เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 18 วิหารพระสหัสพุทธ

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 18 วิหารพระสหัสพุทธ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 18 วิหารพระสหัสพุทธ (เชียนฝัวเตี้ยน)

 

 

“นี่คือ‘องค์ยูไล‘ คือ‘องค์ยูไล‘จริงๆ…” ป๋าถัวสูญเสียสติไป

 

เขาเข้าสู่อารามวัชระมาตั้งแต่เด็ก อ่านพระคัมภีร์มาแล้วทั้งวัด และได้คิดจินตนาการถึง‘องค์ยูไล‘ ไปนับพันแบบ

 

แต่ขณะนี้…

 

ป๋าถัวได้ตระหนักแล้วว่าตนเองอาจหาญเพียงใด

 

‘องค์ยูไล‘ องค์จริงสีทองส่องสว่างไสวตรงหน้านี้ เขาจะไปจินตนาการถึงได้อย่างไร?

 

“นี่คือ?”

 

ผู้พิทักษ์อารามถงหรู หลุดออกจากอาการตกใจมาได้อย่างยากลำบาก

 

รัศมีแห่งองค์ยูไลแผ่ขยายไปทั่ว

 

‘ถงหรู‘ รู้สึกได้ว่าเส้นสายกำลังภายในของเขาเหมือนถูกกดทับด้วยน้ำหนักที่มากโข อย่าว่าแต่วิ่งเลย แค่ขยับตัวยังลำบาก มันยากเย็นราวกับกำลังไต่บันไดขึ้นสวรรค์อยู่

 

ศิษย์อารามวัชระทั้งเจ็ดยิ่งแย่ไปกว่านั้น พวกเขาถึงขั้นลงนั่งกับพื้น สีหน้าว่างเปล่า

 

แล้วเวลาก็ผ่านไป

 

ไม่นานนัก รังสีขององค์ยูไลก็ค่อยๆ สลายหายไปช้าๆ

 

หลังจากที่แสงแห่งองค์ยูไลหายไปโดยสมบูรณ์ กลุ่มอารามวัชระจึงค่อยฟื้นคืนสติกลับมา

 

“คนผู้นั้นไปไหนเสียแล้ว”

 

ศิษย์ของอารามวัชระคนหนึ่งกล่าวถามเสียงแผ่ว

 

พระรูปอื่นๆ ก็พลันมีปฏิกิริยาตอบสนอง และพบว่าไม่มีใครยืนอยู่ที่ใต้ต้นหลินอีกต่อไปแล้ว

 

“วัดเส้าหลินนี่ยากแท้หยั่งถึงจริงๆ…” ถงหรูมีการแสดงออกที่ซับซ้อนบนใบหน้าก่อนที่จะถอนหายใจออกมา

 

ในตอนนี้เขาอยากจะไปพูดคุยกับคนที่มันปล่อยข่าวลือเรื่องที่วัดเส้าหลินได้เสื่อมโทรมลงเสียจริงๆ

 

ถ้าวัดเส้าหลินเสื่อมโทรมลงแล้วจริงๆ จะอธิบายเรื่องพระหนุ่มผู้เรียกรัศมีแห่งองค์ยูไลออกมาได้อย่างไร?

 

ถ้านี่ถือว่าเป็นการเสื่อมถอยลงแล้วล่ะก็ อารามวัชระไม่ได้นับว่าเสื่อมโทรมยิ่งกว่าจนถึงขั้นจวนจะล่มสลายไปเลยหรอกหรือ

 

“ในการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ ครานี้ ตกลงพวกเราแพ้หรือชนะกันแน่?” ในเวลานั้นเองพระรูปหนึ่งของอารามวัชระถามออกมาอย่างระมัดระวัง

 

หัวใจของพระรูปอื่นๆ เหมือนถูกบีบไว้แน่นแล้วมองไปที่ป๋าถัว

 

แม้แต่ถงหรูก็เบนสายตามายังป๋าถัว

 

“ชนะหรือแพ้?”

 

ป๋าถัวยิ้มขึ้น “เมื่อเราถกเถียงกันเรื่อง‘องค์ยูไล‘ ต่อหน้า ‘องค์ยูไล‘ ไยเราจึงจะสามารถชนะได้?”

 

“หลวงลุง กลับอารามวัชระกันเถอะ”

 

“วัดเส้าหลินควรค่าแก่นามนี้แล้ว สมกับชื่อเสียงที่มีมา ฉะนั้นพวกเราอย่าได้คิดเรื่องนี้อีกต่อไปเลย”

 

หลังจากป๋าถัวพูดจบ เขาก็มุ่งหน้ากลับอารามวัชระ

 

ถงหรูถอนหายใจเหนื่อยอ่อน แล้วเดินตามไป

 

ศิษย์ที่เหลือทั้งเจ็ดต่างมองหน้ากัน แล้วพวกเขาก็เดินตามพระอาจารย์ ‘ถงหรู‘ ไป

 

 

ณ อารามวัชระ

 

พระอาจารย์ถงหรูก็ได้เล่าประสบการณ์ให้เจ้าอาวาสอารามวัชระฟังตามความเป็นจริง

 

เจ้าอาวาสอารามวัชระเงียบไปนานก่อนจะพูดด้วยเสียงเบาว่า

 

“เป็นไปได้หรือไม่ว่าวัดเส้าหลินยุคสมัยนี้จะมีพระระดับอรหันต์อยู่?”

 

“อรหันต์?” ถงหรูตกใจ

 

ระดับอรหันต์ในสำนักพุทธสามารถเปรียบได้กับเหล่าตำนานยุทธ เป็นขั้นพลังที่ทรงพลังไร้ต้านเหนือล้ำไปกว่าระบบการนับระดับพลังยุทธทั้งเก้าขั้น

 

และตัวตนของแต่ละ ‘อรหันต์‘ หรือ ‘ตำนานยุทธ‘ ล้วนบ่งบอกถึงความยืนยงไร้พ่าย

 

 

 

ยามเมื่อซูฉินกลับมาที่วัดเส้าหลิน ศิษย์จำนวนมากในโถงใหญ่ต่างก็ถูกไล่กลับไปโดยเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน ส่วนหัวหน้าตำหนักก็เริ่มทยอยออกกันไปแล้ว

 

“ไม่คาดคิดเลยว่าแค่การแสดงเมื่อครู่จะทำให้เกิดปรากฏการที่ยิ่งใหญ่เพียงนั้น แถมยังใช้พลังภายในของข้าไปจนเกือบหมดเกลี้ยง”

 

ซูฉินถูนวดที่ระหว่างคิ้วพยายามทำใจให้สงบ ทำไมถึงเป็นหว่างคิ้วน่ะหรือ ก็เพราะด้านในส่วนลึกที่หว่างคิ้วนั้นเป็นที่ประดิษฐานขององค์ยูไลสีทองที่มาจากวิชา [ฝ่ามือยูไล] น่ะสิ

 

ตอนที่ป๋าถัวถามเขาว่าสิ่งใดคือ‘องค์ยูไล‘ ซูฉินก็นึกไปถึง [ฝ่ามือยูไล]

 

[ฝ่ามือยูไล] เป็นที่ทราบกันว่าคือวิชาส่วนตัวขององค์ยูไล และในทุกวันนี้ ไม่มีสิ่งอื่นใดที่จะใกล้เคียงกว่านี้ในการสื่อถึง‘องค์ยูไล‘ มากไปกว่า [ฝ่ามือยูไล] อีกแล้ว

 

ดังนั้นซูฉินจึงใช้พลังกระตุ้นไปที่หว่างคิ้วเล็กน้อย

 

แม้ว่าซูฉินจะไม่สามารถใช้ [ฝ่ามือยูไล] ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สามารถกระตุ้นการทำงานได้

 

ผลที่ตามมายามเมื่อเขากระตุ้นการทำงานไปนั้น ก็ทำให้เกิดเหตุการณ์การปรากฏตัวของร่างองค์ยูไลสีทอง

 

ด้วยสิ่งนี้ซูฉินจึงประหยัดเวลาไปมากโขในการตอบคำถามของป๋าถัว

 

“แต่ว่า…จริงๆ แล้ว [ฝ่ามือยูไล] เป็นเคล็ดวิชายุทธระดับไหนกันแน่นะ?”

 

ความสงสัยผุดขึ้นในใจของเขาอีกครั้ง

 

ซูฉินเป็นถึงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่มีพลังภายในแข็งแกร่ง แต่ถึงกระนั้นก็ทำได้เพียงกระตุ้นใช้ [ฝ่ามือยูไล] ได้แค่เล็กน้อย พลังภายในก็ถูกใช้ออกไปอย่างรวดเร็ว แล้วหากต้องการจะใช้พลังของฝ่ามือทั้งหมดจริงๆ มิตัวแห้งตายไปเลยหรอกหรือ?

 

ซูฉินคิดวนเวียนแล้วจึงเดินทางกลับไปยังลานจิปาถะ

 

เวลานี้หัวหน้าลานจิปาถะฟื้นแล้วและสีหน้าก็ดูดีขึ้นบ้าง

 

แต่ซูฉินรู้สึกได้ว่าพลังชีวิตของหัวหน้าลานลดฮวบลงไปอีกครั้ง และเข้าใกล้ปากเหวจุดสิ้นสุดของชีวิตเพิ่มขึ้นไปอีกหน่อย

 

ซูฉินเดาว่าอย่างน้อยก็ห้าถึงสิบปีหัวหน้าลานจิปาถะคงมรณภาพลง

 

“เฮ้อ…..”

 

ซูฉินถอนหายใจแผ่วเบา แต่ก็ยังก้าวเข้าไปแล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “ท่านหัวหน้าตำหนักสบายดีหรือไม่”

 

“ไม่ได้เป็นอะไรหรอก”

 

หัวหน้าตำหนักโบกมือไปมา “ตอนนี้อารมณ์เย็นขึ้นมากแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงไป”

 

หัวหน้าตำหนักหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวคำที่เต็มไปด้วยความรู้สึก “คนเราก็แก่ชราขึ้นทุกวัน เมื่อชราแล้วเลือดเนื้อพลังชีวิตก็มีแต่จะลดลงๆ ทำอะไรไม่ได้หรอกนอกจากจะยอมรับมัน”

 

 

ผ่านไปอีกครึ่งเดือน

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักกำลังรออย่างทรมานเพื่อให้อารามวัชระประกาศผลของการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ ออกมา

 

แต่ทว่าเจ้าอาวาสก็ต้องประหลาดใจ แม้แต่ผ่านไปสองสามเดือนก็ยังไม่มีข่าวคราวความเคลื่อนไหวของอารามวัชระ ราวกับการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ กับวัดเส้าหลินนั้นไม่เคยเกิดขึ้น

 

“อารามวัชระก็ได้ชนะในการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ ไปแล้วแต่ทำไมจนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่ป่าวประกาศออกมาอีก?” เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินสงสัย

 

ถึงแม้จะไม่ค่อยสบายใจที่ต้องส่งมอบตำแหน่งผู้นำในสำนักพุทธทั้งสี่ออกไป แต่ในเมื่อคุณชนะคุณก็คือผู้ชนะ ถ้าคุณแพ้คุณก็แค่แพ้

 

วัดเส้าหลินไม่ได้อยากจะปฏิเสธมันหรอก

 

วัดเส้าหลินจะไม่ปฏิเสธแม้อารามวัชระจะแพร่ข่าวนี้ออกไป

 

หรือเป็นไปได้ไหมว่าพวกนั้นอยากจะให้วัดเส้าหลินเริ่มประกาศออกไปเองว่าแพ้ให้กับอารามวัชระ?

 

จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า?

 

ในฐานะสุดยอดพรรคอย่างวัดเส้าหลินก็ต้องรักษาหน้าเช่นกัน นอกจากนั้นในการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ ตั้งแต่อดีตมา ฝ่ายที่ชนะไม่เคยทำแบบนี้

 

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย?”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินถึงกับงงงวย

 

เนื่องจากอารามวัชระไม่ออกมาพูดอะไร เจ้าอาวาสก็ไม่ต้องการจะถามออกไป พอเป็นเช่นนี้สำนักพรรคส่วนใหญ่ในยุทธภพต่างก็ไม่ได้รู้เลยว่าระหว่างอารามวัชระกับวัดเส้าหลินมีการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ กันไปเรียบร้อยแล้ว

 

แล้วสำนักพรรคส่วนน้อยที่ทราบเรื่องนี้ ก็คงคิดไปว่าอารามวัชระนั้นพ่ายแพ้และไม่เต็มใจที่จะแถลงไข

 

ในด้านของอารามวัชระ แม้ว่าจะรอไปหลายเดือน พวกเขาก็ยังสงสัยว่าทำไมวัดเส้าหลินยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ อีก และไม่มีการเอ่ยถึงการ  ‘ถกปัญหาธรรม ‘ เลย

 

ด้วยเหตุนี้เจ้าอาวาสอารามวัชระจึงได้เพียงแต่คิดไปว่า เจ้าอาวาสวัดเส้าหลินคงคร้านจะใส่ใจกับผลลัพธ์เหล่านี้

 

ในด้านของ  ‘ผู้ร้าย ‘ ตัวจริงที่สร้างความสับสนงุนงงให้ผู้อื่นไปทั่วอย่างซูฉิน ก็กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ นั่นก็คือลงชื่อเข้าใช้แล้วก็กวาดลานวัด

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับเคล็ดวิชา  ‘เคล็ดวิชาไม้ตายซาก ‘ ]

 

ที่ด้านหน้าศาลาพระคัมภีร์ ซูฉินมีความสุขเอามากๆ

 

[เคล็ดวิชาไม้ตายซาก ] เป็นหนึ่งในทักษะวิชาเฉพาะตัวของวัดเส้าหลิน ความสามารถนั้นยิ่งใหญ่ แต่ไม่ใช่เพื่อการโจมตีหรือการป้องกัน แต่ฝึกไว้เพื่อซ่อนตัวและปลอมแปลงตน

 

[เคล็ดวิชาไม้ตายซาก ] นั้น เมื่อฝึกไปจนถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ผู้นั้นย่อมควบคุมลมหายใจ ไอพลังของตนเองได้ตามต้องการ แล้วทำให้รู้สึกเหมือนว่ากลายเป็นเพียงกิ่งไม้ที่แห้งเหี่ยว แลดูเหมือนความว่างเปล่า

 

“ไม่เลวเลย”

 

“[เคล็ดวิชาไม้ตายซาก ] เมื่อรวมเข้ากับ  [กายาวัชระคงกระพัน ] มันการเป็นการเข้าคู่ที่สมบูรณ์แบบ !”

 

ซูฉินพึงพอใจเป็นอันมาก

 

แต่เดิม  [กายาวัชระคงกระพัน ] ก็ช่วยให้ซูฉินยับยั้งไอพลังของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ แล้วตอนนี้ยังเพิ่ม  [เคล็ดวิชาไม้ตายซาก ] มาซ้อนทับกันไปอีกระดับ

 

ในตอนที่ซูฉินกำลังจะทดลองใช้พลังของ  [เคล็ดวิชาไม้ตายซาก ] พลันพบเจอบางอย่างเข้า สีหน้าเปลี่ยนไปในทันที

 

“นั่นอะไรกัน ?”

 

ดวงตาของซูฉินหรี่แคบลง มองไปยังทิศทางหนึ่ง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 18 วิหารพระสหัสพุทธ

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 18 วิหารพระสหัสพุทธ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 18 วิหารพระสหัสพุทธ (เชียนฝัวเตี้ยน)

 

 

“นี่คือ‘องค์ยูไล‘ คือ‘องค์ยูไล‘จริงๆ…” ป๋าถัวสูญเสียสติไป

 

เขาเข้าสู่อารามวัชระมาตั้งแต่เด็ก อ่านพระคัมภีร์มาแล้วทั้งวัด และได้คิดจินตนาการถึง‘องค์ยูไล‘ ไปนับพันแบบ

 

แต่ขณะนี้…

 

ป๋าถัวได้ตระหนักแล้วว่าตนเองอาจหาญเพียงใด

 

‘องค์ยูไล‘ องค์จริงสีทองส่องสว่างไสวตรงหน้านี้ เขาจะไปจินตนาการถึงได้อย่างไร?

 

“นี่คือ?”

 

ผู้พิทักษ์อารามถงหรู หลุดออกจากอาการตกใจมาได้อย่างยากลำบาก

 

รัศมีแห่งองค์ยูไลแผ่ขยายไปทั่ว

 

‘ถงหรู‘ รู้สึกได้ว่าเส้นสายกำลังภายในของเขาเหมือนถูกกดทับด้วยน้ำหนักที่มากโข อย่าว่าแต่วิ่งเลย แค่ขยับตัวยังลำบาก มันยากเย็นราวกับกำลังไต่บันไดขึ้นสวรรค์อยู่

 

ศิษย์อารามวัชระทั้งเจ็ดยิ่งแย่ไปกว่านั้น พวกเขาถึงขั้นลงนั่งกับพื้น สีหน้าว่างเปล่า

 

แล้วเวลาก็ผ่านไป

 

ไม่นานนัก รังสีขององค์ยูไลก็ค่อยๆ สลายหายไปช้าๆ

 

หลังจากที่แสงแห่งองค์ยูไลหายไปโดยสมบูรณ์ กลุ่มอารามวัชระจึงค่อยฟื้นคืนสติกลับมา

 

“คนผู้นั้นไปไหนเสียแล้ว”

 

ศิษย์ของอารามวัชระคนหนึ่งกล่าวถามเสียงแผ่ว

 

พระรูปอื่นๆ ก็พลันมีปฏิกิริยาตอบสนอง และพบว่าไม่มีใครยืนอยู่ที่ใต้ต้นหลินอีกต่อไปแล้ว

 

“วัดเส้าหลินนี่ยากแท้หยั่งถึงจริงๆ…” ถงหรูมีการแสดงออกที่ซับซ้อนบนใบหน้าก่อนที่จะถอนหายใจออกมา

 

ในตอนนี้เขาอยากจะไปพูดคุยกับคนที่มันปล่อยข่าวลือเรื่องที่วัดเส้าหลินได้เสื่อมโทรมลงเสียจริงๆ

 

ถ้าวัดเส้าหลินเสื่อมโทรมลงแล้วจริงๆ จะอธิบายเรื่องพระหนุ่มผู้เรียกรัศมีแห่งองค์ยูไลออกมาได้อย่างไร?

 

ถ้านี่ถือว่าเป็นการเสื่อมถอยลงแล้วล่ะก็ อารามวัชระไม่ได้นับว่าเสื่อมโทรมยิ่งกว่าจนถึงขั้นจวนจะล่มสลายไปเลยหรอกหรือ

 

“ในการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ ครานี้ ตกลงพวกเราแพ้หรือชนะกันแน่?” ในเวลานั้นเองพระรูปหนึ่งของอารามวัชระถามออกมาอย่างระมัดระวัง

 

หัวใจของพระรูปอื่นๆ เหมือนถูกบีบไว้แน่นแล้วมองไปที่ป๋าถัว

 

แม้แต่ถงหรูก็เบนสายตามายังป๋าถัว

 

“ชนะหรือแพ้?”

 

ป๋าถัวยิ้มขึ้น “เมื่อเราถกเถียงกันเรื่อง‘องค์ยูไล‘ ต่อหน้า ‘องค์ยูไล‘ ไยเราจึงจะสามารถชนะได้?”

 

“หลวงลุง กลับอารามวัชระกันเถอะ”

 

“วัดเส้าหลินควรค่าแก่นามนี้แล้ว สมกับชื่อเสียงที่มีมา ฉะนั้นพวกเราอย่าได้คิดเรื่องนี้อีกต่อไปเลย”

 

หลังจากป๋าถัวพูดจบ เขาก็มุ่งหน้ากลับอารามวัชระ

 

ถงหรูถอนหายใจเหนื่อยอ่อน แล้วเดินตามไป

 

ศิษย์ที่เหลือทั้งเจ็ดต่างมองหน้ากัน แล้วพวกเขาก็เดินตามพระอาจารย์ ‘ถงหรู‘ ไป

 

 

ณ อารามวัชระ

 

พระอาจารย์ถงหรูก็ได้เล่าประสบการณ์ให้เจ้าอาวาสอารามวัชระฟังตามความเป็นจริง

 

เจ้าอาวาสอารามวัชระเงียบไปนานก่อนจะพูดด้วยเสียงเบาว่า

 

“เป็นไปได้หรือไม่ว่าวัดเส้าหลินยุคสมัยนี้จะมีพระระดับอรหันต์อยู่?”

 

“อรหันต์?” ถงหรูตกใจ

 

ระดับอรหันต์ในสำนักพุทธสามารถเปรียบได้กับเหล่าตำนานยุทธ เป็นขั้นพลังที่ทรงพลังไร้ต้านเหนือล้ำไปกว่าระบบการนับระดับพลังยุทธทั้งเก้าขั้น

 

และตัวตนของแต่ละ ‘อรหันต์‘ หรือ ‘ตำนานยุทธ‘ ล้วนบ่งบอกถึงความยืนยงไร้พ่าย

 

 

 

ยามเมื่อซูฉินกลับมาที่วัดเส้าหลิน ศิษย์จำนวนมากในโถงใหญ่ต่างก็ถูกไล่กลับไปโดยเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน ส่วนหัวหน้าตำหนักก็เริ่มทยอยออกกันไปแล้ว

 

“ไม่คาดคิดเลยว่าแค่การแสดงเมื่อครู่จะทำให้เกิดปรากฏการที่ยิ่งใหญ่เพียงนั้น แถมยังใช้พลังภายในของข้าไปจนเกือบหมดเกลี้ยง”

 

ซูฉินถูนวดที่ระหว่างคิ้วพยายามทำใจให้สงบ ทำไมถึงเป็นหว่างคิ้วน่ะหรือ ก็เพราะด้านในส่วนลึกที่หว่างคิ้วนั้นเป็นที่ประดิษฐานขององค์ยูไลสีทองที่มาจากวิชา [ฝ่ามือยูไล] น่ะสิ

 

ตอนที่ป๋าถัวถามเขาว่าสิ่งใดคือ‘องค์ยูไล‘ ซูฉินก็นึกไปถึง [ฝ่ามือยูไล]

 

[ฝ่ามือยูไล] เป็นที่ทราบกันว่าคือวิชาส่วนตัวขององค์ยูไล และในทุกวันนี้ ไม่มีสิ่งอื่นใดที่จะใกล้เคียงกว่านี้ในการสื่อถึง‘องค์ยูไล‘ มากไปกว่า [ฝ่ามือยูไล] อีกแล้ว

 

ดังนั้นซูฉินจึงใช้พลังกระตุ้นไปที่หว่างคิ้วเล็กน้อย

 

แม้ว่าซูฉินจะไม่สามารถใช้ [ฝ่ามือยูไล] ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สามารถกระตุ้นการทำงานได้

 

ผลที่ตามมายามเมื่อเขากระตุ้นการทำงานไปนั้น ก็ทำให้เกิดเหตุการณ์การปรากฏตัวของร่างองค์ยูไลสีทอง

 

ด้วยสิ่งนี้ซูฉินจึงประหยัดเวลาไปมากโขในการตอบคำถามของป๋าถัว

 

“แต่ว่า…จริงๆ แล้ว [ฝ่ามือยูไล] เป็นเคล็ดวิชายุทธระดับไหนกันแน่นะ?”

 

ความสงสัยผุดขึ้นในใจของเขาอีกครั้ง

 

ซูฉินเป็นถึงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่มีพลังภายในแข็งแกร่ง แต่ถึงกระนั้นก็ทำได้เพียงกระตุ้นใช้ [ฝ่ามือยูไล] ได้แค่เล็กน้อย พลังภายในก็ถูกใช้ออกไปอย่างรวดเร็ว แล้วหากต้องการจะใช้พลังของฝ่ามือทั้งหมดจริงๆ มิตัวแห้งตายไปเลยหรอกหรือ?

 

ซูฉินคิดวนเวียนแล้วจึงเดินทางกลับไปยังลานจิปาถะ

 

เวลานี้หัวหน้าลานจิปาถะฟื้นแล้วและสีหน้าก็ดูดีขึ้นบ้าง

 

แต่ซูฉินรู้สึกได้ว่าพลังชีวิตของหัวหน้าลานลดฮวบลงไปอีกครั้ง และเข้าใกล้ปากเหวจุดสิ้นสุดของชีวิตเพิ่มขึ้นไปอีกหน่อย

 

ซูฉินเดาว่าอย่างน้อยก็ห้าถึงสิบปีหัวหน้าลานจิปาถะคงมรณภาพลง

 

“เฮ้อ…..”

 

ซูฉินถอนหายใจแผ่วเบา แต่ก็ยังก้าวเข้าไปแล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “ท่านหัวหน้าตำหนักสบายดีหรือไม่”

 

“ไม่ได้เป็นอะไรหรอก”

 

หัวหน้าตำหนักโบกมือไปมา “ตอนนี้อารมณ์เย็นขึ้นมากแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงไป”

 

หัวหน้าตำหนักหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวคำที่เต็มไปด้วยความรู้สึก “คนเราก็แก่ชราขึ้นทุกวัน เมื่อชราแล้วเลือดเนื้อพลังชีวิตก็มีแต่จะลดลงๆ ทำอะไรไม่ได้หรอกนอกจากจะยอมรับมัน”

 

 

ผ่านไปอีกครึ่งเดือน

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักกำลังรออย่างทรมานเพื่อให้อารามวัชระประกาศผลของการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ ออกมา

 

แต่ทว่าเจ้าอาวาสก็ต้องประหลาดใจ แม้แต่ผ่านไปสองสามเดือนก็ยังไม่มีข่าวคราวความเคลื่อนไหวของอารามวัชระ ราวกับการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ กับวัดเส้าหลินนั้นไม่เคยเกิดขึ้น

 

“อารามวัชระก็ได้ชนะในการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ ไปแล้วแต่ทำไมจนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่ป่าวประกาศออกมาอีก?” เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินสงสัย

 

ถึงแม้จะไม่ค่อยสบายใจที่ต้องส่งมอบตำแหน่งผู้นำในสำนักพุทธทั้งสี่ออกไป แต่ในเมื่อคุณชนะคุณก็คือผู้ชนะ ถ้าคุณแพ้คุณก็แค่แพ้

 

วัดเส้าหลินไม่ได้อยากจะปฏิเสธมันหรอก

 

วัดเส้าหลินจะไม่ปฏิเสธแม้อารามวัชระจะแพร่ข่าวนี้ออกไป

 

หรือเป็นไปได้ไหมว่าพวกนั้นอยากจะให้วัดเส้าหลินเริ่มประกาศออกไปเองว่าแพ้ให้กับอารามวัชระ?

 

จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า?

 

ในฐานะสุดยอดพรรคอย่างวัดเส้าหลินก็ต้องรักษาหน้าเช่นกัน นอกจากนั้นในการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ ตั้งแต่อดีตมา ฝ่ายที่ชนะไม่เคยทำแบบนี้

 

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย?”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินถึงกับงงงวย

 

เนื่องจากอารามวัชระไม่ออกมาพูดอะไร เจ้าอาวาสก็ไม่ต้องการจะถามออกไป พอเป็นเช่นนี้สำนักพรรคส่วนใหญ่ในยุทธภพต่างก็ไม่ได้รู้เลยว่าระหว่างอารามวัชระกับวัดเส้าหลินมีการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ กันไปเรียบร้อยแล้ว

 

แล้วสำนักพรรคส่วนน้อยที่ทราบเรื่องนี้ ก็คงคิดไปว่าอารามวัชระนั้นพ่ายแพ้และไม่เต็มใจที่จะแถลงไข

 

ในด้านของอารามวัชระ แม้ว่าจะรอไปหลายเดือน พวกเขาก็ยังสงสัยว่าทำไมวัดเส้าหลินยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ อีก และไม่มีการเอ่ยถึงการ  ‘ถกปัญหาธรรม ‘ เลย

 

ด้วยเหตุนี้เจ้าอาวาสอารามวัชระจึงได้เพียงแต่คิดไปว่า เจ้าอาวาสวัดเส้าหลินคงคร้านจะใส่ใจกับผลลัพธ์เหล่านี้

 

ในด้านของ  ‘ผู้ร้าย ‘ ตัวจริงที่สร้างความสับสนงุนงงให้ผู้อื่นไปทั่วอย่างซูฉิน ก็กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ นั่นก็คือลงชื่อเข้าใช้แล้วก็กวาดลานวัด

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับเคล็ดวิชา  ‘เคล็ดวิชาไม้ตายซาก ‘ ]

 

ที่ด้านหน้าศาลาพระคัมภีร์ ซูฉินมีความสุขเอามากๆ

 

[เคล็ดวิชาไม้ตายซาก ] เป็นหนึ่งในทักษะวิชาเฉพาะตัวของวัดเส้าหลิน ความสามารถนั้นยิ่งใหญ่ แต่ไม่ใช่เพื่อการโจมตีหรือการป้องกัน แต่ฝึกไว้เพื่อซ่อนตัวและปลอมแปลงตน

 

[เคล็ดวิชาไม้ตายซาก ] นั้น เมื่อฝึกไปจนถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ผู้นั้นย่อมควบคุมลมหายใจ ไอพลังของตนเองได้ตามต้องการ แล้วทำให้รู้สึกเหมือนว่ากลายเป็นเพียงกิ่งไม้ที่แห้งเหี่ยว แลดูเหมือนความว่างเปล่า

 

“ไม่เลวเลย”

 

“[เคล็ดวิชาไม้ตายซาก ] เมื่อรวมเข้ากับ  [กายาวัชระคงกระพัน ] มันการเป็นการเข้าคู่ที่สมบูรณ์แบบ !”

 

ซูฉินพึงพอใจเป็นอันมาก

 

แต่เดิม  [กายาวัชระคงกระพัน ] ก็ช่วยให้ซูฉินยับยั้งไอพลังของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ แล้วตอนนี้ยังเพิ่ม  [เคล็ดวิชาไม้ตายซาก ] มาซ้อนทับกันไปอีกระดับ

 

ในตอนที่ซูฉินกำลังจะทดลองใช้พลังของ  [เคล็ดวิชาไม้ตายซาก ] พลันพบเจอบางอย่างเข้า สีหน้าเปลี่ยนไปในทันที

 

“นั่นอะไรกัน ?”

 

ดวงตาของซูฉินหรี่แคบลง มองไปยังทิศทางหนึ่ง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+