เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 203 (II) กําไลสงคราม

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 203 (II) กําไลสงคราม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 203 (II) กําไลสงคราม

 

“วิญญาณยมโลก?”

 

ผู้นํานิกายใหญ่หลายคนได้ฟังดังนั้นก็มองหน้ากัน

 

ในยุทธภพต่างแดน ผู้เยี่ยมยุทธถือว่าเป็นระดับสูงสุด แต่ต่ํากว่าระดับผู้เยี่ยมยุทธก็ยังมีจอมยุทธขอบเขตตํานานยุทธที่ยอดเยี่ยมอีกมากมาย

 

วิญญาณยมโลกของนิกายเฮยหยวนก็เป็นหนึ่งในนั้น

 

กล่าวได้ว่าหน่วยวิญญาณยมโลกนั้นเป็นตํานานยุทธที่ใกล้เคียงกับผู้เยี่ยมยุทธที่สุด แม้แต่ตํานานยุทธระดับนภา ชั้นที่สองหรือชั้นที่สามต้องการจะเอาชนะวิญญาณ ยมโลกก็จําเป็นต้องอาศัยจํานวนที่เหนือกว่ามาก จึงจะเป็นไปได้

 

วิชาพื้นฐานของนิกายเฮยหยวนคือ “ร่างปีศาจลวงตา” สามารถเปลี่ยนแปลงร่างกายสลับไปมาระหว่างร่างจริงและร่างลวงตาได้ และวิญญาณยมโลกนั้นได้ฝึกฝน ‘ร่างปีศาจลวงตา’ จนเชี่ยวชาญแล้ว ตํานานยุทธธรรมดาๆ ไม่สามารถสัมผัสวิญญาณยมโลกได้เลย นับประสาอะไรกับการเอาชนะคน เหล่านี้

 

“ข้าจะส่งตํานานยุทธจากนิกายเรา ไปยังพื้นที่พิพาทพร้อมกับวิญญาณยมโลกจากนิกายเฮยหยวนด้วย”

 

ผู้นํานิกายใหญ่หลายคนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวออกมา

 

“ข้าต้องการจะรู้นัก ว่าใครที่กล้าสั่งสอนลูกศิษย์ของข้า” แสงสว่างวาบฉายผ่านดวงตาของผู้นํานิกายเฮยหยวน

 

รอยยิ้มเย็นเยียบก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะ และคนอื่นๆ

 

ในยุทธภพดินแดนโพ้นทะเลแห่งนี้ นิกายใหญ่ถือว่าเป็นผู้ปกครองไปทั่วปฐพี มีคนมากมายเข้าร่วมขุมอํานาจของพวกเขา ไม่ต้องกล่าวถึงในพื้นที่พิพาทนั่นเลย ต่อให้เป็นคนในดินแดนโพ้นทะเลเอง จะมีสักกี่คนเชียวที่จะหยุดพวกเขาได้

 

….

 

โลกถ้ําปีศาจ

 

ท้องฟ้าหมองหม่น

 

เจ้าเมืองอินจี๋และราชาปีศาจมากกว่าสิบตนกําลังมุ่งหน้าไปยังเมืองเมฆาปีศาจ

 

“ท่านเจ้าเมือง”

 

ในเวลานั้น ราชาปีศาจอดที่จะกล่าวขึ้นมาไม่ได้ “พวกเราจะจัดการกับราชาปีศาจระดับสูงในเมืองเมฆาปีศาจจริงๆ หรือ?”

 

“โอ้?”

 

เจ้าเมืองอินจี้หยุดฝีเท้า หันกลับมา เหลือบตามองอีกฝ่าย “เจ้าไม่เชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของข้าหรือ?”

 

“แน่นอนว่ามิใช่!”

 

ใบหน้าของราชาปีศาจตนนั้นซีดเซียว “เพียงแต่ว่ามีค่ายกลชั้นยอดมากมายที่ปกป้องเมืองเมฆาปีศาจเอาไว้ แม้ท่านเจ้าเมืองจะแข็งแกร่ง แต่ถ้าอีกฝ่ายซ่อนตัวอยู่ภายในเมืองคอยจัดแจงค่ายกลอยู่ด้านใน ข้าคิดว่าเราคงหาทางเข้าไปไม่ง่ายดายนักมิใช่หรือ?”

 

คําที่กล่าวออกมา

 

ราชาปีศาจอีกนับสิบพยักหน้าเห็นด้วยอย่างลับๆ

 

ถึงเจ้าเมืองอินจี๋จะเข้าสู่ขอบเขตปีศาจระดับสูงมาหลายร้อยปีแล้ว แม้แต่ในหมู่ราชาปีศาจระดับสูงด้วยกันเองถือว่าแข็งแกร่งมาก

 

แต่เจ้าเมืองเมฆาปีศาจก็เป็นปีศาจระดับสูงเช่นกัน

 

ต่อให้มีความห่างชั้นระหว่างฝีมือ มันก็คงไม่ได้ห่างกัน มากราวฟ้ากับดิน

 

หากฝ่ายตรงข้ามไม่เต็มใจจะออกมาจากเมืองเมฆาปีศาจ เจ้าเมืองอินจี๋จะทําอะไรได้?

 

ค่ายกลใหญ่ในเมืองเมฆาปีศาจถูกก่อตั้งโดยเจ้าเมืองเมฆาปีศาจรุ่นก่อนๆ หากเป็นเพียงค่ายกลเปล่าๆ ก็คงไม่สามารถหยุดเจ้าเมืองอินจได้

 

แต่ถ้าเพิ่มราชาปีศาจระดับสูงเข้าไปด้วย มันย่อมแตกต่างออกไป

 

เมื่อมีราชาปีศาจระดับสูงเป็นผู้ขับเคลื่อนค่ายกลขนาดใหญ่เหล่านี้ ค่ายกลพวกนี้มิทรงพลังขึ้นเป็นสิบเท่าเลยหรือ?

 

เมื่อถึงตอนนั้น เกรงว่าเจ้าเมืองอินจี้จะต้องพบปัญหาในการฝ่าค่ายกลที่คุ้มครองเมืองเมฆาปีศาจเป็นแน่

 

“พวกเจ้ากังวลกันเรื่องนี้หรือ?”

 

เจ้าเมืองอินจี๋ส่ายหัวเล็กน้อย ลังเลครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวว่า “ก็ใช่ว่าจะบอกพวกเจ้าไม่ได้”

 

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เจ้าเมืองอินจี๋ก็ยกมือขวาขึ้นมา มองเห็นกําไลข้อมือสีดําคล้องอยู่ที่ข้อมือของเขา

 

กําไลข้อมือนี้มีขนาดค่อนข้างเล็กและดูเหมือนสร้างขึ้นมาอย่างประณีตบรรจง แต่กลับมาแผ่กลิ่นอายที่ทั้งลึกลับและลุ่มลึกออกมาอย่างแผ่วเบา

 

“นี่คือ?”

 

ราชาปีศาจต่างมองหน้ากัน มีแววของความประหลาดใจอยู่บนใบหน้าของพวกเขา

 

แม้ว่าจะมองดูกําไลของเจ้าเมืองจากระยะไกล กําไลข้อมือสีดําอันนี้ยังทําให้รู้สึกว่าจิตใจของพวกเขาถูกมันดึงดูดเข้าไปหา

 

“ท่านเจ้าเมือง นี่มันคือสิ่งใดกัน?”

 

ราชาปีศาจตนที่เพิ่งเอ่ยปากพูดก็เริ่มตัวสั่นกลัว

 

“นี่เป็นจักรกลสงครามของเผ่าพันธุ์ปีศาจเรา!” เจ้าเมืองอินจี๋กดเสียงต่ํา แสดงให้เห็นถึงความน่าเกรงขาม

 

“จักรกลสงคราม?”

 

ราชาปีศาจมากกว่าสิบตนมองหน้ากัน ดวงตาเบิกกว้างตะลึงพรึงเพริด

 

“มิผิด”

 

เจ้าเมืองอินจี๋พยักหน้าเล็กน้อย “สองร้อยปีก่อน ตอนที่ข้าก้าวข้ามมาถึงขอบเขตราชาปีศาจระดับสูง ครั้งหนึ่งเคยเข้าไปในส่วนลึกของโลกเพื่อคารวะเทพเจ้าปีศาจอาวุโสทั้งหลาย”

 

“และหนึ่งในเทพเจ้าปีศาจก็ได้มอบกําไลสงครามให้แก่ข้า”

 

น้ําเสียงของเจ้าเมืองอินจี้ดูเหมือนจะล่องลอยผันผวนไปตามกระแสความทรงจํา และกล่าวขึ้นอย่างเชื่องช้าว่า “ในสมัยโบราณ มีการฟื้นคืนของกระแสปราณฉีบนโลกม นุษย์หลายต่อหลายครั้ง มีผู้แข็งแกร่งกําเนิดขึ้นเป็นจํานวนมาก และปกครองโลกทั้งใบ”

 

“แต่ถึงกระนั้น เผ่าพันธุ์ปีศาจก็ยังทําสงครามและบุกรุกโลกมนุษย์ต่อไปได้ รู้ไหมว่าพวกเราทําได้อย่างไร?”

 

เจ้าเมืองอินจีมองไปยังเหล่าราชาปีศาจ

 

“เป็นเพราะสิ่งนี้หรือ…”

 

เหล่าราชาปีศาจมองไปที่กําไลสีดําบนข้อมือของเจ้าเมืองอินจี๋โดยไม่รู้ตัว

 

“ถูกต้อง”

 

เจ้าเมืองอินจี๋พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า “สิ่งที่พวกเราพึ่งพึ่งก็คือจักรกลสงครามเหล่านี้”

 

เจ้าเมืองอินจี๋ยกมือขึ้นอีกครั้ง เพื่อให้เห็นกําไลข้อมือ “พวกเจ้าไม่รู้หรอกว่าภายในของมันกว้างใหญ่เพียงไหน แต่ภายในกําไลข้อมือวงนี้มีจักรกลสงครามของเผ่าปีศาจอยู่สิบล้านตัว”

 

“จักรกลสงครามสิบล้านตัว?”

 

รูม่านตาของเหล่าราชาปีศาจหดตัวลงอย่างกะทันหัน และจ้องไปที่ข้อมือของเจ้าเมืองอินจี้ พินิจกําไลข้อมือขนาดเล็กนั่นอย่างไม่อยากจะเชื่อ

 

“ อันที่จริง กําไลสงครามที่ข้าได้มาชิ้นนี้ถือเป็นของที่มี ตําหนิ กําไลสงครามที่แท้จริงจะสามารถบรรจุจักรกลสงค รามได้อย่างน้อยก็หลายร้อยล้านตัว”

 

เจ้าเมืองอินจี้ถอนหายใจ “นอกจากนี้ กองทัพจักรกลสงครามในกําไลข้อมือยังมาพร้อมกับค่ายกลปีศาจโบราณ”

 

“ค่ายกลปีศาจโบราณรูปแบบนี้สามารถเชื่อมโยง กองกําลังสิบล้านเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อได้รับการโจมตีหนึ่งครั้ง ความเสียหายจะกระจายไปสู่กองกําลังทั้งสิบล้านตัว”

 

คําที่เจ้าเมืองอินจี๋กล่าวออกมานั้น

 

ราชาปีศาจมากกว่าสิบตนอ้าปากค้างอย่างไม่อยากเชื่อ

 

หากเป็นกองกําลังสิบล้านนาย เมื่อเจอเข้าราชาปีศาจที่มีความสามารถควบคุมพลังฟ้าดิน เรียกได้ว่าไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไรมากนัก เพียงแต่ต้องใช้เวลาที่มากขึ้น เท่านั้นในการกําจัดสังหาร

 

สุดท้ายแล้ว ราชาปีศาจก็สามารถกวาดล้างกองทัพสิบล้านได้อย่างง่ายดายเพียงอาศัยพลังฟ้าดิน

 

ทหารสิบล้านนายจะยืนหยัดต่อหน้าราชาปีศาจได้นานแค่ไหนกันเชียว?

 

อย่างไรก็ตาม

 

ความสามารถของค่ายกลปีศาจโบราณได้ตัดความได้เปรียบของราชาปีศาจในการต่อสู้กับฝูงชนนับล้านไป

 

ด้วยการเชื่อมต่อของค่ายกลปีศาจโบราณ กองทัพนับสิบล้านก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แม้พลังของราชาปีศาจจะสะเทือนโลก แต่ถ้าพลังถูกแบ่งออกไปสิบล้านส่วน เขาจะสังหารได้สักกี่คนกัน?

 

ร้อยคน?

 

สองร้อยคน?

 

ดังนั้นค่ายกลปีศาจโบราณชนิดนี้จึงเป็นดาวข่มที่ยับยั้งตัวตนของราชาปีศาจได้อย่างสมบูรณ์ ด้วยค่ายกลปีศาจโบราณนี้ แม้ว่าจะเป็นราชาปีศาจก็ตาม คงยากที่ทําอะไรกองทัพสิบล้านนี้ได้

 

ที่ผ่านมา ปีศาจได้บุกรุกโลกมนุษย์อย่างไม่มีสิ้นสุด มากมายดุจกองทัพหนอนแมลง กองทัพจักรกลของเผ่าปีศาจบังคับมหาอํานาจในโลกมนุษย์ให้ล่าถอยไปได้

 

“เมื่อข้าไปถึงเมืองเมฆาปีศาจ ข้าจะปล่อยกองทัพ จักรกลทั้งสิบล้านตัวออกมา ในเวลานั้น แม้เจ้าเมืองเมฆาปีศาจจะปิดกั้นเมืองไว้อย่างเต็มที่ แต่จะปิดกั้นต่อไปได้อีกนานเท่าไหร่กัน?” เจ้าเมืองอินจี๋พูดออกมาด้วยความมั่นใจ

 

“ท่านเจ้าเมืองช่างไร้เทียมทาน”

 

เหล่าราชาปีศาจต่างเชื่อมั่นและกล่าวสรรเสริญเจ้าเมืองของตน

 

เมืองเมฆาปีศาจ

 

ในส่วนลึกของโถงใหญ่ใจกลางเมืองใต้ต้นไม้โบราณ

 

ซูฉินที่กําลังนั่งขัดสมาธิเบิกเนตรดวงตาแห่งสัจจะมองไปทั่วทั้งเมืองเมฆาปีศาจ

 

เห็นปราณนับไม่ถ้วนทั้งใกล้และไกล แข็งแกร่งและอ่อนแอ มากมายเต็มไปหมด

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 203 (II) กําไลสงคราม

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 203 (II) กําไลสงคราม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 203 (II) กําไลสงคราม

 

“วิญญาณยมโลก?”

 

ผู้นํานิกายใหญ่หลายคนได้ฟังดังนั้นก็มองหน้ากัน

 

ในยุทธภพต่างแดน ผู้เยี่ยมยุทธถือว่าเป็นระดับสูงสุด แต่ต่ํากว่าระดับผู้เยี่ยมยุทธก็ยังมีจอมยุทธขอบเขตตํานานยุทธที่ยอดเยี่ยมอีกมากมาย

 

วิญญาณยมโลกของนิกายเฮยหยวนก็เป็นหนึ่งในนั้น

 

กล่าวได้ว่าหน่วยวิญญาณยมโลกนั้นเป็นตํานานยุทธที่ใกล้เคียงกับผู้เยี่ยมยุทธที่สุด แม้แต่ตํานานยุทธระดับนภา ชั้นที่สองหรือชั้นที่สามต้องการจะเอาชนะวิญญาณ ยมโลกก็จําเป็นต้องอาศัยจํานวนที่เหนือกว่ามาก จึงจะเป็นไปได้

 

วิชาพื้นฐานของนิกายเฮยหยวนคือ “ร่างปีศาจลวงตา” สามารถเปลี่ยนแปลงร่างกายสลับไปมาระหว่างร่างจริงและร่างลวงตาได้ และวิญญาณยมโลกนั้นได้ฝึกฝน ‘ร่างปีศาจลวงตา’ จนเชี่ยวชาญแล้ว ตํานานยุทธธรรมดาๆ ไม่สามารถสัมผัสวิญญาณยมโลกได้เลย นับประสาอะไรกับการเอาชนะคน เหล่านี้

 

“ข้าจะส่งตํานานยุทธจากนิกายเรา ไปยังพื้นที่พิพาทพร้อมกับวิญญาณยมโลกจากนิกายเฮยหยวนด้วย”

 

ผู้นํานิกายใหญ่หลายคนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวออกมา

 

“ข้าต้องการจะรู้นัก ว่าใครที่กล้าสั่งสอนลูกศิษย์ของข้า” แสงสว่างวาบฉายผ่านดวงตาของผู้นํานิกายเฮยหยวน

 

รอยยิ้มเย็นเยียบก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะ และคนอื่นๆ

 

ในยุทธภพดินแดนโพ้นทะเลแห่งนี้ นิกายใหญ่ถือว่าเป็นผู้ปกครองไปทั่วปฐพี มีคนมากมายเข้าร่วมขุมอํานาจของพวกเขา ไม่ต้องกล่าวถึงในพื้นที่พิพาทนั่นเลย ต่อให้เป็นคนในดินแดนโพ้นทะเลเอง จะมีสักกี่คนเชียวที่จะหยุดพวกเขาได้

 

….

 

โลกถ้ําปีศาจ

 

ท้องฟ้าหมองหม่น

 

เจ้าเมืองอินจี๋และราชาปีศาจมากกว่าสิบตนกําลังมุ่งหน้าไปยังเมืองเมฆาปีศาจ

 

“ท่านเจ้าเมือง”

 

ในเวลานั้น ราชาปีศาจอดที่จะกล่าวขึ้นมาไม่ได้ “พวกเราจะจัดการกับราชาปีศาจระดับสูงในเมืองเมฆาปีศาจจริงๆ หรือ?”

 

“โอ้?”

 

เจ้าเมืองอินจี้หยุดฝีเท้า หันกลับมา เหลือบตามองอีกฝ่าย “เจ้าไม่เชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของข้าหรือ?”

 

“แน่นอนว่ามิใช่!”

 

ใบหน้าของราชาปีศาจตนนั้นซีดเซียว “เพียงแต่ว่ามีค่ายกลชั้นยอดมากมายที่ปกป้องเมืองเมฆาปีศาจเอาไว้ แม้ท่านเจ้าเมืองจะแข็งแกร่ง แต่ถ้าอีกฝ่ายซ่อนตัวอยู่ภายในเมืองคอยจัดแจงค่ายกลอยู่ด้านใน ข้าคิดว่าเราคงหาทางเข้าไปไม่ง่ายดายนักมิใช่หรือ?”

 

คําที่กล่าวออกมา

 

ราชาปีศาจอีกนับสิบพยักหน้าเห็นด้วยอย่างลับๆ

 

ถึงเจ้าเมืองอินจี๋จะเข้าสู่ขอบเขตปีศาจระดับสูงมาหลายร้อยปีแล้ว แม้แต่ในหมู่ราชาปีศาจระดับสูงด้วยกันเองถือว่าแข็งแกร่งมาก

 

แต่เจ้าเมืองเมฆาปีศาจก็เป็นปีศาจระดับสูงเช่นกัน

 

ต่อให้มีความห่างชั้นระหว่างฝีมือ มันก็คงไม่ได้ห่างกัน มากราวฟ้ากับดิน

 

หากฝ่ายตรงข้ามไม่เต็มใจจะออกมาจากเมืองเมฆาปีศาจ เจ้าเมืองอินจี๋จะทําอะไรได้?

 

ค่ายกลใหญ่ในเมืองเมฆาปีศาจถูกก่อตั้งโดยเจ้าเมืองเมฆาปีศาจรุ่นก่อนๆ หากเป็นเพียงค่ายกลเปล่าๆ ก็คงไม่สามารถหยุดเจ้าเมืองอินจได้

 

แต่ถ้าเพิ่มราชาปีศาจระดับสูงเข้าไปด้วย มันย่อมแตกต่างออกไป

 

เมื่อมีราชาปีศาจระดับสูงเป็นผู้ขับเคลื่อนค่ายกลขนาดใหญ่เหล่านี้ ค่ายกลพวกนี้มิทรงพลังขึ้นเป็นสิบเท่าเลยหรือ?

 

เมื่อถึงตอนนั้น เกรงว่าเจ้าเมืองอินจี้จะต้องพบปัญหาในการฝ่าค่ายกลที่คุ้มครองเมืองเมฆาปีศาจเป็นแน่

 

“พวกเจ้ากังวลกันเรื่องนี้หรือ?”

 

เจ้าเมืองอินจี๋ส่ายหัวเล็กน้อย ลังเลครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวว่า “ก็ใช่ว่าจะบอกพวกเจ้าไม่ได้”

 

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เจ้าเมืองอินจี๋ก็ยกมือขวาขึ้นมา มองเห็นกําไลข้อมือสีดําคล้องอยู่ที่ข้อมือของเขา

 

กําไลข้อมือนี้มีขนาดค่อนข้างเล็กและดูเหมือนสร้างขึ้นมาอย่างประณีตบรรจง แต่กลับมาแผ่กลิ่นอายที่ทั้งลึกลับและลุ่มลึกออกมาอย่างแผ่วเบา

 

“นี่คือ?”

 

ราชาปีศาจต่างมองหน้ากัน มีแววของความประหลาดใจอยู่บนใบหน้าของพวกเขา

 

แม้ว่าจะมองดูกําไลของเจ้าเมืองจากระยะไกล กําไลข้อมือสีดําอันนี้ยังทําให้รู้สึกว่าจิตใจของพวกเขาถูกมันดึงดูดเข้าไปหา

 

“ท่านเจ้าเมือง นี่มันคือสิ่งใดกัน?”

 

ราชาปีศาจตนที่เพิ่งเอ่ยปากพูดก็เริ่มตัวสั่นกลัว

 

“นี่เป็นจักรกลสงครามของเผ่าพันธุ์ปีศาจเรา!” เจ้าเมืองอินจี๋กดเสียงต่ํา แสดงให้เห็นถึงความน่าเกรงขาม

 

“จักรกลสงคราม?”

 

ราชาปีศาจมากกว่าสิบตนมองหน้ากัน ดวงตาเบิกกว้างตะลึงพรึงเพริด

 

“มิผิด”

 

เจ้าเมืองอินจี๋พยักหน้าเล็กน้อย “สองร้อยปีก่อน ตอนที่ข้าก้าวข้ามมาถึงขอบเขตราชาปีศาจระดับสูง ครั้งหนึ่งเคยเข้าไปในส่วนลึกของโลกเพื่อคารวะเทพเจ้าปีศาจอาวุโสทั้งหลาย”

 

“และหนึ่งในเทพเจ้าปีศาจก็ได้มอบกําไลสงครามให้แก่ข้า”

 

น้ําเสียงของเจ้าเมืองอินจี้ดูเหมือนจะล่องลอยผันผวนไปตามกระแสความทรงจํา และกล่าวขึ้นอย่างเชื่องช้าว่า “ในสมัยโบราณ มีการฟื้นคืนของกระแสปราณฉีบนโลกม นุษย์หลายต่อหลายครั้ง มีผู้แข็งแกร่งกําเนิดขึ้นเป็นจํานวนมาก และปกครองโลกทั้งใบ”

 

“แต่ถึงกระนั้น เผ่าพันธุ์ปีศาจก็ยังทําสงครามและบุกรุกโลกมนุษย์ต่อไปได้ รู้ไหมว่าพวกเราทําได้อย่างไร?”

 

เจ้าเมืองอินจีมองไปยังเหล่าราชาปีศาจ

 

“เป็นเพราะสิ่งนี้หรือ…”

 

เหล่าราชาปีศาจมองไปที่กําไลสีดําบนข้อมือของเจ้าเมืองอินจี๋โดยไม่รู้ตัว

 

“ถูกต้อง”

 

เจ้าเมืองอินจี๋พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า “สิ่งที่พวกเราพึ่งพึ่งก็คือจักรกลสงครามเหล่านี้”

 

เจ้าเมืองอินจี๋ยกมือขึ้นอีกครั้ง เพื่อให้เห็นกําไลข้อมือ “พวกเจ้าไม่รู้หรอกว่าภายในของมันกว้างใหญ่เพียงไหน แต่ภายในกําไลข้อมือวงนี้มีจักรกลสงครามของเผ่าปีศาจอยู่สิบล้านตัว”

 

“จักรกลสงครามสิบล้านตัว?”

 

รูม่านตาของเหล่าราชาปีศาจหดตัวลงอย่างกะทันหัน และจ้องไปที่ข้อมือของเจ้าเมืองอินจี้ พินิจกําไลข้อมือขนาดเล็กนั่นอย่างไม่อยากจะเชื่อ

 

“ อันที่จริง กําไลสงครามที่ข้าได้มาชิ้นนี้ถือเป็นของที่มี ตําหนิ กําไลสงครามที่แท้จริงจะสามารถบรรจุจักรกลสงค รามได้อย่างน้อยก็หลายร้อยล้านตัว”

 

เจ้าเมืองอินจี้ถอนหายใจ “นอกจากนี้ กองทัพจักรกลสงครามในกําไลข้อมือยังมาพร้อมกับค่ายกลปีศาจโบราณ”

 

“ค่ายกลปีศาจโบราณรูปแบบนี้สามารถเชื่อมโยง กองกําลังสิบล้านเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อได้รับการโจมตีหนึ่งครั้ง ความเสียหายจะกระจายไปสู่กองกําลังทั้งสิบล้านตัว”

 

คําที่เจ้าเมืองอินจี๋กล่าวออกมานั้น

 

ราชาปีศาจมากกว่าสิบตนอ้าปากค้างอย่างไม่อยากเชื่อ

 

หากเป็นกองกําลังสิบล้านนาย เมื่อเจอเข้าราชาปีศาจที่มีความสามารถควบคุมพลังฟ้าดิน เรียกได้ว่าไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไรมากนัก เพียงแต่ต้องใช้เวลาที่มากขึ้น เท่านั้นในการกําจัดสังหาร

 

สุดท้ายแล้ว ราชาปีศาจก็สามารถกวาดล้างกองทัพสิบล้านได้อย่างง่ายดายเพียงอาศัยพลังฟ้าดิน

 

ทหารสิบล้านนายจะยืนหยัดต่อหน้าราชาปีศาจได้นานแค่ไหนกันเชียว?

 

อย่างไรก็ตาม

 

ความสามารถของค่ายกลปีศาจโบราณได้ตัดความได้เปรียบของราชาปีศาจในการต่อสู้กับฝูงชนนับล้านไป

 

ด้วยการเชื่อมต่อของค่ายกลปีศาจโบราณ กองทัพนับสิบล้านก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แม้พลังของราชาปีศาจจะสะเทือนโลก แต่ถ้าพลังถูกแบ่งออกไปสิบล้านส่วน เขาจะสังหารได้สักกี่คนกัน?

 

ร้อยคน?

 

สองร้อยคน?

 

ดังนั้นค่ายกลปีศาจโบราณชนิดนี้จึงเป็นดาวข่มที่ยับยั้งตัวตนของราชาปีศาจได้อย่างสมบูรณ์ ด้วยค่ายกลปีศาจโบราณนี้ แม้ว่าจะเป็นราชาปีศาจก็ตาม คงยากที่ทําอะไรกองทัพสิบล้านนี้ได้

 

ที่ผ่านมา ปีศาจได้บุกรุกโลกมนุษย์อย่างไม่มีสิ้นสุด มากมายดุจกองทัพหนอนแมลง กองทัพจักรกลของเผ่าปีศาจบังคับมหาอํานาจในโลกมนุษย์ให้ล่าถอยไปได้

 

“เมื่อข้าไปถึงเมืองเมฆาปีศาจ ข้าจะปล่อยกองทัพ จักรกลทั้งสิบล้านตัวออกมา ในเวลานั้น แม้เจ้าเมืองเมฆาปีศาจจะปิดกั้นเมืองไว้อย่างเต็มที่ แต่จะปิดกั้นต่อไปได้อีกนานเท่าไหร่กัน?” เจ้าเมืองอินจี๋พูดออกมาด้วยความมั่นใจ

 

“ท่านเจ้าเมืองช่างไร้เทียมทาน”

 

เหล่าราชาปีศาจต่างเชื่อมั่นและกล่าวสรรเสริญเจ้าเมืองของตน

 

เมืองเมฆาปีศาจ

 

ในส่วนลึกของโถงใหญ่ใจกลางเมืองใต้ต้นไม้โบราณ

 

ซูฉินที่กําลังนั่งขัดสมาธิเบิกเนตรดวงตาแห่งสัจจะมองไปทั่วทั้งเมืองเมฆาปีศาจ

 

เห็นปราณนับไม่ถ้วนทั้งใกล้และไกล แข็งแกร่งและอ่อนแอ มากมายเต็มไปหมด

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+