เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 198 (1) รังสีแห่งคมมีด

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 198 (1) รังสีแห่งคมมีด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 198 (1) รังสีแห่งคมมีด

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ โดยมีรอยยิ้มแขวนประดับอยู่บนใบหน้า

 

ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ซูฉินไม่เพียงแต่ทําให้อาณาเขตที่ก่อตัวขึ้นมาใหม่นั้นมั่นคง แต่ยังตรวจสอบความสามารถของอาณาเขตของตนไปด้วย

 

นี่เป็นสิ่งที่อย่างน้อยๆ ก็ต้องเป็นตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ดเท่านั้นที่มีความหวังจะจับจุดวิธีการต่างๆ ได้ อาณาเขตนั้นทําได้มากกว่าการสังหารศัตรู

 

อย่างน้อยตอนนี้ซูฉินก็ได้ใช้เวลาศึกษาพิจารณาดูจนพบว่าอาณาเขตมีความสามารถอื่นๆ เช่น การป้องกัน การปกปิด และยังช่วยชีวิตผู้คนได้ด้วย

 

นอกจากนี้ ซูฉินยังพบว่า หากเขาต้องการจริงๆ อาจจะขยายขอบเขตออกไปไกลกว่าหนึ่งร้อยจ้างได้

 

ระยะหนึ่งร้อยจ้างเป็นเพียงรัศมีที่ซูฉินควบคุมได้อย่างสมบูรณ์แบบ

 

ภายในร้อยจ้างนี้ ซูฉินเป็นนายเหนือหัว มีอํานาจทุกสิ่งอย่าง

 

แต่เมื่อขยายขอบเขตออกไปเกินกว่าหนึ่งร้อยจ้าง การควบคุมของซูฉินจะลดลง

 

พูดอย่างง่ายๆ หากตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ดคนใดตกอยู่ในอาณาเขตของซูฉินในระยะร้อยจ้าง มันผู้นั้นจะไม่สามารถหยิบยืมพลังจากรอบด้านได้ และถูกซูฉินสังหารอย่างแน่นอน ไม่มีทางหนีพ้น

 

อย่างไรก็ตาม หากซูฉินขยายอาณาเขตให้ไกลออกไปหลายพันจ้าง แม้ตํานานยุทธในระดับนภาชั้นที่เจ็ดเข้ามาในเขตแดน แน่นอนว่าถูกจํากัดพลังไปมาก แต่ก็ไม่ถึงกับไร้หนทางดิ้นรน

 

อย่างน้อยก็ต่อสู้ได้สักหลายกระบวนท่า

 

“ต่อจากนี้ นอกจากฝึกฝนบ่มเพาะ ข้ายังจะต้องบีบอัดพลังฟ้าดินต่อไป เติมพลังงานให้กับอาณาเขต สร้างพื้นที่ให้กว้างใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่ให้มากขึ้น”

 

ในใจของซูฉินเต็มไปด้วยความคิดที่จะทําหลายสิ่งมากมายเต็มไปหมด

 

ในขอบเขตพลังของเขา แม้ว่าหนทางข้างหน้าจะไม่ชัดเจน แต่ก็ยังพอรู้วิธีที่จะไปต่อ

 

แน่นอนว่าสําหรับตํานานยุทธส่วนใหญ่ การที่พวกเขารู้วิธีที่จะเดินไป กับการเดินไปถึงจริงๆ เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

 

ตัวอย่างเช่น ขุนนางระดับเก้าในราชวงศ์ถังรู้ว่าจะต้องทํางานอย่างหนักหน่วงให้กับอาณาจักรถัง หรือแม้แต่ประจบสอพลอเลียแข้งเลียขาเพื่อขึ้นสู่ตําแหน่งขุนนางระดับ

สาม

 

แต่จะมีขุนนางระดับเก้าภายในราชสํานักสักกี่คนที่สามารถปีนป่ายขึ้นไปถึงตําแหน่งขุนนางระดับสามได้?

 

การฝึกวิทยายุทธนั้นยากเย็นแสนเข็ญ โดยเฉพาะขอบเขตตํานานยุทธยิ่งยากขึ้นไปอีก

 

เพียงแค่รู้วิธี ใช่จะไปถึง

 

อาจมองเห็น แต่สัมผัสไม่ได้

 

“บิดด่านฝึกตนต่ออีกสักสองเดือน”

 

ซูฉินพร้อมที่จะทําความคุ้นเคยกับพลังของอาณาเขตต่ออีกครั้ง ยังไม่รีบร้อนจะออกไปไหน

 

อย่างไรเสียตอนนี้เมืองฉางอันก็มีหร่วนชิง ตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่สามคอยดูแล ย่อมไม่มีปัญหาใดเกิดขึ้น ซูฉินจึงปิดด่านฝึกตนได้อย่างมีความสุข

 

ขณะที่ซูฉินอยู่ในช่วงปิดด่านฝึกตน

 

จักรพรรดิถังอยู่ในท้องพระโรงตําหนักไท่จี๋ กําลังหารือกิจการภายในอยู่กับเหล่าขุนนาง

 

ฉับพลัน

 

ทหารรักษาพระองค์ก็รีบวิ่งเข้ามาและเข้าไปกระซิบที่ด้านข้างของจักรพรรดิถัง

 

“อะไรนะ?”

 

ใบหน้าของจักรพรรดิถังเปลี่ยนไปอย่างมาก

 

ในตอนนั้นจักรพรรดิถังก็เพิกเฉยต่อการประชุมในทันทีแล้วรีบเดินออกจากตําหนักไท่จี๋  มาที่ส่วนหน้าของวังหลวง

 

“พวกเขา?”

 

สีหน้าของจักรพรรดิถังบิดเบี้ยว

 

เห็นหกร่างยืนอยู่บนท้องฟ้า ร่างทั้งหกนั้นเปรียบประหนึ่งสิ่งมีชีวิตที่เหนือกว่าสรรพชีวิตทั้งมวล มองสิ่งมีชีวิตอื่นจากเบื้องบน มองลงมาเห็นเมืองฉางอัน เห็นองค์จักรพรรดิ

 

“พวกเขาเป็นใครกัน?”

 

จักรพรรดิถังสูดหายใจลึก ถามด้วยเสียงต่ำ

 

“ฝ่าบาท แม่ทัพผู้นี้ก็มิทราบเช่นกัน” แม่ทัพแห่งวังหลวงที่อยู่ด้านข้างดูเคร่งเครียด สงบคําไปชั่วครู่ก่อนจะกระซิบต่อไปว่า “อย่างไรก็ตาม คนเหล่านี้น่าจะเป็นตํานานยุทธกันทั้งหมด”

 

มีเพียงตํานานยุทธเท่านั้นที่สามารถควบคุมคลื่นลมได้

 

ดังนั้น แม้แม่ทัพแห่งวังหลวงจะไม่อาจหยั่งถึงพลังของทั้งหกร่างที่อยู่บนท้องฟ้า แต่ก็เป็นที่แน่ชัดว่าคู่ต่อสู้นั้นเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งในระดับตํานานยุทธ

 

เมื่อแม่ทัพกล่าวออกมาเช่นนั้น

 

ใบหน้าของจักรพรรดิถังก็ซีดลงในทันที

 

ตามปกติ การปรากฏตัวของตํานานยุทธเพียงหนึ่งคนก็ทําให้ทั้งโลกต้องสั่นสะเทือนแล้ว แต่ตอนนี้มีถึงหกคนที่มาอยู่ในเมืองฉางอันตอนนี้

 

จะให้จักรพรรดิถังสงบใจลงได้อย่างไร

 

“ฝ่าบาท คนทางซ้ายสุดควรจะเป็นอดีตเจ้าสํานักสังหารโลหิต” ดูเหมือนแม่ทัพแห่งวังหลวงจะค้นพบบางสิ่งแล้วจึงกระซิบไปที่ข้างพระกรรณอย่างรวดเร็ว

 

เมื่อจักรพรรดิถังได้ยินสิ่งนี้ สายตาของพระองค์ก็เพ่งไปที่ด้านซ้ายในทันที และเห็นร่างที่สวมชุดคลุมสีแดงยืนอยู่บนนภากาศ

 

“มีปัญหาแล้ว”

 

จักรพรรดิถังรู้สึกเย็นเยียบในหัวใจ

 

หากไม่มีบรรพบุรุษสังหารโลหิตก็พอจะคิดได้ว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญ ตํานานยุทธทั้งหกอาจจะผ่านทางมาและแวะดูอะไรไปตามเรื่องตามราว

 

แต่ตอนนี้

 

จักรพรรดิถังเหมือนหล่นลงไปในก้นเหวลึก

 

“ฝ่าบาท”

 

“เราจะทําเช่นไรกันต่อดี?”

 

แม่ทัพกล่าวถามเสียงแผ่ว

 

“รอก่อน”

 

จักรพรรดิถังรู้สึกไร้ซึ่งอํานาจ “รอดูว่าพวกเขาจะทําอะไรกันต่อไป”

 

พวกเขาจะทําอะไรได้อีกนอกจากรอ?

 

ตํานานยุทธทั้งหกนั้นยืนอยู่บนอากาศ กองทัพธรรมดาไม่สามารถแตะต้องได้ นับประสาอะไรกับการนําคนเข้าห้องล้อมปราบปราม

 

แม้จะมีคันธนูและหน้าไม้มากมายเก็บไว้ในเมืองฉางอัน แต่ใครจะกล้าเอามาใช้กับตํานานยุทธทั้งหกคนเช่นนี้ ?

 

เมื่อใช้ธนูหรือหน้าไม้จริงๆ ก็เท่ากับเป็นการฉีกหน้าตํานานยุทธทั้งหก หากอีกฝ่ายต้องการจะฆ่าสังหารหมู่ ใครเล่าจะ หยุดยั้งได้?

 

ตํานานยุทธเพียงหนึ่งคนก็รับมือกองทัพนับล้านได้แล้ว นี่มีถึงหก!

 

และในตอนนั้นเอง

 

เหนือฟากฟ้า

 

ศิษย์จากนิกายใหญ่จากต่างแดนดูจะเบื่อหน่ายกับสภาพภายในเมืองฉางอันเบื้องล่าง

 

“มีระดับนภาชั้นที่สามอยู่ น่าจะเป็นตํานานยุทธภายในเมืองฉางอัน” ชายชุดเขียวที่กําลังถือดาบ พูดออกมาเบาๆ

 

“นภาชั้นที่สาม?”

 

“น่าอัศจรรย์”

 

นักพรตในชุดคลุมลัทธิเต๋าพยักหน้าเล็กน้อย

 

การที่จะก้าวเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธในทวีปที่แห้งแล้งเช่นนี้ หรือก้าวเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่สามนั้น บ่งบอกได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์หรือความสามารถล้วนอยู่ในจุดที่ยอดเยี่ยมอย่างที่สุด

 

“น่าเสียดายที่เข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธไปแล้ว รากฐานถูกวางไว้หมดแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าสู่นิกายของข้าได้” ชายที่ดูเย็นชาในชุดคลุมสีดํากล่าวขึ้นมา

 

“เอาล่ะ เราควรจะทําเช่นไรในตอนนี้ ลงมือปราบโดยตรงเลยหรือไม่?” ชายที่ท่าทางดุดันกล่าวอย่างไม่ค่อยจะพอใจนัก

 

“ลงมือปราบโดยตรง?”

 

หญิงชุดขาวปรายตามาอย่างเยือกเย็น คิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะเปิดปากพูดว่า “แจ้งพวกเขาให้รู้ก่อน ถ้าหากปฏิเสธล่ะก็ คงจะไม่สายเกินไปที่จะสังหารเสีย”

 

ปิงหลิงเป็นเทพธิดาในยุคปัจจุบันของตําหนักเทพเจ้าหิมะซึ่งเป็นนิกายใหญ่ในต่างแดน หากไม่มีเหตุผิดพลาด นางจะกลายเป็นเจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะในอนาคต เป็นผู้มีตําแหน่งสูงสุดในนิกาย

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น”

 

“ก็ลงไปพูดคุยสักหน่อย”

 

ชายที่ดูเย็นชาในชุดคลุมสีดําเหลือบมองไปทางบรรพบุรุษสังหารโลหิตที่อยู่ริมสุด

 

ถ้าเทียบด้วยสถานะและตัวตนกันแล้ว บรรพบุรุษสังหารโลหิตไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับพวกเขาเลย

 

ไม่ว่าจะเป็นชายชุดดําหรือคนอื่นๆ ล้วนเป็นบุตรแห่งสวรรค์ที่น่าภาคภูมิใจของนิกายทั้งสิ้น

 

สําหรับบรรพบุรุษสังหารโลหิตเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธธรรมดาๆ แม้ว่าความแข็งแกร่งจะถึงระดับนภาชั้นที่สาม

 

แต่ถ้าหากงานนี้มิต้องการคนนําทาง

 

และบรรพบุรุษสังหารโลหิตไม่ใช่คนที่มาจากทวีปนี้ พวกเขาย่อมไม่ร่วมเดินทางมากับบรรพบุรุษสังหารโลหิตเช่นนี้

 

“ขอรับ”

 

หารโลหิตกล่าวด้วยความเคารพ

 

ไม่ช้า

 

บรรพบุรุษสังหารโลหิตก็ก้าวเท้าออกไปและปรากฏตัวอีกทีอยู่บนกําแพงเมือง

 

“เจ้านายของข้าได้ให้ทางเลือกสองทางแก่อาณาจักรถัง” บรรพบุรุษสังหารโลหิตมองไปที่จักรพรรดิถังและคนอื่นๆ ก่อนจะกล่าวต่อ “หนึ่งคือยอมจํานน และอีกทางคือยอมจํานนหลังจากถูกผู้ยิ่งใหญ่ปราบปราม คิดให้ดี ข้าจะให้เวลาครึ่งชั่วยาม ก่อนที่จะกล่าวตอบ”

 

บรรพบุรุษสังหารโลหิตไม่แม้แต่จะมองไปที่จักรพรรดิถัง จากนั้นจึงหันหลังเดินจากไป

 

[1] หนึ่งชั่วยามเท่ากับสองชั่วโมง ฉะนั้นครึ่งชั่วยามเท่ากับหนึ่งชั่วโมง มาจากการแบ่งช่วงเวลาแบบจีนโบราณ จะแบ่งยามกลางวันและยามราตรีรวมทั้งวันออกเป็นสิบสองส่วน ส่วนละสองชั่วโมง โดยช่วงยามแรกจะเริ่มที่ห้าทุ่มไปจนถึงตีหนึ่ง ไล่ไปทีละสองชั่วโมงจนกลับมาถึงห้าทุ่มอีกครั้ง

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 198 (1) รังสีแห่งคมมีด

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 198 (1) รังสีแห่งคมมีด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 198 (1) รังสีแห่งคมมีด

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ โดยมีรอยยิ้มแขวนประดับอยู่บนใบหน้า

 

ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ซูฉินไม่เพียงแต่ทําให้อาณาเขตที่ก่อตัวขึ้นมาใหม่นั้นมั่นคง แต่ยังตรวจสอบความสามารถของอาณาเขตของตนไปด้วย

 

นี่เป็นสิ่งที่อย่างน้อยๆ ก็ต้องเป็นตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ดเท่านั้นที่มีความหวังจะจับจุดวิธีการต่างๆ ได้ อาณาเขตนั้นทําได้มากกว่าการสังหารศัตรู

 

อย่างน้อยตอนนี้ซูฉินก็ได้ใช้เวลาศึกษาพิจารณาดูจนพบว่าอาณาเขตมีความสามารถอื่นๆ เช่น การป้องกัน การปกปิด และยังช่วยชีวิตผู้คนได้ด้วย

 

นอกจากนี้ ซูฉินยังพบว่า หากเขาต้องการจริงๆ อาจจะขยายขอบเขตออกไปไกลกว่าหนึ่งร้อยจ้างได้

 

ระยะหนึ่งร้อยจ้างเป็นเพียงรัศมีที่ซูฉินควบคุมได้อย่างสมบูรณ์แบบ

 

ภายในร้อยจ้างนี้ ซูฉินเป็นนายเหนือหัว มีอํานาจทุกสิ่งอย่าง

 

แต่เมื่อขยายขอบเขตออกไปเกินกว่าหนึ่งร้อยจ้าง การควบคุมของซูฉินจะลดลง

 

พูดอย่างง่ายๆ หากตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ดคนใดตกอยู่ในอาณาเขตของซูฉินในระยะร้อยจ้าง มันผู้นั้นจะไม่สามารถหยิบยืมพลังจากรอบด้านได้ และถูกซูฉินสังหารอย่างแน่นอน ไม่มีทางหนีพ้น

 

อย่างไรก็ตาม หากซูฉินขยายอาณาเขตให้ไกลออกไปหลายพันจ้าง แม้ตํานานยุทธในระดับนภาชั้นที่เจ็ดเข้ามาในเขตแดน แน่นอนว่าถูกจํากัดพลังไปมาก แต่ก็ไม่ถึงกับไร้หนทางดิ้นรน

 

อย่างน้อยก็ต่อสู้ได้สักหลายกระบวนท่า

 

“ต่อจากนี้ นอกจากฝึกฝนบ่มเพาะ ข้ายังจะต้องบีบอัดพลังฟ้าดินต่อไป เติมพลังงานให้กับอาณาเขต สร้างพื้นที่ให้กว้างใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่ให้มากขึ้น”

 

ในใจของซูฉินเต็มไปด้วยความคิดที่จะทําหลายสิ่งมากมายเต็มไปหมด

 

ในขอบเขตพลังของเขา แม้ว่าหนทางข้างหน้าจะไม่ชัดเจน แต่ก็ยังพอรู้วิธีที่จะไปต่อ

 

แน่นอนว่าสําหรับตํานานยุทธส่วนใหญ่ การที่พวกเขารู้วิธีที่จะเดินไป กับการเดินไปถึงจริงๆ เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

 

ตัวอย่างเช่น ขุนนางระดับเก้าในราชวงศ์ถังรู้ว่าจะต้องทํางานอย่างหนักหน่วงให้กับอาณาจักรถัง หรือแม้แต่ประจบสอพลอเลียแข้งเลียขาเพื่อขึ้นสู่ตําแหน่งขุนนางระดับ

สาม

 

แต่จะมีขุนนางระดับเก้าภายในราชสํานักสักกี่คนที่สามารถปีนป่ายขึ้นไปถึงตําแหน่งขุนนางระดับสามได้?

 

การฝึกวิทยายุทธนั้นยากเย็นแสนเข็ญ โดยเฉพาะขอบเขตตํานานยุทธยิ่งยากขึ้นไปอีก

 

เพียงแค่รู้วิธี ใช่จะไปถึง

 

อาจมองเห็น แต่สัมผัสไม่ได้

 

“บิดด่านฝึกตนต่ออีกสักสองเดือน”

 

ซูฉินพร้อมที่จะทําความคุ้นเคยกับพลังของอาณาเขตต่ออีกครั้ง ยังไม่รีบร้อนจะออกไปไหน

 

อย่างไรเสียตอนนี้เมืองฉางอันก็มีหร่วนชิง ตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่สามคอยดูแล ย่อมไม่มีปัญหาใดเกิดขึ้น ซูฉินจึงปิดด่านฝึกตนได้อย่างมีความสุข

 

ขณะที่ซูฉินอยู่ในช่วงปิดด่านฝึกตน

 

จักรพรรดิถังอยู่ในท้องพระโรงตําหนักไท่จี๋ กําลังหารือกิจการภายในอยู่กับเหล่าขุนนาง

 

ฉับพลัน

 

ทหารรักษาพระองค์ก็รีบวิ่งเข้ามาและเข้าไปกระซิบที่ด้านข้างของจักรพรรดิถัง

 

“อะไรนะ?”

 

ใบหน้าของจักรพรรดิถังเปลี่ยนไปอย่างมาก

 

ในตอนนั้นจักรพรรดิถังก็เพิกเฉยต่อการประชุมในทันทีแล้วรีบเดินออกจากตําหนักไท่จี๋  มาที่ส่วนหน้าของวังหลวง

 

“พวกเขา?”

 

สีหน้าของจักรพรรดิถังบิดเบี้ยว

 

เห็นหกร่างยืนอยู่บนท้องฟ้า ร่างทั้งหกนั้นเปรียบประหนึ่งสิ่งมีชีวิตที่เหนือกว่าสรรพชีวิตทั้งมวล มองสิ่งมีชีวิตอื่นจากเบื้องบน มองลงมาเห็นเมืองฉางอัน เห็นองค์จักรพรรดิ

 

“พวกเขาเป็นใครกัน?”

 

จักรพรรดิถังสูดหายใจลึก ถามด้วยเสียงต่ำ

 

“ฝ่าบาท แม่ทัพผู้นี้ก็มิทราบเช่นกัน” แม่ทัพแห่งวังหลวงที่อยู่ด้านข้างดูเคร่งเครียด สงบคําไปชั่วครู่ก่อนจะกระซิบต่อไปว่า “อย่างไรก็ตาม คนเหล่านี้น่าจะเป็นตํานานยุทธกันทั้งหมด”

 

มีเพียงตํานานยุทธเท่านั้นที่สามารถควบคุมคลื่นลมได้

 

ดังนั้น แม้แม่ทัพแห่งวังหลวงจะไม่อาจหยั่งถึงพลังของทั้งหกร่างที่อยู่บนท้องฟ้า แต่ก็เป็นที่แน่ชัดว่าคู่ต่อสู้นั้นเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งในระดับตํานานยุทธ

 

เมื่อแม่ทัพกล่าวออกมาเช่นนั้น

 

ใบหน้าของจักรพรรดิถังก็ซีดลงในทันที

 

ตามปกติ การปรากฏตัวของตํานานยุทธเพียงหนึ่งคนก็ทําให้ทั้งโลกต้องสั่นสะเทือนแล้ว แต่ตอนนี้มีถึงหกคนที่มาอยู่ในเมืองฉางอันตอนนี้

 

จะให้จักรพรรดิถังสงบใจลงได้อย่างไร

 

“ฝ่าบาท คนทางซ้ายสุดควรจะเป็นอดีตเจ้าสํานักสังหารโลหิต” ดูเหมือนแม่ทัพแห่งวังหลวงจะค้นพบบางสิ่งแล้วจึงกระซิบไปที่ข้างพระกรรณอย่างรวดเร็ว

 

เมื่อจักรพรรดิถังได้ยินสิ่งนี้ สายตาของพระองค์ก็เพ่งไปที่ด้านซ้ายในทันที และเห็นร่างที่สวมชุดคลุมสีแดงยืนอยู่บนนภากาศ

 

“มีปัญหาแล้ว”

 

จักรพรรดิถังรู้สึกเย็นเยียบในหัวใจ

 

หากไม่มีบรรพบุรุษสังหารโลหิตก็พอจะคิดได้ว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญ ตํานานยุทธทั้งหกอาจจะผ่านทางมาและแวะดูอะไรไปตามเรื่องตามราว

 

แต่ตอนนี้

 

จักรพรรดิถังเหมือนหล่นลงไปในก้นเหวลึก

 

“ฝ่าบาท”

 

“เราจะทําเช่นไรกันต่อดี?”

 

แม่ทัพกล่าวถามเสียงแผ่ว

 

“รอก่อน”

 

จักรพรรดิถังรู้สึกไร้ซึ่งอํานาจ “รอดูว่าพวกเขาจะทําอะไรกันต่อไป”

 

พวกเขาจะทําอะไรได้อีกนอกจากรอ?

 

ตํานานยุทธทั้งหกนั้นยืนอยู่บนอากาศ กองทัพธรรมดาไม่สามารถแตะต้องได้ นับประสาอะไรกับการนําคนเข้าห้องล้อมปราบปราม

 

แม้จะมีคันธนูและหน้าไม้มากมายเก็บไว้ในเมืองฉางอัน แต่ใครจะกล้าเอามาใช้กับตํานานยุทธทั้งหกคนเช่นนี้ ?

 

เมื่อใช้ธนูหรือหน้าไม้จริงๆ ก็เท่ากับเป็นการฉีกหน้าตํานานยุทธทั้งหก หากอีกฝ่ายต้องการจะฆ่าสังหารหมู่ ใครเล่าจะ หยุดยั้งได้?

 

ตํานานยุทธเพียงหนึ่งคนก็รับมือกองทัพนับล้านได้แล้ว นี่มีถึงหก!

 

และในตอนนั้นเอง

 

เหนือฟากฟ้า

 

ศิษย์จากนิกายใหญ่จากต่างแดนดูจะเบื่อหน่ายกับสภาพภายในเมืองฉางอันเบื้องล่าง

 

“มีระดับนภาชั้นที่สามอยู่ น่าจะเป็นตํานานยุทธภายในเมืองฉางอัน” ชายชุดเขียวที่กําลังถือดาบ พูดออกมาเบาๆ

 

“นภาชั้นที่สาม?”

 

“น่าอัศจรรย์”

 

นักพรตในชุดคลุมลัทธิเต๋าพยักหน้าเล็กน้อย

 

การที่จะก้าวเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธในทวีปที่แห้งแล้งเช่นนี้ หรือก้าวเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่สามนั้น บ่งบอกได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์หรือความสามารถล้วนอยู่ในจุดที่ยอดเยี่ยมอย่างที่สุด

 

“น่าเสียดายที่เข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธไปแล้ว รากฐานถูกวางไว้หมดแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าสู่นิกายของข้าได้” ชายที่ดูเย็นชาในชุดคลุมสีดํากล่าวขึ้นมา

 

“เอาล่ะ เราควรจะทําเช่นไรในตอนนี้ ลงมือปราบโดยตรงเลยหรือไม่?” ชายที่ท่าทางดุดันกล่าวอย่างไม่ค่อยจะพอใจนัก

 

“ลงมือปราบโดยตรง?”

 

หญิงชุดขาวปรายตามาอย่างเยือกเย็น คิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะเปิดปากพูดว่า “แจ้งพวกเขาให้รู้ก่อน ถ้าหากปฏิเสธล่ะก็ คงจะไม่สายเกินไปที่จะสังหารเสีย”

 

ปิงหลิงเป็นเทพธิดาในยุคปัจจุบันของตําหนักเทพเจ้าหิมะซึ่งเป็นนิกายใหญ่ในต่างแดน หากไม่มีเหตุผิดพลาด นางจะกลายเป็นเจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะในอนาคต เป็นผู้มีตําแหน่งสูงสุดในนิกาย

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น”

 

“ก็ลงไปพูดคุยสักหน่อย”

 

ชายที่ดูเย็นชาในชุดคลุมสีดําเหลือบมองไปทางบรรพบุรุษสังหารโลหิตที่อยู่ริมสุด

 

ถ้าเทียบด้วยสถานะและตัวตนกันแล้ว บรรพบุรุษสังหารโลหิตไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับพวกเขาเลย

 

ไม่ว่าจะเป็นชายชุดดําหรือคนอื่นๆ ล้วนเป็นบุตรแห่งสวรรค์ที่น่าภาคภูมิใจของนิกายทั้งสิ้น

 

สําหรับบรรพบุรุษสังหารโลหิตเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธธรรมดาๆ แม้ว่าความแข็งแกร่งจะถึงระดับนภาชั้นที่สาม

 

แต่ถ้าหากงานนี้มิต้องการคนนําทาง

 

และบรรพบุรุษสังหารโลหิตไม่ใช่คนที่มาจากทวีปนี้ พวกเขาย่อมไม่ร่วมเดินทางมากับบรรพบุรุษสังหารโลหิตเช่นนี้

 

“ขอรับ”

 

หารโลหิตกล่าวด้วยความเคารพ

 

ไม่ช้า

 

บรรพบุรุษสังหารโลหิตก็ก้าวเท้าออกไปและปรากฏตัวอีกทีอยู่บนกําแพงเมือง

 

“เจ้านายของข้าได้ให้ทางเลือกสองทางแก่อาณาจักรถัง” บรรพบุรุษสังหารโลหิตมองไปที่จักรพรรดิถังและคนอื่นๆ ก่อนจะกล่าวต่อ “หนึ่งคือยอมจํานน และอีกทางคือยอมจํานนหลังจากถูกผู้ยิ่งใหญ่ปราบปราม คิดให้ดี ข้าจะให้เวลาครึ่งชั่วยาม ก่อนที่จะกล่าวตอบ”

 

บรรพบุรุษสังหารโลหิตไม่แม้แต่จะมองไปที่จักรพรรดิถัง จากนั้นจึงหันหลังเดินจากไป

 

[1] หนึ่งชั่วยามเท่ากับสองชั่วโมง ฉะนั้นครึ่งชั่วยามเท่ากับหนึ่งชั่วโมง มาจากการแบ่งช่วงเวลาแบบจีนโบราณ จะแบ่งยามกลางวันและยามราตรีรวมทั้งวันออกเป็นสิบสองส่วน ส่วนละสองชั่วโมง โดยช่วงยามแรกจะเริ่มที่ห้าทุ่มไปจนถึงตีหนึ่ง ไล่ไปทีละสองชั่วโมงจนกลับมาถึงห้าทุ่มอีกครั้ง

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+