เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 16 ถกปัญหาธรรม

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 16 ถกปัญหาธรรม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 16 ถกปัญหาธรรม

 

 

เวลาผ่านเลยไป

 

ในพริบตา ครึ่งเดือนก็ผ่านพ้น

 

ในช่วงเวลานี้ถึงแม้จะมีเรื่องราวใหญ่โตเกิดขึ้นในหลากหลายแห่งทั่วโลก แต่มันก็ไม่ได้มีผลกระทบใดต่อวัดเส้าหลินแม้แต่น้อย

 

ชีวิตของซูฉินก็ยังคงเหมือนเดิม เขาลงชื่อเข้าใช้ไม่พลาดสักวันและมักจะมาฟัง ‘เรื่องซุบซิบนินทา‘ ของเหล่าศิษย์ลานจิปาถะ

 

ถึงแม้ที่ผ่านมาทั้งหมดจะเป็นแบบนั้น

 

แต่วันนี้

 

วันอันแสนสงบสุขของซูฉินได้พังทลายลง

 

มีพระเก้ารูปที่อ้างตนว่ามาจากอารามวัชระเดินทางมาถึงวัดเส้าหลิน เพราะแบบนั้นเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักจึงออกมาพบพวกเขาเองเป็นการส่วนตัวที่ด้านหน้าโถงประชุมใหญ่เพื่อแสดงความใส่ใจแก่แขกเหล่านี้

 

พวกศิษย์ของตำหนักต่างๆ ก็ต่างพากันมายืนอยู่ที่ด้านนอกโถงใหญ่กันด้วย

 

“อารามวัชระเช่นนั้นหรือ?”

 

ซูฉินมองไปที่พระทั้งเก้ารูปที่มาจากอารามวัชระ

 

พระรูปด้านหน้าสุดของกลุ่มสงฆ์ทั้งเก้ายังเยาว์วัยยิ่ง อายุประมาณยี่สิบปีเท่านั้นเอง

 

ส่วนอีกแปดรูปนั้น…

 

ซูฉินหันไปมองพระที่ยืนอยู่ด้านหลัง เป็นพระที่ห่มกายด้วยจีวรสีแดงสวมหัวด้วยมงกุฎ

 

พระรูปนี้แข็งแกร่งมาก ไม่อ่อนแอไปกว่าเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเลย เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับชั้นที่สอง

 

ถึงแม้อีกเจ็ดรูปจะมีไอพลังที่แตกต่างกันออกไป แต่มองคร่าวๆ ก็ทราบว่าพวกเขาล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญในสามระดับกลาง

 

“เดี๋ยวจะต้องมีการเปิดงานแสดงครั้งใหญ่เป็นแน่…” ซูฉินกระซิบในความคิดของตน

 

แม้จะไม่รู้จุดประสงค์ที่แน่ชัดของอารามวัชระ แต่เมื่อมองจากท่าทางที่เห็นก็เห็นได้ชัดว่าผู้มาเยือนคงไม่ได้มีเจตนาอันดีเท่าไรนัก

 

เป็นไปตามที่คาด

 

ซูฉินก็ได้รับรู้เรื่องราวอย่างรวดเร็วผ่านการกระซิบกันของหมู่ศิษย์ด้านข้างเขาว่า กลุ่มพระจากอารามวัชระมาเยือนที่นี่เพื่อจะ ‘ถกปัญหาธรรม‘ กับวัดเส้าหลิน

 

“เจ้าเห็นพระหนุ่มที่ด้านหน้านั่นหรือไม่? เขาคือบุตรอันศักดิ์สิทธิ์ป๋าถัวจากอารามวัชระ ความเป็นมาของเขานั้นลึกล้ำมากมีคนเล่าว่าถึงกับเกิดปรากฏการณ์พิเศษเมื่อยามที่เขาเกิดมา”

 

“แถมยังมีข่าวลือว่าเขาเป็นพุทธศาสนิกชนผู้เป็นตำนานยุทธกลับชาติมาเกิด”

 

“โอ้? ถ้าอีกฝ่ายเป็นพุทธศาสนิกชนผู้เป็นตำนานยุทธกลับชาติมาเกิดจริง แล้ววัดเส้าหลินจะมีโอกาสโต้ตอบเขาในการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ ได้อย่างไรเล่า?”

 

“ดูก่อน บางทีท่านเจ้าอาวาสและเหล่าหัวหน้าตำหนักอาจจะหาหนทางได้?”

 

 

ศิษย์วัดเส้าหลินต่างกระซิบกันไปมาในหมู่พวกตน

 

แม้แต่ศิษย์สังกัดลานจิปาถะเองก็ยังเป็นกังวล

 

ในฐานะที่เป็นศิษย์ของวัดเส้าหลินไม่ว่าจะอยู่ในตำหนักไหนพวกเขาต่างแบ่งปันชื่อเสียงเกียรติยศและความสง่างามของวัดเอาไว้ เป็นธรรมดาที่จะไม่อยากจะเห็นวัดเส้าหลินแพ้ให้กับอารามวัชระ

 

“นะโม อมิตตาพุทธ”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกุมมือทั้งสองไว้ด้านหน้าและพูดขึ้นว่า “พวกท่านเดินทางมาไกล วัดเส้าหลินย่อมปฏิบัติกับพวกท่านอย่างดี เดี๋ยวเราจะไปตระเตรียมอาหารเอาไว้ให้…”

 

ป๋าถัวบุตรศักดิ์สิทธิ์ของอารามวัชระโค้งหัวลงเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ข้าได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของท่านเจ้าอาวาสมานาน หวังว่าจะไม่ได้รบกวนพวกท่านจนเกินไป”

 

หลังจากมื้ออาหาร

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจึงเริ่มการ ‘ถกปัญหาธรรม‘

 

‘ถกปัญหาธรรม‘ นี้เป็นประเพณีในหมู่สำนักสายพุทธทั้งสี่ และมีเพียงพระที่มีอายุไม่เกินยี่สิบปีจึงสามารถเข้าร่วมได้

 

นี่เป็นกลวิธีในการวัดความแข็งแกร่งของคนรุ่นหลังในสำนักสายพุทธทั้งสี่ เพื่อยืนยันว่าใครจะเป็นผู้นำในหมู่สี่สำนักดังกล่าว

 

“ท่านเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน ในการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ ครั้งนี้ มีเพียงป๋าถัวเท่านั้นที่จะเป็นตัวแทนของอารามวัชระ”

 

ตอนนี้เองที่พระสงฆ์ระดับชั้นที่สองห่มชุดสีแดงและมีมงกุฎบนหัวยืนขึ้นกล่าวคำ

 

เมื่อได้ยินคำกล่าวนั้นทั้งเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักต่างขมวดคิ้วเป็นปม

 

ต้องทราบว่าในอดีต กฎของการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ คือการส่งศิษย์ฝ่ายละเก้ารูปมา ‘ถกปัญหา‘ กันทีละคนแล้วจึงตัดสินผู้ชนะ

 

แต่ตอนนี้ อารามวัชระต้องการจะส่งป๋าถัวเพียงคนเดียว ? เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องการจะใช้ป๋าถัวคนเดียวจัดการกับศิษย์ทั้งเก้าจากวัดเส้าหลิน

 

นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นการดูถูกวัดเส้าหลินแล้ว

 

แม้เจ้าอาวาสจะฝึกตนมาในระดับสูงเพียงนี้ แต่เมื่อได้ยินแบบนั้นเข้า การแสดงออกก็ถึงกับเปลี่ยนไป หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์ที่ขึ้นชื่อเรื่องอารมณ์ดุดันก็จ้องเขม็งไปที่พระทั้งเก้ารูปจากอารามวัชระ

 

ถึงจะได้รับความกดดันจากวัดเส้าหลิน พระที่มีพลังยุทธระดับชั้นที่สองจากอารามวัชระก็ไม่ได้สนใจอะไร

 

‘ถกปัญหาธรรม ‘ เป็นการต่อสู้กันผ่านคติของชาวพุทธและหลักความคิดเชิงพุทธระหว่างสำนักสายพุทธ ซึ่งในแต่ละมุมมองของแต่ละสำนักคือจะมีแต่การชนะกัน ไม่มีฝ่ายพ่ายแพ้

 

แต่ทำไมต้องมาทำตัวยียวนกันถึงเพียงนี้ ?

 

เหล่าศิษย์เส้าหลินบางคนที่อยู่ด้านนอกศาลาต่างก็เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง

 

“อารามวัชระจะไม่หยิ่งยโสเกินไปหน่อยหรือ ? ถึงกับส่งศิษย์เพียงคนเดียวมาเข้าร่วมการ  ‘ถกปัญหาธรรม ‘ นี้ ?”

 

“จริงด้วย พวกนี้มันเกินไปจริงๆ ไม่ว่าอย่างไรวัดเส้าหลินก็ยังเป็นสุดยอดพรรคและเป็นผู้นำของสำนักสายพุทธทั้งสี่อีกด้วย นี่อารามวัชระเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเองมากเสียจนกล้าที่จะส่งศิษย์มาแค่เพียงคนเดียวเลยหรือ ?”

 

“ถึงป๋าถัวจะเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์แล้วกระไร ? วัดเส้าหลินไม่ได้มีบุตรศักดิ์สิทธิ์อะไรนั่นด้วยสักหน่อย ? นี่มันเป็นการยั่วยุชัดๆ !”

 

 

ศิษย์ของวัดเส้าหลินหลายต่อหลายคนมองไปที่กลุ่มสงฆ์ของอารามวัชระด้วยสายตาไม่ชอบใจ

 

กล่าวได้ว่าพุทธศาสนามิใช่เพื่อใฝ่หาการแข่งขันกับผู้ใด แต่การกระทำของอารามวัชระมันเป็นการยั่วยุอย่างชัดแจ้ง ชัดเสียจนถ้าใครยังมองไม่ออกคงจะเป็นก้อนหินริมทางเท่านั้นมิใช่คน

 

ถึงแม้จะเป็นชาวพุทธก็ไม่ใช่ว่าจะไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกหรือความต้องการ และแน่นอนเมื่อเจออารามวัชระที่มาทำแบบนี้ก็ต้องมีความโกรธเกรี้ยวเกิดขึ้นได้บ้าง

 

คงจะมีเพียงแต่ซูฉินที่ยังอยู่ในอาการสงบราวกับว่าเขาไม่ได้สนใจมันแม้แต่น้อย

 

“นะโม อมิตตาพุทธ”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนที่จะพูดออกมา “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็มาเริ่มกันเถอะ”

 

ป๋าถัวก้าวเท้าไปข้างหน้าแล้วนั่งลงขัดสมาธิตรงหน้าโถงประชุมใหญ่

 

“เจินหยวน”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินพูดเบาๆ

 

ทุกคนได้เห็นพระรูปหนึ่งเดินออกมา นั่งลงที่หน้าโถงใหญ่เช่นกันประชันหน้าเข้าหาป๋าถัว

 

“เป็นศิษย์พี่เจินหยวนหรือนี่”

 

“ศิษย์พี่เจินหยวนเป็นศิษย์อันทรงคุณค่าที่สุดของหัวหน้าตำหนักฝ่ายวินัยเลยเชียวนะ ว่ากันว่าความเข้าใจในพระธรรมนั้นลึกซึ้งและเขามักจะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับหัวหน้าฝ่ายวินัยอยู่บ่อยครั้ง”

 

“ไปเลยศิษย์พี่เจินหยวน ! ทำให้พวกอารามวัชระรู้เสียว่าใครกันที่เป็นอันดับที่หนึ่งในสี่สำนักพุทธ !”

 

 

เมื่อศิษย์น้อยใหญ่ของวัดเส้าหลินเห็นเจินหยวนก้าวออกไป จิตวิญญาณของพวกเขาพุ่งพรวดกลายเป็นความรู้สึกตื่นเต้นที่เก็บไว้ไม่มิด

 

เห็นได้เด่นชัดว่าในหมู่ศิษย์วัดเส้าหลินชื่อของเจินหยวนอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ธรรมดาทีเดียวภายในใจของพระเณรทั้งหลาย

 

“เจินหยวนอย่างนั้นรึ ?”

 

ซูฉินก็มองไปที่เจินหยวนด้วย

 

ในเมื่อตัวเขาเองก็เป็นศิษย์ในรุ่น  ‘เจิน ‘ ซูฉินก็มีความรู้สึกอันดีต่อเจินหยวนคนนี้อยู่บ้าง

 

“ศิษย์พี่เจินกวน ท่านคิดว่าศิษย์พี่เจินหยวนจะชนะหรือไม่ ?” ตอนนั้นเองมีเสียงจากศิษย์ลานจิปาถะถามกดเสียงลงต่ำ

 

ซูฉินอยู่ที่นี่มาสิบปีแล้ว ถึงแม้จะเป็นเพียงพระกวาดลาน แต่แน่นอนว่าเขามีคุณสมบัติเพียงพอจะให้คำตอบ

 

“จะถามคำถามไปเพื่ออะไรอีก ? มันแน่นอนว่าต้องเป็นศิษย์พี่เจินหยวนอยู่แล้วที่จะชนะ” ก่อนที่ซูฉินจะทันได้ตอบคำ ศิษย์วัดคนอื่นก็พูดแทรกขึ้นมา

 

เมื่อซูฉินได้ยินก็ส่ายหัวน้อยๆ

 

ก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่าอารามวัชระนำพระมาเก้ารูป แต่มีป๋าถัวรูปเดียวเท่านั้นที่ถูกส่งออกมา มีเพียงสองความเป็นไปได้เท่านั้น

 

หนึ่งคืออารามวัชระนั้นโง่เง่า

 

สองคืออารามวัชระมีความมั่นใจ สำหรับพวกนั้น ตราบเท่าที่มีป๋าถัวอยู่ที่นี่ มันก็คงไม่มีความแตกต่างระหว่างจะส่งออกไปเก้าคนหรือจะส่งไปแค่คนเดียว

 

อารามวัชระและวัดเส้าหลิน ทั้งคู่เป็นสำนักพุทธทั้งหนึ่งในสี่และมีชื่อเสียงไปทั่วแว่นแคว้น เพราะฉะนั้นสำนักระดับนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะโง่เขลา

 

ฉะนั้นความเป็นไปได้นั้นมีเพียงอย่างเดียว

 

นั่นคืออารามวัชระมั่นใจในตัวป๋าถัวผู้นี้มาก

 

ความมั่นใจในระดับที่ถ้าวัดเส้าหลินชนะป๋าถัวได้ อารามวัชระจะกลายเป็นผู้แพ้ในทันที

 

ขณะที่ซูฉินกำลังคิดเรื่องนี้อยู่

 

‘การถกปัญหาธรรม ‘ ระหว่างป๋าถัวและเจินหยวนก็เริ่มต้นขึ้น

 

“พี่ชายอุตส่าห์เดินทางมาไกลถึงเพียงนี้ ฉะนั้นข้าให้ท่านได้เริ่มก่อน” เจินหยวนแลดูเคร่งขรึมไม่ได้ถ่อมตัวเกินไปหรือโอ้อวดจนเกินควร

 

เมื่อเห็นฉากนั้นหัวหน้าฝ่ายวินัยแอบพยักหน้าอย่างลับๆ

 

เจินหยวนเป็นศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจของเขาและความเข้าใจในธรรมนั้นเหนือกว่าคนทั่วไปนัก มิฉะนั้นเจ้าอาวาสคงไม่ปล่อยให้เจินหยวนเป็นคนแรกที่ออกหน้า

 

เป็นการเดิมพันครั้งเดียวจะได้ไม่ต้องยืดเยื้อกันให้เหนื่อยเปล่า

 

หากวัดเส้าหลินเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในคราแรกนี้ ก็เท่ากับกำลังใจของศิษย์ที่เหลือคงจะต้องสลายเป็นผุยผง

 

ป๋าถัวก็ไม่ได้เหนียมอายอันใด รับข้อตกลงนั้นไว้อย่างรวดเร็ว เขาประกบมือเข้าหากันพนมไว้ที่หน้าอก

 

“ข้าได้ยินได้ฟังมาเนิ่นนาน องค์ยูไลนั้น …”

 

คำพูดออกจากปากไหลลื่นไปอย่างรวดเร็วราวกับเขาเกิดมาเป็นเรือนนาฬิกาที่ไม่เกียจคร้านที่จะหยุดเดิน พร่ำคะนึงถามปัญหาในคำถามว่า  ‘องค์ยูไลนั้นคือสิ่งใด”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 16 ถกปัญหาธรรม

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 16 ถกปัญหาธรรม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 16 ถกปัญหาธรรม

 

 

เวลาผ่านเลยไป

 

ในพริบตา ครึ่งเดือนก็ผ่านพ้น

 

ในช่วงเวลานี้ถึงแม้จะมีเรื่องราวใหญ่โตเกิดขึ้นในหลากหลายแห่งทั่วโลก แต่มันก็ไม่ได้มีผลกระทบใดต่อวัดเส้าหลินแม้แต่น้อย

 

ชีวิตของซูฉินก็ยังคงเหมือนเดิม เขาลงชื่อเข้าใช้ไม่พลาดสักวันและมักจะมาฟัง ‘เรื่องซุบซิบนินทา‘ ของเหล่าศิษย์ลานจิปาถะ

 

ถึงแม้ที่ผ่านมาทั้งหมดจะเป็นแบบนั้น

 

แต่วันนี้

 

วันอันแสนสงบสุขของซูฉินได้พังทลายลง

 

มีพระเก้ารูปที่อ้างตนว่ามาจากอารามวัชระเดินทางมาถึงวัดเส้าหลิน เพราะแบบนั้นเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักจึงออกมาพบพวกเขาเองเป็นการส่วนตัวที่ด้านหน้าโถงประชุมใหญ่เพื่อแสดงความใส่ใจแก่แขกเหล่านี้

 

พวกศิษย์ของตำหนักต่างๆ ก็ต่างพากันมายืนอยู่ที่ด้านนอกโถงใหญ่กันด้วย

 

“อารามวัชระเช่นนั้นหรือ?”

 

ซูฉินมองไปที่พระทั้งเก้ารูปที่มาจากอารามวัชระ

 

พระรูปด้านหน้าสุดของกลุ่มสงฆ์ทั้งเก้ายังเยาว์วัยยิ่ง อายุประมาณยี่สิบปีเท่านั้นเอง

 

ส่วนอีกแปดรูปนั้น…

 

ซูฉินหันไปมองพระที่ยืนอยู่ด้านหลัง เป็นพระที่ห่มกายด้วยจีวรสีแดงสวมหัวด้วยมงกุฎ

 

พระรูปนี้แข็งแกร่งมาก ไม่อ่อนแอไปกว่าเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเลย เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับชั้นที่สอง

 

ถึงแม้อีกเจ็ดรูปจะมีไอพลังที่แตกต่างกันออกไป แต่มองคร่าวๆ ก็ทราบว่าพวกเขาล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญในสามระดับกลาง

 

“เดี๋ยวจะต้องมีการเปิดงานแสดงครั้งใหญ่เป็นแน่…” ซูฉินกระซิบในความคิดของตน

 

แม้จะไม่รู้จุดประสงค์ที่แน่ชัดของอารามวัชระ แต่เมื่อมองจากท่าทางที่เห็นก็เห็นได้ชัดว่าผู้มาเยือนคงไม่ได้มีเจตนาอันดีเท่าไรนัก

 

เป็นไปตามที่คาด

 

ซูฉินก็ได้รับรู้เรื่องราวอย่างรวดเร็วผ่านการกระซิบกันของหมู่ศิษย์ด้านข้างเขาว่า กลุ่มพระจากอารามวัชระมาเยือนที่นี่เพื่อจะ ‘ถกปัญหาธรรม‘ กับวัดเส้าหลิน

 

“เจ้าเห็นพระหนุ่มที่ด้านหน้านั่นหรือไม่? เขาคือบุตรอันศักดิ์สิทธิ์ป๋าถัวจากอารามวัชระ ความเป็นมาของเขานั้นลึกล้ำมากมีคนเล่าว่าถึงกับเกิดปรากฏการณ์พิเศษเมื่อยามที่เขาเกิดมา”

 

“แถมยังมีข่าวลือว่าเขาเป็นพุทธศาสนิกชนผู้เป็นตำนานยุทธกลับชาติมาเกิด”

 

“โอ้? ถ้าอีกฝ่ายเป็นพุทธศาสนิกชนผู้เป็นตำนานยุทธกลับชาติมาเกิดจริง แล้ววัดเส้าหลินจะมีโอกาสโต้ตอบเขาในการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ ได้อย่างไรเล่า?”

 

“ดูก่อน บางทีท่านเจ้าอาวาสและเหล่าหัวหน้าตำหนักอาจจะหาหนทางได้?”

 

 

ศิษย์วัดเส้าหลินต่างกระซิบกันไปมาในหมู่พวกตน

 

แม้แต่ศิษย์สังกัดลานจิปาถะเองก็ยังเป็นกังวล

 

ในฐานะที่เป็นศิษย์ของวัดเส้าหลินไม่ว่าจะอยู่ในตำหนักไหนพวกเขาต่างแบ่งปันชื่อเสียงเกียรติยศและความสง่างามของวัดเอาไว้ เป็นธรรมดาที่จะไม่อยากจะเห็นวัดเส้าหลินแพ้ให้กับอารามวัชระ

 

“นะโม อมิตตาพุทธ”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกุมมือทั้งสองไว้ด้านหน้าและพูดขึ้นว่า “พวกท่านเดินทางมาไกล วัดเส้าหลินย่อมปฏิบัติกับพวกท่านอย่างดี เดี๋ยวเราจะไปตระเตรียมอาหารเอาไว้ให้…”

 

ป๋าถัวบุตรศักดิ์สิทธิ์ของอารามวัชระโค้งหัวลงเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ข้าได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของท่านเจ้าอาวาสมานาน หวังว่าจะไม่ได้รบกวนพวกท่านจนเกินไป”

 

หลังจากมื้ออาหาร

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจึงเริ่มการ ‘ถกปัญหาธรรม‘

 

‘ถกปัญหาธรรม‘ นี้เป็นประเพณีในหมู่สำนักสายพุทธทั้งสี่ และมีเพียงพระที่มีอายุไม่เกินยี่สิบปีจึงสามารถเข้าร่วมได้

 

นี่เป็นกลวิธีในการวัดความแข็งแกร่งของคนรุ่นหลังในสำนักสายพุทธทั้งสี่ เพื่อยืนยันว่าใครจะเป็นผู้นำในหมู่สี่สำนักดังกล่าว

 

“ท่านเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน ในการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ ครั้งนี้ มีเพียงป๋าถัวเท่านั้นที่จะเป็นตัวแทนของอารามวัชระ”

 

ตอนนี้เองที่พระสงฆ์ระดับชั้นที่สองห่มชุดสีแดงและมีมงกุฎบนหัวยืนขึ้นกล่าวคำ

 

เมื่อได้ยินคำกล่าวนั้นทั้งเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักต่างขมวดคิ้วเป็นปม

 

ต้องทราบว่าในอดีต กฎของการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ คือการส่งศิษย์ฝ่ายละเก้ารูปมา ‘ถกปัญหา‘ กันทีละคนแล้วจึงตัดสินผู้ชนะ

 

แต่ตอนนี้ อารามวัชระต้องการจะส่งป๋าถัวเพียงคนเดียว ? เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องการจะใช้ป๋าถัวคนเดียวจัดการกับศิษย์ทั้งเก้าจากวัดเส้าหลิน

 

นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นการดูถูกวัดเส้าหลินแล้ว

 

แม้เจ้าอาวาสจะฝึกตนมาในระดับสูงเพียงนี้ แต่เมื่อได้ยินแบบนั้นเข้า การแสดงออกก็ถึงกับเปลี่ยนไป หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์ที่ขึ้นชื่อเรื่องอารมณ์ดุดันก็จ้องเขม็งไปที่พระทั้งเก้ารูปจากอารามวัชระ

 

ถึงจะได้รับความกดดันจากวัดเส้าหลิน พระที่มีพลังยุทธระดับชั้นที่สองจากอารามวัชระก็ไม่ได้สนใจอะไร

 

‘ถกปัญหาธรรม ‘ เป็นการต่อสู้กันผ่านคติของชาวพุทธและหลักความคิดเชิงพุทธระหว่างสำนักสายพุทธ ซึ่งในแต่ละมุมมองของแต่ละสำนักคือจะมีแต่การชนะกัน ไม่มีฝ่ายพ่ายแพ้

 

แต่ทำไมต้องมาทำตัวยียวนกันถึงเพียงนี้ ?

 

เหล่าศิษย์เส้าหลินบางคนที่อยู่ด้านนอกศาลาต่างก็เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง

 

“อารามวัชระจะไม่หยิ่งยโสเกินไปหน่อยหรือ ? ถึงกับส่งศิษย์เพียงคนเดียวมาเข้าร่วมการ  ‘ถกปัญหาธรรม ‘ นี้ ?”

 

“จริงด้วย พวกนี้มันเกินไปจริงๆ ไม่ว่าอย่างไรวัดเส้าหลินก็ยังเป็นสุดยอดพรรคและเป็นผู้นำของสำนักสายพุทธทั้งสี่อีกด้วย นี่อารามวัชระเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเองมากเสียจนกล้าที่จะส่งศิษย์มาแค่เพียงคนเดียวเลยหรือ ?”

 

“ถึงป๋าถัวจะเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์แล้วกระไร ? วัดเส้าหลินไม่ได้มีบุตรศักดิ์สิทธิ์อะไรนั่นด้วยสักหน่อย ? นี่มันเป็นการยั่วยุชัดๆ !”

 

 

ศิษย์ของวัดเส้าหลินหลายต่อหลายคนมองไปที่กลุ่มสงฆ์ของอารามวัชระด้วยสายตาไม่ชอบใจ

 

กล่าวได้ว่าพุทธศาสนามิใช่เพื่อใฝ่หาการแข่งขันกับผู้ใด แต่การกระทำของอารามวัชระมันเป็นการยั่วยุอย่างชัดแจ้ง ชัดเสียจนถ้าใครยังมองไม่ออกคงจะเป็นก้อนหินริมทางเท่านั้นมิใช่คน

 

ถึงแม้จะเป็นชาวพุทธก็ไม่ใช่ว่าจะไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกหรือความต้องการ และแน่นอนเมื่อเจออารามวัชระที่มาทำแบบนี้ก็ต้องมีความโกรธเกรี้ยวเกิดขึ้นได้บ้าง

 

คงจะมีเพียงแต่ซูฉินที่ยังอยู่ในอาการสงบราวกับว่าเขาไม่ได้สนใจมันแม้แต่น้อย

 

“นะโม อมิตตาพุทธ”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนที่จะพูดออกมา “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็มาเริ่มกันเถอะ”

 

ป๋าถัวก้าวเท้าไปข้างหน้าแล้วนั่งลงขัดสมาธิตรงหน้าโถงประชุมใหญ่

 

“เจินหยวน”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินพูดเบาๆ

 

ทุกคนได้เห็นพระรูปหนึ่งเดินออกมา นั่งลงที่หน้าโถงใหญ่เช่นกันประชันหน้าเข้าหาป๋าถัว

 

“เป็นศิษย์พี่เจินหยวนหรือนี่”

 

“ศิษย์พี่เจินหยวนเป็นศิษย์อันทรงคุณค่าที่สุดของหัวหน้าตำหนักฝ่ายวินัยเลยเชียวนะ ว่ากันว่าความเข้าใจในพระธรรมนั้นลึกซึ้งและเขามักจะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับหัวหน้าฝ่ายวินัยอยู่บ่อยครั้ง”

 

“ไปเลยศิษย์พี่เจินหยวน ! ทำให้พวกอารามวัชระรู้เสียว่าใครกันที่เป็นอันดับที่หนึ่งในสี่สำนักพุทธ !”

 

 

เมื่อศิษย์น้อยใหญ่ของวัดเส้าหลินเห็นเจินหยวนก้าวออกไป จิตวิญญาณของพวกเขาพุ่งพรวดกลายเป็นความรู้สึกตื่นเต้นที่เก็บไว้ไม่มิด

 

เห็นได้เด่นชัดว่าในหมู่ศิษย์วัดเส้าหลินชื่อของเจินหยวนอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ธรรมดาทีเดียวภายในใจของพระเณรทั้งหลาย

 

“เจินหยวนอย่างนั้นรึ ?”

 

ซูฉินก็มองไปที่เจินหยวนด้วย

 

ในเมื่อตัวเขาเองก็เป็นศิษย์ในรุ่น  ‘เจิน ‘ ซูฉินก็มีความรู้สึกอันดีต่อเจินหยวนคนนี้อยู่บ้าง

 

“ศิษย์พี่เจินกวน ท่านคิดว่าศิษย์พี่เจินหยวนจะชนะหรือไม่ ?” ตอนนั้นเองมีเสียงจากศิษย์ลานจิปาถะถามกดเสียงลงต่ำ

 

ซูฉินอยู่ที่นี่มาสิบปีแล้ว ถึงแม้จะเป็นเพียงพระกวาดลาน แต่แน่นอนว่าเขามีคุณสมบัติเพียงพอจะให้คำตอบ

 

“จะถามคำถามไปเพื่ออะไรอีก ? มันแน่นอนว่าต้องเป็นศิษย์พี่เจินหยวนอยู่แล้วที่จะชนะ” ก่อนที่ซูฉินจะทันได้ตอบคำ ศิษย์วัดคนอื่นก็พูดแทรกขึ้นมา

 

เมื่อซูฉินได้ยินก็ส่ายหัวน้อยๆ

 

ก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่าอารามวัชระนำพระมาเก้ารูป แต่มีป๋าถัวรูปเดียวเท่านั้นที่ถูกส่งออกมา มีเพียงสองความเป็นไปได้เท่านั้น

 

หนึ่งคืออารามวัชระนั้นโง่เง่า

 

สองคืออารามวัชระมีความมั่นใจ สำหรับพวกนั้น ตราบเท่าที่มีป๋าถัวอยู่ที่นี่ มันก็คงไม่มีความแตกต่างระหว่างจะส่งออกไปเก้าคนหรือจะส่งไปแค่คนเดียว

 

อารามวัชระและวัดเส้าหลิน ทั้งคู่เป็นสำนักพุทธทั้งหนึ่งในสี่และมีชื่อเสียงไปทั่วแว่นแคว้น เพราะฉะนั้นสำนักระดับนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะโง่เขลา

 

ฉะนั้นความเป็นไปได้นั้นมีเพียงอย่างเดียว

 

นั่นคืออารามวัชระมั่นใจในตัวป๋าถัวผู้นี้มาก

 

ความมั่นใจในระดับที่ถ้าวัดเส้าหลินชนะป๋าถัวได้ อารามวัชระจะกลายเป็นผู้แพ้ในทันที

 

ขณะที่ซูฉินกำลังคิดเรื่องนี้อยู่

 

‘การถกปัญหาธรรม ‘ ระหว่างป๋าถัวและเจินหยวนก็เริ่มต้นขึ้น

 

“พี่ชายอุตส่าห์เดินทางมาไกลถึงเพียงนี้ ฉะนั้นข้าให้ท่านได้เริ่มก่อน” เจินหยวนแลดูเคร่งขรึมไม่ได้ถ่อมตัวเกินไปหรือโอ้อวดจนเกินควร

 

เมื่อเห็นฉากนั้นหัวหน้าฝ่ายวินัยแอบพยักหน้าอย่างลับๆ

 

เจินหยวนเป็นศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจของเขาและความเข้าใจในธรรมนั้นเหนือกว่าคนทั่วไปนัก มิฉะนั้นเจ้าอาวาสคงไม่ปล่อยให้เจินหยวนเป็นคนแรกที่ออกหน้า

 

เป็นการเดิมพันครั้งเดียวจะได้ไม่ต้องยืดเยื้อกันให้เหนื่อยเปล่า

 

หากวัดเส้าหลินเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในคราแรกนี้ ก็เท่ากับกำลังใจของศิษย์ที่เหลือคงจะต้องสลายเป็นผุยผง

 

ป๋าถัวก็ไม่ได้เหนียมอายอันใด รับข้อตกลงนั้นไว้อย่างรวดเร็ว เขาประกบมือเข้าหากันพนมไว้ที่หน้าอก

 

“ข้าได้ยินได้ฟังมาเนิ่นนาน องค์ยูไลนั้น …”

 

คำพูดออกจากปากไหลลื่นไปอย่างรวดเร็วราวกับเขาเกิดมาเป็นเรือนนาฬิกาที่ไม่เกียจคร้านที่จะหยุดเดิน พร่ำคะนึงถามปัญหาในคำถามว่า  ‘องค์ยูไลนั้นคือสิ่งใด”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+