เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 197 นิกาย

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 197 นิกาย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 197 นิกาย

 

ตํานานยุทธนั้นสูงส่งควบคุมปราณฉีขี่คลื่นลมได้ราวกับ

เซียนเทพ

 

เพียงแต่ ไม่ว่ามันจะ คล้ายคลึง” เพียงใด มันก็เป็นได้แค่คล้ายคลึง”หาใช่เซียนเทพที่แท้จริงไม่

 

ตํานานยุทธก็เป็นคนเหมือนกัน และพวกเขาต่างก็มีข้อจํากัดส่วนตนเช่นเดียวกัน

 

ตัวอย่างเช่น บรรพบุรุษของสํานักสังหารโลหิตเป็นตํานานยุทธในระดับนภาชันที่สาม แม้ว่าจะใช้ความพยายามอย่างเต็มที่มากสุดก็ได้แค่สิบถึงยี่สิบลี้เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นมันยังเป็นการโจมตีที่ไม่ทรงพลังสักเท่าไหร่

 

สําหรับตํานานยุทธในเมืองฉางอัน เขาสามารถโจมตีไกลออกไปกว่าหลายพันลี้ซึ่งช่างน่าเหลือเชื่อตัวมันไม่เคยได้ยินสิ่งนี้มาก่อน

 

“ไร้สาระ!”

 

อดีตเจ้าสํานักสังหารโลหิตดูไม่มั่นใจในที่แรก แล้วในที่ สุดก็เปลี่ยนเป็นเยาะเย้ย “เจ้าเห็นด้วยตาตนเองหรือไม่?”

 

ด้วยคํากล่าวของอดีตเจ้าสํานักสังหารโลหิต

 

ทําให้ศิษย์ของสํานักสังหารโลหิตผงะไปชั่วค รู่แล้วกล่าวตอบทันทีว่า “อดีตเจ้าสํานัก ข้าเพียงแต่ได้ยินมาเท่านั้น”

 

“ห์”

 

“ข้าเข้าใจแล้ว”

 

อดีตเจ้าสํานักสังหารโลหิตแค่นเสียงเย็นชา “ระดับของ เจ้าตําเกินไป ไหนเลยจะล่วงรู้ความสามารถของตํานานยุทธได้”

 

ท่าทีของอดีตเจ้าสํานักสังหารโลหิตกลับมาเป็นเห มือนเดิมอีกครั้ง และคิดใคร่ครวญทุกสิ่งใหม่อีกครั้ง

 

พวกคนธรรมดาชอบกระจายข่าวโคมลอย พูดเกินจริง อ ดีตเจ้าสํานักสังหารโลหิตจะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?

 

อาทิ จอมยุทธในขอบเขตตํานานยุทธสองคนต่อสู้ น้ํานั่นกัน แผ่นดินพังทลาย ความเสียหายแพร่กระจายออกไปหลายสิบลี้

 

ถ้าคนธรรมดามาเห็นฉากนั้นเข้าก็คงคิดว่าเทพพิโรธหรือ เซียนเทพต่อสู้กัน แล้วข่าวสารก็จะยิ่งทวีความใหญ่โตขึ้นไปเรื่อยๆ

 

แต่แท้จริงแล้วในสายตาของตํานานยุทธอย่างบรรพบุรุษ แห่งสํานักสังหารโลหิตเป็นเพียงคนที่แข็งแกร่งระดับเดียวกันตนกําลังต่อสู้กันเท่านั้น

 

มันไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น

 

ตามคํากล่าวของศิษย์แห่งสํานักสังหารโลหิต ตํานานยุ ทธในเมืองฉางอันอาจจะพอมีความสามารถอยู่บ้างแต่ย่อมไม่ถึงขนาดลงมือจากระยะไกลถึงหลายพันลี้ได้เช่นนั้นหรอก

 

“ไม่ต้องห่วง ข้าจะต้องล้างแค้นให้กับคนที่มันสัง หารคนของสํานักสังหารโลหิตแน่ แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา ข้าต้องรอคําอนุมัติจากพวกท่านเหล่านั้นก่อน”

 

อดีตเจ้าสํานักสังหารโลหิตครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่า วคําอย่างแผ่วเบา

 

“พวกท่านเหล่านั้น?”

 

เมื่อได้ยินคําพูดดังกล่าว ศิษย์ของสํานักสังหารโลหิตก็ห น้าซีด

 

ในสายตาของเขา อดีตเจ้าสํานักสังหารโลหิตเป็นตัวตนป ระหนึ่งเทพเซียน แต่ตอนนี้อดีตเจ้าสํานักกลับใช้คําว่า “พวกท่านเหล่านั้น” เพื่อกล่าวถึงคนอื่น…

 

“บอกเจ้าไปคงไม่เป็นอะไรหรอก”

 

อดีตเจ้าสํานักสังหารโลหิตเหลือบมองศิษย์สํานักสัง หารโลหิตแล้วกล่าวอย่างเป็นกันเอง “คราวนี้ที่ข้ากลับมายังแผ่นดินใหญ่ มิใช่มาเพียงลําพัง แต่กลับมาพร้อมบุคคลสําคัญและสูงส่งจํานวนหนึ่ง”

 

เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ อดีตเจ้าสํานักสังหารโลหิตก็หยุ ดไปชั่วขณะแล้วกล่าวต่อไปว่า “ผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ต่างก็เป็นผู้สูงศักดิ์หากเจ้าพบเห็นจะต้องไม่กระทําการอันใดที่เป็น การล่วงเกิน”

 

“ไม่เช่นนั้น ไม่เพียงเจ้าที่จะถูกกําจัดจนกลายเป็นผงธุลี แต่มันอาจส่งผลร้ายมาถึงข้าด้วย”

 

บรรพบุรุษแห่งสํานักสังหารโลหิตเอ่ยเตือน

 

“ขอรับ”

 

ใบหน้าของศิษย์สํานักสังหารโลหิตขาวซีดราวกับกระดาษ เขาผงกหัวซ้ําแล้วซ้ําเล่า

 

บรรพบุรุษตํานานยุทธแห่งสํานักสังหารโลหิตปรากฏตัว

 

ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วยุทธภพรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ

 

ตอนนี้ราชวงศ์ถังได้รวมทุกอาณาจักรเป็นปึกแผ่น เป็นห นึ่งไม่มีสอง ศิษย์ของสํานักสังหารโลหิตถูกบังคับให้หนีตายเพื่อหนีการชําระแค้นของอาณาจักรถัง

 

และในเวลานี้บรรพบุรุษสํานักสังหารโลหิตก็ป รากฏตัวขึ้นโดยไม่คาดคิด เหล่าศิษย์สํานักสังหารโลหิตที่ซ่อนตัวอยู่ราวกับสุนัขก็เหมือนได้เห็นรุ่งอรุณแห่งความหวัง

 

“ทําไมบรรพบุรุษสํานักสังหารโลหิตถึงกลับมาอีกครั้ง?”

 

“ไม่แน่ใจ เป็นเพราะมีคนของสํานักสังหารโลหิตเสียชี วิตไปหรือไม่?”

 

“จบแล้ว บรรพบุรุษสํานักสังหารโลหิตกลับมาที่นี่ และ สํานักสังหารโลหิตก็ทรงพลังมากวันเวลาดีๆที่พวกเรามีกําลังจะสิ้นสุดลง”

 

จอมยุทธจํานวนนับไม่ถ้วนต่างตกอยู่ในความรู้สึกระ ทมทุกข์

 

ตลอดมาสํานักสังหารโลหิตมักจะสนุกสนานในการสุม ไฟให้กับยุทธภพ ยิ่งสํานักสังหารโลหิตรุ่งเรืองขึ้นมากเท่าไหร่ก็หมายความว่าบนโลกนี้การเข่นฆ่าสังหารจะเพิ่มมากขึ้นไปอีก

 

“อย่างไรก็ตาม เมื่อบรรพบุรุษสํานักสังหารโลหิตกลับมา เช่นนี้ ข้าไม่รู้ว่าตํานานยุทธเมืองฉางอันจะคิดเห็นเช่นไร?”

 

มีบางคนอดที่จะกล่าวถึงไม่ได้

 

คําที่กล่าวออกมา

 

จอมยุทธทุกคนเงียบกริบ

 

ผู้อาวุโสสูงสุดสามคนของสํานักสังหารโลหิตตกตายภายใต้น้ํามือของตํานานยุทธในเมืองฉางอันและเนื่องจากเหตุการณ์นี้เหล่าศิษย์สํานักสังหารโลหิตจึงถูกบังคับให้ยุบสํานัก

 

บรรพบุรุษสํานักสังหารโลหิตจะเพิกเฉยต่อความคับข้องใจนี้ได้อย่างไร?

 

“เจ้าคิดว่าผู้ใดเก่งกว่ากัน ตํานานยุทธสํานักสังหารโลหิตหรือตํานานยุทธในเมืองฉางอัน?”

 

จอมยุทธคนหนึ่งกล่าวถามอย่างกระตือรือร้น

 

“ข้าคิดว่าน่าจะเป็นตํานานยุทธเมืองฉางอัน เพราะไม่กี่ปีก่อน ราชครูแห่งเหมิงหยวนซึ่งเป็นตํานานยุทธเช่นเดียวกันก็ถูกตํานานยุทธเมืองฉางอันสังหาร…”

 

“ราชครูอาณาจักรเหมิ่งหยวนเพิ่งเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธเท่านั้น จะเอามาเทียบกับบรรพบุรุษสํานักสังหารโลหิต ได้อย่างไร?”

 

“ใช่ บรรพบุรุษสํานักสังหารโลหิตเป็นตํานานยุทธตั้งแต่สองร้อยปีที่แล้ว ตอนนี้เขากลับมาจากต่างดินแดนหลังจากสองร้อยปีความแข็งแกร่งของเขาจะต้องเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน ตํานานยุทธเมืองฉางอันสามารถสังหารราชครู อาณาจักรเหมิ่งหยวนได้ด้วยนิ้วเดียวแต่อาจจะไม่สามารถเอาชนะบรรพบุรุษสํานักสังหารโลหิตได้”

 

จอมยุทธจํานวนนับไม่ถ้วนต่างพูดความคิดเห็นของตนออกมาอย่างรวดเร็ว

 

ในความเห็นของพวกเขา ความแข็งแกร่งของซูฉินนั้นยากแท้หยังถึง แต่บรรพบุรุษสํานักสังหารโลหิตก็มิใช่จะอ่อนแอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่ผ่านไปสองร้อยปี คงมีเพียงฟ้าเท่านั้นที่ล่วงรู้ว่าเขาแข็งแกร่งขึ้นเพียงไหน

 

“ในความคิดของข้า ตํานานยุทธแห่งเมืองฉางอันไม่ควรเป็นคู่ต่อสู้ของอดีตเจ้าสํานักสังหารโลหิต”

 

จอมยุทธอาวุโสผู้หนึ่งกล่าวสรุปจบปิดท้าย

 

แม้ว่าซูฉินจะมีพลังถล่มฟ้าสะเทือนดิน แต่อดีตเจ้าสํานักสังหารโลหิตนั้นอยู่ยงคงกระพันมากว่าสองร้อยปีแล้วหากไม่มีการต่อสู้กันตัวต่อตัวจริงๆ เกิดขึ้นทุกคนย่อมรู้สึกว่าบรรพบุรุษสํานักสังหารโลหิตนั้นแข็งแกร่งกว่า

 

ท้ายที่สุดอีกฝ่ายก็ฝึกฝนวิทยายุทธมานานกว่าสองร้อยปีเห็นได้ชัดเจนว่าฝ่ายไหนแข็งแกร่งฝ่ายไหนอ่อนแอกว่ากัน

 

ในขณะที่ทั่วทั้งแผ่นดินกําลังพูดถึงเรื่องนี้

 

เมืองฉางอัน

 

ภายในวังหลวง

 

“เป็นบรรพบุรุษสํานักสังหารโลหิตจริงๆ”

 

จักรพรรดิถังดูเคร่งขรึมราวกับสายน้ํานิ่ง มองดูรายงานในมือตนและกล่าวออกด้วยเสียงอันหนักแน่น

 

ตอนนี้อาณาจักรถังกําลังครองแผ่นดิน เมื่อมีข่าวเกี่ยวกับการปรากฏตัวของบรรพบุรุษสํานักสังหารโลหิตข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดก็ถูกส่งตรงถึงจักรพรรดิถังทันที

 

แม้จักรพรรดิถังจะยังคงมีความสงสัยภายในใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ข้อมูลไหลเข้ามาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจักรพรรดิถังทําได้เพียงแต่ต้องเชื่อ

 

“ฝ่าบาท พวกเราควรทําเช่นไรดี?”

 

ขุนนางคนหนึ่งลุกขึ้น มองไปที่จักรพรรดิแล้วจึงเอ่ยถาม

 

จักรพรรดิถังเงียบไปครู่หนึ่งก่อนตรัสว่า “จงระดมพลกองทัพเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งเพิ่มกําลังพลเพื่อตรวจสอบเมืองฉางอันให้มากขึ้น”

 

ขุนนางคนอื่นๆ ได้ยินดังนั้นก็มองหน้ากัน ริมฝีปากพวกเขาเผยอเบิดออก แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

อันที่จริงก็ได้แต่ทําตามที่จักรพรรดิถังตรัสไว้ ไม่เช่นนั้นควรจะทําเช่นไรงั้นหรือ? เป็นไปได้หรือไม่ที่จะค้นหาตวบรรพบุรุษแห่งสํานักสังหารโลหิตจากนั้นค่อยกําจัดเขา?

 

อย่าเพิ่งกล่าวถึงเรื่องที่อาณาจักรถังจะสามารถกําจัดบรรพบุรุษสังหารโลหิตได้หรือไม่ แค่เพียงตามตําแหน่งที่อยู่ของบรรพบุรุษสังหารโลหิตอย่างเดียวนั้น จ ริงๆ แล้วจะมีใครไปทําได้?

 

ตํานานยุทธคุมปราณเคลื่นลมเดินทางได้นับหมื่นลี้ในห นึ่งวัน บางวันอยู่สุดขอบตะวันตก พรุ่งนี้อาจจะอยู่สุดขอบทางตอนเหนือ

 

หลังจากการประชุมสภาขุนนางสิ้นสุด

 

จักรพรรดิถังก็เดินทางไปยังพระราชวังตะวันออก

 

“คุณชายหร่วนชิง พี่สามยังไม่ได้ติดต่อท่านมาอีกหรือ?” จักรพรรดิถังพบหร่วนชิงจึงเอ่ยถามขึ้นมา

 

แม้หร่วนซึ่งจะบอกว่าตนเองเป็นข้ารับใช้ของซูฉิน แต่ จักรพรรดิถังก็ไม่กล้านับว่าตํานานยุทธคนหนึ่งเป็นข้ารับใช้และเรียกว่า “คุณชาย” แทน

 

ในอาณาจักรถัง คุณชาย” เป็นคําเรียกที่ให้เกียรติประหนึ่งครูอาจารย์

 

“ยังเลย”

 

หร่วนชิงเหลือบมองจักรพรรดิถังและถามด้วยความสงสัย “เจ้ากําลังมองหานายท่านอยู่อย่างนั้นรึ?”

 

“บรรพบุรุษสังหารโลหิตที่จากไปตั้งแต่สองร้อยปีก่อนได้กลับมาโดยไม่รู้ว่าสาเหตุที่กลับมาคืออะไร?” จักรพรรดิถังกล่าวคํารวบรัดในสิ่งที่ตนล่วงรู้มา

 

“ดูเหมือนว่านิกายใหญ่ต่างดินแดนจะเข้ามาแทรกแซงเสียแล้ว” หร่วนซิงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ

 

“ตอนนี้ควรทําเช่นไรดี?”

 

แม้ว่าจักรพรรดิถังจะไม่รู้ว่า “นิกายใหญ่” ที่หร่วนชิงพูดเมื่อครู่หมายความว่าอะไร แต่รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องดีแน่

 

“ถ้าเป็นเพียงเฒ่าสังหารโลหิต ข้าสามารถจัดการเรื่องนี้ได้แต่นอกเหนือจากเฒ่าสังหารโลหิตแล้ว นิกายใหญ่จะ ต้องส่งศิษย์คนอื่นมาอีกแน่”

 

หร่วนซึ่งส่ายศีรษะ

 

เพียงรอนายท่านออกจากด่านฝึกตน

หร่วนชิงกล่าวอย่างช่วยไม่ได้

 

แทบจะในเวลาเดียวกัน ข่าวที่น่าเหลือเชื่อก็แพร่กระจายไปทั่วดินแดน

 

ตัวอย่างเช่น มีผู้พบเห็นหญิงชุดขาวโบยบินอยู่บนฟากฟ้าราวกับนางฟ้านางสวรรค์มีคนเห็นชายสะพายดาบในชุดเขียวก้าวเท้าครั้งหนึ่งพุ่งไปได้ไกลหลายร้อยเมตรดูเห มือนกําลังทดสอบบางอย่างอยู่ส่วนคนอื่นๆก็เห็นนักพรต ที่ยืนอยู่เหนือเมฆ มองดูสรรพชีวิตอย่างเฉยเมยราวกับกําลังมองหาอะไรบางอย่าง

 

ฉับพลัน ทั่วทั้งแผ่นดินก็สั่นสะเทือน

 

หากจะบอกว่าบรรพบุรุษสังหารโลหิตที่ปรากฏตัวขึ้นครั้ง แรกเป็นกระแสลมพัดผ่าน ก็ทําให้ผู้คนตกใจกันทั่วทวีปแล้ว ตอนนี้ยังมีตัวตนขอบเขตตํานานยุทธที่ไร้ที่มาที่ไปผุดขึ้นอีกที่ละคนสองคน ทําให้ผู้คนแตกตื่นกันยกใหญ่

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

“เป็นไปได้ไหมที่คนเหล่านี้จะกลับมาจากต่างดินแดนเหมือนบรรพบุรุษสังหารโลหิต?”

 

“มีเพียงความเป็นไปได้นี้เท่านั้นจึงจะอธิบายได้ว่าทําไมตํานานยุทธที่หาได้ยากเย็นในยุคนี้ถึงโผล่มาอย่างมากมายขนาดนี้?”

 

จอมยุทธทั้งหลายตื่นตระหนก

 

และในขณะนี้

 

บนภูเขาสูงมีร่างหลายร่างกําลังยืนกันอย่างผ่อนคลาย

 

หนึ่งในนั้นมีหญิงสาวชุดขาวที่ดูราวกับนางฟ้านางสวรรค์ชายถือดาบใส่ชุดเขียว และนักพรตเต๋รวมอยู่ด้วย

 

ในตอนนี้ การดํารงอยู่ของเหล่าตัวตนบนยอดเขาแผ่บรรยากาศที่ไม่สามารถบรรยายได้ออกมา

 

“ตรวจสอบอะไรมาได้บ้าง?”

 

เสียงของหญิงชุดขาวนั้นชัดเจน แม้จะพูดด้วยเสียงเบา

 

นางคือเทพธิดาองค์ปัจจุบันจากตําหนักเทพเจ้าหิมะนิกายใหญ่ในต่างดินแดน มีนามว่าชิงหลิงครั้งนี้มาตามคําสั่งของสํานักเพื่อตรวจสอบว่าทวีปนี้เป็นโลกอันยิ่งใหญ่ตามตํานานใช่หรือไม่

 

ส่วนคนอื่นๆ ต่างก็เป็นบุตรแห่งสวรรค์ของนิกายใหญ่ต่างๆ

 

“แม้ว่าพลังในปัจจุบันจะยังด้อยกว่านิกายใหญ่ในดินแดนของพวกเรามากแต่อัตราการเติบโตของพลังก็สูง กว่าเป็นอย่างยิ่ง

 

พูดถึงจุดนี้ ชายถือดาบในชุดเขียวก็หยุดพูดไปชั่วครู่แล้วจึงกล่าวต่อ“ตามกระแสพลังตอนนี้อย่างน้อยก็อีกหนึ่งร้อยปีพลังและจิตวิญญาณของสถานที่แห่งนี้จะเทียบเท่า กับต่างดินแดนและในอีกสองร้อยไปจะแซงหน้าดิน แดนของพวกเราไปอย่างสิ้นเชิง

 

คําที่กล่าวออกมา

 

ทุกคนในที่แห่งนี้ต่างเปลี่ยนท่าทีไป

 

“แล้วจะยังรออะไรอีกล่ะ? เรามาร่วมมือกัน เข้าสู่ อาณาจักรถังควบคุมทวีปนี้อย่างสมบูรณ์ จากนั้นก็นั่งร อต้อนรับคนจากนิกาย” ชายท่าทางดุดันคนหนึ่งพูดด้วยรอยยิ้ม

 

เมื่อทุกคนมาถึงที่นี่ต่างก็ได้รับรู้ว่าทวีปนี้ถูกปกครองด้วยมหาอํานาจที่เรียกว่าอาณาจักรถัง

 

“เข้าครอบครองอาณาจักรถัง?”

 

นักพรตเต๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย “แต่ข้าได้ยินมาว่าเหมือนจะมีตํานานยุทธอยู่ในเมืองฉางอันแห่งอาณาจักรถัง และความแข็งแกร่งของเขาก็มิใช่จะอ่อนแอ…”

 

“มีความแข็งแกร่งที่ไม่อ่อนแอ?” ชายท่าทางดุดันยิ้ม แล้วพูดขึ้นว่า“เมื่อเทียบกับพวกเราที่มาจากต่างดินแดนข้าไม่ได้จะหยิ่งทระนงอะไรนะแต่ตํานานยุทธทุกคนก็ได้ เทียมทานได้เมื่ออยู่ในที่แห่งนี้”

 

“ต่อหน้าศิษย์สาวกอย่างพวกเรามันจะนับเป็นอะไร?”

 

“พวกเราคนใดคนหนึ่งก็สามารถกวาดทําลายที่นี่จนราบเป็นหน้ากลองได้แล้ว”

 

น้ําเสียงของชายท่าทางดุดันนั้นแข็งกระด้าง แสดงถึงความเย่อหยิ่ง

 

“ไม่เลว” ชายชุดเขียวที่ถือดาบอยู่ก็พยักหน้าเล็กน้อย“ในฐานะศิษย์ของนิกายใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดวิชา วิชาบ่มเพาะหรือมรดกตกทอดล้วนแข็งแกร่งจะนํามาเปรียบ เทียบกับของธรรมดาๆ ในดินแดนแห่งนี้ได้เช่นไร?”

 

“ยอดเยี่ยม”

 

ปิงหลิงเทพธิดาในยุคสมัยนี้ของตําหนักเทพเจ้าหิมะพยักหน้าเล็กน้อย “เมื่อเป็นเช่นนี้เราจะไปที่เมืองฉางอันหากตํานานยุทธผู้นั้นฉลาดพอและยอมก้มหัวให้พวกเราอ ย่างแข็งขันเขาก็สามารถมีชีวิตต่อไปได้ไม่เช่นนั้นเขาจะต้องถูกสังหารลงทันที”

 

ใต้เมืองฉางอัน

 

ในโถงพระราชวังอันสูงตระหง่าน

 

ซูฉันค่อยๆ ลืมตาขึ้น

 

“ในที่สุดอาณาเขตก็เสถียรเต็มที่แล้ว”

 

สีหน้าของซูฉินเปล่งประกาย แสดงถึงความพึงพอใจ

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 197 นิกาย

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 197 นิกาย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 197 นิกาย

 

ตํานานยุทธนั้นสูงส่งควบคุมปราณฉีขี่คลื่นลมได้ราวกับ

เซียนเทพ

 

เพียงแต่ ไม่ว่ามันจะ คล้ายคลึง” เพียงใด มันก็เป็นได้แค่คล้ายคลึง”หาใช่เซียนเทพที่แท้จริงไม่

 

ตํานานยุทธก็เป็นคนเหมือนกัน และพวกเขาต่างก็มีข้อจํากัดส่วนตนเช่นเดียวกัน

 

ตัวอย่างเช่น บรรพบุรุษของสํานักสังหารโลหิตเป็นตํานานยุทธในระดับนภาชันที่สาม แม้ว่าจะใช้ความพยายามอย่างเต็มที่มากสุดก็ได้แค่สิบถึงยี่สิบลี้เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นมันยังเป็นการโจมตีที่ไม่ทรงพลังสักเท่าไหร่

 

สําหรับตํานานยุทธในเมืองฉางอัน เขาสามารถโจมตีไกลออกไปกว่าหลายพันลี้ซึ่งช่างน่าเหลือเชื่อตัวมันไม่เคยได้ยินสิ่งนี้มาก่อน

 

“ไร้สาระ!”

 

อดีตเจ้าสํานักสังหารโลหิตดูไม่มั่นใจในที่แรก แล้วในที่ สุดก็เปลี่ยนเป็นเยาะเย้ย “เจ้าเห็นด้วยตาตนเองหรือไม่?”

 

ด้วยคํากล่าวของอดีตเจ้าสํานักสังหารโลหิต

 

ทําให้ศิษย์ของสํานักสังหารโลหิตผงะไปชั่วค รู่แล้วกล่าวตอบทันทีว่า “อดีตเจ้าสํานัก ข้าเพียงแต่ได้ยินมาเท่านั้น”

 

“ห์”

 

“ข้าเข้าใจแล้ว”

 

อดีตเจ้าสํานักสังหารโลหิตแค่นเสียงเย็นชา “ระดับของ เจ้าตําเกินไป ไหนเลยจะล่วงรู้ความสามารถของตํานานยุทธได้”

 

ท่าทีของอดีตเจ้าสํานักสังหารโลหิตกลับมาเป็นเห มือนเดิมอีกครั้ง และคิดใคร่ครวญทุกสิ่งใหม่อีกครั้ง

 

พวกคนธรรมดาชอบกระจายข่าวโคมลอย พูดเกินจริง อ ดีตเจ้าสํานักสังหารโลหิตจะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?

 

อาทิ จอมยุทธในขอบเขตตํานานยุทธสองคนต่อสู้ น้ํานั่นกัน แผ่นดินพังทลาย ความเสียหายแพร่กระจายออกไปหลายสิบลี้

 

ถ้าคนธรรมดามาเห็นฉากนั้นเข้าก็คงคิดว่าเทพพิโรธหรือ เซียนเทพต่อสู้กัน แล้วข่าวสารก็จะยิ่งทวีความใหญ่โตขึ้นไปเรื่อยๆ

 

แต่แท้จริงแล้วในสายตาของตํานานยุทธอย่างบรรพบุรุษ แห่งสํานักสังหารโลหิตเป็นเพียงคนที่แข็งแกร่งระดับเดียวกันตนกําลังต่อสู้กันเท่านั้น

 

มันไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น

 

ตามคํากล่าวของศิษย์แห่งสํานักสังหารโลหิต ตํานานยุ ทธในเมืองฉางอันอาจจะพอมีความสามารถอยู่บ้างแต่ย่อมไม่ถึงขนาดลงมือจากระยะไกลถึงหลายพันลี้ได้เช่นนั้นหรอก

 

“ไม่ต้องห่วง ข้าจะต้องล้างแค้นให้กับคนที่มันสัง หารคนของสํานักสังหารโลหิตแน่ แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา ข้าต้องรอคําอนุมัติจากพวกท่านเหล่านั้นก่อน”

 

อดีตเจ้าสํานักสังหารโลหิตครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่า วคําอย่างแผ่วเบา

 

“พวกท่านเหล่านั้น?”

 

เมื่อได้ยินคําพูดดังกล่าว ศิษย์ของสํานักสังหารโลหิตก็ห น้าซีด

 

ในสายตาของเขา อดีตเจ้าสํานักสังหารโลหิตเป็นตัวตนป ระหนึ่งเทพเซียน แต่ตอนนี้อดีตเจ้าสํานักกลับใช้คําว่า “พวกท่านเหล่านั้น” เพื่อกล่าวถึงคนอื่น…

 

“บอกเจ้าไปคงไม่เป็นอะไรหรอก”

 

อดีตเจ้าสํานักสังหารโลหิตเหลือบมองศิษย์สํานักสัง หารโลหิตแล้วกล่าวอย่างเป็นกันเอง “คราวนี้ที่ข้ากลับมายังแผ่นดินใหญ่ มิใช่มาเพียงลําพัง แต่กลับมาพร้อมบุคคลสําคัญและสูงส่งจํานวนหนึ่ง”

 

เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ อดีตเจ้าสํานักสังหารโลหิตก็หยุ ดไปชั่วขณะแล้วกล่าวต่อไปว่า “ผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ต่างก็เป็นผู้สูงศักดิ์หากเจ้าพบเห็นจะต้องไม่กระทําการอันใดที่เป็น การล่วงเกิน”

 

“ไม่เช่นนั้น ไม่เพียงเจ้าที่จะถูกกําจัดจนกลายเป็นผงธุลี แต่มันอาจส่งผลร้ายมาถึงข้าด้วย”

 

บรรพบุรุษแห่งสํานักสังหารโลหิตเอ่ยเตือน

 

“ขอรับ”

 

ใบหน้าของศิษย์สํานักสังหารโลหิตขาวซีดราวกับกระดาษ เขาผงกหัวซ้ําแล้วซ้ําเล่า

 

บรรพบุรุษตํานานยุทธแห่งสํานักสังหารโลหิตปรากฏตัว

 

ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วยุทธภพรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ

 

ตอนนี้ราชวงศ์ถังได้รวมทุกอาณาจักรเป็นปึกแผ่น เป็นห นึ่งไม่มีสอง ศิษย์ของสํานักสังหารโลหิตถูกบังคับให้หนีตายเพื่อหนีการชําระแค้นของอาณาจักรถัง

 

และในเวลานี้บรรพบุรุษสํานักสังหารโลหิตก็ป รากฏตัวขึ้นโดยไม่คาดคิด เหล่าศิษย์สํานักสังหารโลหิตที่ซ่อนตัวอยู่ราวกับสุนัขก็เหมือนได้เห็นรุ่งอรุณแห่งความหวัง

 

“ทําไมบรรพบุรุษสํานักสังหารโลหิตถึงกลับมาอีกครั้ง?”

 

“ไม่แน่ใจ เป็นเพราะมีคนของสํานักสังหารโลหิตเสียชี วิตไปหรือไม่?”

 

“จบแล้ว บรรพบุรุษสํานักสังหารโลหิตกลับมาที่นี่ และ สํานักสังหารโลหิตก็ทรงพลังมากวันเวลาดีๆที่พวกเรามีกําลังจะสิ้นสุดลง”

 

จอมยุทธจํานวนนับไม่ถ้วนต่างตกอยู่ในความรู้สึกระ ทมทุกข์

 

ตลอดมาสํานักสังหารโลหิตมักจะสนุกสนานในการสุม ไฟให้กับยุทธภพ ยิ่งสํานักสังหารโลหิตรุ่งเรืองขึ้นมากเท่าไหร่ก็หมายความว่าบนโลกนี้การเข่นฆ่าสังหารจะเพิ่มมากขึ้นไปอีก

 

“อย่างไรก็ตาม เมื่อบรรพบุรุษสํานักสังหารโลหิตกลับมา เช่นนี้ ข้าไม่รู้ว่าตํานานยุทธเมืองฉางอันจะคิดเห็นเช่นไร?”

 

มีบางคนอดที่จะกล่าวถึงไม่ได้

 

คําที่กล่าวออกมา

 

จอมยุทธทุกคนเงียบกริบ

 

ผู้อาวุโสสูงสุดสามคนของสํานักสังหารโลหิตตกตายภายใต้น้ํามือของตํานานยุทธในเมืองฉางอันและเนื่องจากเหตุการณ์นี้เหล่าศิษย์สํานักสังหารโลหิตจึงถูกบังคับให้ยุบสํานัก

 

บรรพบุรุษสํานักสังหารโลหิตจะเพิกเฉยต่อความคับข้องใจนี้ได้อย่างไร?

 

“เจ้าคิดว่าผู้ใดเก่งกว่ากัน ตํานานยุทธสํานักสังหารโลหิตหรือตํานานยุทธในเมืองฉางอัน?”

 

จอมยุทธคนหนึ่งกล่าวถามอย่างกระตือรือร้น

 

“ข้าคิดว่าน่าจะเป็นตํานานยุทธเมืองฉางอัน เพราะไม่กี่ปีก่อน ราชครูแห่งเหมิงหยวนซึ่งเป็นตํานานยุทธเช่นเดียวกันก็ถูกตํานานยุทธเมืองฉางอันสังหาร…”

 

“ราชครูอาณาจักรเหมิ่งหยวนเพิ่งเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธเท่านั้น จะเอามาเทียบกับบรรพบุรุษสํานักสังหารโลหิต ได้อย่างไร?”

 

“ใช่ บรรพบุรุษสํานักสังหารโลหิตเป็นตํานานยุทธตั้งแต่สองร้อยปีที่แล้ว ตอนนี้เขากลับมาจากต่างดินแดนหลังจากสองร้อยปีความแข็งแกร่งของเขาจะต้องเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน ตํานานยุทธเมืองฉางอันสามารถสังหารราชครู อาณาจักรเหมิ่งหยวนได้ด้วยนิ้วเดียวแต่อาจจะไม่สามารถเอาชนะบรรพบุรุษสํานักสังหารโลหิตได้”

 

จอมยุทธจํานวนนับไม่ถ้วนต่างพูดความคิดเห็นของตนออกมาอย่างรวดเร็ว

 

ในความเห็นของพวกเขา ความแข็งแกร่งของซูฉินนั้นยากแท้หยังถึง แต่บรรพบุรุษสํานักสังหารโลหิตก็มิใช่จะอ่อนแอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่ผ่านไปสองร้อยปี คงมีเพียงฟ้าเท่านั้นที่ล่วงรู้ว่าเขาแข็งแกร่งขึ้นเพียงไหน

 

“ในความคิดของข้า ตํานานยุทธแห่งเมืองฉางอันไม่ควรเป็นคู่ต่อสู้ของอดีตเจ้าสํานักสังหารโลหิต”

 

จอมยุทธอาวุโสผู้หนึ่งกล่าวสรุปจบปิดท้าย

 

แม้ว่าซูฉินจะมีพลังถล่มฟ้าสะเทือนดิน แต่อดีตเจ้าสํานักสังหารโลหิตนั้นอยู่ยงคงกระพันมากว่าสองร้อยปีแล้วหากไม่มีการต่อสู้กันตัวต่อตัวจริงๆ เกิดขึ้นทุกคนย่อมรู้สึกว่าบรรพบุรุษสํานักสังหารโลหิตนั้นแข็งแกร่งกว่า

 

ท้ายที่สุดอีกฝ่ายก็ฝึกฝนวิทยายุทธมานานกว่าสองร้อยปีเห็นได้ชัดเจนว่าฝ่ายไหนแข็งแกร่งฝ่ายไหนอ่อนแอกว่ากัน

 

ในขณะที่ทั่วทั้งแผ่นดินกําลังพูดถึงเรื่องนี้

 

เมืองฉางอัน

 

ภายในวังหลวง

 

“เป็นบรรพบุรุษสํานักสังหารโลหิตจริงๆ”

 

จักรพรรดิถังดูเคร่งขรึมราวกับสายน้ํานิ่ง มองดูรายงานในมือตนและกล่าวออกด้วยเสียงอันหนักแน่น

 

ตอนนี้อาณาจักรถังกําลังครองแผ่นดิน เมื่อมีข่าวเกี่ยวกับการปรากฏตัวของบรรพบุรุษสํานักสังหารโลหิตข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดก็ถูกส่งตรงถึงจักรพรรดิถังทันที

 

แม้จักรพรรดิถังจะยังคงมีความสงสัยภายในใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ข้อมูลไหลเข้ามาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจักรพรรดิถังทําได้เพียงแต่ต้องเชื่อ

 

“ฝ่าบาท พวกเราควรทําเช่นไรดี?”

 

ขุนนางคนหนึ่งลุกขึ้น มองไปที่จักรพรรดิแล้วจึงเอ่ยถาม

 

จักรพรรดิถังเงียบไปครู่หนึ่งก่อนตรัสว่า “จงระดมพลกองทัพเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งเพิ่มกําลังพลเพื่อตรวจสอบเมืองฉางอันให้มากขึ้น”

 

ขุนนางคนอื่นๆ ได้ยินดังนั้นก็มองหน้ากัน ริมฝีปากพวกเขาเผยอเบิดออก แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

อันที่จริงก็ได้แต่ทําตามที่จักรพรรดิถังตรัสไว้ ไม่เช่นนั้นควรจะทําเช่นไรงั้นหรือ? เป็นไปได้หรือไม่ที่จะค้นหาตวบรรพบุรุษแห่งสํานักสังหารโลหิตจากนั้นค่อยกําจัดเขา?

 

อย่าเพิ่งกล่าวถึงเรื่องที่อาณาจักรถังจะสามารถกําจัดบรรพบุรุษสังหารโลหิตได้หรือไม่ แค่เพียงตามตําแหน่งที่อยู่ของบรรพบุรุษสังหารโลหิตอย่างเดียวนั้น จ ริงๆ แล้วจะมีใครไปทําได้?

 

ตํานานยุทธคุมปราณเคลื่นลมเดินทางได้นับหมื่นลี้ในห นึ่งวัน บางวันอยู่สุดขอบตะวันตก พรุ่งนี้อาจจะอยู่สุดขอบทางตอนเหนือ

 

หลังจากการประชุมสภาขุนนางสิ้นสุด

 

จักรพรรดิถังก็เดินทางไปยังพระราชวังตะวันออก

 

“คุณชายหร่วนชิง พี่สามยังไม่ได้ติดต่อท่านมาอีกหรือ?” จักรพรรดิถังพบหร่วนชิงจึงเอ่ยถามขึ้นมา

 

แม้หร่วนซึ่งจะบอกว่าตนเองเป็นข้ารับใช้ของซูฉิน แต่ จักรพรรดิถังก็ไม่กล้านับว่าตํานานยุทธคนหนึ่งเป็นข้ารับใช้และเรียกว่า “คุณชาย” แทน

 

ในอาณาจักรถัง คุณชาย” เป็นคําเรียกที่ให้เกียรติประหนึ่งครูอาจารย์

 

“ยังเลย”

 

หร่วนชิงเหลือบมองจักรพรรดิถังและถามด้วยความสงสัย “เจ้ากําลังมองหานายท่านอยู่อย่างนั้นรึ?”

 

“บรรพบุรุษสังหารโลหิตที่จากไปตั้งแต่สองร้อยปีก่อนได้กลับมาโดยไม่รู้ว่าสาเหตุที่กลับมาคืออะไร?” จักรพรรดิถังกล่าวคํารวบรัดในสิ่งที่ตนล่วงรู้มา

 

“ดูเหมือนว่านิกายใหญ่ต่างดินแดนจะเข้ามาแทรกแซงเสียแล้ว” หร่วนซิงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ

 

“ตอนนี้ควรทําเช่นไรดี?”

 

แม้ว่าจักรพรรดิถังจะไม่รู้ว่า “นิกายใหญ่” ที่หร่วนชิงพูดเมื่อครู่หมายความว่าอะไร แต่รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องดีแน่

 

“ถ้าเป็นเพียงเฒ่าสังหารโลหิต ข้าสามารถจัดการเรื่องนี้ได้แต่นอกเหนือจากเฒ่าสังหารโลหิตแล้ว นิกายใหญ่จะ ต้องส่งศิษย์คนอื่นมาอีกแน่”

 

หร่วนซึ่งส่ายศีรษะ

 

เพียงรอนายท่านออกจากด่านฝึกตน

หร่วนชิงกล่าวอย่างช่วยไม่ได้

 

แทบจะในเวลาเดียวกัน ข่าวที่น่าเหลือเชื่อก็แพร่กระจายไปทั่วดินแดน

 

ตัวอย่างเช่น มีผู้พบเห็นหญิงชุดขาวโบยบินอยู่บนฟากฟ้าราวกับนางฟ้านางสวรรค์มีคนเห็นชายสะพายดาบในชุดเขียวก้าวเท้าครั้งหนึ่งพุ่งไปได้ไกลหลายร้อยเมตรดูเห มือนกําลังทดสอบบางอย่างอยู่ส่วนคนอื่นๆก็เห็นนักพรต ที่ยืนอยู่เหนือเมฆ มองดูสรรพชีวิตอย่างเฉยเมยราวกับกําลังมองหาอะไรบางอย่าง

 

ฉับพลัน ทั่วทั้งแผ่นดินก็สั่นสะเทือน

 

หากจะบอกว่าบรรพบุรุษสังหารโลหิตที่ปรากฏตัวขึ้นครั้ง แรกเป็นกระแสลมพัดผ่าน ก็ทําให้ผู้คนตกใจกันทั่วทวีปแล้ว ตอนนี้ยังมีตัวตนขอบเขตตํานานยุทธที่ไร้ที่มาที่ไปผุดขึ้นอีกที่ละคนสองคน ทําให้ผู้คนแตกตื่นกันยกใหญ่

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

“เป็นไปได้ไหมที่คนเหล่านี้จะกลับมาจากต่างดินแดนเหมือนบรรพบุรุษสังหารโลหิต?”

 

“มีเพียงความเป็นไปได้นี้เท่านั้นจึงจะอธิบายได้ว่าทําไมตํานานยุทธที่หาได้ยากเย็นในยุคนี้ถึงโผล่มาอย่างมากมายขนาดนี้?”

 

จอมยุทธทั้งหลายตื่นตระหนก

 

และในขณะนี้

 

บนภูเขาสูงมีร่างหลายร่างกําลังยืนกันอย่างผ่อนคลาย

 

หนึ่งในนั้นมีหญิงสาวชุดขาวที่ดูราวกับนางฟ้านางสวรรค์ชายถือดาบใส่ชุดเขียว และนักพรตเต๋รวมอยู่ด้วย

 

ในตอนนี้ การดํารงอยู่ของเหล่าตัวตนบนยอดเขาแผ่บรรยากาศที่ไม่สามารถบรรยายได้ออกมา

 

“ตรวจสอบอะไรมาได้บ้าง?”

 

เสียงของหญิงชุดขาวนั้นชัดเจน แม้จะพูดด้วยเสียงเบา

 

นางคือเทพธิดาองค์ปัจจุบันจากตําหนักเทพเจ้าหิมะนิกายใหญ่ในต่างดินแดน มีนามว่าชิงหลิงครั้งนี้มาตามคําสั่งของสํานักเพื่อตรวจสอบว่าทวีปนี้เป็นโลกอันยิ่งใหญ่ตามตํานานใช่หรือไม่

 

ส่วนคนอื่นๆ ต่างก็เป็นบุตรแห่งสวรรค์ของนิกายใหญ่ต่างๆ

 

“แม้ว่าพลังในปัจจุบันจะยังด้อยกว่านิกายใหญ่ในดินแดนของพวกเรามากแต่อัตราการเติบโตของพลังก็สูง กว่าเป็นอย่างยิ่ง

 

พูดถึงจุดนี้ ชายถือดาบในชุดเขียวก็หยุดพูดไปชั่วครู่แล้วจึงกล่าวต่อ“ตามกระแสพลังตอนนี้อย่างน้อยก็อีกหนึ่งร้อยปีพลังและจิตวิญญาณของสถานที่แห่งนี้จะเทียบเท่า กับต่างดินแดนและในอีกสองร้อยไปจะแซงหน้าดิน แดนของพวกเราไปอย่างสิ้นเชิง

 

คําที่กล่าวออกมา

 

ทุกคนในที่แห่งนี้ต่างเปลี่ยนท่าทีไป

 

“แล้วจะยังรออะไรอีกล่ะ? เรามาร่วมมือกัน เข้าสู่ อาณาจักรถังควบคุมทวีปนี้อย่างสมบูรณ์ จากนั้นก็นั่งร อต้อนรับคนจากนิกาย” ชายท่าทางดุดันคนหนึ่งพูดด้วยรอยยิ้ม

 

เมื่อทุกคนมาถึงที่นี่ต่างก็ได้รับรู้ว่าทวีปนี้ถูกปกครองด้วยมหาอํานาจที่เรียกว่าอาณาจักรถัง

 

“เข้าครอบครองอาณาจักรถัง?”

 

นักพรตเต๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย “แต่ข้าได้ยินมาว่าเหมือนจะมีตํานานยุทธอยู่ในเมืองฉางอันแห่งอาณาจักรถัง และความแข็งแกร่งของเขาก็มิใช่จะอ่อนแอ…”

 

“มีความแข็งแกร่งที่ไม่อ่อนแอ?” ชายท่าทางดุดันยิ้ม แล้วพูดขึ้นว่า“เมื่อเทียบกับพวกเราที่มาจากต่างดินแดนข้าไม่ได้จะหยิ่งทระนงอะไรนะแต่ตํานานยุทธทุกคนก็ได้ เทียมทานได้เมื่ออยู่ในที่แห่งนี้”

 

“ต่อหน้าศิษย์สาวกอย่างพวกเรามันจะนับเป็นอะไร?”

 

“พวกเราคนใดคนหนึ่งก็สามารถกวาดทําลายที่นี่จนราบเป็นหน้ากลองได้แล้ว”

 

น้ําเสียงของชายท่าทางดุดันนั้นแข็งกระด้าง แสดงถึงความเย่อหยิ่ง

 

“ไม่เลว” ชายชุดเขียวที่ถือดาบอยู่ก็พยักหน้าเล็กน้อย“ในฐานะศิษย์ของนิกายใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดวิชา วิชาบ่มเพาะหรือมรดกตกทอดล้วนแข็งแกร่งจะนํามาเปรียบ เทียบกับของธรรมดาๆ ในดินแดนแห่งนี้ได้เช่นไร?”

 

“ยอดเยี่ยม”

 

ปิงหลิงเทพธิดาในยุคสมัยนี้ของตําหนักเทพเจ้าหิมะพยักหน้าเล็กน้อย “เมื่อเป็นเช่นนี้เราจะไปที่เมืองฉางอันหากตํานานยุทธผู้นั้นฉลาดพอและยอมก้มหัวให้พวกเราอ ย่างแข็งขันเขาก็สามารถมีชีวิตต่อไปได้ไม่เช่นนั้นเขาจะต้องถูกสังหารลงทันที”

 

ใต้เมืองฉางอัน

 

ในโถงพระราชวังอันสูงตระหง่าน

 

ซูฉันค่อยๆ ลืมตาขึ้น

 

“ในที่สุดอาณาเขตก็เสถียรเต็มที่แล้ว”

 

สีหน้าของซูฉินเปล่งประกาย แสดงถึงความพึงพอใจ

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+