เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 17 นี่ไงล่ะ องค์ยูไล!

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 17 นี่ไงล่ะ องค์ยูไล! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 17 นี่ไงล่ะ องค์ยูไล!

 

 

ในรอบแรกของ ‘การถกปัญหาธรรม‘ ก็เป็นไปตามที่ซูฉินคาดเดาเอาไว้ ในรอบนี้ยังไม่ทันจะถึงหนึ่งในสี่ของชั่วโมง เจินหยวนก็มีใบหน้าที่ซีดลงเพราะไม่รู้จะตอบคำถามต่อไปอย่างไร

 

ถึงแม้ว่าเจินหยวนจะเชี่ยวชาญในพระธรรมคำสอน แต่เขานั้นประเมินบุตรศักดิ์สิทธิ์ของอารามวัชระต่ำเกินไป ทุกๆ คำที่ป๋าถัวพูดลื่นไหลราวกับมนต์สะกดที่ตราตรึงอยู่ในใจจนเขาไม่สามารถจะต่อสู้ ได้แต่พ่ายแพ้ลงในที่สุด

 

“ข้าแพ้แล้ว”

 

เจินหยวนยอมแพ้ สายตาเขาหมองหม่นลง

 

แม้ว่า ‘การถกปัญหาธรรม‘ ในบรรดาสำนักพุทธทั้งสี่จะไม่ได้ใช้ศิลปะวิชายุทธมาต่อสู้ห้ำหั่นกัน แต่ถ้าให้พูดกันจริงๆ แล้ว อย่างแรกดูจะอันตรายกว่าเสียอีก

 

การประลองด้วยวิทยายุทธอย่างมากก็เพียงแค่บาดเจ็บตามร่างกาย ตราบเท่าที่มันไม่ร้ายแรงจนเกินไป การฟื้นตัวก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็น

 

แต่การ ‘ถกปัญหาธรรม‘ เป็นการต่อสู้กันทางอุดมการณ์ความเข้าใจส่วนตัว เมื่อสูญเสียไป แม้ร่างกายจะสบายดีแต่จิตวิญญาณย่อมได้รับผลกระทบอย่างหนักและอาจตกอยู่ในความสงสัยในตนจนนำไปสู่การกลายเป็นมารร้ายในจิตใจไปเลยก็มี

 

ถ้าจิตใจส่วนที่เป็นมารก่อตัวขึ้นได้สักหนึ่งในสิบแล้วล่ะก็ ผู้นั้นย่อมไม่มีความก้าวหน้าต่อไปทั้งชีวิต ติดอยู่แบบนั้น

 

ด้วยจุดจบแบบนี้ของเจินหยวน เหล่าศิษย์ของวัดเส้าหลินต่างหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ

 

พวกเขามีความหวังว่าเจินหยวนที่มีความเข้าใจมากในพระธรรมจะสามารถเอาชนะป๋าถัวแห่งอารามวัชระได้ แต่พวกเขากลับแพ้อย่างยับเยินเกินไป

 

เจินหยวนต้านเอาไว้ได้ไม่ถึงสิบห้านาทีก่อนจะลุกขึ้นขอยอมแพ้

 

นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน?

 

มันหมายความว่าความเข้าใจในธรรมของเจินหยวนยังด้อยกว่าป๋าถัวมาก

 

“ท่านปล่อยให้ข้าได้ชัยเสียแล้ว”

 

ป๋าถัวมีการแสดงออกที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็ยังพนมมือค้อมหัวลงให้กับเจินหยวน

 

“เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจัดเตรียมรูปต่อไปมาเลย” สงฆ์ผู้ฝึกยุทธระดับชั้นที่สองจากอารามวัชระมองทางเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินแล้วกล่าวคำ

 

“หึ!” หัวหน้าฝ่ายวินัยพ่นลมหายใจออกสีหน้าขมึงเกร็ง มองไปยังใบหน้าของเจินหยวนที่มีร่องรอยของความทุกข์ฉายอยู่

 

เจินหยวนเป็นศิษย์คนโปรดของเขา เขาจะทำเฉยเมยได้เช่นไรเมื่อถูกทำลายจิตใจเช่นนี้?

 

“นะโม อมิตตาพุทธ……”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินมองไปที่ป๋าถัวอย่างลึกซึ้งแล้วกล่าวเรียกออกไปอีกครั้งหนึ่ง “เจินเข่อ”

 

“ครับท่านเจ้าอาวาส”

 

ศิษย์คนที่สองของวัดเส้าหลินลุกขึ้นแล้วเดินไปนั่งยังตำแหน่งที่เจินหยวนเคยนั่งอยู่เมื่อครู่

 

‘ถกปัญหาธรรม‘ ครั้งที่สองเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

 

“ช่างน่าเบื่อ”

 

ซูฉินเฝ้ามองอยู่เพียงครู่ก็รู้สึกเบื่อหน่าย ดังนั้นเขาจึงปลีกตัวออกมายามเมื่อสบโอกาส

 

พวกศิษย์ลานจิปาถะเดิมก็เป็นกลุ่มศิษย์ที่ถูกวางไว้ปลายแถวอยู่แล้ว ตัวซูฉินเองก็เป็นสุดยอดของความไม่โดดเด่น เช่นนั้นเขาจึงออกไปได้โดยไม่มีใครสังเกตเห็นเลย

 

“เดินทีข้าคิดว่าพุทธศาสนาจะช่วยปลีกตัวตนของผู้คนออกจากโลก แต่ดูเหมือนข้าจะคิดผิดไป”

 

ที่แรกซูฉินไปยังศาลาพระคัมภีร์เพื่อจะใช้สิทธิลงชื่อเข้าใช้ของวันนี้ จากนั้นจึงมองหาที่เงียบๆ ที่ไม่มีใครมารบกวนเพื่อที่จะใช้โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์

 

สองสามชั่วโมงต่อมาซูฉินก็กลับไปที่โถงใหญ่

 

อย่างไรก็ตาม

 

เวลานี้ซูฉินรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่สิ้นหวังของเหล่าศิษย์

 

“พวกเราแพ้ พวกเราพ่ายแพ้…” ศิษย์คนหนึ่งจากลานจิปาถะที่อยู่ใกล้ๆ พึมพำ แลดูว่างเปล่า

 

“แพ้หมด?”

 

ซูฉินมองไปที่หน้าโถงประชุมใหญ่

 

ในขณะนี้เป็นศิษย์ของท่านเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินนามว่าเจินหวู่ที่เป็นผู้นั่งประจันหน้าอยู่กับป๋าถัว

 

เจินหวู่เป็นศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดท่ามกลางหมู่ศิษย์รุ่น ‘เจิน‘ เขาได้รับการยอมรับให้กลายเป็นศิษย์ของท่านเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินตั้งแต่เข้ามาในวัดเป็นครั้งแรก

 

และเจินหวู่ก็ไม่ได้ทำให้เจ้าอาวาสผิดหวัง ทั้งความรู้ความเข้าใจในศาสนาและความขยันหมั่นเพียรในการฝึกวิทยายุทธของเขานั้นสูงที่สุดในหมู่พระรุ่นใหม่ของวัดเส้าหลินเลย

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินแม้กระทั่งจะเตรียมฝึกให้เจินหวู่มาเป็นเจ้าอาวาสรุ่นต่อไปของวัดเส้าหลิน

 

โดยพื้นฐานตามการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ ที่ผ่านๆ มา ศิษย์อย่างเจินหวู่จะต้องไปอยู่ในรอบสุดท้ายเพื่อรับบทเป็นไพ่ลับ

 

แต่ในตอนนี้

 

เจินหวู่ได้เข้าประลองเรียบร้อย

 

มีความเป็นไปได้เดียวเท่านั้น…

 

ศิษย์แปดคนแรกของวัดเส้าหลินล้วนแต่พ่ายแพ้ไปแล้ว

 

“เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”

 

ซูฉินอดประหลาดใจเล็กๆ ไม่ได้

 

แค่สองสามชั่วโมง น้อยกว่าครึ่งวันเสียอีก บุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งอารามวัชระก็ชนะศิษย์ทั้งแปดของวัดเส้าหลินไปแล้ว?

 

จะว่าเช่นนั้นก็ไม่ถูก

 

มันควรจะเป็นศิษย์ทั้งเก้า

 

เพราะในขณะนี้เจินหวู่ดูเหมือนจะตกเป็นรองและคงจะฝืนอยู่ได้อีกไม่นาน

 

ภายในครึ่งชั่วโมง

 

“สังขตธรรม[1] ทั้งปวง ดุจฝันมายา ฟองสบู่ เงา ดุจนิศาชลและอัสนี ควรสังเกตสิ่งเหล่านั้นด้วยอาการเช่นนี้แล”[2]

 

ปากของป๋าถัวพร่ำพูดออกมา ดูเหมือนเขาจะขจัดความกังวล ความชั่วร้ายทั้งหมดในโลกให้สิ้นไป ราวกับเขาบรรลุไปถึงอีกฟากฝั่งหนึ่งแล้วก็มิปาน

 

“ขอบคุณพี่ท่านที่ยินยอมมอบชัยชนะให้แก่ข้าผู้นี้”

 

ป๋าถัวค่อยๆ ลุกขึ้น ประกบมือกันไว้ด้านหน้า ค้อมตัวลงใบหน้าเคร่งขรึม

 

เจินหวู่ยังคงนั่งขัดสมาธิใบหน้าเขาหมองซีดราวกับกระดาษ เขาแพ้เสียแล้ว

 

“นะโม อมิตตาพุทธ…”

 

พระที่อยู่ในระดับชั้นที่สองผู้มาจากอารามวัชระมีการแสดงออกที่เบิกบานยิ่งและท่องบทสวดออกมา

 

ในทันใดนั้นนอกจากเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินแล้ว เหล่าหัวหน้าตำหนักต่างๆ ต่างก็รู้สึกอับอายและไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น

 

พวกเขาไม่คาดคิดจริงๆ ว่าอีกฝ่ายจะใช้เพียงคนเดียวเท่านั้น แล้วพวกตนยังจะต้องมาพ่ายแพ้คาวัดเส้าหลินแบบนี้จริงๆ น่ะหรือ?

 

เพียงคนเดียว!

 

บรรดาศิษย์ของวัดเส้าหลินเต็มไปด้วยความเศร้าโศก รู้สึกว่าใบหน้าของวัดเส้าหลินถูกเหยียบย่ำอยู่ใต้ฝ่าเท้าของอารามวัชระ แต่พวกเขาทำอะไรไม่ได้เลย

 

เหตุเพราะป๋าถัวจากอารามวัชระชนะติดต่อกันเก้าครั้งและได้รับชัยชนะจากการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ ในครั้งนี้ไปนั่นเอง

 

“ในเมื่อการถกปัญหาธรรมได้จบสิ้นลงไปแล้วในครานี้ เราไม่ควรจะรบกวนวัดเส้าหลินเนิ่นนานไปกว่านี้ ข้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งแล้ว”

 

พระระดับชั้นที่สองของอารามวัชระกวาดสายตาไปที่ผู้ชมโดยรอบ และกล่าวคำออกมาอย่างช้าๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครกล้าที่จะมองเขา

 

การแสดงออกของเหล่าหัวหน้าตำหนักซีดเซียว และบางคนถึงกับมีอาการไอพลังไม่เสถียร

 

หลังจากวันนี้ไป ผลการประลอง ‘ถกปัญหาธรรม‘ ระหว่างวัดเส้าหลินและอารามวัชระจะแพร่กระจายออกไป สถานะการเป็นผู้นำของสำนักพุทธทั้งสี่ก็จะถูกส่งมอบให้กับอารามวัชระ

 

เมื่อนึกถึงชัยชนะที่บรรพบุรุษของวัดเส้าหลินได้รับมาก่อนหน้า แต่บัดนี้เป็นเพราะว่าคนรุ่นใหม่ในวัดไร้ซึ่งความสามารถ ความจริงอันนี้ทำให้ศิษย์ของวัดเส้าหลินทุกคนรวมถึงเจ้าอาวาสต้องเจ็บปวดราวกับหลั่งเลือด

 

แม้แต่ตอนที่กลุ่มสงฆ์อารามวัชระได้จากไปแล้ว ทั่วทั้งโถงประชุมใหญ่ก็ยังคงเงียบกริบ

 

“น่าละอายต่อบรรพบุรุษนัก…”

 

หัวหน้าลานจิปาถะเหม่อมองขึ้นไปบนฟ้าถอนหายใจออกมา ใบหน้าของเขาแดงก่ำพ่นเลือดออกมาจากปากและล้มพับลงไปกับพื้น

 

“ท่านหัวหน้าตำหนัก!”

 

“ท่านหัวหน้าตำหนักเป็นอะไรหรือไม่?”

 

“ศิษย์น้องเจ้าสบายดีหรือไม่?”

 

ศิษย์ของลานจิปาถะหลายคนต่างตกตะลึง เจ้าอาวาสก้าวออก ปรากฏตัวที่ด้านหน้าของหัวหน้าลานจิปาถะ ยื่นมือออกไปตรวจสอบ

 

จากนั้นไม่นาน

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินส่ายหัว “ศิษย์น้องไม่เป็นอะไร เพียงแต่อารมณ์เดือดพล่านเกินไปทำให้กำลังภายในและเลือดลมในกายลดลง…”

 

 

ไม่ไกลนัก ซูฉินมองไปที่หัวหน้าลานจิปาถะที่ล้มลง แล้วเขาก็เงียบไป

 

เป็นเวลาสิบปีในวัดเส้าหลิน หัวหน้าลานจิปาถะดูแลซูฉินอย่างดีและมักมีความคิดที่จะย้ายซูฉินไปตำหนักลานอรหันต์หรือไม่ก็ตำหนักยุทธสงฆ์แทนที่จะมามัวแต่เป็นพระกวาดลาน

 

ทว่าความตั้งใจดีนั้นก็ถูกซูฉินปฏิเสธไปเสียทั้งหมด

 

“ชื่อเสียงของวัดเส้าหลินสำคัญกับท่านมากเช่นนี้เชียวหรือ?”

 

ซูฉินกระซิบถามตัวเองในใจ

 

จากนั้นเขาจึงหันหลังกลับแล้วออกไป

 

 

ด้านนอกวัดเส้าหลิน

 

กลุ่มอารามวัชระต่างก็มุ่งหน้าตรงดิ่งกลับไปตามจุดหมาย

 

“ป๋าถัว เมื่อพวกเรากลับกันไปครานี้ท่านเจ้าอาวาสจะต้องดีใจมากเป็นแน่ หากมิใช่เพราะเจ้า เราจะได้รับตำแหน่งผู้นำของสำนักพุทธทั้งสี่มาอย่างง่ายดายเช่นนี้ได้เยี่ยงไร?”

 

พระระดับชั้นที่สองของอารามวัชระมองไปที่ป๋าถัวและพูดด้วยความพอใจ

 

ชื่อของพระรูปนี้คือ ‘ถงหรู‘ และเขาเป็นผู้พิทักษ์ของอารามวัชระในยุคนี้ มีฐานพลังการฝึกฝนอยู่ที่ระดับชั้นที่สอง

 

ป๋าถัวในฐานะที่เป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ของอารามวัชระ เป็นธรรมดาที่ไม่สามารถออกเที่ยวท่องไปตามที่ต่างๆ โดยไร้ซึ่งการคุ้มกัน ดังนั้นถงหรูจึงเป็นผู้คุ้มกันของป๋าถัว

 

“หลวงลุง เราทำแบบนี้มันถูกต้องแล้วจริงๆ อย่างนั้นหรือ?”

 

ป๋าถัวอดไม่ได้ที่จะถาม

 

“แน่นอนอยู่แล้ว”

 

เขายังคงกำชับให้มั่นใจมากขึ้นไปอีก “การต่อสู้กันด้วยแนวความคิดเป็นเรื่องของแพ้ชนะ ไม่เกี่ยวกับถูกหรือผิด”

 

เมื่อป๋าถัวได้ยินดังนั้นในดวงตาของเขาก็ฉายแววครุ่นคิด

 

ทันใดนั้น

 

ช่วงเวลานี้นี่เอง

 

ผู้พิทักษ์ของอารามวัชระก็เหมือนจะรู้สึกถึงบางอย่างแล้วเงยหน้าขึ้นมอง

 

เห็นเป็นพระภิกษุหนุ่มสวมจีวรสีเทายืนสงบนิ่งอยู่ใต้ต้นหลินที่เหี่ยวเฉา

 

“เอ๊ะ?”

 

หัวคิ้วของผู้พิทักษ์ถงหรูขมวดเข้ามาชนกัน

 

“เจ้าใช่ศิษย์ของวัดเส้าหลินหรือไม่?”

 

‘ถงหรู‘ ถามเสียงดัง

 

นี่เป็นบริเวณของวัดเส้าหลิน เป็นที่สงวนไว้สำหรับวัดเส้าหลิน พระวัดอื่นไม่น่าจะมาอยู่ที่นี่ได้

 

พระหนุ่มพยักหน้า แล้วสักพักก็ส่ายศีรษะ

 

พระหนุ่มรูปนี้ย่อมเป็นซูฉิน เขามาอยู่จุดนี้นานแล้ว

 

“ข้าได้ยินข่าวลือมาว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ของอารามวัชระเป็นถึงพุทธศาสนิกชนระดับตำนานยุทธกลับชาติมาเกิด ที่ตัวข้ามาในยามนี้ก็ประสงค์จะพูดคุยปรึกษาถกเถียงปัญหาธรรมกับท่าน!”

 

ซูฉินเอ่ยออก ไม่เร็วแต่ก็ไม่ได้ช้าจนเกินไป

 

“ถกปัญหาธรรม?”

 

‘ถงหรู‘ ผงะไปครู่หนึ่ง “อารามวัชระของเราได้ถกปัญหาธรรมกับวัดเส้าหลินของเจ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผลลัพธ์ก็ออกมาแล้ว เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็มิได้มีเรื่องอันใดขัดข้อง เจ้าจะมาทำไมอีก?”

 

“หลวงลุงขอรับ”

 

“ในเมื่อเป็นศิษย์พี่จากวัดเส้าหลิน เช่นนั้นก็ให้ข้าได้ถกเถียงกันอีกสักครั้งเถิด”

 

ป๋าถัวก้าวเท้าไปข้างหน้า และกล่าวออกอย่างเคร่งขรึม “ไม่ทราบว่าศิษย์พี่จะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องใด?”

 

“งั้นถกกันเรื่องที่เจ้าต้องการเป็นอย่างไร”

 

ซูฉินยิ้มเล็กน้อย กล่าวออกมาเบาๆ

 

ป๋าถัวพนมมือแล้วกล่าวว่า “งั้นศิษย์พี่ช่วยบอกหน่อยว่า‘องค์ยูไล‘ คือสิ่งใด?”

 

จนถึงตอนนี้ป๋าถัวถามในคำถามเดิมเหมือนกับตอนที่ทำให้ศิษย์ทั้งเก้าของวัดเส้าหลินต้องพ่ายแพ้

 

‘องค์ยูไล‘ คือสิ่งใด

 

‘องค์ยูไล‘ ก็ย่อมต้องเป็น ‘องค์ยูไล‘ แต่ใครเล่าที่จะสื่อถึงองค์ยูไล?

 

เป็นมนุษย์หรือไม่? คือพระเจ้า? เป็นจิตวิญญาณ? หรือเป็นสิ่งใด?

 

ไม่มีใครอาจรู้เห็น

 

ไม่มีใครกล้าคาดเดามั่วๆ

 

ผู้พิทักษ์อย่าง ‘ถงหรู‘ ส่ายหัว

 

แม้แต่เจ้าอาวาสอารามวัชระก็เคยถูกถามคำถามแบบนี้มาก่อน

 

นอกจากนั้น ถงหรูย่อมเห็นได้ว่าสถานะของซูฉินในวัดเส้าหลินไม่ได้สูงนัก ไม่เช่นนั้นก็คงไม่สวมจีวรสีเทา

 

และเหตุผลที่มาหยุดพวกเขาที่ตรงนี้ก็น่าจะเป็นเพราะเขาไม่เต็มใจที่จะแพ้พ่าย

 

แต่ถึงไม่เต็มใจแล้วจะทำอย่างไรได้

 

วัดเส้าหลินโดนบดขยี้โดยศิษย์น้องป๋าถัวจนจมดิน

 

เป็นไปได้หรือที่วัดเส้าหลินจะมีศิษย์คนไหนที่เอาชนะป๋าถัวได้อีก?

 

จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า?

 

“ ‘องค์ยูไล‘ คือสิ่งใด?”

 

ขณะนี้ซูฉินพูดทวนด้วยน้ำเสียงต่ำ แล้วเริ่มจะเปลี่ยนเป็นเสียงที่สูงขึ้นเรื่องๆ จนทุกคนตกใจ

 

“แหกตาดูสิ ‘องค์ยูไล‘ อยู่ตรงหน้าพวกเจ้า!”

 

บูม!!!

 

คำพูดที่ออกมา

 

พระทุกรูปรวมถึงผู้พิทักษ์จากอารามวัชระต่างตกตะลึง

 

พวกเขาไม่เคยเห็นใครที่หยิ่งผยองได้ถึงเพียงนี้ ขนาดเปรียบเทียบตนเองกับ ‘องค์ยูไล‘?

 

“สามหาว!”

 

ผู้พิทักษ์อาราม ‘ถงหรู‘ ตอบโต้อย่างรุนแรงและกำลังจะกล่าวคำตำหนิ

 

อย่างไรก็ตาม

 

ชั่วอึดใจต่อมา

 

เขากำลังจะได้เห็นฉากที่น่าทึ่งที่สุดในชีวิตที่เกิดมา

 

ทันใดนั้นร่างสีทองขององค์ยูไลก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังซูฉิน เขาชี้มือขึ้นฟ้า อีกมือจรดพื้นปฐพี มีแสงสีทองระยับไร้ขอบเขต มองดูสง่างาม แล้วพลันมีเสียงชวนฟังพูดออกมา

 

“สูงกว่าสวรรค์ เหนือกว่าพิภพ เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุด”[3]

 

“นี่…นี่มัน…”

 

กลุ่มสงฆ์จากอารามวัชระยืนนิ่งงัน ป๋าถัวจ้องมองค้างราวกับเขาถูกสายฟ้าฟาด มองไปทางซูฉินด้วยอาการร่างกายสั่นเทา…

 

เมื่อมองไปยังองค์ยูไลสีทอง มองเห็นแสงเซนผุดผ่องแผ่ขยายไปทั่วผืนฟ้าแลผืนดิน… เพียงตัวตถาคตคือผู้ประเสริฐที่สุด!

 

 

 

————————————————

 

[1] สังขตธรรม – สังขต หมายถึง สิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งขึ้น, สังขารทุกอย่างที่มีการปรุงแต่งขึ้นจากหลายๆ สิ่งรวมกัน เรียกว่า สังขต ย่อมหมายถึงสิ่งทุกอย่างนอกจากนิพพาน ส่วนนิพพานเป็นอสังขต

[2] คำกล่าวที่ยกมาจากวัชรปรัชญาปารมิตาสูตร แปลจากสันสกฤตเป็นภาษาจีนโดย พระกุมารชีวะ (หรือจิวหมอหลอสือ) ราวปี พ.ศ.944 ความว่า 一切有为法,如梦幻泡影,如露亦如电,应作如是观。

ซึ่งมีการแปลโดย เสถียร โพธินันทะ จากจีนเป็นภาษาไทย ได้ความว่า “เพราะว่าสังขตธรรมทั้งปวง มีอุปมาดั่งความฝัน ดั่งภาพมายา ดั่งฟองน้ำ ดั่งเงา ดั่งน้ำค้าง และดั่งสายฟ้าแลบ พึงเพ่งพิจารณาด้วยอาการอย่างนี้” นอกจากนี้ยังมีฉบับของ อมร ทองสุข ว่า “สังขตธรรมทั้งปวง ดุจฝันมายาฟองสบู่เงา ดุจนิศาชลและอสนี ควรพินิจด้วยอาการเช่นนี้แล”

[3] เป็นคำกล่าวของเจ้าชายสิทธัตถะยามเมื่อประสูติขึ้นมา ว่ากันว่าได้ออกเดินทั้งหมดเจ็ดก้าว มีดอกบัวผุดขึ้นตามรายทางรองพระบาทไปทุกก้าวย่าง ก่อนที่จะเอ่ยอาสภิวาจาออกมา (ตามคัมภีร์หรือนิทานฉบับจีน) แต่ในฉบับที่ไทยรับมาก็มีคำกล่าวที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย อนึ่งในมุมของผู้แปลอยากจะกล่าวเสริมไว้ว่านี่เป็นเพียงเรื่องเล่าที่มีหลักฐานเก่าแก่สุดราวๆ 700 ปีหลังพุทธกาลเท่านั้น ซึ่งไม่มีหลักฐานบ่งชี้แน่ชัดว่าในสมัยพุทธกาลจริงๆ มีเรื่องราวนี้มาก่อนหรือไม่ หรือเป็นเพียงการเสริมเติมแต่งของผู้คนในยุคหลัง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 17 นี่ไงล่ะ องค์ยูไล!

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 17 นี่ไงล่ะ องค์ยูไล! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 17 นี่ไงล่ะ องค์ยูไล!

 

 

ในรอบแรกของ ‘การถกปัญหาธรรม‘ ก็เป็นไปตามที่ซูฉินคาดเดาเอาไว้ ในรอบนี้ยังไม่ทันจะถึงหนึ่งในสี่ของชั่วโมง เจินหยวนก็มีใบหน้าที่ซีดลงเพราะไม่รู้จะตอบคำถามต่อไปอย่างไร

 

ถึงแม้ว่าเจินหยวนจะเชี่ยวชาญในพระธรรมคำสอน แต่เขานั้นประเมินบุตรศักดิ์สิทธิ์ของอารามวัชระต่ำเกินไป ทุกๆ คำที่ป๋าถัวพูดลื่นไหลราวกับมนต์สะกดที่ตราตรึงอยู่ในใจจนเขาไม่สามารถจะต่อสู้ ได้แต่พ่ายแพ้ลงในที่สุด

 

“ข้าแพ้แล้ว”

 

เจินหยวนยอมแพ้ สายตาเขาหมองหม่นลง

 

แม้ว่า ‘การถกปัญหาธรรม‘ ในบรรดาสำนักพุทธทั้งสี่จะไม่ได้ใช้ศิลปะวิชายุทธมาต่อสู้ห้ำหั่นกัน แต่ถ้าให้พูดกันจริงๆ แล้ว อย่างแรกดูจะอันตรายกว่าเสียอีก

 

การประลองด้วยวิทยายุทธอย่างมากก็เพียงแค่บาดเจ็บตามร่างกาย ตราบเท่าที่มันไม่ร้ายแรงจนเกินไป การฟื้นตัวก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็น

 

แต่การ ‘ถกปัญหาธรรม‘ เป็นการต่อสู้กันทางอุดมการณ์ความเข้าใจส่วนตัว เมื่อสูญเสียไป แม้ร่างกายจะสบายดีแต่จิตวิญญาณย่อมได้รับผลกระทบอย่างหนักและอาจตกอยู่ในความสงสัยในตนจนนำไปสู่การกลายเป็นมารร้ายในจิตใจไปเลยก็มี

 

ถ้าจิตใจส่วนที่เป็นมารก่อตัวขึ้นได้สักหนึ่งในสิบแล้วล่ะก็ ผู้นั้นย่อมไม่มีความก้าวหน้าต่อไปทั้งชีวิต ติดอยู่แบบนั้น

 

ด้วยจุดจบแบบนี้ของเจินหยวน เหล่าศิษย์ของวัดเส้าหลินต่างหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ

 

พวกเขามีความหวังว่าเจินหยวนที่มีความเข้าใจมากในพระธรรมจะสามารถเอาชนะป๋าถัวแห่งอารามวัชระได้ แต่พวกเขากลับแพ้อย่างยับเยินเกินไป

 

เจินหยวนต้านเอาไว้ได้ไม่ถึงสิบห้านาทีก่อนจะลุกขึ้นขอยอมแพ้

 

นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน?

 

มันหมายความว่าความเข้าใจในธรรมของเจินหยวนยังด้อยกว่าป๋าถัวมาก

 

“ท่านปล่อยให้ข้าได้ชัยเสียแล้ว”

 

ป๋าถัวมีการแสดงออกที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็ยังพนมมือค้อมหัวลงให้กับเจินหยวน

 

“เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจัดเตรียมรูปต่อไปมาเลย” สงฆ์ผู้ฝึกยุทธระดับชั้นที่สองจากอารามวัชระมองทางเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินแล้วกล่าวคำ

 

“หึ!” หัวหน้าฝ่ายวินัยพ่นลมหายใจออกสีหน้าขมึงเกร็ง มองไปยังใบหน้าของเจินหยวนที่มีร่องรอยของความทุกข์ฉายอยู่

 

เจินหยวนเป็นศิษย์คนโปรดของเขา เขาจะทำเฉยเมยได้เช่นไรเมื่อถูกทำลายจิตใจเช่นนี้?

 

“นะโม อมิตตาพุทธ……”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินมองไปที่ป๋าถัวอย่างลึกซึ้งแล้วกล่าวเรียกออกไปอีกครั้งหนึ่ง “เจินเข่อ”

 

“ครับท่านเจ้าอาวาส”

 

ศิษย์คนที่สองของวัดเส้าหลินลุกขึ้นแล้วเดินไปนั่งยังตำแหน่งที่เจินหยวนเคยนั่งอยู่เมื่อครู่

 

‘ถกปัญหาธรรม‘ ครั้งที่สองเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

 

“ช่างน่าเบื่อ”

 

ซูฉินเฝ้ามองอยู่เพียงครู่ก็รู้สึกเบื่อหน่าย ดังนั้นเขาจึงปลีกตัวออกมายามเมื่อสบโอกาส

 

พวกศิษย์ลานจิปาถะเดิมก็เป็นกลุ่มศิษย์ที่ถูกวางไว้ปลายแถวอยู่แล้ว ตัวซูฉินเองก็เป็นสุดยอดของความไม่โดดเด่น เช่นนั้นเขาจึงออกไปได้โดยไม่มีใครสังเกตเห็นเลย

 

“เดินทีข้าคิดว่าพุทธศาสนาจะช่วยปลีกตัวตนของผู้คนออกจากโลก แต่ดูเหมือนข้าจะคิดผิดไป”

 

ที่แรกซูฉินไปยังศาลาพระคัมภีร์เพื่อจะใช้สิทธิลงชื่อเข้าใช้ของวันนี้ จากนั้นจึงมองหาที่เงียบๆ ที่ไม่มีใครมารบกวนเพื่อที่จะใช้โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์

 

สองสามชั่วโมงต่อมาซูฉินก็กลับไปที่โถงใหญ่

 

อย่างไรก็ตาม

 

เวลานี้ซูฉินรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่สิ้นหวังของเหล่าศิษย์

 

“พวกเราแพ้ พวกเราพ่ายแพ้…” ศิษย์คนหนึ่งจากลานจิปาถะที่อยู่ใกล้ๆ พึมพำ แลดูว่างเปล่า

 

“แพ้หมด?”

 

ซูฉินมองไปที่หน้าโถงประชุมใหญ่

 

ในขณะนี้เป็นศิษย์ของท่านเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินนามว่าเจินหวู่ที่เป็นผู้นั่งประจันหน้าอยู่กับป๋าถัว

 

เจินหวู่เป็นศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดท่ามกลางหมู่ศิษย์รุ่น ‘เจิน‘ เขาได้รับการยอมรับให้กลายเป็นศิษย์ของท่านเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินตั้งแต่เข้ามาในวัดเป็นครั้งแรก

 

และเจินหวู่ก็ไม่ได้ทำให้เจ้าอาวาสผิดหวัง ทั้งความรู้ความเข้าใจในศาสนาและความขยันหมั่นเพียรในการฝึกวิทยายุทธของเขานั้นสูงที่สุดในหมู่พระรุ่นใหม่ของวัดเส้าหลินเลย

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินแม้กระทั่งจะเตรียมฝึกให้เจินหวู่มาเป็นเจ้าอาวาสรุ่นต่อไปของวัดเส้าหลิน

 

โดยพื้นฐานตามการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ ที่ผ่านๆ มา ศิษย์อย่างเจินหวู่จะต้องไปอยู่ในรอบสุดท้ายเพื่อรับบทเป็นไพ่ลับ

 

แต่ในตอนนี้

 

เจินหวู่ได้เข้าประลองเรียบร้อย

 

มีความเป็นไปได้เดียวเท่านั้น…

 

ศิษย์แปดคนแรกของวัดเส้าหลินล้วนแต่พ่ายแพ้ไปแล้ว

 

“เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”

 

ซูฉินอดประหลาดใจเล็กๆ ไม่ได้

 

แค่สองสามชั่วโมง น้อยกว่าครึ่งวันเสียอีก บุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งอารามวัชระก็ชนะศิษย์ทั้งแปดของวัดเส้าหลินไปแล้ว?

 

จะว่าเช่นนั้นก็ไม่ถูก

 

มันควรจะเป็นศิษย์ทั้งเก้า

 

เพราะในขณะนี้เจินหวู่ดูเหมือนจะตกเป็นรองและคงจะฝืนอยู่ได้อีกไม่นาน

 

ภายในครึ่งชั่วโมง

 

“สังขตธรรม[1] ทั้งปวง ดุจฝันมายา ฟองสบู่ เงา ดุจนิศาชลและอัสนี ควรสังเกตสิ่งเหล่านั้นด้วยอาการเช่นนี้แล”[2]

 

ปากของป๋าถัวพร่ำพูดออกมา ดูเหมือนเขาจะขจัดความกังวล ความชั่วร้ายทั้งหมดในโลกให้สิ้นไป ราวกับเขาบรรลุไปถึงอีกฟากฝั่งหนึ่งแล้วก็มิปาน

 

“ขอบคุณพี่ท่านที่ยินยอมมอบชัยชนะให้แก่ข้าผู้นี้”

 

ป๋าถัวค่อยๆ ลุกขึ้น ประกบมือกันไว้ด้านหน้า ค้อมตัวลงใบหน้าเคร่งขรึม

 

เจินหวู่ยังคงนั่งขัดสมาธิใบหน้าเขาหมองซีดราวกับกระดาษ เขาแพ้เสียแล้ว

 

“นะโม อมิตตาพุทธ…”

 

พระที่อยู่ในระดับชั้นที่สองผู้มาจากอารามวัชระมีการแสดงออกที่เบิกบานยิ่งและท่องบทสวดออกมา

 

ในทันใดนั้นนอกจากเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินแล้ว เหล่าหัวหน้าตำหนักต่างๆ ต่างก็รู้สึกอับอายและไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น

 

พวกเขาไม่คาดคิดจริงๆ ว่าอีกฝ่ายจะใช้เพียงคนเดียวเท่านั้น แล้วพวกตนยังจะต้องมาพ่ายแพ้คาวัดเส้าหลินแบบนี้จริงๆ น่ะหรือ?

 

เพียงคนเดียว!

 

บรรดาศิษย์ของวัดเส้าหลินเต็มไปด้วยความเศร้าโศก รู้สึกว่าใบหน้าของวัดเส้าหลินถูกเหยียบย่ำอยู่ใต้ฝ่าเท้าของอารามวัชระ แต่พวกเขาทำอะไรไม่ได้เลย

 

เหตุเพราะป๋าถัวจากอารามวัชระชนะติดต่อกันเก้าครั้งและได้รับชัยชนะจากการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ ในครั้งนี้ไปนั่นเอง

 

“ในเมื่อการถกปัญหาธรรมได้จบสิ้นลงไปแล้วในครานี้ เราไม่ควรจะรบกวนวัดเส้าหลินเนิ่นนานไปกว่านี้ ข้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งแล้ว”

 

พระระดับชั้นที่สองของอารามวัชระกวาดสายตาไปที่ผู้ชมโดยรอบ และกล่าวคำออกมาอย่างช้าๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครกล้าที่จะมองเขา

 

การแสดงออกของเหล่าหัวหน้าตำหนักซีดเซียว และบางคนถึงกับมีอาการไอพลังไม่เสถียร

 

หลังจากวันนี้ไป ผลการประลอง ‘ถกปัญหาธรรม‘ ระหว่างวัดเส้าหลินและอารามวัชระจะแพร่กระจายออกไป สถานะการเป็นผู้นำของสำนักพุทธทั้งสี่ก็จะถูกส่งมอบให้กับอารามวัชระ

 

เมื่อนึกถึงชัยชนะที่บรรพบุรุษของวัดเส้าหลินได้รับมาก่อนหน้า แต่บัดนี้เป็นเพราะว่าคนรุ่นใหม่ในวัดไร้ซึ่งความสามารถ ความจริงอันนี้ทำให้ศิษย์ของวัดเส้าหลินทุกคนรวมถึงเจ้าอาวาสต้องเจ็บปวดราวกับหลั่งเลือด

 

แม้แต่ตอนที่กลุ่มสงฆ์อารามวัชระได้จากไปแล้ว ทั่วทั้งโถงประชุมใหญ่ก็ยังคงเงียบกริบ

 

“น่าละอายต่อบรรพบุรุษนัก…”

 

หัวหน้าลานจิปาถะเหม่อมองขึ้นไปบนฟ้าถอนหายใจออกมา ใบหน้าของเขาแดงก่ำพ่นเลือดออกมาจากปากและล้มพับลงไปกับพื้น

 

“ท่านหัวหน้าตำหนัก!”

 

“ท่านหัวหน้าตำหนักเป็นอะไรหรือไม่?”

 

“ศิษย์น้องเจ้าสบายดีหรือไม่?”

 

ศิษย์ของลานจิปาถะหลายคนต่างตกตะลึง เจ้าอาวาสก้าวออก ปรากฏตัวที่ด้านหน้าของหัวหน้าลานจิปาถะ ยื่นมือออกไปตรวจสอบ

 

จากนั้นไม่นาน

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินส่ายหัว “ศิษย์น้องไม่เป็นอะไร เพียงแต่อารมณ์เดือดพล่านเกินไปทำให้กำลังภายในและเลือดลมในกายลดลง…”

 

 

ไม่ไกลนัก ซูฉินมองไปที่หัวหน้าลานจิปาถะที่ล้มลง แล้วเขาก็เงียบไป

 

เป็นเวลาสิบปีในวัดเส้าหลิน หัวหน้าลานจิปาถะดูแลซูฉินอย่างดีและมักมีความคิดที่จะย้ายซูฉินไปตำหนักลานอรหันต์หรือไม่ก็ตำหนักยุทธสงฆ์แทนที่จะมามัวแต่เป็นพระกวาดลาน

 

ทว่าความตั้งใจดีนั้นก็ถูกซูฉินปฏิเสธไปเสียทั้งหมด

 

“ชื่อเสียงของวัดเส้าหลินสำคัญกับท่านมากเช่นนี้เชียวหรือ?”

 

ซูฉินกระซิบถามตัวเองในใจ

 

จากนั้นเขาจึงหันหลังกลับแล้วออกไป

 

 

ด้านนอกวัดเส้าหลิน

 

กลุ่มอารามวัชระต่างก็มุ่งหน้าตรงดิ่งกลับไปตามจุดหมาย

 

“ป๋าถัว เมื่อพวกเรากลับกันไปครานี้ท่านเจ้าอาวาสจะต้องดีใจมากเป็นแน่ หากมิใช่เพราะเจ้า เราจะได้รับตำแหน่งผู้นำของสำนักพุทธทั้งสี่มาอย่างง่ายดายเช่นนี้ได้เยี่ยงไร?”

 

พระระดับชั้นที่สองของอารามวัชระมองไปที่ป๋าถัวและพูดด้วยความพอใจ

 

ชื่อของพระรูปนี้คือ ‘ถงหรู‘ และเขาเป็นผู้พิทักษ์ของอารามวัชระในยุคนี้ มีฐานพลังการฝึกฝนอยู่ที่ระดับชั้นที่สอง

 

ป๋าถัวในฐานะที่เป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ของอารามวัชระ เป็นธรรมดาที่ไม่สามารถออกเที่ยวท่องไปตามที่ต่างๆ โดยไร้ซึ่งการคุ้มกัน ดังนั้นถงหรูจึงเป็นผู้คุ้มกันของป๋าถัว

 

“หลวงลุง เราทำแบบนี้มันถูกต้องแล้วจริงๆ อย่างนั้นหรือ?”

 

ป๋าถัวอดไม่ได้ที่จะถาม

 

“แน่นอนอยู่แล้ว”

 

เขายังคงกำชับให้มั่นใจมากขึ้นไปอีก “การต่อสู้กันด้วยแนวความคิดเป็นเรื่องของแพ้ชนะ ไม่เกี่ยวกับถูกหรือผิด”

 

เมื่อป๋าถัวได้ยินดังนั้นในดวงตาของเขาก็ฉายแววครุ่นคิด

 

ทันใดนั้น

 

ช่วงเวลานี้นี่เอง

 

ผู้พิทักษ์ของอารามวัชระก็เหมือนจะรู้สึกถึงบางอย่างแล้วเงยหน้าขึ้นมอง

 

เห็นเป็นพระภิกษุหนุ่มสวมจีวรสีเทายืนสงบนิ่งอยู่ใต้ต้นหลินที่เหี่ยวเฉา

 

“เอ๊ะ?”

 

หัวคิ้วของผู้พิทักษ์ถงหรูขมวดเข้ามาชนกัน

 

“เจ้าใช่ศิษย์ของวัดเส้าหลินหรือไม่?”

 

‘ถงหรู‘ ถามเสียงดัง

 

นี่เป็นบริเวณของวัดเส้าหลิน เป็นที่สงวนไว้สำหรับวัดเส้าหลิน พระวัดอื่นไม่น่าจะมาอยู่ที่นี่ได้

 

พระหนุ่มพยักหน้า แล้วสักพักก็ส่ายศีรษะ

 

พระหนุ่มรูปนี้ย่อมเป็นซูฉิน เขามาอยู่จุดนี้นานแล้ว

 

“ข้าได้ยินข่าวลือมาว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ของอารามวัชระเป็นถึงพุทธศาสนิกชนระดับตำนานยุทธกลับชาติมาเกิด ที่ตัวข้ามาในยามนี้ก็ประสงค์จะพูดคุยปรึกษาถกเถียงปัญหาธรรมกับท่าน!”

 

ซูฉินเอ่ยออก ไม่เร็วแต่ก็ไม่ได้ช้าจนเกินไป

 

“ถกปัญหาธรรม?”

 

‘ถงหรู‘ ผงะไปครู่หนึ่ง “อารามวัชระของเราได้ถกปัญหาธรรมกับวัดเส้าหลินของเจ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผลลัพธ์ก็ออกมาแล้ว เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็มิได้มีเรื่องอันใดขัดข้อง เจ้าจะมาทำไมอีก?”

 

“หลวงลุงขอรับ”

 

“ในเมื่อเป็นศิษย์พี่จากวัดเส้าหลิน เช่นนั้นก็ให้ข้าได้ถกเถียงกันอีกสักครั้งเถิด”

 

ป๋าถัวก้าวเท้าไปข้างหน้า และกล่าวออกอย่างเคร่งขรึม “ไม่ทราบว่าศิษย์พี่จะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องใด?”

 

“งั้นถกกันเรื่องที่เจ้าต้องการเป็นอย่างไร”

 

ซูฉินยิ้มเล็กน้อย กล่าวออกมาเบาๆ

 

ป๋าถัวพนมมือแล้วกล่าวว่า “งั้นศิษย์พี่ช่วยบอกหน่อยว่า‘องค์ยูไล‘ คือสิ่งใด?”

 

จนถึงตอนนี้ป๋าถัวถามในคำถามเดิมเหมือนกับตอนที่ทำให้ศิษย์ทั้งเก้าของวัดเส้าหลินต้องพ่ายแพ้

 

‘องค์ยูไล‘ คือสิ่งใด

 

‘องค์ยูไล‘ ก็ย่อมต้องเป็น ‘องค์ยูไล‘ แต่ใครเล่าที่จะสื่อถึงองค์ยูไล?

 

เป็นมนุษย์หรือไม่? คือพระเจ้า? เป็นจิตวิญญาณ? หรือเป็นสิ่งใด?

 

ไม่มีใครอาจรู้เห็น

 

ไม่มีใครกล้าคาดเดามั่วๆ

 

ผู้พิทักษ์อย่าง ‘ถงหรู‘ ส่ายหัว

 

แม้แต่เจ้าอาวาสอารามวัชระก็เคยถูกถามคำถามแบบนี้มาก่อน

 

นอกจากนั้น ถงหรูย่อมเห็นได้ว่าสถานะของซูฉินในวัดเส้าหลินไม่ได้สูงนัก ไม่เช่นนั้นก็คงไม่สวมจีวรสีเทา

 

และเหตุผลที่มาหยุดพวกเขาที่ตรงนี้ก็น่าจะเป็นเพราะเขาไม่เต็มใจที่จะแพ้พ่าย

 

แต่ถึงไม่เต็มใจแล้วจะทำอย่างไรได้

 

วัดเส้าหลินโดนบดขยี้โดยศิษย์น้องป๋าถัวจนจมดิน

 

เป็นไปได้หรือที่วัดเส้าหลินจะมีศิษย์คนไหนที่เอาชนะป๋าถัวได้อีก?

 

จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า?

 

“ ‘องค์ยูไล‘ คือสิ่งใด?”

 

ขณะนี้ซูฉินพูดทวนด้วยน้ำเสียงต่ำ แล้วเริ่มจะเปลี่ยนเป็นเสียงที่สูงขึ้นเรื่องๆ จนทุกคนตกใจ

 

“แหกตาดูสิ ‘องค์ยูไล‘ อยู่ตรงหน้าพวกเจ้า!”

 

บูม!!!

 

คำพูดที่ออกมา

 

พระทุกรูปรวมถึงผู้พิทักษ์จากอารามวัชระต่างตกตะลึง

 

พวกเขาไม่เคยเห็นใครที่หยิ่งผยองได้ถึงเพียงนี้ ขนาดเปรียบเทียบตนเองกับ ‘องค์ยูไล‘?

 

“สามหาว!”

 

ผู้พิทักษ์อาราม ‘ถงหรู‘ ตอบโต้อย่างรุนแรงและกำลังจะกล่าวคำตำหนิ

 

อย่างไรก็ตาม

 

ชั่วอึดใจต่อมา

 

เขากำลังจะได้เห็นฉากที่น่าทึ่งที่สุดในชีวิตที่เกิดมา

 

ทันใดนั้นร่างสีทองขององค์ยูไลก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังซูฉิน เขาชี้มือขึ้นฟ้า อีกมือจรดพื้นปฐพี มีแสงสีทองระยับไร้ขอบเขต มองดูสง่างาม แล้วพลันมีเสียงชวนฟังพูดออกมา

 

“สูงกว่าสวรรค์ เหนือกว่าพิภพ เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุด”[3]

 

“นี่…นี่มัน…”

 

กลุ่มสงฆ์จากอารามวัชระยืนนิ่งงัน ป๋าถัวจ้องมองค้างราวกับเขาถูกสายฟ้าฟาด มองไปทางซูฉินด้วยอาการร่างกายสั่นเทา…

 

เมื่อมองไปยังองค์ยูไลสีทอง มองเห็นแสงเซนผุดผ่องแผ่ขยายไปทั่วผืนฟ้าแลผืนดิน… เพียงตัวตถาคตคือผู้ประเสริฐที่สุด!

 

 

 

————————————————

 

[1] สังขตธรรม – สังขต หมายถึง สิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งขึ้น, สังขารทุกอย่างที่มีการปรุงแต่งขึ้นจากหลายๆ สิ่งรวมกัน เรียกว่า สังขต ย่อมหมายถึงสิ่งทุกอย่างนอกจากนิพพาน ส่วนนิพพานเป็นอสังขต

[2] คำกล่าวที่ยกมาจากวัชรปรัชญาปารมิตาสูตร แปลจากสันสกฤตเป็นภาษาจีนโดย พระกุมารชีวะ (หรือจิวหมอหลอสือ) ราวปี พ.ศ.944 ความว่า 一切有为法,如梦幻泡影,如露亦如电,应作如是观。

ซึ่งมีการแปลโดย เสถียร โพธินันทะ จากจีนเป็นภาษาไทย ได้ความว่า “เพราะว่าสังขตธรรมทั้งปวง มีอุปมาดั่งความฝัน ดั่งภาพมายา ดั่งฟองน้ำ ดั่งเงา ดั่งน้ำค้าง และดั่งสายฟ้าแลบ พึงเพ่งพิจารณาด้วยอาการอย่างนี้” นอกจากนี้ยังมีฉบับของ อมร ทองสุข ว่า “สังขตธรรมทั้งปวง ดุจฝันมายาฟองสบู่เงา ดุจนิศาชลและอสนี ควรพินิจด้วยอาการเช่นนี้แล”

[3] เป็นคำกล่าวของเจ้าชายสิทธัตถะยามเมื่อประสูติขึ้นมา ว่ากันว่าได้ออกเดินทั้งหมดเจ็ดก้าว มีดอกบัวผุดขึ้นตามรายทางรองพระบาทไปทุกก้าวย่าง ก่อนที่จะเอ่ยอาสภิวาจาออกมา (ตามคัมภีร์หรือนิทานฉบับจีน) แต่ในฉบับที่ไทยรับมาก็มีคำกล่าวที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย อนึ่งในมุมของผู้แปลอยากจะกล่าวเสริมไว้ว่านี่เป็นเพียงเรื่องเล่าที่มีหลักฐานเก่าแก่สุดราวๆ 700 ปีหลังพุทธกาลเท่านั้น ซึ่งไม่มีหลักฐานบ่งชี้แน่ชัดว่าในสมัยพุทธกาลจริงๆ มีเรื่องราวนี้มาก่อนหรือไม่ หรือเป็นเพียงการเสริมเติมแต่งของผู้คนในยุคหลัง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+