เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 190 ด้านนอกเมืองเม ฆาปีศาจ

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 190 ด้านนอกเมืองเม ฆาปีศาจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 190 ด้านนอกเมืองเม ฆาปีศาจ

 

ตามคํากล่าวของหร่วนชิง ในโลกยุทธภพต่างดินแดน เหล่าปรมาจารย์ที่ดูแลนิกายใหญ่ล้วนแต่ไม่เกินระดับนภาชั้นที่ห้าหรือนภาชั้นที่หก ส่วนตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ด บางทีอาจจะเป็นบรรพชนที่หลับใหลอยู่ภายในนิกายที่ไปถึงระดับนั้น

 

ต้นแต่ต้นจนจบ หร่วนชิงไม่เคยกล่าวถึงเซียนเทพปฐพีเลย ราวกับว่าในโลกยุทธภพต่างแดน เซียนเทพปฐพีนั้นก็เป็นเรื่องต้องห้ามเช่นเดียวกัน

 

“เซียนเทพปฐพี”

 

ใบหน้าของหร่วนชิงซีดเซียว

 

“นายท่าน แม้แต่ในต่างแดน เซียนเทพปฐพีก็ไม่ได้ปรากฏร่องรอยให้เห็นมานับพันปีแล้ว ดูเหมือนว่าผู้ที่ก้าวไปถึงระดับนี้จะไม่ได้อยู่ที่ต่างดินแดนมานานแสนนาน ราวกับพวกเขาไปยังสถานที่อื่นกันหมด”

 

“บางทีเหล่าผู้อาวุโสในนิกายใหญ่อาจจะรู้มากกว่านี้ แต่ข้านั้นไม่รู้จริงๆ”

 

หร่วนชิงกล่าวตอบด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย

 

ตอนที่ซูฉินถามถึงเรื่องราวในโลกยุทธภพที่ต่างแดน หร่วนชิงยังโล่งใจเพราะสิ่งที่ซูฉินถามมานั้นไม่ใช่เรื่องที่เขาตอบไม่ได้

 

แต่ก่อนที่จะได้กล่าวอะไรต่อไป ซูฉินกลับเปลี่ยนมาถามเกี่ยวกับเซียนเทพปฐพี ซึ่งทําให้หร่วนชิงอยากจะร่ำไห้ แต่ก็ไม่มีน้ำตาให้ไหล

 

ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากตอบ เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าจะตอบเช่นไรจริงๆ

 

มีเซียนเทพปฐพี่ดํารงอยู่หรือไม่? ตัวตนเพียงนภาชั้นที่สามอย่างเขาจะไปล่วงรู้ได้เช่นไร?

 

“พอแล้ว”

 

“ดูเหมือนเจ้าก็คงไม่รู้เช่นกัน”

 

ซูฉินเหลือบมองหร่วนชิงและไม่ได้ถามอะไรเรื่องนี้ต่อ

 

“เจ้าเพิ่งจะบอกมาว่าเหตุผลที่เจ้ามาที่นี่เป็นเพราะคําทํานายของสํานักชะตาฟ้าใช่ไหม?” ซูฉินแตะปลายคางและถามอย่างไม่ได้ใส่ใจมากนัก

 

“เป็นเช่นนั้นขอรับ”

 

เมื่อเห็นว่าซูฉินไม่ได้กล่าวถามเกี่ยวกับเซียนเทพปฐพีต่อแล้ว หร่วนชิงจึงกล่าวต่อทันทีว่า “สํานักชะตาฟ้านั้นพิเศษมากในต่างแดน พวกเขาไม่แข่งขันด้านทรัพยากรกับใครและมีศิษย์อยู่เพียงไม่กี่คน”

 

“สํานักชะตาฟ้าในรุ่นนี้ได้ทํานายเรื่องจุดตัดครั้งยิ่งใหญ่ที่จะเกิดขึ้น แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เชื่อ”

 

เมื่อหร่วนชิงกล่าวเช่นนี้ ก็ลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะกล่าวต่อว่า “แต่ว่านายท่าน เมื่อกาลเวลาผ่านไป การฟื้นคืนของกระแสปราณฉีย่อมชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และเหล่ายอดยุทธในนิกายใหญ่เหล่านั้นจะเริ่มค้นพบบางสิ่ง เมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาจะเข้ามาแทรกแซงที่นี้อย่างแน่นอน”

 

“โอ้ ข้าเข้าใจแล้วล่ะ” ซูฉินไม่ได้มีความกังวลใจใดๆ

 

เขาอยู่ในระดับนภาชั้นที่เจ็ดแล้วในตอนนี้และการควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็กได้นั้นก็อยู่อีกไม่ไกล แม้ว่ายอดยุทธจากต่างแดนจะรวมตัวกันมา ซูฉินก็ไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย

 

“อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันข้อผิดพลาด คงจะดีกว่าถ้าควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็กให้ได้เร็วที่สุดแล้วค่อยทะลวงผ่านขั้นในคราวเดียว ไปสู่นภาชั้นที่แปดหรือแม้แต่นภาชั้นที่เก้า”

 

“อันที่จริง จะดีกว่าถ้าสําเร็จถึงขอบเขตยอดอรหันต์ ทว่าแม้ปราณฉีจะฟื้นคืนกลับมาทําให้ฝึกฝนง่ายขึ้น แต่การเข้าสู่ขอบเขตยอดอรหันต์ก็ไม่ใช่ง่ายดาย”

 

หลังจากที่ซูฉินบอกให้หร่วนชิงออกไป เขาก็นั่งคิดอยู่กับตนเองอย่างเงียบๆ

 

เขาไม่ได้วิตกกังวลเท่าไหร่ในเรื่องการฝึกฝน ท้ายที่สุดซูฉินก็แตกต่างไปจากตํานานยุทธทั่วๆ ไป เขาสามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึงหนึ่งพันปี สามารถฝึกฝนต่อเนื่องได้อย่างสบายๆ

 

แต่ตอนนี้ซูฉินรู้สึกได้ถึงความเร่งด่วนอยู่ในหัวใจ

 

“เคล็ดการขัดเกลาร่างกายด้วยสายฟ้านั้นจะได้ผลดีที่สุดในสภาพอากาศที่ครื้มฟ้าครึ้มฝน และไม่จําเป็นต้องฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ในช่วงเวลาอื่นๆ”

 

“ในตอนนี้ความสนใจหลักของข้าควรมุ่งไปที่การควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็ก”

 

“นภาชั้นที่เจ็ดที่มีอาณาเขตขนาดเล็ก กับนภาชั้นที่เจ็ดที่ ไม่มีอาณาเขตขนาดเล็กนั้นเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสมบูรณ์”

 

“ตราบใดที่ข้าสามารถควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็กขึ้นมาได้ จะพัฒนาความสามารถในการต่อสู้ขึ้นไปได้อีกมากโข”

 

ซูฉินคิดในใจ

 

“นอกจากการควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็กแล้ว ยังจําเป็นต้องเข้าสู่นภาชั้นที่แปดโดยเร็วที่สุด แม้ว่าการเข้าสู่นภาชั้นที่แปดจะไม่ได้ยิ่งใหญ่เท่ากับตอนที่เป็นนภาชั้นที่หกก้าวเข้าสู่นภาชั้นที่เจ็ด แต่อย่างไรมันก็เป็นการตัดผ่านข้ามระดับชั้นอยู่ดี”

 

ซูฉินไตร่ตรองและตัดสินใจ

 

ต่อจากนี้ความสนใจหลักของซูฉินจะทุ่มเทให้กับการควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็ก ก้าวผ่านระดับชั้น และขัดเกลาร่างกายด้วยสายฟ้า

 

ในทั้งสามสิ่งนี้ การขัดเกลาร่างกายด้วยสายฟ้านั้นขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ฉะนั้นซูฉินจึงให้เวลาที่มากขึ้นกับสองข้อแรกได้

 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ร่างของซูฉินก็สว่างวาบและกลับเข้าไปในโถงพระราชวังสูงตระหง่านใต้ผืนดิน

 

สําหรับหร่วนชิง เขาถูกซูฉินโยนหน้าที่ให้ไปประจําพระราชวังตะวันออก คอยให้คําแนะนําแก่ตระกูลซู หลีหว่าน และคนอื่นๆ

 

แม้ว่าหร่วนชิงจะตัวสั่นงันงกเมื่ออยู่ต่อหน้าซูฉิน เวลาพูดคุยก็ไม่กล้าที่จะส่งเสียงดังจนเกินไป

 

แต่ในความเป็นจริง หร่วนชิงเป็นถึงตํานานยุทธในระดับนภาชั้นที่สาม ความแข็งแกร่งเท่านี้ก็เพียงพอที่จะชี้แนะตระกูลซูที่ยังไม่ก้าวผ่านออกจากขอบเขตวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้น

 

สําหรับทุกคนในตระกูลซู การดํารงอยู่ของหร่วนชิงอาจจะแปลกประหลาดในตอนแรก แต่หลังจากผ่านไปสักพักพวกเขาจะคุ้นชินกับมัน เพราะเข้าใจว่าหร่วนชิงเป็นข้ารับใช้ของซูฉิน

 

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า

 

หลายเดือนผ่านไปในพริบตา

 

ณ พระราชวังสูงตระหง่านใต้ผืนดิน

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ ไอพลังของเขารวมตัวกันแน่นราวกับท่อนไม้หนา

 

แต่ภายในร่างกายนั้น เลือดลมพลุ่งพล่าน จนทําให้เกิดเสียงคํารามก้องราวคลื่นลมกระโชก กระดูก กล้ามเนื้อ และอวัยวะภายในเปล่งแสงสีทองสะพรั่ง

 

“ไม่ได้คาดหวังเลยว่า อาณาเขตขนาดเล็กยังควบแน่นไม่สําเร็จ แต่ร่างกายกลับได้แปรสภาพไปล่วงหน้าก่อนแล้ว…”

 

ซูฉินค่อยๆ ลืมตาขึ้นและกระซิบอยู่กับตนเอง

 

ในช่วงไม่กี่เดือนมานี้มีฝนตกลงมามากกว่าครึ่ง เป็นผลให้ซูฉินเข้าไปอาบตัวด้วยสายฟ้าภายในหมู่เมฆแทบจะวันเว้นวัน

 

หลังจากผ่านไปหลายสิบวัน ร่างที่ถูกขัดเกลาหล่อหลอมด้วยสายฟ้าก็เสร็จสิ้นการแปรสภาพครั้งที่ห้า

 

“หลังจากการแปรสภาพร่างกายครั้งที่ห้า แสงสีทองในร่างก็ชัดเจนขึ้นกว่าเดิมมาก”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อยแสดงออกถึงความพอใจ

 

หลังจากการแปรสภาพร่างกายครั้งที่สี่ ซูฉินก็ให้กําเนิดร่องรอยของอัตลักษณ์สีทอง ซึ่งเกี่ยวข้องกับกายาทองคําขององค์ยูไล ลือกันว่าเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงความเป็นอมตะนิรันดร์

 

แต่ตอนนี้หลังจากการแปรสภาพร่างกายครั้งที่ห้าสิ้นสุด สีทองในร่างของซูฉินก็เปล่งประกายขึ้นอีกครั้ง

 

“ไม่รู้เหมือนกันว่า ตอนนี้ร่างกายของข้าไปอยู่ในระดับไหนแล้ว?”

 

ซูฉินยกมือขวาขึ้น รู้สึกถึงพลังที่เพิ่มขึ้นของกายเนื้อ พลางครุ่นคิดในใจอย่างเงียบๆ

 

“ในเมื่อร่างกายได้แปรสภาพเรียบร้อยแล้ว”

 

“ต่อไปนี้ควรให้ความสําคัญกับการควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็ก

 

ท่าทีของซูฉินเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ความคิดภายในผันผวน

 

เมื่ออาณาเขตขนาดเล็กถูกควบแน่น พลังฟ้าดินในรัศมีร้อยลี้จะถูกบีบอัดจนเหลือเพียงร้อยเมตรหรือพันเมตรเท่านั้น นับเป็นการเปลี่ยนแปลงพัฒนาคุณภาพให้มากขึ้น

 

โลกถ้ำปิศาจ

 

ในที่สุดซูฉินก็มาถึงหน้าเมืองเมฆาปีศาจพร้อมกับโม๋จี

 

อันที่จริงถ้าไม่ใช่เพราะซูฉินจงใจชะลอฝีเท้าเพื่อดูว่ามีที่ไหนระหว่างทางให้ลงชื่อเข้าใช้ได้ไหม เกรงว่าคงมาถึงที่นี่ตั้งนานแล้ว

 

“นายท่าน”

 

“ด้านหน้านี้คือเมืองเมฆาปีศาจ”

 

โม๋จีกล่าวคําอย่างสุภาพอยู่ด้านข้าง การแสดงออกของนางค่อนข้างซับซ้อน

 

นางต้องสูญเสียไปมากมายเพื่อหนีออกจากเมืองเมฆาปีศาจแห่งนี้ และไม่ได้คาดหวังว่าจะกลับมาที่ด้านหน้าของเมืองเมฆาปีศาจเช่นนี้

 

ซูฉินไม่ได้กล่าวคําแต่มองไปที่เมืองเมฆาปีศาจอย่างเงียบๆ

 

เมืองเมฆาปีศาจเป็นเมืองที่งามสง่า สูงตระหง่านเทียมเมฆ กลิ่นอายแผ่ออกมาให้ความรู้สึกทรงพลังจนผู้คนต้องหวาดหวั่น

 

“นายท่าน เราสามารถแอบเข้าไปภายในเมืองเมฆาปีศาจได้โดยไร้ซุ่มเสียง” โม๋จีกล่าวคําด้วยความระมัดระวัง

 

“ไม่จําเป็น”

 

ซูฉินส่ายศีรษะเล็กน้อย

 

เมื่อครู่เขากวาดสายตามองทั่วเมืองเมฆาปีศาจด้วยวิชาปราณฉีฟ้ากําหนดแล้ว ในเมื่อรู้ทุกอย่างภายในเมืองแล้วย่อมไม่อยากจะเสียเวลาเป็นธรรมดา

 

“ไม่จําเป็น?”

 

โม๋จีกะพริบตาปริบๆ โดยไม่รู้ว่าซูฉินหมายความว่าอะไร

 

อย่างไรก็ตาม

 

ในช่วงเวลาต่อมา

 

ต่อหน้าสายตาที่จ้องมองอย่างเหลือเชื่อของโม๋จี

 

ซูฉินก้าวเท้าไปข้างหน้า ยกมือขวาขึ้น จรดนิ้วออกไปคล้ายวงดาบ และฟาดลงไปที่เมืองเมฆาปีศาจ

 

ฟูมมม!

 

ลําแสงแวววาวก่อตัวขึ้นเป็นทรงดาบถูกตวัดฟาดฟันผ่าอากาศออกไป

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 190 ด้านนอกเมืองเม ฆาปีศาจ

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 190 ด้านนอกเมืองเม ฆาปีศาจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 190 ด้านนอกเมืองเม ฆาปีศาจ

 

ตามคํากล่าวของหร่วนชิง ในโลกยุทธภพต่างดินแดน เหล่าปรมาจารย์ที่ดูแลนิกายใหญ่ล้วนแต่ไม่เกินระดับนภาชั้นที่ห้าหรือนภาชั้นที่หก ส่วนตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ด บางทีอาจจะเป็นบรรพชนที่หลับใหลอยู่ภายในนิกายที่ไปถึงระดับนั้น

 

ต้นแต่ต้นจนจบ หร่วนชิงไม่เคยกล่าวถึงเซียนเทพปฐพีเลย ราวกับว่าในโลกยุทธภพต่างแดน เซียนเทพปฐพีนั้นก็เป็นเรื่องต้องห้ามเช่นเดียวกัน

 

“เซียนเทพปฐพี”

 

ใบหน้าของหร่วนชิงซีดเซียว

 

“นายท่าน แม้แต่ในต่างแดน เซียนเทพปฐพีก็ไม่ได้ปรากฏร่องรอยให้เห็นมานับพันปีแล้ว ดูเหมือนว่าผู้ที่ก้าวไปถึงระดับนี้จะไม่ได้อยู่ที่ต่างดินแดนมานานแสนนาน ราวกับพวกเขาไปยังสถานที่อื่นกันหมด”

 

“บางทีเหล่าผู้อาวุโสในนิกายใหญ่อาจจะรู้มากกว่านี้ แต่ข้านั้นไม่รู้จริงๆ”

 

หร่วนชิงกล่าวตอบด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย

 

ตอนที่ซูฉินถามถึงเรื่องราวในโลกยุทธภพที่ต่างแดน หร่วนชิงยังโล่งใจเพราะสิ่งที่ซูฉินถามมานั้นไม่ใช่เรื่องที่เขาตอบไม่ได้

 

แต่ก่อนที่จะได้กล่าวอะไรต่อไป ซูฉินกลับเปลี่ยนมาถามเกี่ยวกับเซียนเทพปฐพี ซึ่งทําให้หร่วนชิงอยากจะร่ำไห้ แต่ก็ไม่มีน้ำตาให้ไหล

 

ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากตอบ เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าจะตอบเช่นไรจริงๆ

 

มีเซียนเทพปฐพี่ดํารงอยู่หรือไม่? ตัวตนเพียงนภาชั้นที่สามอย่างเขาจะไปล่วงรู้ได้เช่นไร?

 

“พอแล้ว”

 

“ดูเหมือนเจ้าก็คงไม่รู้เช่นกัน”

 

ซูฉินเหลือบมองหร่วนชิงและไม่ได้ถามอะไรเรื่องนี้ต่อ

 

“เจ้าเพิ่งจะบอกมาว่าเหตุผลที่เจ้ามาที่นี่เป็นเพราะคําทํานายของสํานักชะตาฟ้าใช่ไหม?” ซูฉินแตะปลายคางและถามอย่างไม่ได้ใส่ใจมากนัก

 

“เป็นเช่นนั้นขอรับ”

 

เมื่อเห็นว่าซูฉินไม่ได้กล่าวถามเกี่ยวกับเซียนเทพปฐพีต่อแล้ว หร่วนชิงจึงกล่าวต่อทันทีว่า “สํานักชะตาฟ้านั้นพิเศษมากในต่างแดน พวกเขาไม่แข่งขันด้านทรัพยากรกับใครและมีศิษย์อยู่เพียงไม่กี่คน”

 

“สํานักชะตาฟ้าในรุ่นนี้ได้ทํานายเรื่องจุดตัดครั้งยิ่งใหญ่ที่จะเกิดขึ้น แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เชื่อ”

 

เมื่อหร่วนชิงกล่าวเช่นนี้ ก็ลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะกล่าวต่อว่า “แต่ว่านายท่าน เมื่อกาลเวลาผ่านไป การฟื้นคืนของกระแสปราณฉีย่อมชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และเหล่ายอดยุทธในนิกายใหญ่เหล่านั้นจะเริ่มค้นพบบางสิ่ง เมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาจะเข้ามาแทรกแซงที่นี้อย่างแน่นอน”

 

“โอ้ ข้าเข้าใจแล้วล่ะ” ซูฉินไม่ได้มีความกังวลใจใดๆ

 

เขาอยู่ในระดับนภาชั้นที่เจ็ดแล้วในตอนนี้และการควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็กได้นั้นก็อยู่อีกไม่ไกล แม้ว่ายอดยุทธจากต่างแดนจะรวมตัวกันมา ซูฉินก็ไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย

 

“อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันข้อผิดพลาด คงจะดีกว่าถ้าควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็กให้ได้เร็วที่สุดแล้วค่อยทะลวงผ่านขั้นในคราวเดียว ไปสู่นภาชั้นที่แปดหรือแม้แต่นภาชั้นที่เก้า”

 

“อันที่จริง จะดีกว่าถ้าสําเร็จถึงขอบเขตยอดอรหันต์ ทว่าแม้ปราณฉีจะฟื้นคืนกลับมาทําให้ฝึกฝนง่ายขึ้น แต่การเข้าสู่ขอบเขตยอดอรหันต์ก็ไม่ใช่ง่ายดาย”

 

หลังจากที่ซูฉินบอกให้หร่วนชิงออกไป เขาก็นั่งคิดอยู่กับตนเองอย่างเงียบๆ

 

เขาไม่ได้วิตกกังวลเท่าไหร่ในเรื่องการฝึกฝน ท้ายที่สุดซูฉินก็แตกต่างไปจากตํานานยุทธทั่วๆ ไป เขาสามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึงหนึ่งพันปี สามารถฝึกฝนต่อเนื่องได้อย่างสบายๆ

 

แต่ตอนนี้ซูฉินรู้สึกได้ถึงความเร่งด่วนอยู่ในหัวใจ

 

“เคล็ดการขัดเกลาร่างกายด้วยสายฟ้านั้นจะได้ผลดีที่สุดในสภาพอากาศที่ครื้มฟ้าครึ้มฝน และไม่จําเป็นต้องฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ในช่วงเวลาอื่นๆ”

 

“ในตอนนี้ความสนใจหลักของข้าควรมุ่งไปที่การควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็ก”

 

“นภาชั้นที่เจ็ดที่มีอาณาเขตขนาดเล็ก กับนภาชั้นที่เจ็ดที่ ไม่มีอาณาเขตขนาดเล็กนั้นเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสมบูรณ์”

 

“ตราบใดที่ข้าสามารถควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็กขึ้นมาได้ จะพัฒนาความสามารถในการต่อสู้ขึ้นไปได้อีกมากโข”

 

ซูฉินคิดในใจ

 

“นอกจากการควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็กแล้ว ยังจําเป็นต้องเข้าสู่นภาชั้นที่แปดโดยเร็วที่สุด แม้ว่าการเข้าสู่นภาชั้นที่แปดจะไม่ได้ยิ่งใหญ่เท่ากับตอนที่เป็นนภาชั้นที่หกก้าวเข้าสู่นภาชั้นที่เจ็ด แต่อย่างไรมันก็เป็นการตัดผ่านข้ามระดับชั้นอยู่ดี”

 

ซูฉินไตร่ตรองและตัดสินใจ

 

ต่อจากนี้ความสนใจหลักของซูฉินจะทุ่มเทให้กับการควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็ก ก้าวผ่านระดับชั้น และขัดเกลาร่างกายด้วยสายฟ้า

 

ในทั้งสามสิ่งนี้ การขัดเกลาร่างกายด้วยสายฟ้านั้นขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ฉะนั้นซูฉินจึงให้เวลาที่มากขึ้นกับสองข้อแรกได้

 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ร่างของซูฉินก็สว่างวาบและกลับเข้าไปในโถงพระราชวังสูงตระหง่านใต้ผืนดิน

 

สําหรับหร่วนชิง เขาถูกซูฉินโยนหน้าที่ให้ไปประจําพระราชวังตะวันออก คอยให้คําแนะนําแก่ตระกูลซู หลีหว่าน และคนอื่นๆ

 

แม้ว่าหร่วนชิงจะตัวสั่นงันงกเมื่ออยู่ต่อหน้าซูฉิน เวลาพูดคุยก็ไม่กล้าที่จะส่งเสียงดังจนเกินไป

 

แต่ในความเป็นจริง หร่วนชิงเป็นถึงตํานานยุทธในระดับนภาชั้นที่สาม ความแข็งแกร่งเท่านี้ก็เพียงพอที่จะชี้แนะตระกูลซูที่ยังไม่ก้าวผ่านออกจากขอบเขตวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้น

 

สําหรับทุกคนในตระกูลซู การดํารงอยู่ของหร่วนชิงอาจจะแปลกประหลาดในตอนแรก แต่หลังจากผ่านไปสักพักพวกเขาจะคุ้นชินกับมัน เพราะเข้าใจว่าหร่วนชิงเป็นข้ารับใช้ของซูฉิน

 

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า

 

หลายเดือนผ่านไปในพริบตา

 

ณ พระราชวังสูงตระหง่านใต้ผืนดิน

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ ไอพลังของเขารวมตัวกันแน่นราวกับท่อนไม้หนา

 

แต่ภายในร่างกายนั้น เลือดลมพลุ่งพล่าน จนทําให้เกิดเสียงคํารามก้องราวคลื่นลมกระโชก กระดูก กล้ามเนื้อ และอวัยวะภายในเปล่งแสงสีทองสะพรั่ง

 

“ไม่ได้คาดหวังเลยว่า อาณาเขตขนาดเล็กยังควบแน่นไม่สําเร็จ แต่ร่างกายกลับได้แปรสภาพไปล่วงหน้าก่อนแล้ว…”

 

ซูฉินค่อยๆ ลืมตาขึ้นและกระซิบอยู่กับตนเอง

 

ในช่วงไม่กี่เดือนมานี้มีฝนตกลงมามากกว่าครึ่ง เป็นผลให้ซูฉินเข้าไปอาบตัวด้วยสายฟ้าภายในหมู่เมฆแทบจะวันเว้นวัน

 

หลังจากผ่านไปหลายสิบวัน ร่างที่ถูกขัดเกลาหล่อหลอมด้วยสายฟ้าก็เสร็จสิ้นการแปรสภาพครั้งที่ห้า

 

“หลังจากการแปรสภาพร่างกายครั้งที่ห้า แสงสีทองในร่างก็ชัดเจนขึ้นกว่าเดิมมาก”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อยแสดงออกถึงความพอใจ

 

หลังจากการแปรสภาพร่างกายครั้งที่สี่ ซูฉินก็ให้กําเนิดร่องรอยของอัตลักษณ์สีทอง ซึ่งเกี่ยวข้องกับกายาทองคําขององค์ยูไล ลือกันว่าเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงความเป็นอมตะนิรันดร์

 

แต่ตอนนี้หลังจากการแปรสภาพร่างกายครั้งที่ห้าสิ้นสุด สีทองในร่างของซูฉินก็เปล่งประกายขึ้นอีกครั้ง

 

“ไม่รู้เหมือนกันว่า ตอนนี้ร่างกายของข้าไปอยู่ในระดับไหนแล้ว?”

 

ซูฉินยกมือขวาขึ้น รู้สึกถึงพลังที่เพิ่มขึ้นของกายเนื้อ พลางครุ่นคิดในใจอย่างเงียบๆ

 

“ในเมื่อร่างกายได้แปรสภาพเรียบร้อยแล้ว”

 

“ต่อไปนี้ควรให้ความสําคัญกับการควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็ก

 

ท่าทีของซูฉินเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ความคิดภายในผันผวน

 

เมื่ออาณาเขตขนาดเล็กถูกควบแน่น พลังฟ้าดินในรัศมีร้อยลี้จะถูกบีบอัดจนเหลือเพียงร้อยเมตรหรือพันเมตรเท่านั้น นับเป็นการเปลี่ยนแปลงพัฒนาคุณภาพให้มากขึ้น

 

โลกถ้ำปิศาจ

 

ในที่สุดซูฉินก็มาถึงหน้าเมืองเมฆาปีศาจพร้อมกับโม๋จี

 

อันที่จริงถ้าไม่ใช่เพราะซูฉินจงใจชะลอฝีเท้าเพื่อดูว่ามีที่ไหนระหว่างทางให้ลงชื่อเข้าใช้ได้ไหม เกรงว่าคงมาถึงที่นี่ตั้งนานแล้ว

 

“นายท่าน”

 

“ด้านหน้านี้คือเมืองเมฆาปีศาจ”

 

โม๋จีกล่าวคําอย่างสุภาพอยู่ด้านข้าง การแสดงออกของนางค่อนข้างซับซ้อน

 

นางต้องสูญเสียไปมากมายเพื่อหนีออกจากเมืองเมฆาปีศาจแห่งนี้ และไม่ได้คาดหวังว่าจะกลับมาที่ด้านหน้าของเมืองเมฆาปีศาจเช่นนี้

 

ซูฉินไม่ได้กล่าวคําแต่มองไปที่เมืองเมฆาปีศาจอย่างเงียบๆ

 

เมืองเมฆาปีศาจเป็นเมืองที่งามสง่า สูงตระหง่านเทียมเมฆ กลิ่นอายแผ่ออกมาให้ความรู้สึกทรงพลังจนผู้คนต้องหวาดหวั่น

 

“นายท่าน เราสามารถแอบเข้าไปภายในเมืองเมฆาปีศาจได้โดยไร้ซุ่มเสียง” โม๋จีกล่าวคําด้วยความระมัดระวัง

 

“ไม่จําเป็น”

 

ซูฉินส่ายศีรษะเล็กน้อย

 

เมื่อครู่เขากวาดสายตามองทั่วเมืองเมฆาปีศาจด้วยวิชาปราณฉีฟ้ากําหนดแล้ว ในเมื่อรู้ทุกอย่างภายในเมืองแล้วย่อมไม่อยากจะเสียเวลาเป็นธรรมดา

 

“ไม่จําเป็น?”

 

โม๋จีกะพริบตาปริบๆ โดยไม่รู้ว่าซูฉินหมายความว่าอะไร

 

อย่างไรก็ตาม

 

ในช่วงเวลาต่อมา

 

ต่อหน้าสายตาที่จ้องมองอย่างเหลือเชื่อของโม๋จี

 

ซูฉินก้าวเท้าไปข้างหน้า ยกมือขวาขึ้น จรดนิ้วออกไปคล้ายวงดาบ และฟาดลงไปที่เมืองเมฆาปีศาจ

 

ฟูมมม!

 

ลําแสงแวววาวก่อตัวขึ้นเป็นทรงดาบถูกตวัดฟาดฟันผ่าอากาศออกไป

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+