินส่ายหัวและกล่าวคําแผ่วเบา “เจ้าจะรับประกันความภักดีของพวกเขาได้นานแค่ไหน? สิบปี ยี่สิบปี หรือสามสิบปี?”

 

“แม้ว่าข้าราชบริพารที่เจ้าส่งไปจะภักดีตลอดชั่วชีวิต แล้วคนรุ่นต่อไปเล่า? เมื่อได้รับอํานาจมาจะยังคงมีใจภักดีอยู่หรือไม่?”

 

จักรพรรดิถังขมวดคิ้วเมื่อได้ฟังดังนั้น

 

“ถ้าเช่นนั้น แล้วถ้าข้าออกคําสั่งไม่ให้สืบทอดอํานาจผ่านพ่อสู่ลูกหลานเล่า?”

 

จักรพรรดิถังกล่าวด้วยน้ําเสียงลุ่มลึก

 

ซูฉินเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วมองออกจากตําหนักขุนฝั่งขวา “ผู้คนนั้นล้วนเห็นแก่ตัว เมื่อมีความร่ํารวยมีทรัพย์สินเงินทอง แน่นอนว่าย่อมต้องการให้คนรุ่นหลังร่ํารวยมั่งคั่งไปด้วย…”

 

“เป็นเช่นนั้นสินะ”

 

“ข้าคิดมากเกินไปแล้ว”

 

หลังจากเวลาผ่านไประยะหนึ่ง จักรพรรดิถังถอนหายใจเล็กน้อย “หากจะพูดถึงมุมมอง การมองการณ์ไกลไม่มีใครเทียบพี่สามได้แล้วจริงๆ”

 

จักรพรรดิถังจ้องมองไปที่ซูฉิน เต็มไปด้วยความชื่นชม

 

ไม่ว่าจะเป็นขุนนางฝ่ายพลเรือนหรือฝ่ายกองทัพ พวกเขาก็มองอาณาจักรถังแค่เพียงในปัจจุบัน แต่ซูฉินสามารถมองเห็นอาณาจักรถังในหนึ่งพันปีให้หลังได้

 

“พี่สาม ท่านต้องการรับราชการหรือไม่ ตราบเท่าที่ท่านเต็มใจ ตําแหน่งหัวหน้าศาลขุนนางจะเป็นของท่าน”

 

จักรพรรดิถังไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ แต่พูดออกมาอย่างจริงจัง

 

หัวหน้าศาลขุนนางมีอํานาจมากจนสามารถว่าความแทนองค์จักรพรรดิได้ เมื่อสองร้อยปีก่อนจักรพรรดิถังสมัยนั้นถึงกับยกเลิกตําแหน่งนี้ไป

 

อย่างไรก็ตาม จักรพรรดิถังยินดีที่จะแต่งตั้งซูฉินเป็นหัวหน้าศาลขุนนางอีกครั้งซึ่งแสดงให้เห็นว่าตัวเขาให้ความสําคัญกับซูฉินมากเพียงไหน

 

“ไม่จําเป็นหรอก”

 

“ข้าเคยชินกับชีวิตที่ไร้ภาระดุจเมฆและอิสระราวกับกระเรียนป่าเสียแล้ว”

 

ซูฉินปฏิเสธโดยไม่เก็บมาคิดแม้แต่น้อย

 

หากสนใจในอํานาจ เขาจะอยู่ภายในวังมาได้เป็นสิบปี ทั้งๆที่ตนมีกําลังในระดับตํานานยุทธหรือไม่เล่า?

 

จักรพรรดิถังถอนหายใจออกมาเบาๆ ราวกับคาดเดาคําตอบไว้แล้ว

 

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จักรพรรดิถังเชิญชวนซูฉินในช่วงปีนี้ แต่ทุกครั้งก็ถูกปฏิเสธโดยไม่มีความลังเลเลย

 

บางครั้งจักรพรรดิถังก็สงสัยจริงๆ ว่าซูฉินคงจะเป็นเหมือนนักบุญที่มองว่าอํานาจและชื่อเสียงไม่ได้มีค่าอะไรใช่หรือไม่?

 

นอกจากนักบุญแล้ว ใครเล่าจะสามารถต้านทานการล่อลวงของอํานาจในฐานะหัวหน้าศาลขุนนางได้?

 

ทั้งสองคุยกันต่ออีกครู่หนึ่ง ไม่นานนักก็พูดกันไปจนถึงเรื่องเมืองฉางอัน เมืองหลวงอันเก่าแก่ที่มีมานานกว่าสิบราชวงศ์

 

“พูดถึงเรื่องนี้ อาณาจักรถังนี้สืบทอดมานานกว่าห้าร้อยปีแล้วนะ ตอนที่ปฐมจักรพรรดิ์ตั้งอาณาจักรขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ข้าเกรงว่าพระองค์ก็คงไม่ได้คาดหวังว่ามันจะอยู่มานานขนาดนี้”

 

จักรพรรดิถังส่ายหัวขณะที่พูด ฟังดูเต็มไปด้วยอารมณ์

 

“ไม่ได้ตั้งใจ?”

 

ซูฉินเลิกคิ้วขึ้น มองไปที่จักรพรรดิถัง “ไม่ได้ตั้งใจได้อย่างไรกัน?”

 

“ลืมไปว่าพี่สามไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน” จักรพรรดิถังเห็นการแสดงออกของซูฉินแล้วก็รีบพูดขึ้นทันที “ข้าไม่รู้ว่าเรื่องนี้จริงหรือเท็จ เรื่องนี้ล้วนทราบมาจากคนเก่าคนแก่ ภายในวัง ไม่มีการบันทึกเอาไว้แต่ประการใด”

 

เมื่อจักรพรรดิถังพูดขึ้นเช่นนี้ก็หยุดครู่หนึ่งแล้ว กล่าวต่อด้วยเสียงต่ํา “ข้าได้ยินมาว่าปฐมจักรพรรดิไม่ได้คิดที่จะตั้งอาณาจักรเลยไม่ยามนั้น”

 

“ไม่ได้คิดที่จะก่อตั้งอาณาจักร ?”

 

ความคิดของซูฉินเปลี่ยนผันไปมา และรู้สึกได้รางๆว่าตน กําลังจะได้พบกับความลับอันยิ่งใหญ่

 

ในความเป็นจริง ตอนแรกที่ซูฉินรู้ว่าปฐมจักรพรรดิของอาณาจักรถังเป็นตํานานยุทธ ตัวเขาก็มีข้อสงสัยอยู่บ้าง

 

เหตุใดตํานานยุทธ ตัวตนที่ทรงพลังขนาดนั้นถึงต้องการที่จะก่อตั้งอาณาจักร

 

เพื่อลูกหลาน?

 

หากปฐมจักรพรรดิถังผู้ยิ่งใหญ่ ต้องการจะมีลูกหลานสืบทอดต่อไปรุ่นสู่รุ่น เขาคงไม่เลือกก่อตั้งอาณาจักร แต่คงจะสร้างตระกูลหรือตั้งสุดยอดพรรคขึ้นในยุทธภพเสียมากกว่า

 

อาณาจักรอายุนับร้อยปี ส่วนวงศ์ตระกูลอายุนับพันปี

 

ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบันนี้ แทบไม่มีราชวงศ์ใดมีอายุเกินพันปีเลย แต่บ่อยครั้งที่ตระกูลชนชั้นสูงบางตระกูลสามารถสืบทอดต่อไปได้นับพันปี

 

และสุดยอดพรรคในยุทธภพอย่างวัดเส้าหลินก็ยังสืบ ทอดมรดกต่อมาได้เป็นพันปี

 

ถ้าปฐมจักรพรรดิถังเป็นจักรพรรดิตั้งแต่แรกมันก็คงไม่มีอะไรน่าสงสัย แต่ปฐมจักรพรรดิถังได้ก่อตั้งอาณาจักรหลัง จากที่เขากลายเป็นตํานานยุทธไปแล้ว

 

ขณะที่ซูฉินกําลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้

 

เสียงของจักรพรรดิถังก็ลอยมาเข้าหู “ตามตํานานที่เล่าขาน เหตุผลที่ปฐมจักรพรรดิถังก่อตั้งอาณาจักรถังขึ้นมาก็เพราะว่าพระองค์ค้นพบความลับบางอย่างภายในเมืองฉางอัน…”

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 156 ความลับอันยิ่งใหญ่ของปฐมจักรพรรดิราชวงศ์ถัง

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 156 ความลับอันยิ่งใหญ่ของปฐมจักรพรรดิราชวงศ์ถัง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 156 ความลับอันยิ่งใหญ่ของปฐมจักรพรรดิราชวงศ์ถัง

 

ภายในตําหนักขุนฝั่งขวา

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ ความคิดเปลี่ยนผันไปมา

 

“หลังจากเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่หก ด้วยความเร็วขณะปัจจุบันในการบ่มเพาะของข้า ไม่เกินสิบปีข้าคงจะเข้าสู่นภาชั้นที่เจ็ดได้”

 

ซูฉินนั่งคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างสบายอุรา

 

ไม่ว่าจะเป็นอรหันต์หรือตํานานยุทธ เมื่อขึ้นไปถึงระดับนภาชั้นที่เจ็ด หมายถึงการเหยียบลงบนจุดสุดยอดของขอบเขตนี้แล้วอย่างแท้จริง

 

“หลังจากถึงระดับนภาชั้นที่เจ็ด ความเร็วในการบ่มเพาะของข้าคงจะช้าลงอีกครั้งอย่างเลี่ยงไม่ได้ บางทีข้าควรเตรียมพร้อมสําหรับอนาคตเอาไว้?”

 

ดวงตาของซูฉินส่อประกายลึกล้ํา

 

ช่วงแรกๆ ที่เขาเข้าสู่ขอบเขตอรหันต์ เขารู้สึกว่าความเร็วในการบ่มเพาะของตนได้ดีเท่าเมื่อก่อน หากไม่ได้ลงชื่อที่ลานโพธิ์แล้วได้รับโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคําและโอสถศักดิ์สิทธิ์อื่นๆมา เกรงว่าซูฉินคงยังติดอยู่ในนภาชั้นที่หนึ่ง ชั้นที่สอง หรืออย่างมากสุดก็เพิ่งจะแตะนภาชั้นที่สามเท่านั้น

 

หลังจากเข้ามาภายในวังหลวงแล้ว ซูฉินก็ลงชื่อรับหยดน้ํา จิตวิญญาณธรรมชาติ โลหิตรู้แจ้ง ผลไม้สีแดง และสมบัติอื่นๆ ทําให้ความเร็วในการฝึกฝนเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ดังนั้นในเวลาเพียงแค่สิบปีเขาจึงมาถึงขั้นสมบูรณ์ของระดับนภาชั้นที่ห้า

 

ซูฉินพอจะจินตนาการภาพออกได้เลยว่า เมื่อยามที่เขาบรรลุขอบเขตอรหันต์ระดับนภาชั้นที่เจ็ด ไม่ว่าจะเป็นหยดน้ําจิตวิญญาณธรรมชาติ ผลไม้สีแดง หรือโลหิตรู้แจ้งคง เสื่อมฤทธิ์ไปอย่างมากแน่ๆ เมื่อนํามาใช้กับตัวเขา

 

นี้ไม่ได้หมายความว่าหยดน้ําจิตวิญญาณธรรมชาติ โลหิตรู้แจ้ง หรือผลไม้สีแดงนั้นไม่ดี เพียงแต่ระดับชั้นของซูฉินทรงพลังขึ้นไปอีกระดับ

 

เมื่อคนเรามีเงินอยู่แล้วสิบตําลึงเงิน ทุกๆครั้งที่เงินเพิ่มขึ้นสิบตําลึงเงิน ความมั่งคั่งย่อมเพิ่มเป็นสองเท่าและมีความสุขมากเมื่อเงินเพิ่มขึ้นขนาดนั้น

 

แต่เมื่อยามที่มีเงินหมื่นตําลึงเงิน แล้วได้เพิ่มมาอีกสิบตําลึงเงิน เกรงว่าคงจะมองข้ามมันไปได้อย่างง่ายๆเลยทีเดียว

 

หลังจากวันนั้น ซูฉินยังคงลงชื่อเข้าใช้อยู่เป็นนิจ นอกเหนือจากนั้นก็มีให้คําแนะนําต่อหลีหว่านเป็นครั้งคราว

 

และในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น

 

ในที่สุดจักรพรรดิถังก็รวบรวมอาณาเขตทั้งสิบเป็นปึกแผ่น รวมอํานาจกลับเข้ามาในมือได้เป็นผลสําเร็จ

 

ในเวลานี้จักรพรรดิถังก็ตกอยู่ในความสับสนพระทัย ไม่รู้ว่าตนยังควรจะใช้ “นโยบายกระจายอํานาจ” ต่อไปดีหรือไม่

 

ยามที่ราชาหัวเมืองทั้งสิบยังมีชีวิตอยู่ จักรพรรดิถังจําเป็นต้องผลักดันนโยบายอันนี้เพื่อยุยงปลุกปั้นให้เกิดความเกลียดชังในหมู่ขุนนางหัวเมือง

 

แต่ตอนนี้เมืองหลักๆของราชาหัวเมืองทั้งสิบได้ตกมาอยู่ในมือของพระองค์ กลับสู่การควบคุมของอาณาจักรถังอย่างสมบูรณ์ ยังจําเป็นที่จะต้องมีนโยบายกระจายอํานาจต่อไปอีกหรือ?

 

จักรพรรดิถังนอนคิดอยู่สามคืน ในที่สุดก็เสด็จออกไปที่ด้านหน้าของตําหนักขุนฝั่งขวาพร้อมกับเหยือกเหล้าในมือ

 

“พี่สาม”

 

จักรพรรดิถังโบกมือตะโกนเรียก

 

ซูฉินเดินออกมาจากตําหนักขุนฝั่งขวา เหลือบมองไปยังจักรพรรดิถังและรู้ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

 

“พี่สาม”

 

“ท่านคิดว่าข้าควรทําเช่นไรดี?”

 

จักรพรรดิถังนั่งลงพูดคุยกับซูฉินเกี่ยวกับความยากลําบากทั้งหมดที่เขาได้เจอมา

 

“เจ้าวางแผนจะมอบอาณาเขตทั้งสิบให้ใครจัดการ?” ซูฉินเอ่ยถามแทนที่จะตอบคําถาม

 

“ให้อาณาเขตทั้งสิบกับใคร?”

 

จักรพรรดิถังจมอยู่ในห้วงความคิดของตนแน่นอน

 

ปัญหานี้จําเป็นต้องนั่งพิจารณาอย่างจริงจัง

 

อาณาเขตทั้งสิบตั้งอยู่แนวชายแดนของอาณาจักรถัง มีวัตถุประสงค์ก็เพื่อต่อต้านการรุกรานจากชาติพันธุ์อื่นอาณาจักรอื่นๆ

 

“ข้าวางแผนจะเลือกลูกหลานราชวงศ์สักสองสามคนมาดูแล” จักรพรรดิถังคิดอยู่นานจากนั้นจึงหันไปมองซูฉินด้วยท่าทางไม่แน่ใจนัก

 

“ลูกหลานราชวงศ์?” ซูฉินยิ้มแล้วกล่าวอย่างเป็นกันเอง “เจ้าไม่กลัวว่าวันหนึ่งพวกเขาจะก่อการจลาจลขึ้นหรือ?”

 

คําที่กล่าวออกมา

 

ท่าทีของจักรพรรดิถังก็เปลี่ยนไป

 

นับตั้งแต่ก่อตั้งอาณาจักรถัง มีกฏข้อหนึ่งที่ว่าไม่ควรตั้งสมาชิกราชวงศ์ให้ควบคุมกองทัพ

 

จุดประสงค์ในการตั้งกฏนี้ขึ้นมาก็เพื่อป้องกันเหตุวุ่นวายภายในราชวงศ์

 

หากจักรพรรดิถังทรงดําริริเริ่มมอบอาณาเขตทั้งสิบให้ลูกหลานราชวงศ์จริงๆ เกรงว่าพวกเขาคงจะซ้ํารอยราชาหัวเมือง

 

“แล้วถ้าข้าส่งข้าราชบริพารที่มีใจภักดีไปดูแลเล่า” จักรพรรดิถังเงียบไปเป็นเวลานานก่อนจะกล่าวคํา

 

“ข้าราชบริพาร?”

 

“ใจภักดี?”

 

ซูฉินส่ายหัวและกล่าวคําแผ่วเบา “เจ้าจะรับประกันความภักดีของพวกเขาได้นานแค่ไหน? สิบปี ยี่สิบปี หรือสามสิบปี?”

 

“แม้ว่าข้าราชบริพารที่เจ้าส่งไปจะภักดีตลอดชั่วชีวิต แล้วคนรุ่นต่อไปเล่า? เมื่อได้รับอํานาจมาจะยังคงมีใจภักดีอยู่หรือไม่?”

 

จักรพรรดิถังขมวดคิ้วเมื่อได้ฟังดังนั้น

 

“ถ้าเช่นนั้น แล้วถ้าข้าออกคําสั่งไม่ให้สืบทอดอํานาจผ่านพ่อสู่ลูกหลานเล่า?”

 

จักรพรรดิถังกล่าวด้วยน้ําเสียงลุ่มลึก

 

ซูฉินเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วมองออกจากตําหนักขุนฝั่งขวา “ผู้คนนั้นล้วนเห็นแก่ตัว เมื่อมีความร่ํารวยมีทรัพย์สินเงินทอง แน่นอนว่าย่อมต้องการให้คนรุ่นหลังร่ํารวยมั่งคั่งไปด้วย…”

 

“เป็นเช่นนั้นสินะ”

 

“ข้าคิดมากเกินไปแล้ว”

 

หลังจากเวลาผ่านไประยะหนึ่ง จักรพรรดิถังถอนหายใจเล็กน้อย “หากจะพูดถึงมุมมอง การมองการณ์ไกลไม่มีใครเทียบพี่สามได้แล้วจริงๆ”

 

จักรพรรดิถังจ้องมองไปที่ซูฉิน เต็มไปด้วยความชื่นชม

 

ไม่ว่าจะเป็นขุนนางฝ่ายพลเรือนหรือฝ่ายกองทัพ พวกเขาก็มองอาณาจักรถังแค่เพียงในปัจจุบัน แต่ซูฉินสามารถมองเห็นอาณาจักรถังในหนึ่งพันปีให้หลังได้

 

“พี่สาม ท่านต้องการรับราชการหรือไม่ ตราบเท่าที่ท่านเต็มใจ ตําแหน่งหัวหน้าศาลขุนนางจะเป็นของท่าน”

 

จักรพรรดิถังไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ แต่พูดออกมาอย่างจริงจัง

 

หัวหน้าศาลขุนนางมีอํานาจมากจนสามารถว่าความแทนองค์จักรพรรดิได้ เมื่อสองร้อยปีก่อนจักรพรรดิถังสมัยนั้นถึงกับยกเลิกตําแหน่งนี้ไป

 

อย่างไรก็ตาม จักรพรรดิถังยินดีที่จะแต่งตั้งซูฉินเป็นหัวหน้าศาลขุนนางอีกครั้งซึ่งแสดงให้เห็นว่าตัวเขาให้ความสําคัญกับซูฉินมากเพียงไหน

 

“ไม่จําเป็นหรอก”

 

“ข้าเคยชินกับชีวิตที่ไร้ภาระดุจเมฆและอิสระราวกับกระเรียนป่าเสียแล้ว”

 

ซูฉินปฏิเสธโดยไม่เก็บมาคิดแม้แต่น้อย

 

หากสนใจในอํานาจ เขาจะอยู่ภายในวังมาได้เป็นสิบปี ทั้งๆที่ตนมีกําลังในระดับตํานานยุทธหรือไม่เล่า?

 

จักรพรรดิถังถอนหายใจออกมาเบาๆ ราวกับคาดเดาคําตอบไว้แล้ว

 

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จักรพรรดิถังเชิญชวนซูฉินในช่วงปีนี้ แต่ทุกครั้งก็ถูกปฏิเสธโดยไม่มีความลังเลเลย

 

บางครั้งจักรพรรดิถังก็สงสัยจริงๆ ว่าซูฉินคงจะเป็นเหมือนนักบุญที่มองว่าอํานาจและชื่อเสียงไม่ได้มีค่าอะไรใช่หรือไม่?

 

นอกจากนักบุญแล้ว ใครเล่าจะสามารถต้านทานการล่อลวงของอํานาจในฐานะหัวหน้าศาลขุนนางได้?

 

ทั้งสองคุยกันต่ออีกครู่หนึ่ง ไม่นานนักก็พูดกันไปจนถึงเรื่องเมืองฉางอัน เมืองหลวงอันเก่าแก่ที่มีมานานกว่าสิบราชวงศ์

 

“พูดถึงเรื่องนี้ อาณาจักรถังนี้สืบทอดมานานกว่าห้าร้อยปีแล้วนะ ตอนที่ปฐมจักรพรรดิ์ตั้งอาณาจักรขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ข้าเกรงว่าพระองค์ก็คงไม่ได้คาดหวังว่ามันจะอยู่มานานขนาดนี้”

 

จักรพรรดิถังส่ายหัวขณะที่พูด ฟังดูเต็มไปด้วยอารมณ์

 

“ไม่ได้ตั้งใจ?”

 

ซูฉินเลิกคิ้วขึ้น มองไปที่จักรพรรดิถัง “ไม่ได้ตั้งใจได้อย่างไรกัน?”

 

“ลืมไปว่าพี่สามไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน” จักรพรรดิถังเห็นการแสดงออกของซูฉินแล้วก็รีบพูดขึ้นทันที “ข้าไม่รู้ว่าเรื่องนี้จริงหรือเท็จ เรื่องนี้ล้วนทราบมาจากคนเก่าคนแก่ ภายในวัง ไม่มีการบันทึกเอาไว้แต่ประการใด”

 

เมื่อจักรพรรดิถังพูดขึ้นเช่นนี้ก็หยุดครู่หนึ่งแล้ว กล่าวต่อด้วยเสียงต่ํา “ข้าได้ยินมาว่าปฐมจักรพรรดิไม่ได้คิดที่จะตั้งอาณาจักรเลยไม่ยามนั้น”

 

“ไม่ได้คิดที่จะก่อตั้งอาณาจักร ?”

 

ความคิดของซูฉินเปลี่ยนผันไปมา และรู้สึกได้รางๆว่าตน กําลังจะได้พบกับความลับอันยิ่งใหญ่

 

ในความเป็นจริง ตอนแรกที่ซูฉินรู้ว่าปฐมจักรพรรดิของอาณาจักรถังเป็นตํานานยุทธ ตัวเขาก็มีข้อสงสัยอยู่บ้าง

 

เหตุใดตํานานยุทธ ตัวตนที่ทรงพลังขนาดนั้นถึงต้องการที่จะก่อตั้งอาณาจักร

 

เพื่อลูกหลาน?

 

หากปฐมจักรพรรดิถังผู้ยิ่งใหญ่ ต้องการจะมีลูกหลานสืบทอดต่อไปรุ่นสู่รุ่น เขาคงไม่เลือกก่อตั้งอาณาจักร แต่คงจะสร้างตระกูลหรือตั้งสุดยอดพรรคขึ้นในยุทธภพเสียมากกว่า

 

อาณาจักรอายุนับร้อยปี ส่วนวงศ์ตระกูลอายุนับพันปี

 

ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบันนี้ แทบไม่มีราชวงศ์ใดมีอายุเกินพันปีเลย แต่บ่อยครั้งที่ตระกูลชนชั้นสูงบางตระกูลสามารถสืบทอดต่อไปได้นับพันปี

 

และสุดยอดพรรคในยุทธภพอย่างวัดเส้าหลินก็ยังสืบ ทอดมรดกต่อมาได้เป็นพันปี

 

ถ้าปฐมจักรพรรดิถังเป็นจักรพรรดิตั้งแต่แรกมันก็คงไม่มีอะไรน่าสงสัย แต่ปฐมจักรพรรดิถังได้ก่อตั้งอาณาจักรหลัง จากที่เขากลายเป็นตํานานยุทธไปแล้ว

 

ขณะที่ซูฉินกําลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้

 

เสียงของจักรพรรดิถังก็ลอยมาเข้าหู “ตามตํานานที่เล่าขาน เหตุผลที่ปฐมจักรพรรดิถังก่อตั้งอาณาจักรถังขึ้นมาก็เพราะว่าพระองค์ค้นพบความลับบางอย่างภายในเมืองฉางอัน…”

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+