เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 226 ความหวาดหวั่น และบรรพชนเก่าแก่

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 226 ความหวาดหวั่น และบรรพชนเก่าแก่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 226 ความหวาดหวั่น และบรรพชนเก่าแก่

 

“ผู้อาวุโสหมิงโยวได้สิ้นชีพลงแล้ว…”

 

ศิษย์นิกายเฮยหยวนพูดจนจบด้วยเสียงอันสั่นเครือ หลับตาลง ดูยอมจํานนกับโชคชะตา

 

ดวงไฟแห่งชีวิตได้ดับลง

 

หมายถึงการตกตายอย่างสมบูรณ์

 

แม้แต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่รอดพ้น

 

ด้วยเหตุผลนี้เอง ที่ทําให้ศิษย์คนที่มาแจ้งข่าวรู้สึกว่ายิ่งพูดก็ยิ่งสิ้นหวังมากขึ้นเรื่อยๆ เขาตระหนักดีถึงตําแหน่งตัวตนของหมิงโยวภายในนิกายเฮยหยวน

 

ในฐานะของหนึ่งในตํานานยุทธที่ใกล้เคียงกับระดับผู้เยี่ยมยุทธมากที่สุดในดินแดนโพ้นทะเล การเสียชีวิตของหมิงโยวจะปลุกความโกรธเกรี้ยวของผู้นํานิกายเฮยหยวนขึ้นมาอย่างแน่นอน

 

และด้วยความโกรธเคืองของผู้นํานิกาย คงจะเป็นเรื่องยากที่ชีวิตน้อยๆของศิษย์ธรรมดาๆเช่นเขาจะอยู่รอด

 

ที่นี่คือนิกายเฮยหยวน หนึ่งในนิกายใหญ่ดินแดนโพ้นทะเล ไม่มีความดี ไม่มีความชั่ว มีเพียงผู้แข็งแกร่งเป็นที่เคารพนับถือ ผู้อ่อนแอถูกกําหนดให้เป็นทาส เป็นเป้าสังหาร

 

“เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”

 

เกิดความเงียบขึ้นในโถง จากนั้นไม่นานผู้อาวุโสนิกายเฮยหยวนก็ตอบสนองออกมาในทันที จ้องมองไปที่ศิษย์ผู้ส่งข่าวอย่างไม่อยากเชื่อ หมิงโยวเกือบจะกลายเป็นตัวตนระดับผู้เยี่ยมยุทธอยู่แล้ว ชื่อเสียงก็มีมาก พูดออกมาได้อย่างไรว่าจบชีวิตแล้ว?

 

นอกจากนี้ การที่ดวงไฟแห่งชีวิตดับลง หมายความว่าจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์และร่างกายได้สูญสลายไปอย่างสิ้นเชิง การที่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ยังหนีไม่พ้นมันจะเป็นไปได้อย่างไร?

 

“เป็นไปไม่ได้ ร่างปีศาจลวงตาของศิษย์พี่หมิงโยวเกือบจะสมบูรณ์แล้ว เขาสามารถสลับปรับเปลี่ยนไปมาระหว่างความเป็นจริงและร่างลวงตาได้ดั่งใจนึก แม้จะเป็นตัวตนระดับผู้เยี่ยมยุทธลงมือเองก็ไม่มีทางสังหารเขาได้ เขาจะตายได้อย่างไร?

 

“ถูกต้อง ต่อให้มีผู้เยี่ยมยุทธหลายคนร่วมมือกัน อย่างมากที่สุดก็ทําลายได้เพียงแค่กายหยาบ อย่างไรจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็สามารถหนีกลับมาได้อย่างสมบูรณ์

 

“เจ้าชื่ออะไร เป็นศิษย์ฝ่ายไหน หากข้ารู้ว่าเจ้ารายงานข้อมูลเท็จล่ะก็ จะต้องถูกนิกายเฮยหยวนของพวกเราทรมานทั้งเป็น ให้เจ้าได้รู้ว่าการมีชีวิตอยู่ก็ไม่ดี ตายก็ไม่ได้ มันเป็นเยี่ยงไร เจ้าพร้อมที่จะโดนแล้วรึยังเล่า?”

 

ผู้อาวุโสหลายคนจ้องมองไปที่ศิษย์คนนั้น และมีกระทั่งผู้อาวุโสที่อารมณ์ฉุนเฉียว พร้อมที่จะลงมือสังหารมันเสียบัดนี้เลยทีเดียว

 

ในใจของผู้อาวุโสนิกายเฮยหยวน หากได้ยินว่าใครสักคนจะสิ้นชีพลงก็คงพอเข้าใจได้ แต่สําหรับหมิงโยวนั้นมันเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด

 

“เอาล่ะ”

 

“ทุกคนจงเงียบ”

 

ในขณะที่ศิษย์ส่งข่าวกําลังจะโดนผู้อาวุโสหัวรุนแรงตบจนตาย ผู้นํานิกายเฮยหยวนก็กล่าวคําออกมาในที่สุด

 

ระหว่างที่พูดออกมา ไอพลังที่ไม่สามารถหยั่งถึงก็กระจายออกมา ผู้อาวุโสที่จ้างมือกําลังจะตบก็หน้าซีด หยุดมือในทันที และหยุดฟังด้วยความเคารพ

 

ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ก็ทําแบบเดียวกัน และทันใดนั้นห้องโถงที่อึกทึกครึกโครมเมื่อครู่ก็เงียบลงในทันใด

 

“ก่อนหน้านี้เจ้าเห็นอะไรมา?” ผู้นํานิกายเฮยหยวนมองไปที่ศิษย์ผู้ส่งข่าว ไม่มีความผันผวนใดในน้ําเสียงของเขาเลย

 

แต่ผู้อาวุโสทุกคนรู้ดีว่า ยิ่งเป็นเช่นนั้นมากเท่าไหร่ ผู้นํานิกายเฮยหยวนก็ใกล้ระเบิดอารมณ์มากเท่านั้น

 

“ท่านผู้นํา”

 

“ข้าคอยดูแลดวงไฟชีวิตของผู้อาวุโสตลอดทั้งวันทั้งคืน และข้าก็ได้เห็นว่าดวงไฟชีวิตของผู้อาวุโสหมิงโยวเพิ่งจะดับมอดไป”

 

ศิษย์ส่งข่าวกล่าวออกมาอย่างกล้าหาญ

 

“เข้าใจแล้ว………”

 

ผู้นํานิกายเฮยหยวนไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆออกมา

 

อันที่จริงตอนที่ศิษย์ส่งข่าวได้กล่าวว่าดวงไฟแห่งชีวิตมอดดับลงแล้วนั้น เขาก็ได้ใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว และตัดสินได้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวมานั้นเป็นความจริง

 

เมื่อผู้อาวุโสคนอื่นๆ ได้ฟังสิ่งนั้น ก็ดึงจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาทีละคน จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของจอมยุทธที่เพิ่งเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธยังสามารถครอบคลุมพื้นที่ในรัศมีสิบลี้ได้ ถ้าเช่นนั้นเหล่าผู้อาวุโสแห่งนิกายเฮยหยวนเล่า?

 

ในการเป็นอาวุโสของนิกายเฮยหยวนได้นั้น อย่างน้อยก็ต้องเป็นตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่สี่ และส่วนใหญ่ก็อยู่ในจุดสูงสุดของระดับนภาชั้นที่สี่

 

ในสายตาของพวกเขา นิกายเฮยหยวนทั้งหมดไม่มีสิ่งใดเป็นความลับ ยกเว้นบางสถานที่ที่ถูกปิดผนึก สามารถต้านทานการตรวจสอบจากจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้ไม่นาน

 

ในขณะที่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าผู้อาวุโสกวาดไปทั่วสถานที่สําหรับเก็บดวงไฟแห่งชีวิต ผู้อาวุโสทุกคนก็เงียบลง

 

ดวงไฟแห่งชีวิตของหมิงโยวมอดดับลงแล้วจริงๆ

 

หลังจากที่ผู้อาวุโสจํานวนมากได้ตรวจสอบดู ก็พบว่ามันเป็นเรื่องจริง

 

“ศิษย์พี่หมิงโยวตกตายลงแล้วจริงๆ”

 

หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ผู้อาวุโสนิกายเฮยหยวนก็กล่าวออกมาอย่างขมขึ้น

 

พวกเขาเชื่อมั่นในตัวของหมิงโยวอย่างมาก และคาดคิดไปแล้วว่าอย่างไรเสียถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพาจะต้องถูกยึดเอาไว้ในกํามือพวกตน แต่หลังจากนั้นไม่นานก็พบว่าหมิงโยวได้ตกตายไปแล้ว………

 

ผู้อาวุโสที่เหลือก็แสดงสีหน้าโศกเศร้าเช่นกัน

 

“ท่านผู้นํา เรื่องนี้”

 

ผู้อาวุโสต้องการจะพูดอะไรบางอย่างกับผู้นํานิกายเฮยหยวน

 

ในท้ายที่สุด เขาก็ถูกขัดจังหวะโดยผู้นํานิกายเฮยหยวน “เอาล่ะ พวกเจ้าทุกคนจงออกไปก่อนเถอะ”

 

“ขอรับ” ผู้อาวุโสหลายคนมองหน้ากัน โค้งคารวะแล้วจากไปพร้อมกับความสงสัย

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ไม่ใช่เพียงนิกายเฮยหยวน

 

ตําหนักเทพเจ้าหิมะ พรรคหมื่นดาบ และนิกายใหญ่แห่งอื่นๆต่างก็ตื่นตะลึงจากเรื่องที่ดวงไฟแห่งชีวิตนั้นดับมอดลงไป

 

เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะถึงกับโกรธเคืองสุดขีด โลกเยือกแข็งปกคลุมไปทั่วรัศมีสิบลี้ ท้องฟ้าทั้งหมดกลายเป็นน้ําแข็ง น้ําที่หยดลงมาก็กลายเป็นน้ําแข็ง ยกเว้นแต่เพียงศิษย์สาวกของตําหนักเทพเจ้าหิมะ ตํานานยุทธคนใดที่เข้าใกล้บริเวณนั้นต่างถูกแช่แข็งอย่างฉับพลัน

 

มีนิกายใหญ่มากมายในต่างดินแดนแต่ก็ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมากนัก แม้บางครั้งเกิดข้อพิพาทกันแต่อย่างมากที่สุดก็เป็นเพียงการต่อสู้กันของศิษย์สาวก ไม่ต้องกล่าวถึงการสิ้นชีวิตของผู้อาวุโส ขนาดการประมือกันยังแทบไม่มี

 

ตอนนี้นิกายเฮยหยวน ตําหนักเทพเจ้าหิมะ และนิกายใหญ่อื่นๆ ล้วนแต่มีผู้อาวุโสตกตายกันไป โดยเฉพาะนิกายเฮยหยวนที่เป็นถึงระดับรองผู้นํานิกาย สิ่งนี้สร้างความตกใจอย่างมิรู้ประมาณ

 

มีการถกเถียงกันอย่างมากมายในวงการยุทธภพต่างแดน ผู้ฝึกยุทธพเนจรและผู้นํานิกายคนอื่นๆ ต่างพูดกันอย่างเป็นการลับ

 

“ตําหนักเทพเจ้าหิมะ พรรคหมื่นดาบ และนิกายเฮยหยวนได้รับความสูญเสียอย่างหนักหน่วงในครั้งนี้ ตําหนักเทพเจ้าหิมะยังพอทําเนา แต่นิกายเฮยหยวนนั้นสูญเสียรองผู้นํานิกายไปเลยทีเดียว…”

 

“ตําหนักเทพเจ้าหิมะยังพอทําเนางั้นหรือ? เจ้าไม่รู้หรือว่าเทพธิดารุ่นปัจจุบันของตําหนักเทพเจ้าหิมะนั้นได้ตกตายไปแล้วเช่นเดียวกัน?”

 

“อะไรนะ? เทพธิดาก็ตกตายไปแล้วงั้นหรือ?”

 

จอมยุทธจํานวนมากต่างตื่นตกใจ

 

เทพธิดาแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะเป็นสถานะที่พิเศษ นางเป็นทายาทคนต่อไปในตําแหน่งเจ้าตําหนัก สถานะของนางสูงยิ่งกว่าผู้อาวุโสเสียอีก

 

“ไม่ว่านิกายใหญ่จะสูญเสียไปมากเท่าไหร่ แต่สิ่งที่ข้าอยากรู้จริงๆ ก็คือใครเป็นผู้ลงมือกันแน่…”

 

มีหลายคนตั้งข้อสงสัย

 

“เป็นไปได้หรือไม่ว่านี้เป็นฝีมือของนิกายใหญ่อื่นๆ ที่ดําเนินการอย่างลับๆ”

 

“เป็นไปไม่ได้ นิกายใหญ่มิใช่โง่เง่า ต่อให้จะต้องการลงมือจริงๆ ก็ควรจะจัดการทีละคน เป็นไปได้อย่างไรที่จะประกาศสงครามกับกองกําลังในระดับเดียวกัน ทั้งตําหนักเทพเจ้าหิมะ พรรคหมื่นดาบ และนิกายเฮยหยวนเช่นนี้?”

 

ผู้คนจํานวนมากต่างยังคงพูดคุยถกเถียงกันต่อไป แต่ก็ไม่ได้รับคําตอบจริงๆสักที ท้ายที่สุด สิ่งเดียวที่พอจะคาดเดาได้คือผู้ที่ลงมือจะต้องเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งในระดับที่คาดเดาไม่ได้

 

ขณะที่โลกภายนอกกําลังถกเถียงกันอยู่

 

บนเกาะแห่งหนึ่งในดินแดนโพ้นทะเล ผู้นํานิกายเฮยหยวน เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะ ประมุขพรรคหมื่นดาบ และนักพรตเฒ่าแห่งสํานักเอกะวิถีก็ได้มารวมตัวกันอยู่ที่นี่

 

ในเวลานี้ ยกเว้นก็แต่เจ้าสํานักเอกะวิถี ใบหน้าของคนอื่นๆล้วนหม่นหมอง

 

“เกิดบ้าอะไรขึ้น?” เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะจ้องไปที่ใบหน้าของผู้นํานิกายเฮยหยวน และกระแทกคําพูดออกมา “รองผู้นํานิกายเฮยหยวนของเจ้า หมิงโยวกล่าวว่ามันได้ พบถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพาเมื่อหมื่นปีก่อน ด้วยเหตุนี้ผู้อาวุโสที่ข้าส่งไปจึงล้วนตกตายเสียทั้งหมด”

 

ทันทีที่เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะกล่าวออกมาเช่นนี้ สายตาของประมุขพรรคหมื่นดาบที่อยู่ข้างๆก็หันมามองเช่นกัน

 

ตัวตนระดับผู้เยี่ยมยุทธถึงสองคนสร้างแรงกดดันต่อตนในเวลาเดียวกัน แม้เป็นผู้นํานิกายเฮยหยวนก็ต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

“ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเกิดอะไรขึ้น?”

 

“โปรดอย่าลืมว่าตอนที่ผู้อาวุโสของเจ้าได้ตายไป นิกายเฮยหยวนของข้าก็สูญเสียรองผู้นํานิกายไปเช่นกัน” ผู้นํานิกายเฮยหยวนระงับความโกรธของตนเอง และกล่าวออกมาด้วยเสียงที่ลึกล้ํา

 

“มิผิด”

 

ท่าทีของประมุขพรรคหมื่นดาบผ่อนคลายลงเล็กน้อย

 

หากจะว่ากันตามความสูญเสียจริงๆ การสูญเสียของนิกายเฮยหยวนนั้นใหญ่หลวงที่สุด และมันมากเกินกว่าตําหนักเทพเจ้าหิมะ

 

เทพธิดาแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะได้ตายไปแล้ว แต่สุดท้ายแล้วเทพธิดาก็เป็นเพียงเทพธิดาเท่านั้น ไม่ว่าจะมีศักยภาพที่ยิ่งใหญ่เพียงใด มันก็เป็นเพียงศักยภาพเท่านั้น และหมิงโยว รองผู้นํานิกายเฮยหยวนนั้นเป็นตัวตนทรงพลังที่แท้จริง การตายของหมิงโยวจึงมีน้ําหนักมากกว่ามาก

 

“ท่านนักพรต มันสองครั้งติดต่อกันแล้วนะ” ผู้นํานิกายเฮยหยวนมองไปที่นักพรตสํานักเอกะวิถีด้วยน้ําเสียงเย็นชา “ครั้งแรกอาจจะนับว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ครั้งที่สองนี้ คนของข้าและคนอื่นๆที่ถูกส่งไปกลับตายหมด มีแต่คนของเจ้าเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้”

 

“ผู้ชราอย่างข้าก็มิรู้เหมือนกัน…”

 

นักพรตสํานักเอกะวิถีค่อนข้างทําอะไรไม่ถูก แม้ว่าจะเป็นเรื่องดีที่ผู้อาวุโสของสํานักยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็เห็นได้ชัดว่า ผู้นํานิกายเฮยหยวน เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะ และประมุขพรรคหมื่นดาบเริ่มจะสงสัยในตัวเขาเสียแล้ว

 

“ถ้าจะบอกว่าข้าต้องการจัดการกับพวกเจ้าจริงๆ จะเป็นไปได้อย่างไรที่ข้าจะลงมือเฉพาะศิษย์กับผู้อาวุโส?”

 

นักพรตสํานักเอกะวิถีเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวคําออกมาช้าๆ

 

สําหรับตําหนักเทพเจ้าหิมะและนิกายเฮยหยวนนั้น การตายของเทพธิดาและรองผู้นํานิกายย่อมเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ แต่ก็ไม่ได้ทําให้รากฐานเสียหาย

 

ผู้ที่สามารถกําหนดอนาคตของนิกายใหญ่ทั้งนิกายได้อย่างแท้จริงนั่นก็คือผู้นํานิกายและบรรพชนที่หลับใหล

 

ส่วนผู้อาวุโส?

 

มีผู้คนมากมายนับไม่ถ้วน และตัวตนที่เรียกได้ว่าอัจฉริยะ ก็ปรากฏขึ้นในทุกๆปี ถ้าเทพธิดาหายไป มันก็แค่ต้องปลุกปั้นคนใหม่อีกสักคนหนึ่งไม่ใช่หรือ?

 

“ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ได้โกหกข้านะ?”

 

เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดออกมาเบาๆ

 

นางครุ่นคิดและรู้สึกว่าหากต้องการจะจัดการกับพวกตน จริงๆก็ต้องวางแผนจัดการผู้แข็งแกร่งในระดับผู้เยี่ยมยุทธ ไม่จําเป็นต้องโจมตีศิษย์รุ่นหลัง

 

“เอาล่ะ”

 

“เมื่อเป็นเช่นนั้น”

 

“ พวกเรามาคุยกันเถอะว่าจะต้องทําอย่างไรต่อไป?”

 

ประมุขพรรคหมื่นดาบเหลือบมองคนอื่นอีกสองสามคน แล้วถามอย่างใจเย็น

 

“แม้ว่าผู้อาวุโสสํานักเอกะวิถีจะยังไม่ตาย แต่พึงรู้ไว้ว่าการที่จะสามารถทําให้ผู้อาวุโสของพวกเจ้าตกตายกันไปอย่างเงียบๆเช่นนี้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นระดับผู้เยี่ยมยุทธจึงจะกระทําได้”

 

เพื่อขจัดข้อสงสัยที่มุ่งมาทางตน เจ้าสํานักเอกะวิถีกล่าว การคาดเดาของเขาออกมาทันที

 

เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะและประมุขพรรคหมื่นดาบก็พยักหน้าเล็กน้อย ยอมรับความคิดเห็นนั้น

 

เกรงว่าคงจะมีเพียงผู้เยี่ยมยุทธที่แท้จริงเท่านั้นที่สามารถลงมือได้อย่างสะอาดหมดจดเช่นนี้ จัดการผู้อาวุโสที่พวกเขาส่งไปได้ทั้งหมดและแม้แต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่เหลือรอดกลับมา

 

“ไม่ใช่แค่ผู้เยี่ยมยุทธเท่านั้น”

 

ในเวลานั้น ผู้นํานิกายเฮยหยวนก็ส่ายหัวและกล่าวว่า “ข้ารู้ถึงความแข็งแกร่งของหมิงโยวดี ผู้เยี่ยมยุทธทั่วๆไปไม่สามารถรั้งเขาไว้ได้ อย่างน้อยก็ต้องผู้เยี่ยมยุทธขั้นสูงสุด”

 

คําที่ผู้นํานิกายเฮยหยวนเพิ่งกล่าวออกไป

 

เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะและคนอื่นๆต่างก็หน้าเปลี่ยนสี

 

ผู้เยี่ยมยุทธขั้นสูงสุด?

 

โดยทั่วไปแล้วตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่ห้าและระดับนภาชั้นที่หกจะนับเป็นระดับผู้เยี่ยมยุทธ ส่วนผู้เยี่ยมยุทธขั้นสูงสุดคือจุดสูงสุดของนภาชั้นที่หก ซึ่งอยู่ห่างจากระดับนภาชั้นที่เจ็ดเพียงก้าวเดียวเท่านั้น เกรงว่าคงจะมีผู้เยี่ยมยุทธระดับนี้ไม่มากในนิกายใหญ่ต่างดินแดน

 

“มีปัญหาแล้ว”

 

ประมุขพรรคหมื่นดาบรู้สึกได้ถึงความยุ่งยาก

 

ถ้าเป็นเพียงผู้เยี่ยมยุทธที่แข็งแกร่งกล้าที่จะลงมือกับพวกเขา ต่อให้ไม่ตายก็ต้องถูกพวกเขาปราบ

 

แต่ผู้เยี่ยมยุทธขั้นสูงสุด

 

ถ้าผู้เยี่ยมยุทธขั้นสูงสุดต้องการจะหนี ก็ไม่มีผู้เยี่ยมยุทธคนใดจะหยุดมันได้

 

สิ่งที่ทําให้ผู้นํานิกายเฮยหยวน เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะ และประมุขพรรคหมื่นดาบรู้สึกกลัวมากยิ่งขึ้นคือ จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่รู้ว่าผู้เยี่ยมยุทธขั้นสูงสุดที่ลงมือนั้นเป็นใคร? มาจากกองกําลังฝ่ายไหน?

 

“นี่ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราจะตัดสินใจได้อีกต่อไป”

 

เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะกล่าวออกมาอย่างเคร่งเครียด “ข้าจะต้องไปรายงานบรรพชนของข้า”

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 226 ความหวาดหวั่น และบรรพชนเก่าแก่

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 226 ความหวาดหวั่น และบรรพชนเก่าแก่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 226 ความหวาดหวั่น และบรรพชนเก่าแก่

 

“ผู้อาวุโสหมิงโยวได้สิ้นชีพลงแล้ว…”

 

ศิษย์นิกายเฮยหยวนพูดจนจบด้วยเสียงอันสั่นเครือ หลับตาลง ดูยอมจํานนกับโชคชะตา

 

ดวงไฟแห่งชีวิตได้ดับลง

 

หมายถึงการตกตายอย่างสมบูรณ์

 

แม้แต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่รอดพ้น

 

ด้วยเหตุผลนี้เอง ที่ทําให้ศิษย์คนที่มาแจ้งข่าวรู้สึกว่ายิ่งพูดก็ยิ่งสิ้นหวังมากขึ้นเรื่อยๆ เขาตระหนักดีถึงตําแหน่งตัวตนของหมิงโยวภายในนิกายเฮยหยวน

 

ในฐานะของหนึ่งในตํานานยุทธที่ใกล้เคียงกับระดับผู้เยี่ยมยุทธมากที่สุดในดินแดนโพ้นทะเล การเสียชีวิตของหมิงโยวจะปลุกความโกรธเกรี้ยวของผู้นํานิกายเฮยหยวนขึ้นมาอย่างแน่นอน

 

และด้วยความโกรธเคืองของผู้นํานิกาย คงจะเป็นเรื่องยากที่ชีวิตน้อยๆของศิษย์ธรรมดาๆเช่นเขาจะอยู่รอด

 

ที่นี่คือนิกายเฮยหยวน หนึ่งในนิกายใหญ่ดินแดนโพ้นทะเล ไม่มีความดี ไม่มีความชั่ว มีเพียงผู้แข็งแกร่งเป็นที่เคารพนับถือ ผู้อ่อนแอถูกกําหนดให้เป็นทาส เป็นเป้าสังหาร

 

“เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”

 

เกิดความเงียบขึ้นในโถง จากนั้นไม่นานผู้อาวุโสนิกายเฮยหยวนก็ตอบสนองออกมาในทันที จ้องมองไปที่ศิษย์ผู้ส่งข่าวอย่างไม่อยากเชื่อ หมิงโยวเกือบจะกลายเป็นตัวตนระดับผู้เยี่ยมยุทธอยู่แล้ว ชื่อเสียงก็มีมาก พูดออกมาได้อย่างไรว่าจบชีวิตแล้ว?

 

นอกจากนี้ การที่ดวงไฟแห่งชีวิตดับลง หมายความว่าจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์และร่างกายได้สูญสลายไปอย่างสิ้นเชิง การที่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ยังหนีไม่พ้นมันจะเป็นไปได้อย่างไร?

 

“เป็นไปไม่ได้ ร่างปีศาจลวงตาของศิษย์พี่หมิงโยวเกือบจะสมบูรณ์แล้ว เขาสามารถสลับปรับเปลี่ยนไปมาระหว่างความเป็นจริงและร่างลวงตาได้ดั่งใจนึก แม้จะเป็นตัวตนระดับผู้เยี่ยมยุทธลงมือเองก็ไม่มีทางสังหารเขาได้ เขาจะตายได้อย่างไร?

 

“ถูกต้อง ต่อให้มีผู้เยี่ยมยุทธหลายคนร่วมมือกัน อย่างมากที่สุดก็ทําลายได้เพียงแค่กายหยาบ อย่างไรจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็สามารถหนีกลับมาได้อย่างสมบูรณ์

 

“เจ้าชื่ออะไร เป็นศิษย์ฝ่ายไหน หากข้ารู้ว่าเจ้ารายงานข้อมูลเท็จล่ะก็ จะต้องถูกนิกายเฮยหยวนของพวกเราทรมานทั้งเป็น ให้เจ้าได้รู้ว่าการมีชีวิตอยู่ก็ไม่ดี ตายก็ไม่ได้ มันเป็นเยี่ยงไร เจ้าพร้อมที่จะโดนแล้วรึยังเล่า?”

 

ผู้อาวุโสหลายคนจ้องมองไปที่ศิษย์คนนั้น และมีกระทั่งผู้อาวุโสที่อารมณ์ฉุนเฉียว พร้อมที่จะลงมือสังหารมันเสียบัดนี้เลยทีเดียว

 

ในใจของผู้อาวุโสนิกายเฮยหยวน หากได้ยินว่าใครสักคนจะสิ้นชีพลงก็คงพอเข้าใจได้ แต่สําหรับหมิงโยวนั้นมันเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด

 

“เอาล่ะ”

 

“ทุกคนจงเงียบ”

 

ในขณะที่ศิษย์ส่งข่าวกําลังจะโดนผู้อาวุโสหัวรุนแรงตบจนตาย ผู้นํานิกายเฮยหยวนก็กล่าวคําออกมาในที่สุด

 

ระหว่างที่พูดออกมา ไอพลังที่ไม่สามารถหยั่งถึงก็กระจายออกมา ผู้อาวุโสที่จ้างมือกําลังจะตบก็หน้าซีด หยุดมือในทันที และหยุดฟังด้วยความเคารพ

 

ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ก็ทําแบบเดียวกัน และทันใดนั้นห้องโถงที่อึกทึกครึกโครมเมื่อครู่ก็เงียบลงในทันใด

 

“ก่อนหน้านี้เจ้าเห็นอะไรมา?” ผู้นํานิกายเฮยหยวนมองไปที่ศิษย์ผู้ส่งข่าว ไม่มีความผันผวนใดในน้ําเสียงของเขาเลย

 

แต่ผู้อาวุโสทุกคนรู้ดีว่า ยิ่งเป็นเช่นนั้นมากเท่าไหร่ ผู้นํานิกายเฮยหยวนก็ใกล้ระเบิดอารมณ์มากเท่านั้น

 

“ท่านผู้นํา”

 

“ข้าคอยดูแลดวงไฟชีวิตของผู้อาวุโสตลอดทั้งวันทั้งคืน และข้าก็ได้เห็นว่าดวงไฟชีวิตของผู้อาวุโสหมิงโยวเพิ่งจะดับมอดไป”

 

ศิษย์ส่งข่าวกล่าวออกมาอย่างกล้าหาญ

 

“เข้าใจแล้ว………”

 

ผู้นํานิกายเฮยหยวนไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆออกมา

 

อันที่จริงตอนที่ศิษย์ส่งข่าวได้กล่าวว่าดวงไฟแห่งชีวิตมอดดับลงแล้วนั้น เขาก็ได้ใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว และตัดสินได้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวมานั้นเป็นความจริง

 

เมื่อผู้อาวุโสคนอื่นๆ ได้ฟังสิ่งนั้น ก็ดึงจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาทีละคน จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของจอมยุทธที่เพิ่งเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธยังสามารถครอบคลุมพื้นที่ในรัศมีสิบลี้ได้ ถ้าเช่นนั้นเหล่าผู้อาวุโสแห่งนิกายเฮยหยวนเล่า?

 

ในการเป็นอาวุโสของนิกายเฮยหยวนได้นั้น อย่างน้อยก็ต้องเป็นตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่สี่ และส่วนใหญ่ก็อยู่ในจุดสูงสุดของระดับนภาชั้นที่สี่

 

ในสายตาของพวกเขา นิกายเฮยหยวนทั้งหมดไม่มีสิ่งใดเป็นความลับ ยกเว้นบางสถานที่ที่ถูกปิดผนึก สามารถต้านทานการตรวจสอบจากจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้ไม่นาน

 

ในขณะที่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าผู้อาวุโสกวาดไปทั่วสถานที่สําหรับเก็บดวงไฟแห่งชีวิต ผู้อาวุโสทุกคนก็เงียบลง

 

ดวงไฟแห่งชีวิตของหมิงโยวมอดดับลงแล้วจริงๆ

 

หลังจากที่ผู้อาวุโสจํานวนมากได้ตรวจสอบดู ก็พบว่ามันเป็นเรื่องจริง

 

“ศิษย์พี่หมิงโยวตกตายลงแล้วจริงๆ”

 

หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ผู้อาวุโสนิกายเฮยหยวนก็กล่าวออกมาอย่างขมขึ้น

 

พวกเขาเชื่อมั่นในตัวของหมิงโยวอย่างมาก และคาดคิดไปแล้วว่าอย่างไรเสียถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพาจะต้องถูกยึดเอาไว้ในกํามือพวกตน แต่หลังจากนั้นไม่นานก็พบว่าหมิงโยวได้ตกตายไปแล้ว………

 

ผู้อาวุโสที่เหลือก็แสดงสีหน้าโศกเศร้าเช่นกัน

 

“ท่านผู้นํา เรื่องนี้”

 

ผู้อาวุโสต้องการจะพูดอะไรบางอย่างกับผู้นํานิกายเฮยหยวน

 

ในท้ายที่สุด เขาก็ถูกขัดจังหวะโดยผู้นํานิกายเฮยหยวน “เอาล่ะ พวกเจ้าทุกคนจงออกไปก่อนเถอะ”

 

“ขอรับ” ผู้อาวุโสหลายคนมองหน้ากัน โค้งคารวะแล้วจากไปพร้อมกับความสงสัย

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ไม่ใช่เพียงนิกายเฮยหยวน

 

ตําหนักเทพเจ้าหิมะ พรรคหมื่นดาบ และนิกายใหญ่แห่งอื่นๆต่างก็ตื่นตะลึงจากเรื่องที่ดวงไฟแห่งชีวิตนั้นดับมอดลงไป

 

เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะถึงกับโกรธเคืองสุดขีด โลกเยือกแข็งปกคลุมไปทั่วรัศมีสิบลี้ ท้องฟ้าทั้งหมดกลายเป็นน้ําแข็ง น้ําที่หยดลงมาก็กลายเป็นน้ําแข็ง ยกเว้นแต่เพียงศิษย์สาวกของตําหนักเทพเจ้าหิมะ ตํานานยุทธคนใดที่เข้าใกล้บริเวณนั้นต่างถูกแช่แข็งอย่างฉับพลัน

 

มีนิกายใหญ่มากมายในต่างดินแดนแต่ก็ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมากนัก แม้บางครั้งเกิดข้อพิพาทกันแต่อย่างมากที่สุดก็เป็นเพียงการต่อสู้กันของศิษย์สาวก ไม่ต้องกล่าวถึงการสิ้นชีวิตของผู้อาวุโส ขนาดการประมือกันยังแทบไม่มี

 

ตอนนี้นิกายเฮยหยวน ตําหนักเทพเจ้าหิมะ และนิกายใหญ่อื่นๆ ล้วนแต่มีผู้อาวุโสตกตายกันไป โดยเฉพาะนิกายเฮยหยวนที่เป็นถึงระดับรองผู้นํานิกาย สิ่งนี้สร้างความตกใจอย่างมิรู้ประมาณ

 

มีการถกเถียงกันอย่างมากมายในวงการยุทธภพต่างแดน ผู้ฝึกยุทธพเนจรและผู้นํานิกายคนอื่นๆ ต่างพูดกันอย่างเป็นการลับ

 

“ตําหนักเทพเจ้าหิมะ พรรคหมื่นดาบ และนิกายเฮยหยวนได้รับความสูญเสียอย่างหนักหน่วงในครั้งนี้ ตําหนักเทพเจ้าหิมะยังพอทําเนา แต่นิกายเฮยหยวนนั้นสูญเสียรองผู้นํานิกายไปเลยทีเดียว…”

 

“ตําหนักเทพเจ้าหิมะยังพอทําเนางั้นหรือ? เจ้าไม่รู้หรือว่าเทพธิดารุ่นปัจจุบันของตําหนักเทพเจ้าหิมะนั้นได้ตกตายไปแล้วเช่นเดียวกัน?”

 

“อะไรนะ? เทพธิดาก็ตกตายไปแล้วงั้นหรือ?”

 

จอมยุทธจํานวนมากต่างตื่นตกใจ

 

เทพธิดาแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะเป็นสถานะที่พิเศษ นางเป็นทายาทคนต่อไปในตําแหน่งเจ้าตําหนัก สถานะของนางสูงยิ่งกว่าผู้อาวุโสเสียอีก

 

“ไม่ว่านิกายใหญ่จะสูญเสียไปมากเท่าไหร่ แต่สิ่งที่ข้าอยากรู้จริงๆ ก็คือใครเป็นผู้ลงมือกันแน่…”

 

มีหลายคนตั้งข้อสงสัย

 

“เป็นไปได้หรือไม่ว่านี้เป็นฝีมือของนิกายใหญ่อื่นๆ ที่ดําเนินการอย่างลับๆ”

 

“เป็นไปไม่ได้ นิกายใหญ่มิใช่โง่เง่า ต่อให้จะต้องการลงมือจริงๆ ก็ควรจะจัดการทีละคน เป็นไปได้อย่างไรที่จะประกาศสงครามกับกองกําลังในระดับเดียวกัน ทั้งตําหนักเทพเจ้าหิมะ พรรคหมื่นดาบ และนิกายเฮยหยวนเช่นนี้?”

 

ผู้คนจํานวนมากต่างยังคงพูดคุยถกเถียงกันต่อไป แต่ก็ไม่ได้รับคําตอบจริงๆสักที ท้ายที่สุด สิ่งเดียวที่พอจะคาดเดาได้คือผู้ที่ลงมือจะต้องเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งในระดับที่คาดเดาไม่ได้

 

ขณะที่โลกภายนอกกําลังถกเถียงกันอยู่

 

บนเกาะแห่งหนึ่งในดินแดนโพ้นทะเล ผู้นํานิกายเฮยหยวน เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะ ประมุขพรรคหมื่นดาบ และนักพรตเฒ่าแห่งสํานักเอกะวิถีก็ได้มารวมตัวกันอยู่ที่นี่

 

ในเวลานี้ ยกเว้นก็แต่เจ้าสํานักเอกะวิถี ใบหน้าของคนอื่นๆล้วนหม่นหมอง

 

“เกิดบ้าอะไรขึ้น?” เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะจ้องไปที่ใบหน้าของผู้นํานิกายเฮยหยวน และกระแทกคําพูดออกมา “รองผู้นํานิกายเฮยหยวนของเจ้า หมิงโยวกล่าวว่ามันได้ พบถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพาเมื่อหมื่นปีก่อน ด้วยเหตุนี้ผู้อาวุโสที่ข้าส่งไปจึงล้วนตกตายเสียทั้งหมด”

 

ทันทีที่เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะกล่าวออกมาเช่นนี้ สายตาของประมุขพรรคหมื่นดาบที่อยู่ข้างๆก็หันมามองเช่นกัน

 

ตัวตนระดับผู้เยี่ยมยุทธถึงสองคนสร้างแรงกดดันต่อตนในเวลาเดียวกัน แม้เป็นผู้นํานิกายเฮยหยวนก็ต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

“ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเกิดอะไรขึ้น?”

 

“โปรดอย่าลืมว่าตอนที่ผู้อาวุโสของเจ้าได้ตายไป นิกายเฮยหยวนของข้าก็สูญเสียรองผู้นํานิกายไปเช่นกัน” ผู้นํานิกายเฮยหยวนระงับความโกรธของตนเอง และกล่าวออกมาด้วยเสียงที่ลึกล้ํา

 

“มิผิด”

 

ท่าทีของประมุขพรรคหมื่นดาบผ่อนคลายลงเล็กน้อย

 

หากจะว่ากันตามความสูญเสียจริงๆ การสูญเสียของนิกายเฮยหยวนนั้นใหญ่หลวงที่สุด และมันมากเกินกว่าตําหนักเทพเจ้าหิมะ

 

เทพธิดาแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะได้ตายไปแล้ว แต่สุดท้ายแล้วเทพธิดาก็เป็นเพียงเทพธิดาเท่านั้น ไม่ว่าจะมีศักยภาพที่ยิ่งใหญ่เพียงใด มันก็เป็นเพียงศักยภาพเท่านั้น และหมิงโยว รองผู้นํานิกายเฮยหยวนนั้นเป็นตัวตนทรงพลังที่แท้จริง การตายของหมิงโยวจึงมีน้ําหนักมากกว่ามาก

 

“ท่านนักพรต มันสองครั้งติดต่อกันแล้วนะ” ผู้นํานิกายเฮยหยวนมองไปที่นักพรตสํานักเอกะวิถีด้วยน้ําเสียงเย็นชา “ครั้งแรกอาจจะนับว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ครั้งที่สองนี้ คนของข้าและคนอื่นๆที่ถูกส่งไปกลับตายหมด มีแต่คนของเจ้าเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้”

 

“ผู้ชราอย่างข้าก็มิรู้เหมือนกัน…”

 

นักพรตสํานักเอกะวิถีค่อนข้างทําอะไรไม่ถูก แม้ว่าจะเป็นเรื่องดีที่ผู้อาวุโสของสํานักยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็เห็นได้ชัดว่า ผู้นํานิกายเฮยหยวน เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะ และประมุขพรรคหมื่นดาบเริ่มจะสงสัยในตัวเขาเสียแล้ว

 

“ถ้าจะบอกว่าข้าต้องการจัดการกับพวกเจ้าจริงๆ จะเป็นไปได้อย่างไรที่ข้าจะลงมือเฉพาะศิษย์กับผู้อาวุโส?”

 

นักพรตสํานักเอกะวิถีเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวคําออกมาช้าๆ

 

สําหรับตําหนักเทพเจ้าหิมะและนิกายเฮยหยวนนั้น การตายของเทพธิดาและรองผู้นํานิกายย่อมเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ แต่ก็ไม่ได้ทําให้รากฐานเสียหาย

 

ผู้ที่สามารถกําหนดอนาคตของนิกายใหญ่ทั้งนิกายได้อย่างแท้จริงนั่นก็คือผู้นํานิกายและบรรพชนที่หลับใหล

 

ส่วนผู้อาวุโส?

 

มีผู้คนมากมายนับไม่ถ้วน และตัวตนที่เรียกได้ว่าอัจฉริยะ ก็ปรากฏขึ้นในทุกๆปี ถ้าเทพธิดาหายไป มันก็แค่ต้องปลุกปั้นคนใหม่อีกสักคนหนึ่งไม่ใช่หรือ?

 

“ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ได้โกหกข้านะ?”

 

เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดออกมาเบาๆ

 

นางครุ่นคิดและรู้สึกว่าหากต้องการจะจัดการกับพวกตน จริงๆก็ต้องวางแผนจัดการผู้แข็งแกร่งในระดับผู้เยี่ยมยุทธ ไม่จําเป็นต้องโจมตีศิษย์รุ่นหลัง

 

“เอาล่ะ”

 

“เมื่อเป็นเช่นนั้น”

 

“ พวกเรามาคุยกันเถอะว่าจะต้องทําอย่างไรต่อไป?”

 

ประมุขพรรคหมื่นดาบเหลือบมองคนอื่นอีกสองสามคน แล้วถามอย่างใจเย็น

 

“แม้ว่าผู้อาวุโสสํานักเอกะวิถีจะยังไม่ตาย แต่พึงรู้ไว้ว่าการที่จะสามารถทําให้ผู้อาวุโสของพวกเจ้าตกตายกันไปอย่างเงียบๆเช่นนี้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นระดับผู้เยี่ยมยุทธจึงจะกระทําได้”

 

เพื่อขจัดข้อสงสัยที่มุ่งมาทางตน เจ้าสํานักเอกะวิถีกล่าว การคาดเดาของเขาออกมาทันที

 

เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะและประมุขพรรคหมื่นดาบก็พยักหน้าเล็กน้อย ยอมรับความคิดเห็นนั้น

 

เกรงว่าคงจะมีเพียงผู้เยี่ยมยุทธที่แท้จริงเท่านั้นที่สามารถลงมือได้อย่างสะอาดหมดจดเช่นนี้ จัดการผู้อาวุโสที่พวกเขาส่งไปได้ทั้งหมดและแม้แต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่เหลือรอดกลับมา

 

“ไม่ใช่แค่ผู้เยี่ยมยุทธเท่านั้น”

 

ในเวลานั้น ผู้นํานิกายเฮยหยวนก็ส่ายหัวและกล่าวว่า “ข้ารู้ถึงความแข็งแกร่งของหมิงโยวดี ผู้เยี่ยมยุทธทั่วๆไปไม่สามารถรั้งเขาไว้ได้ อย่างน้อยก็ต้องผู้เยี่ยมยุทธขั้นสูงสุด”

 

คําที่ผู้นํานิกายเฮยหยวนเพิ่งกล่าวออกไป

 

เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะและคนอื่นๆต่างก็หน้าเปลี่ยนสี

 

ผู้เยี่ยมยุทธขั้นสูงสุด?

 

โดยทั่วไปแล้วตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่ห้าและระดับนภาชั้นที่หกจะนับเป็นระดับผู้เยี่ยมยุทธ ส่วนผู้เยี่ยมยุทธขั้นสูงสุดคือจุดสูงสุดของนภาชั้นที่หก ซึ่งอยู่ห่างจากระดับนภาชั้นที่เจ็ดเพียงก้าวเดียวเท่านั้น เกรงว่าคงจะมีผู้เยี่ยมยุทธระดับนี้ไม่มากในนิกายใหญ่ต่างดินแดน

 

“มีปัญหาแล้ว”

 

ประมุขพรรคหมื่นดาบรู้สึกได้ถึงความยุ่งยาก

 

ถ้าเป็นเพียงผู้เยี่ยมยุทธที่แข็งแกร่งกล้าที่จะลงมือกับพวกเขา ต่อให้ไม่ตายก็ต้องถูกพวกเขาปราบ

 

แต่ผู้เยี่ยมยุทธขั้นสูงสุด

 

ถ้าผู้เยี่ยมยุทธขั้นสูงสุดต้องการจะหนี ก็ไม่มีผู้เยี่ยมยุทธคนใดจะหยุดมันได้

 

สิ่งที่ทําให้ผู้นํานิกายเฮยหยวน เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะ และประมุขพรรคหมื่นดาบรู้สึกกลัวมากยิ่งขึ้นคือ จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่รู้ว่าผู้เยี่ยมยุทธขั้นสูงสุดที่ลงมือนั้นเป็นใคร? มาจากกองกําลังฝ่ายไหน?

 

“นี่ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราจะตัดสินใจได้อีกต่อไป”

 

เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะกล่าวออกมาอย่างเคร่งเครียด “ข้าจะต้องไปรายงานบรรพชนของข้า”

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+