เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 234 สั่นไหว

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 234 สั่นไหว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 234 สั่นไหว

 

สําหรับซูฉิน การได้พบกับเฉียนขู่ที่นี่ เป็นความสุขที่มาโดยไม่คาดคิด เหตุผลที่ทําเป็นไม่รู้จักก็เพราะอยากจะเห็นว่าเฉียนขู่เติบโตขึ้นมากเท่าไหร่ในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา

ด้วยขอบเขตของซูฉินในตอนนี้ เป็นเรื่องปกติที่สามารถมองผ่านระดับพลังของเฉียนขู่ได้อย่างง่ายดาย

แต่ระดับก็อยู่ส่วนระดับ ส่วนความสามารถในการต่อสู้ ก็ต้องลองดูอีกสักหน่อย จะเป็นการดีที่สุดถ้าได้เห็นผ่านการต่อสู้จริง

 

“จริงแท้”

“คนเหล่านี้เป็นคนเลวจริงๆ ร่วมมือกันรังแกคนคนหนึ่ง มองอย่างไรก็ไม่มีทางเป็นคนดีไปได้”

หลีหว่านกําหมัดแน่นและพูดออกมาอย่างโกรธเคือง

 

“การต่อสู้ของเหล่าจอมยุทธนะ เพื่อให้ตนเองมีชีวิตรอด เป็นเรื่องปกติที่จะพึ่งพาความแข็งแกร่งของผู้อื่นเพื่อรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า” ซูฉินเหลือบมองหลีหว่านและกล่าวออกมาเบาๆ

 

“เข้าใจแล้ว ลุงสาม…” หลีหว่านลดหัวของตนลง

และในตอนนั้น

 

ไม่ใช่แค่หลีหว่านเท่านั้นที่อยากรู้อยากเห็นถึงการต่อสู้ระหว่างสงฆ์จากวัดเส้าหลินกับสี่มารร้าย จอมยุทธทั้งหลายไม่ว่าจะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ ทุกคนที่เฝ้าดูการต่อสู้ต่างคาดเดากันอย่างลับๆ

 

ที่ชั้นสองของโรงเตี้ยม

 

ในมุมหนึ่งที่ไม่ได้โดดเด่นนัก เจ้าของโรงเตี้ยมเอามือไพล่หลัง มองไปยังพื้นที่ต่อสู้ด้านนอกอย่างสบายๆ

 

“พวกเจ้าลองบอกมาหน่อย ภิกษุเฉียนขู่หรือจอมยุทธฝ่ายอธรรมทั้งสี่ใครจะเป็นผู้ชนะ?”

 

เจ้าของโรงเตี้ยมที่มีรูปร่างอ้วนท้วนกล่าวถามอย่างสนอกสนใจ

หากมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งคนอื่นหันมาสังเกตมุมนี้ พวกเขาจะต้องตกใจเมื่อพบว่าทุกคําที่เจ้าของโรงเตี้ยมกล่าวออกมา สามารถฟังได้เพียงในระยะสามเมตรเท่านั้น และเมื่อเสียงห่างไปไกลกว่านี้ก็เหมือนตัดขาด เงียบสนิท

นี่เป็นวิธีการใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์รูปแบบหนึ่ง เจ้าของโรงเตี้ยมผู้อ้วนท้วนผู้นี้ไม่ธรรมดา อย่างน้อยก็เป็นถึงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่สามารถกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้

 

“คุณชาย แม้ว่าจอมยุทธฝ่ายอธรรมทั้งสี่จะมีพลังและกลเม็ดมากมาย แต่เฉียนขู่ก็เป็นถึงสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ วิชาสายพุทธทําให้มีกําลังภายในที่แข็งแกร่งอย่างมาก มีความสามารถในการยับยั้งพลังของจอมยุทธฝ่ายอธรรมโดยเฉพาะ

บัณฑิตผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างก็คิดไปสักพัก ก่อนจะพูดตอบออกไปว่า “ตามการคาดเดาของข้า แม้จอมยุทธฝ่ายอธรรมจะได้เปรียบในการประมือกับสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์เฉียนขู่ แต่ท้ายที่สุดผู้ชนะย่อมเป็นสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์เฉียนขู่”

“ที่เจ้ากล่าวมาก็ไม่ผิด”

 

เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนพยักหน้าเล็กน้อย แล้วเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาไปในบัดดล “แต่ในเมื่อขนาดเจ้ายังมองเห็นสิ่งนี้ได้ ทําไมจอมยุทธฝ่ายอธรรมทั้งสี่ถึงยังลงมืออยู่อีกเล่า?”

ตามวิสัยของจอมยุทธฝ่ายอธรรม หากพวกมันรู้ว่าไม่สามารถเอาชนะได้ เหตุใดยังลงมือต่อสู้อีก?

 

แม้แต่คนนอกอย่างบัณฑิตยังสามารถเข้าใจสถานการณ์ในการต่อสู้ได้ จอมยุทธฝ่ายอธรรมทั้งสี่ที่ทั้งถูกพัวพันทั้งหลบหนี สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์เฉียนขู่มาเป็นเวลาหลายเดือน ผ่านระยะทางหลายหมื่นลี้ พวกมันจะไม่ทราบช่องว่างฝีมือระหว่างตนเองกับเฉียนขู่หรือ?

หากสามารถร่วมมือกันกําจัดสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์เฉียนขู่ได้ จะถูกบังคับให้ต้องหนีมานับหมื่นลี้ได้อย่างไร?

 

เมื่อบัณฑิตได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขามองไปที่เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนแล้วกระซิบถาม “คุณชาย ท่านหมายความว่าอย่างไร?”

 

“จอมยุทธฝ่ายอธรรมทั้งสี่นั้นเป็นเพียงแค่เหยื่อล่อ”

 

เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนสายศีรษะแล้วพูดว่า “เฉียนขู่ก่อความแค้นเอาไว้มาก กว่าสิบกว่าปีแล้วที่เขาได้สังหารปรมาจารย์ฝ่ายอธรรมไปเกือบสิบคน ลงมือหลายต่อหลายครั้ง ทําลายโอกาสอันดีของเหล่ามารเฒ่า”

 

เมื่อเจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนกล่าวเช่นนี้ เขาก็หยุดครู่หนึ่ง ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะวัดเส้าหลินให้กําเนิดผู้ทรงสมณศักดิ์ขึ้นมา เกรงว่ามารเฒ่าคงจะโจมตีเฉียนขู่ไปตั้งนานแล้ว

 

“ในเมื่อรู้ทั้งรู้ว่าวัดเส้าหลินมีผู้ทรงสมณศักดิ์อยู่ ทําไมจอมยุทธฝ่ายอธรรมทั้งสี่จึงยังออกมาเป็นเหยื่อล่ออีก?” บัณฑิตกล่าวด้วยความสงสัย

“เป็นเรื่องปกติ เพราะผู้คนได้ค้นพบแล้วว่าผู้ทรงสมณศักดิ์ไม่ได้อยู่ภายในวัดเส้าหลินอีกต่อไปแล้ว” เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนโพล่งออกมา “ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะตํานานยุทธหรืออรหันต์ พวกเขาทั้งหมดล้วนเดินทางข้ามน้ําข้ามทะเลออกไปทั้งนั้น”

“ตั้งแต่ที่ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์จากไป ก็คงไม่ได้กลับมาเลยในช่วงยี่สิบปีมานี้ ฉะนั้นมันแสดงให้เห็นว่าเรื่องราวก็คงไม่ต่างไปจากเดิม”

“ดังนั้นเหล่ามารเฒ่าคงอดใจต่อไปไม่ไหว”

เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนมีแววเยาะเย้ยในน้ําเสียง “มารเฒ่าเหล่านั้นคงไม่กล้าทําอะไรหากมีผู้ทรงสมณศักดิ์อยู่ภายในวัดเส้าหลิน”

“แต่ตอนนี้ท่านจากไปแล้ว…”

 

เมื่อเจ้าของโรงเตี้ยมพูดมาจนถึงจุดนี้ เขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่สิ่งที่เขาต้องการจะสื่อนั้นชัดเจนยิ่ง

 

“แน่นอน แม้ว่าผู้ทรงสมณศักดิ์จะจากไป ก็ไม่มีมารเฒ่าตนใด กล้าโจมตีวัดเส้าหลิน”

 

“ใครจะรู้บ้างว่าภายในวัดเส้าหลินจะมีสิ่งที่ผู้ทรงสมณศักดิ์ทิ้งไว้ เบื้องหลังกอย่าง”

“ถึงจะไม่กล้าโจมตีวัดเส้าหลิน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเฉียนขู่ จะสามารถไล่ล่าสังหารจอมยุทธฝ่ายอธรรมเช่นนี้ได้”

เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนค่อยๆ พูดขึ้นว่า “เท่าที่ข้ารู้ จักรพรรดิมารร้ายที่บิดด่านฝึกตนไปเมื่อเจ็ดสิบปีก่อนได้ออกจากด่านฝึกตนแล้ว เมื่อไม่นานมานี้ ครั้งหนึ่งข้าเคยพบเจอมันจากที่ไกลๆ ตอนนี้ความแข็งแกร่งของจักรพรรดิมารร้ายน่าจะอยู่ในระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์แล้ว”

 

“จักรพรรดิมารร้าย…”

บัณฑิตผู้นั้นถอนหายใจออกมา

 

เจ็ดสิบปีที่แล้ว จักรพรรดิมารร้ายได้กวาดล้างโลกด้วยความโหดเหี้ยม แม้แต่ผู้นําอาณาจักรต่างๆก็ยังต้องหวาดกลัว

 

แม้ว่ากองทัพของอาณาจักรต่างๆ จะสามารถเข้าปราบปรามได้ แต่สําหรับตัวตนที่แข็งแกร่งอย่างจักรพรรดิมารร้ายนั้นมันมีความยุ่งยากเป็นอย่างมาก ตราบใดที่จักรพรรดิมารร้ายระมัดระวังสักนิด กองทัพก็ไม่มีทางล้อมกรอบปราบปรามได้ และเมื่อใดที่ไปก่อกวนจักรพรรดิมารร้ายเข้า มันก็สามารถเปลี่ยนไปเป็นนักฆ่าที่แสนน่ากลัวที่สุดและลอบสังหารราชวงศ์ของอาณาจักรต่างๆในเวลานั้นได้

หากไม่ใช่เพราะในเวลาเดียวกัน มีจอมมารที่ทรงพลังแข็งแกร่งปรากฏตัวขึ้นในพรรคมาร เกิดเป็นการคานอํานาจกันกับจักรพรรดิมารร้าย เกรงว่าโลกนี้คงตกอยู่ในความวุ่นวายไปนานแล้ว

 

น่าเสียดายที่ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิมารร้ายหรือจอมมาร ไม่นานหลังจากนั้นพวกมันต่างปลีกตัวปิดด่านฝึกตนเพื่อไล่ตามไปยังขอบเขตที่สูงขึ้น

“คุณชาย เมื่อจักรพรรดิมารลงมือ เราจะรั้งรออยู่นี่เพื่อที่ขัดขวางใช่หรือไม่?”

“ขัดขวาง?”

 

“ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจักรพรรดิมารร้าย แม้อยากจะขัดขวางก็ขวางไม่ได้”

 

เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนส่ายศีรษะ

 

แม้เขาจะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด แต่อย่างไรเมื่อเทียบกับการดํารงอยู่ของระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์อย่างจักรพรรดิมารร้าย มันก็ยังด้อยกว่ามาก ทําได้มากสุดก็เพียงปกป้องดูแลตนเอง แต่การช่วยเหลือเฉียนขู่นั้นเป็นไปไม่ได้

 

“คุณชาย ถ้าจักรพรรดิมารร้ายสังหารเฉียนขู่ เขาไม่เกรงกลัววัดเส้าหลินเลยหรือ…” บัณฑิตด้านข้างอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา

เฉียนขู่หาใช่จะตัวคนเดียวไม่เบื้องหลังเขาคือวัดเส้าหลิน ในฐานะที่เป็นสุดยอดพรรคที่มีอรหันต์กําเนิดขึ้นมา ยุคนี้เป็นยุคที่วัดเส้าหลินเจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่าเฉียนขู่เป็นศิษย์ของอรหันต์รูปนั้นอีก………..

 

“วัดเส้าหลิน?”

 

เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนหัวเราะแล้วพูดว่า “จักรพรรดิมารร้ายมีอายุตั้งร้อยยี่สิบปีแล้วก่อนที่จะปิดด่านฝึกตน หลังจากผ่านไปเจ็ดสิบปี เขาก็อายุได้ร้อยเก้าสิบปี และอายุขัยก็ไม่น่าจะเกินกว่าสองร้อย

 

“เจ้าคิดว่าจักรพรรดิมารร้ายในเวลานี้ยังจะสนใจวัดเส้าหลินอยู่หรือไม่?”

 

เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนพูดออกมาเบาๆ

 

นี่เป็นเหตุผลที่เขาไม่เต็มใจจะลงมือหยุดจักรพรรดิมารร้าย

อายุขัยของจักรพรรดิมารร้ายในปัจจุบันงวดเข้ามาแล้ว มันก็แค่คนบ้าคนหนึ่ง ไม่ต้องพูดถึงความแข็งแกร่งของเขาที่ไม่ได้แกร่งเท่ากับจักรพรรดิมารร้าย แม้ว่าความแข็งแกร่งของเขาจะเท่ากัน หรือแข็งแกร่งกว่าจักรพรรดิมารร้ายสักเล็กน้อย เขาก็ไม่เต็มใจที่จะทําอะไรกับจักรพรรดิมารร้าย

“ดูเหมือนภิกษุเฉียนขู่ยากที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว” บัณฑิตเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก เฉียนขู่อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นสงฆ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาศิษย์รุ่นใหม่ของวัดเส้าหลิน มีศักยภาพไร้ที่สิ้นสุด และมีความเป็นไปได้ที่จะบรรลุถึงขอบเขตอรหันต์

อย่างไรก็ตาม ศักยภาพก็อยู่ส่วนของศักยภาพ ตอนนี้ยังเปราะบางเหลือเกิน ก่อนที่จะเปลี่ยนเข้าสู่ความแข็งแกร่ง

 

“จักรพรรดิมารร้ายกําลังจะลงมือแล้ว”

เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนมองออกไปนอกโรงเตี้ยม ใบหน้าของเขาดูครุ่นคิด จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ผันผวน เขาสามารถรับรู้ได้จางๆ ว่ามีไอพลังชั่วร้ายขนาดมหึมาที่ซ่อนเร้นอยู่ที่มุมหนึ่ง

 

มันคือจักรพรรดิมารร้าย

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ในทิศทางที่เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนมองไป ก็มีชายคนหนึ่งที่แววตา ลึกล้ํายืมเอามือไพล่หลังไว้อยู่

“วัดเส้าหลิน?”

“มรดกตกทอดของผู้ทรงสมณศักดิ์?”

ชายที่มีแววตาลึกล้ําผู้นี้คือจักรพรรดิมารร้าย และตอนนี้เขากําลังมองเฉียนขู่กําลังต่อสู้กับจอมยุทธฝ่ายอธรรมทั้งสี่อย่างเพลิดเพลิน

 

“ทั้งโลกคงคิดว่าเหตุผลที่ข้าลงมือเป็นเพราะยอดฝีมือฝ่ายอธรรมล้มตายกันทีละคนสองคน”

 

ความคิดของจักรพรรดิมารร้ายเปลี่ยนแปลงไปมา มีร่องรอยของการถากถางปรากฏบนใบหน้า “แต่สําหรับข้า วิถือธรรมคือสิ่งใด? แม้ว่าฝ่ายอธรรมจะโดนกําจัดจนสิ้น มันจะไปส่งผลอะไรกับข้าเล่า?”

ใบหน้าของจักรพรรดิมารร้ายเต็มไปด้วยความเย็นชา

“เฉียนขู่เป็นศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในพระรุ่นใหม่ของวัดเส้าหลิน และเข้าสู่ระดับยอดปรมาจารย์ตั้งแต่อายุน้อยกว่าห้าสิบปี”

 

“มันจะต้องมีมรดกของผู้ทรงสมณศักดิ์อยู่กับตัวแน่”

จักรพรรดิมารร้ายเลียริมฝีปาก แล้วพึมพําอยู่กับตนเอง “หากข้าสังหารเฉียนขู่และนํามรดกของผู้ทรงสมณศักดิ์ไปได้ บางทีข้าอาจจะพัฒนาระดับขึ้นไปได้อีก”

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ จิตวิญญาณของจักรพรรดิมารร้ายก็สั่นไหว

มันไม่ใช่พุทธศาสนิกชน แม้จะเป็นมรดกตกทอดจากผู้ทรงสมณศักดิ์มันก็อาจจะไม่เข้าใจ เพียงแต่ก็ดีกว่ามันหาวิธีด้วยตัวเองคนเดียว

 

นอกจากนี้แม้ว่าเฉียนขู่จะไม่มีมรดกตกทอดจากผู้ทรงสมณศักดิ์ จักรพรรดิมารร้ายก็จะทําเช่นเดิม เป็นการจงใจบังคับให้วัดเส้าห ลินต้องใช้มรดกออกมา คงจะเป็นการดีที่สุดหากนําเอามรดกที่ผู้ ทรงสมศักดิ์ทิ้งไว้ออกมาตามล่าเขา

“มรดกที่ผู้ทรงสมณศักดิ์ทิ้งไว้นั้นบรรจุรัศมีจิตของผู้ทรงสมณศักดิ์เอาไว้ สามารถแสดงพลังบางส่วนของผู้ทรงสมณศักดิ์ออกมาได้”

 

“หากข้าต้องเผชิญหน้ากับผู้ทรงสมณศักดิ์ ข้าต้องตายอย่างไม่มีข้อสงสัย แต่นี่เป็นเพียงมรดกที่ถูกทิ้งไว้เท่านั้น ภายใต้พลังกดขี่ที่ถึงแก่ชีวิตความเป็นความตาย ข้าอาจจะสามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตใหม่”

ความคิดของจักรพรรดิมารร้ายผันผวน ครุ่นคิดหลายสิงอยู่ภายในใจอย่างรวดเร็ว

 

เขามีอายุขัยเหลือน้อย และจะจากไปด้วยวัยชราภายในไม่เกินสองถึงสามปี ดังนั้นจึงมีเพียงต้องเสี่ยงเคลื่อนไหวในครั้งนี้ แม้จะอันตรายอย่างมากก็ตาม

“ตราบใดที่ข้าก้าวหน้าต่อไปได้ ต่อให้เป็นการฉีกหน้าวัดเส้าหลินข้าก็ทํา แม้ผู้ทรงสมณศักดิ์กลับมาจากต่างดินแดน มันจะสามารถทําอะไรข้าได้?”

ความบ้าคลั่งปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจักรพรรดิมารร้าย

 

ความจริงแล้วไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใด ก็เป็นเรื่องโง่เขลาอย่างยิ่งที่จะยั่วยุกองกําลังที่มีอรหันต์กําเนิดขึ้น

แต่จักรพรรดิมารร้ายไม่มีทางเลือก ถ้าเขายังลากถ่วงตัวเองอยู่ต่อไป เขาจะต้องตายด้วยวัยชรา แทนที่จะเฝ้ามองร่างตนเองทรุดโทรม เขาควรจะต่อสู้ หากล้มเหลวก็แค่ตาย แต่ถ้าเขาทําสําเร็จ จักรพรรดิมารร้ายก็เหมือนกับจะได้ชีวิตใหม่

 

“น่าเสียดาย

 

“ศักยภาพของเจ้าแข็งแกร่งกว่าข้ามาก”

 

“ถ้าเจ้าค่อยเป็นค่อยไป เดินไปทีละขั้น เจ้าสามารถเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ได้ก่อนอายุร้อยห้าสิบปีอย่างแน่นอน และมีเวลามากพอที่จะไต่ขึ้นไปยังขอบเขตที่สูงขึ้น”

จักรพรรดิมารร้ายมองเฉียนขู่จากระยะไกลด้วยใบหน้าที่โหดเหี้ยม “แต่น่าเสียดายที่เจ้าจะต้องมาเจอกับข้า”

“เพื่อความก้าวหน้าของข้า เจ้าจําเป็นต้องตาย”

จักรพรรดิมารร้ายก้าวเดินไปอย่างเชื่องช้า เตรียมพร้อมที่จะสังหารเฉียนขู่” จากนั้นเขาก็จะค้นหามรดกของผู้ทรงสมณศักดิ์จากคู่ต่อสู้

 

อย่างไรก็ตาม

 

เมื่อจักรพรรดิมารร้ายกําลังจะเคลื่อนไหว

 

บรรยากาศก็ผันผวน โลกเริ่มบิดเบี้ยว จักรพรรดิมารร้ายรู้สึกเพียงว่าทุกสิ่งรอบตัวเขาเหมือนกับหยุดนิ่ง

 

จักรพรรดิมารร้ายไม่ทันได้ตอบสนองอะไร รู้ตัวอีกทีก็พบว่าตนเข้ามาภายในโรงเตี้ยมแล้ว

 

“นี่คือ?”

 

จักรพรรดิมารร้ายเบิกตากว้าง มีพายุพัดโหมกระหน่ําอยู่ภายใน

เขาเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่รู้ตัว และเห็นชายที่ดูสงบนิ่งอยู่ไม่ไกล และด้านข้างของชายคนนั้นมีเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่งดงามราวกับหยกสลัก กําลังจ้องมองเขาด้วยความประหลาดใจ

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 234 สั่นไหว

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 234 สั่นไหว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 234 สั่นไหว

 

สําหรับซูฉิน การได้พบกับเฉียนขู่ที่นี่ เป็นความสุขที่มาโดยไม่คาดคิด เหตุผลที่ทําเป็นไม่รู้จักก็เพราะอยากจะเห็นว่าเฉียนขู่เติบโตขึ้นมากเท่าไหร่ในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา

ด้วยขอบเขตของซูฉินในตอนนี้ เป็นเรื่องปกติที่สามารถมองผ่านระดับพลังของเฉียนขู่ได้อย่างง่ายดาย

แต่ระดับก็อยู่ส่วนระดับ ส่วนความสามารถในการต่อสู้ ก็ต้องลองดูอีกสักหน่อย จะเป็นการดีที่สุดถ้าได้เห็นผ่านการต่อสู้จริง

 

“จริงแท้”

“คนเหล่านี้เป็นคนเลวจริงๆ ร่วมมือกันรังแกคนคนหนึ่ง มองอย่างไรก็ไม่มีทางเป็นคนดีไปได้”

หลีหว่านกําหมัดแน่นและพูดออกมาอย่างโกรธเคือง

 

“การต่อสู้ของเหล่าจอมยุทธนะ เพื่อให้ตนเองมีชีวิตรอด เป็นเรื่องปกติที่จะพึ่งพาความแข็งแกร่งของผู้อื่นเพื่อรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า” ซูฉินเหลือบมองหลีหว่านและกล่าวออกมาเบาๆ

 

“เข้าใจแล้ว ลุงสาม…” หลีหว่านลดหัวของตนลง

และในตอนนั้น

 

ไม่ใช่แค่หลีหว่านเท่านั้นที่อยากรู้อยากเห็นถึงการต่อสู้ระหว่างสงฆ์จากวัดเส้าหลินกับสี่มารร้าย จอมยุทธทั้งหลายไม่ว่าจะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ ทุกคนที่เฝ้าดูการต่อสู้ต่างคาดเดากันอย่างลับๆ

 

ที่ชั้นสองของโรงเตี้ยม

 

ในมุมหนึ่งที่ไม่ได้โดดเด่นนัก เจ้าของโรงเตี้ยมเอามือไพล่หลัง มองไปยังพื้นที่ต่อสู้ด้านนอกอย่างสบายๆ

 

“พวกเจ้าลองบอกมาหน่อย ภิกษุเฉียนขู่หรือจอมยุทธฝ่ายอธรรมทั้งสี่ใครจะเป็นผู้ชนะ?”

 

เจ้าของโรงเตี้ยมที่มีรูปร่างอ้วนท้วนกล่าวถามอย่างสนอกสนใจ

หากมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งคนอื่นหันมาสังเกตมุมนี้ พวกเขาจะต้องตกใจเมื่อพบว่าทุกคําที่เจ้าของโรงเตี้ยมกล่าวออกมา สามารถฟังได้เพียงในระยะสามเมตรเท่านั้น และเมื่อเสียงห่างไปไกลกว่านี้ก็เหมือนตัดขาด เงียบสนิท

นี่เป็นวิธีการใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์รูปแบบหนึ่ง เจ้าของโรงเตี้ยมผู้อ้วนท้วนผู้นี้ไม่ธรรมดา อย่างน้อยก็เป็นถึงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่สามารถกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้

 

“คุณชาย แม้ว่าจอมยุทธฝ่ายอธรรมทั้งสี่จะมีพลังและกลเม็ดมากมาย แต่เฉียนขู่ก็เป็นถึงสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ วิชาสายพุทธทําให้มีกําลังภายในที่แข็งแกร่งอย่างมาก มีความสามารถในการยับยั้งพลังของจอมยุทธฝ่ายอธรรมโดยเฉพาะ

บัณฑิตผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างก็คิดไปสักพัก ก่อนจะพูดตอบออกไปว่า “ตามการคาดเดาของข้า แม้จอมยุทธฝ่ายอธรรมจะได้เปรียบในการประมือกับสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์เฉียนขู่ แต่ท้ายที่สุดผู้ชนะย่อมเป็นสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์เฉียนขู่”

“ที่เจ้ากล่าวมาก็ไม่ผิด”

 

เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนพยักหน้าเล็กน้อย แล้วเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาไปในบัดดล “แต่ในเมื่อขนาดเจ้ายังมองเห็นสิ่งนี้ได้ ทําไมจอมยุทธฝ่ายอธรรมทั้งสี่ถึงยังลงมืออยู่อีกเล่า?”

ตามวิสัยของจอมยุทธฝ่ายอธรรม หากพวกมันรู้ว่าไม่สามารถเอาชนะได้ เหตุใดยังลงมือต่อสู้อีก?

 

แม้แต่คนนอกอย่างบัณฑิตยังสามารถเข้าใจสถานการณ์ในการต่อสู้ได้ จอมยุทธฝ่ายอธรรมทั้งสี่ที่ทั้งถูกพัวพันทั้งหลบหนี สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์เฉียนขู่มาเป็นเวลาหลายเดือน ผ่านระยะทางหลายหมื่นลี้ พวกมันจะไม่ทราบช่องว่างฝีมือระหว่างตนเองกับเฉียนขู่หรือ?

หากสามารถร่วมมือกันกําจัดสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์เฉียนขู่ได้ จะถูกบังคับให้ต้องหนีมานับหมื่นลี้ได้อย่างไร?

 

เมื่อบัณฑิตได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขามองไปที่เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนแล้วกระซิบถาม “คุณชาย ท่านหมายความว่าอย่างไร?”

 

“จอมยุทธฝ่ายอธรรมทั้งสี่นั้นเป็นเพียงแค่เหยื่อล่อ”

 

เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนสายศีรษะแล้วพูดว่า “เฉียนขู่ก่อความแค้นเอาไว้มาก กว่าสิบกว่าปีแล้วที่เขาได้สังหารปรมาจารย์ฝ่ายอธรรมไปเกือบสิบคน ลงมือหลายต่อหลายครั้ง ทําลายโอกาสอันดีของเหล่ามารเฒ่า”

 

เมื่อเจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนกล่าวเช่นนี้ เขาก็หยุดครู่หนึ่ง ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะวัดเส้าหลินให้กําเนิดผู้ทรงสมณศักดิ์ขึ้นมา เกรงว่ามารเฒ่าคงจะโจมตีเฉียนขู่ไปตั้งนานแล้ว

 

“ในเมื่อรู้ทั้งรู้ว่าวัดเส้าหลินมีผู้ทรงสมณศักดิ์อยู่ ทําไมจอมยุทธฝ่ายอธรรมทั้งสี่จึงยังออกมาเป็นเหยื่อล่ออีก?” บัณฑิตกล่าวด้วยความสงสัย

“เป็นเรื่องปกติ เพราะผู้คนได้ค้นพบแล้วว่าผู้ทรงสมณศักดิ์ไม่ได้อยู่ภายในวัดเส้าหลินอีกต่อไปแล้ว” เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนโพล่งออกมา “ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะตํานานยุทธหรืออรหันต์ พวกเขาทั้งหมดล้วนเดินทางข้ามน้ําข้ามทะเลออกไปทั้งนั้น”

“ตั้งแต่ที่ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์จากไป ก็คงไม่ได้กลับมาเลยในช่วงยี่สิบปีมานี้ ฉะนั้นมันแสดงให้เห็นว่าเรื่องราวก็คงไม่ต่างไปจากเดิม”

“ดังนั้นเหล่ามารเฒ่าคงอดใจต่อไปไม่ไหว”

เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนมีแววเยาะเย้ยในน้ําเสียง “มารเฒ่าเหล่านั้นคงไม่กล้าทําอะไรหากมีผู้ทรงสมณศักดิ์อยู่ภายในวัดเส้าหลิน”

“แต่ตอนนี้ท่านจากไปแล้ว…”

 

เมื่อเจ้าของโรงเตี้ยมพูดมาจนถึงจุดนี้ เขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่สิ่งที่เขาต้องการจะสื่อนั้นชัดเจนยิ่ง

 

“แน่นอน แม้ว่าผู้ทรงสมณศักดิ์จะจากไป ก็ไม่มีมารเฒ่าตนใด กล้าโจมตีวัดเส้าหลิน”

 

“ใครจะรู้บ้างว่าภายในวัดเส้าหลินจะมีสิ่งที่ผู้ทรงสมณศักดิ์ทิ้งไว้ เบื้องหลังกอย่าง”

“ถึงจะไม่กล้าโจมตีวัดเส้าหลิน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเฉียนขู่ จะสามารถไล่ล่าสังหารจอมยุทธฝ่ายอธรรมเช่นนี้ได้”

เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนค่อยๆ พูดขึ้นว่า “เท่าที่ข้ารู้ จักรพรรดิมารร้ายที่บิดด่านฝึกตนไปเมื่อเจ็ดสิบปีก่อนได้ออกจากด่านฝึกตนแล้ว เมื่อไม่นานมานี้ ครั้งหนึ่งข้าเคยพบเจอมันจากที่ไกลๆ ตอนนี้ความแข็งแกร่งของจักรพรรดิมารร้ายน่าจะอยู่ในระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์แล้ว”

 

“จักรพรรดิมารร้าย…”

บัณฑิตผู้นั้นถอนหายใจออกมา

 

เจ็ดสิบปีที่แล้ว จักรพรรดิมารร้ายได้กวาดล้างโลกด้วยความโหดเหี้ยม แม้แต่ผู้นําอาณาจักรต่างๆก็ยังต้องหวาดกลัว

 

แม้ว่ากองทัพของอาณาจักรต่างๆ จะสามารถเข้าปราบปรามได้ แต่สําหรับตัวตนที่แข็งแกร่งอย่างจักรพรรดิมารร้ายนั้นมันมีความยุ่งยากเป็นอย่างมาก ตราบใดที่จักรพรรดิมารร้ายระมัดระวังสักนิด กองทัพก็ไม่มีทางล้อมกรอบปราบปรามได้ และเมื่อใดที่ไปก่อกวนจักรพรรดิมารร้ายเข้า มันก็สามารถเปลี่ยนไปเป็นนักฆ่าที่แสนน่ากลัวที่สุดและลอบสังหารราชวงศ์ของอาณาจักรต่างๆในเวลานั้นได้

หากไม่ใช่เพราะในเวลาเดียวกัน มีจอมมารที่ทรงพลังแข็งแกร่งปรากฏตัวขึ้นในพรรคมาร เกิดเป็นการคานอํานาจกันกับจักรพรรดิมารร้าย เกรงว่าโลกนี้คงตกอยู่ในความวุ่นวายไปนานแล้ว

 

น่าเสียดายที่ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิมารร้ายหรือจอมมาร ไม่นานหลังจากนั้นพวกมันต่างปลีกตัวปิดด่านฝึกตนเพื่อไล่ตามไปยังขอบเขตที่สูงขึ้น

“คุณชาย เมื่อจักรพรรดิมารลงมือ เราจะรั้งรออยู่นี่เพื่อที่ขัดขวางใช่หรือไม่?”

“ขัดขวาง?”

 

“ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจักรพรรดิมารร้าย แม้อยากจะขัดขวางก็ขวางไม่ได้”

 

เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนส่ายศีรษะ

 

แม้เขาจะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด แต่อย่างไรเมื่อเทียบกับการดํารงอยู่ของระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์อย่างจักรพรรดิมารร้าย มันก็ยังด้อยกว่ามาก ทําได้มากสุดก็เพียงปกป้องดูแลตนเอง แต่การช่วยเหลือเฉียนขู่นั้นเป็นไปไม่ได้

 

“คุณชาย ถ้าจักรพรรดิมารร้ายสังหารเฉียนขู่ เขาไม่เกรงกลัววัดเส้าหลินเลยหรือ…” บัณฑิตด้านข้างอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา

เฉียนขู่หาใช่จะตัวคนเดียวไม่เบื้องหลังเขาคือวัดเส้าหลิน ในฐานะที่เป็นสุดยอดพรรคที่มีอรหันต์กําเนิดขึ้นมา ยุคนี้เป็นยุคที่วัดเส้าหลินเจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่าเฉียนขู่เป็นศิษย์ของอรหันต์รูปนั้นอีก………..

 

“วัดเส้าหลิน?”

 

เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนหัวเราะแล้วพูดว่า “จักรพรรดิมารร้ายมีอายุตั้งร้อยยี่สิบปีแล้วก่อนที่จะปิดด่านฝึกตน หลังจากผ่านไปเจ็ดสิบปี เขาก็อายุได้ร้อยเก้าสิบปี และอายุขัยก็ไม่น่าจะเกินกว่าสองร้อย

 

“เจ้าคิดว่าจักรพรรดิมารร้ายในเวลานี้ยังจะสนใจวัดเส้าหลินอยู่หรือไม่?”

 

เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนพูดออกมาเบาๆ

 

นี่เป็นเหตุผลที่เขาไม่เต็มใจจะลงมือหยุดจักรพรรดิมารร้าย

อายุขัยของจักรพรรดิมารร้ายในปัจจุบันงวดเข้ามาแล้ว มันก็แค่คนบ้าคนหนึ่ง ไม่ต้องพูดถึงความแข็งแกร่งของเขาที่ไม่ได้แกร่งเท่ากับจักรพรรดิมารร้าย แม้ว่าความแข็งแกร่งของเขาจะเท่ากัน หรือแข็งแกร่งกว่าจักรพรรดิมารร้ายสักเล็กน้อย เขาก็ไม่เต็มใจที่จะทําอะไรกับจักรพรรดิมารร้าย

“ดูเหมือนภิกษุเฉียนขู่ยากที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว” บัณฑิตเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก เฉียนขู่อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นสงฆ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาศิษย์รุ่นใหม่ของวัดเส้าหลิน มีศักยภาพไร้ที่สิ้นสุด และมีความเป็นไปได้ที่จะบรรลุถึงขอบเขตอรหันต์

อย่างไรก็ตาม ศักยภาพก็อยู่ส่วนของศักยภาพ ตอนนี้ยังเปราะบางเหลือเกิน ก่อนที่จะเปลี่ยนเข้าสู่ความแข็งแกร่ง

 

“จักรพรรดิมารร้ายกําลังจะลงมือแล้ว”

เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนมองออกไปนอกโรงเตี้ยม ใบหน้าของเขาดูครุ่นคิด จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ผันผวน เขาสามารถรับรู้ได้จางๆ ว่ามีไอพลังชั่วร้ายขนาดมหึมาที่ซ่อนเร้นอยู่ที่มุมหนึ่ง

 

มันคือจักรพรรดิมารร้าย

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ในทิศทางที่เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนมองไป ก็มีชายคนหนึ่งที่แววตา ลึกล้ํายืมเอามือไพล่หลังไว้อยู่

“วัดเส้าหลิน?”

“มรดกตกทอดของผู้ทรงสมณศักดิ์?”

ชายที่มีแววตาลึกล้ําผู้นี้คือจักรพรรดิมารร้าย และตอนนี้เขากําลังมองเฉียนขู่กําลังต่อสู้กับจอมยุทธฝ่ายอธรรมทั้งสี่อย่างเพลิดเพลิน

 

“ทั้งโลกคงคิดว่าเหตุผลที่ข้าลงมือเป็นเพราะยอดฝีมือฝ่ายอธรรมล้มตายกันทีละคนสองคน”

 

ความคิดของจักรพรรดิมารร้ายเปลี่ยนแปลงไปมา มีร่องรอยของการถากถางปรากฏบนใบหน้า “แต่สําหรับข้า วิถือธรรมคือสิ่งใด? แม้ว่าฝ่ายอธรรมจะโดนกําจัดจนสิ้น มันจะไปส่งผลอะไรกับข้าเล่า?”

ใบหน้าของจักรพรรดิมารร้ายเต็มไปด้วยความเย็นชา

“เฉียนขู่เป็นศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในพระรุ่นใหม่ของวัดเส้าหลิน และเข้าสู่ระดับยอดปรมาจารย์ตั้งแต่อายุน้อยกว่าห้าสิบปี”

 

“มันจะต้องมีมรดกของผู้ทรงสมณศักดิ์อยู่กับตัวแน่”

จักรพรรดิมารร้ายเลียริมฝีปาก แล้วพึมพําอยู่กับตนเอง “หากข้าสังหารเฉียนขู่และนํามรดกของผู้ทรงสมณศักดิ์ไปได้ บางทีข้าอาจจะพัฒนาระดับขึ้นไปได้อีก”

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ จิตวิญญาณของจักรพรรดิมารร้ายก็สั่นไหว

มันไม่ใช่พุทธศาสนิกชน แม้จะเป็นมรดกตกทอดจากผู้ทรงสมณศักดิ์มันก็อาจจะไม่เข้าใจ เพียงแต่ก็ดีกว่ามันหาวิธีด้วยตัวเองคนเดียว

 

นอกจากนี้แม้ว่าเฉียนขู่จะไม่มีมรดกตกทอดจากผู้ทรงสมณศักดิ์ จักรพรรดิมารร้ายก็จะทําเช่นเดิม เป็นการจงใจบังคับให้วัดเส้าห ลินต้องใช้มรดกออกมา คงจะเป็นการดีที่สุดหากนําเอามรดกที่ผู้ ทรงสมศักดิ์ทิ้งไว้ออกมาตามล่าเขา

“มรดกที่ผู้ทรงสมณศักดิ์ทิ้งไว้นั้นบรรจุรัศมีจิตของผู้ทรงสมณศักดิ์เอาไว้ สามารถแสดงพลังบางส่วนของผู้ทรงสมณศักดิ์ออกมาได้”

 

“หากข้าต้องเผชิญหน้ากับผู้ทรงสมณศักดิ์ ข้าต้องตายอย่างไม่มีข้อสงสัย แต่นี่เป็นเพียงมรดกที่ถูกทิ้งไว้เท่านั้น ภายใต้พลังกดขี่ที่ถึงแก่ชีวิตความเป็นความตาย ข้าอาจจะสามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตใหม่”

ความคิดของจักรพรรดิมารร้ายผันผวน ครุ่นคิดหลายสิงอยู่ภายในใจอย่างรวดเร็ว

 

เขามีอายุขัยเหลือน้อย และจะจากไปด้วยวัยชราภายในไม่เกินสองถึงสามปี ดังนั้นจึงมีเพียงต้องเสี่ยงเคลื่อนไหวในครั้งนี้ แม้จะอันตรายอย่างมากก็ตาม

“ตราบใดที่ข้าก้าวหน้าต่อไปได้ ต่อให้เป็นการฉีกหน้าวัดเส้าหลินข้าก็ทํา แม้ผู้ทรงสมณศักดิ์กลับมาจากต่างดินแดน มันจะสามารถทําอะไรข้าได้?”

ความบ้าคลั่งปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจักรพรรดิมารร้าย

 

ความจริงแล้วไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใด ก็เป็นเรื่องโง่เขลาอย่างยิ่งที่จะยั่วยุกองกําลังที่มีอรหันต์กําเนิดขึ้น

แต่จักรพรรดิมารร้ายไม่มีทางเลือก ถ้าเขายังลากถ่วงตัวเองอยู่ต่อไป เขาจะต้องตายด้วยวัยชรา แทนที่จะเฝ้ามองร่างตนเองทรุดโทรม เขาควรจะต่อสู้ หากล้มเหลวก็แค่ตาย แต่ถ้าเขาทําสําเร็จ จักรพรรดิมารร้ายก็เหมือนกับจะได้ชีวิตใหม่

 

“น่าเสียดาย

 

“ศักยภาพของเจ้าแข็งแกร่งกว่าข้ามาก”

 

“ถ้าเจ้าค่อยเป็นค่อยไป เดินไปทีละขั้น เจ้าสามารถเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ได้ก่อนอายุร้อยห้าสิบปีอย่างแน่นอน และมีเวลามากพอที่จะไต่ขึ้นไปยังขอบเขตที่สูงขึ้น”

จักรพรรดิมารร้ายมองเฉียนขู่จากระยะไกลด้วยใบหน้าที่โหดเหี้ยม “แต่น่าเสียดายที่เจ้าจะต้องมาเจอกับข้า”

“เพื่อความก้าวหน้าของข้า เจ้าจําเป็นต้องตาย”

จักรพรรดิมารร้ายก้าวเดินไปอย่างเชื่องช้า เตรียมพร้อมที่จะสังหารเฉียนขู่” จากนั้นเขาก็จะค้นหามรดกของผู้ทรงสมณศักดิ์จากคู่ต่อสู้

 

อย่างไรก็ตาม

 

เมื่อจักรพรรดิมารร้ายกําลังจะเคลื่อนไหว

 

บรรยากาศก็ผันผวน โลกเริ่มบิดเบี้ยว จักรพรรดิมารร้ายรู้สึกเพียงว่าทุกสิ่งรอบตัวเขาเหมือนกับหยุดนิ่ง

 

จักรพรรดิมารร้ายไม่ทันได้ตอบสนองอะไร รู้ตัวอีกทีก็พบว่าตนเข้ามาภายในโรงเตี้ยมแล้ว

 

“นี่คือ?”

 

จักรพรรดิมารร้ายเบิกตากว้าง มีพายุพัดโหมกระหน่ําอยู่ภายใน

เขาเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่รู้ตัว และเห็นชายที่ดูสงบนิ่งอยู่ไม่ไกล และด้านข้างของชายคนนั้นมีเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่งดงามราวกับหยกสลัก กําลังจ้องมองเขาด้วยความประหลาดใจ

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+