เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 251 (l) ดับชีวิต

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 251 (l) ดับชีวิต at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm]

Sign in Buddha’s palm 251 (1) ดับชีวิต

 

อํานาจของบรรพบุรุษชีหยวนเป็นที่รู้กันดีในยุคสมัยนั้น ไม่เพียงแต่จะเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เก้าเท่านั้น แต่ยังควบแน่นอาณาเขตได้อีกด้วย มีอํานาจท่วมท้นในต่างดินแดน

พันกว่าปีที่แล้ว แม้จะเป็นนิกายใหญ่ห้าอันดับแรก ก็ไม่เต็มใจหาเรื่องดึงดูดความสนใจของบรรพบุรุษชีหยวนผู้โด่งดังแน่

ถ้าไม่ใช่เพราะข้อบกพร่องในวิชาบ่มเพาะของนิกายเฮยหยวน ซึ่งทําให้ไม่อาจเปลี่ยนจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ให้กลายเป็นจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ บรรพบุรุษชีหยวนอาจจะกลายเป็นเซียนเทพปฐพีไปแล้ว

 

ซึ่งในทางกลับกันแน่นอนว่าถ้าไม่ใช่เพราะวิชาบ่มเพาะของนิกายเฮยหยวนที่เป็นวิถีมาร ทําให้ความรวดเร็วในการบ่มเพาะนั้นคืบหน้าเร็วมากทั้งยังไม่มีคอขวด ไม่เช่นนั้นบรรพบุรุษชีหยวนก็คงไม่มาถึงระดับนี้ได้

 

แต่อย่างไรเสีย ความแข็งแกร่งของบรรพบุรุษชีหยวนนั้นนับเป็นที่สุดอย่างแน่นอนในระดับที่ต่ํากว่าเซียนเทพปฐพี ด้วยพลังของอาณาเขตควบคู่กับทักษะแปลกๆของนิกายเฮยหยวนก็เพียงพอจะอยู่เหนือตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เก้า…

 

แต่ตอนนี้ บรรพบุรุษชีหยวนซึ่งเปรียบเสมือนเทพเจ้าในสายตาของชายผมหงอกและตํานานยุทธจากต่างดินแดน กลับถูกเฉือนตัดอาณาเขตเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยคมมีด ไอพลังก็ยังลดลงอีกด้วย

“เมื่อครู่มันเกิดอะไรขึ้น?”

 

รูม่านตาของชายผมหงอกหดตัวลงกะทันหัน และตํานานยุทธคนอื่นๆที่อยู่ตรงนั้นก็สะเทือนใจยิ่งกว่า ต่อหน้าคมมีดที่ตัดผ่าอาณาเขตแห่งความมืด พวกเขาแทบจะล้มลงนั่งกับพื้นด้วยความตกใจ

ในขณะที่ทุกคนกําลังตกใจอยู่นั้น

ด้านในเมืองฉางอัน ไอพลังหลายจุดก็พุ่งออกมาอย่างเต็มที่ ท่ามกลางสายตาที่จ้องมองอย่างเหลือเชื่อของชายผมหงอกและคนอื่นๆ รัศมีพลังสี่ดวงก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า และหยุดอยู่ที่ระดับความสูงหนึ่งพันเมตรเหนือเมืองฉางอัน

 

“นั่นคือบรรพบุรุษชีหยวนงั้นหรือ?”

 

ชายผมหงอกเงยหน้าขึ้น เพ่งสายตาไปเห็นร่างสี่ร่างยืนอยู่ที่ระดับความสูงพันเมตรเหนือพื้นดิน และหนึ่งในนั้นคือบรรพบุรุษชีหยวน

ในขณะนี้บรรพบุรุษชีหยวนรู้สึกอับอายอย่างยิ่ง พลังผันผวนแปรปรวน แม้จะยังคงยืนอยู่บนอากาศ แต่ไอพลังเริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัด

ฝั่งตรงข้ามที่เผชิญหน้าอยู่กับบรรพบุรุษชีหยวนเป็นชายหนุ่มผู้หนึ่งที่มีปราณชีวิตยืนยาว แม้ว่าชายผมหงอกจะไม่เคยเห็นบุคคลผู้นี้มาก่อน แต่เขาก็เดาได้ว่าชายหนุ่มคนนี้คือตํานานยุทธเมืองฉางอัน บุคคลผู้แข็งแกร่งที่ทําลายอาณาเขตของบรรพบุรุษชีหยวน

“สามารถปราบปรามบรรพบุรุษชีหยวนได้ เกรงว่าเขาคงจะควบแน่นอาณาเขตได้แล้วเหมือนกัน..”

 

ชายผมหงอกยืนอยู่กับที่ มองขึ้นไปเห็นร่างของซูฉิน ท่าทางของเขาเหม่อลอย

ทุกวันนี้ยุทธภพในต่างแดนนั้นไม่ต้องกล่าวผู้ที่สามารถควบแน่นอาณาเขตได้ แค่ตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ดก็แทบจะไม่มีอยู่แล้ว ยกเว้นก็แต่บรรพบุรุษที่หลับใหลในนิกายใหญ่ ส่วนตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่ยังคงมีพลังชีวิตเหลืออยู่อีกเยอะนั้นมีไม่มากนัก

“ไม่เลว”

“สามารถทานทนต่อคมมีดของข้าได้และยังไม่ตกตายไป?”

ซูฉินถือคมมีดเทพเจ้าปีศาจไว้ในมือ มองไปที่บรรพบุรุษชีหยวนด้วยความสนใจ จากนั้นจึงพูดออกมาอย่างแผ่วเบา

 

แม้ว่าชิงชิวชิงหลิงและมังกรปีศาจในวิหารการสงครามจะสามารถป้องกันคมมีดเทพเจ้าปีศาจได้ แต่พวกมันก็ต้องพึ่งพาร่างกายอันทรงพลังของเผ่าพันธุ์สัตว์อสูร

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มังกรปีศาจนั้นลําตัวยาวหลายร้อยเมตร และคมมีดเทพเจ้าปีศาจนั้นยาวเพียงไม่กี่เมตรเท่านั้น เชือดเฉือนคู่ต่อสู้ไป แม้ว่าจะทําให้ได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ไม่ได้ทําร้ายไปถึงแก่นชีวิต

แต่บรรพบุรุษชีหยวนนั้นต่างออกไป

บรรพบุรุษชีหยวนนั้นเป็นเผ่ามนุษย์ เลือดเนื้อและพลังชีวิตของเขาก็ลดลงมากแล้ว อาศัยทักษะลับเฉพาะตัวจึงรอดมาได้จนป่านนี้ เขาสามารถสกัดกั้นใบมีดของคมมีดเทพเจ้าปีศาจได้ ทําให้ซุฉินต้องมองเขาด้วยความชื่นชม

 

“แข็งแกร่งนัก…”

ท่าทีของบรรพบุรุษชีหยวนดูสั่นไหว มีดของซูฉินที่ตวัดออกไป เมื่อครู่ได้ทุบทําลายอาณาเขตของเขาตรงๆ และเมื่อเจตจํานงจากมีดกระจัดกระจายออก อํานาจของอาณาเขตก็ย้อนกลับกระแทกเข้าหาตัวเขาเอง

ถ้าไม่ใช่เพราะทักษะร่างปีศาจลวงของบรรพบุรุษชีหยวนที่ทําให้สามารถเปลี่ยนแปลงระหว่างร่างลวงตาและความเป็นจริง เกรงว่ามีดในมือซูฉินคงสังหารเขาจนสิ้นใจไปแล้ว

 

บรรพบุรุษชีหยวนได้ต่อสู้กับซูฉินด้วยความรวดเร็ว และในตอนนี้เมื่อพวกเขาขึ้นมายืนอยู่เหนือพื้นดินกว่าพันเมตร ทําให้ผู้คนในเมืองฉางอันตกใจเป็นธรรมดา

 

“นั่นคืออะไร?”

 

“ พ่อครับ มีคนลอยอยู่บนฟ้า!”

“จะไปมีใครลอยอยู่บนฟ้า? นี่เจ้าไปฝึกวิชามาแล้วโง่ลงรึเปล่า?”

 

ผู้คนมากมายในเมืองฉางอันแหงนหน้าขึ้นมองบนฟ้า คนส่วนใหญ่นั้นเป็นคนธรรมดา ปกติแล้วพวกเขาไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่เหนือพื้นดินกว่าพันเมตรได้ แต่อย่างน้อยก็สามารถเห็นได้รางๆ ว่ามีจุดสีดําสี่จุดตั้งอยู่ตรงนั้น มีเสียงลมพัดหวีดหวิวไปมา แต่ทั้งสี่จุดยังคงยืนนิ่ง

 

“พี่สามลงมือ?”

ภายในวังหลวง จักรพรรดิถังรีบไปที่กําแพงเมือง แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เห็นจุดสีดําสี่จุดรางๆ

 

“ใครกันที่กําลังต่อสู้กับพี่สาม?” จักรพรรดิถังอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

“ฝ่าบาท นั่นคือบรรพบุรุษชีหยวนแห่งนิกายเฮยหยวน ส่วนอีกสองคนเป็นบรรพชนของพรรคหมื่นดาบและตําหนักเทพเจ้า มะ….”

 

ใบหน้าของนักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถีเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นใบหน้าตกตะลึงเหลือเชื่อ

เมื่อซูฉินสังหารผู้อาวุโสตําหนักเทพเจ้าหิมะและรองหัวหน้านิกายเฮยหยวนบนเกาะหยิงโจว นักพรตเฒ่าก็คาดเดาเอาไว้แล้วว่านิกายใหญ่เหล่านั้นจะยังไม่ยอมแพ้

โดยเฉพาะในตอนนี้ที่นักพรตเฒ่าได้อยู่ในเมืองฉางอันมาระยะหนึ่ง เขาก็ตระหนักได้ถึงประโยชน์อันยิ่งใหญ่ในการบ่มเพาะภายในแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ เขายิ่งเชื่อมั่นมากขึ้นเรื่อยๆ ว่านิกายเฮยหยวนและนิกายใหญ่อื่นๆจะต้องส่งคนออกมาอีก

 

แต่สิ่งที่นักพรตเฒ่าไม่คาดฝันคือ ทั้งพรรคหมื่นดาบและตําหนักเทพเจ้าหิมะก็ได้ปลุกบรรพชนของเขาขึ้นมาด้วย

 

โดยเฉพาะนิกายเฮยหยวนที่ถึงกับปลุกบรรพบุรุษชีหยวนผู้ชั่วร้ายที่เคยอาละวาดไปทั่วจนไม่มีใครในต่างแดนหยุดได้เมื่อพันกว่าปีก่อนขึ้นมา

นักพรตเฒ่าดูซีดเซียว ตัวสั่นไปทั้งตัว

หากเป็นเพียงบรรพชนตําหนักเทพเจ้าหิมะหรือพรรคหมื่นดาบ เขาก็ยังพอมีความมั่นใจในตัวซูฉินอยู่ ท้ายที่สุดแล้วซูฉินก็ควบแน่นอาณาเขตได้ การจะจัดการกับตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่ยังไม่ได้ควบแน่นอาณาเขตก็คงไม่ได้ลําบากเท่าไหร่กระมัง?

แต่การปรากฏตัวของบรรพบุรุษชีหยวนทําให้นักพรตเฒ่าขนหัวลุก ซูฉินนั้นควบแน่นอาณาเขตได้จริง แต่บรรพบุรุษชีหยวนก็ควบแน่นอาณาเขตได้เช่นเดียวกัน ซึ่งตามศักดิ์ศรีแล้วบรรพบุรุษชีหยวนเกิดก่อนซูฉินเป็นพันปี หากซูฉินต้องเผชิญหน้ากับคนผู้ นี้ก็คงจะยากสักหน่อย ไหนจะยังมีบรรพชนอีกสองคนอยู่เคียงข้างด้วย……

นักพรตเฒ่าเริ่มคิดแล้วว่าเขาจะนําจักรพรรดิถังและสมาชิกตระกูลซูหนีออกจากเมืองฉางอันเงียบๆ เพื่อหลีกเลี่ยงภัยพิบัติได้อย่างไรดี

สําหรับผู้คนนับล้านภายในเมืองฉางอัน นักพรตเฒ่าก็ทําได้เพียงกล่าวคําขอโทษ ด้วยความแข็งแกร่งของเขานั้นจํากัดอยู่แค่สามารถช่วยจักรพรรดิถังและครอบครัวตระกูลซูได้เท่านั้น เขาจะมีปัญญาอะไรไปช่วยคนนับล้าน?

 

“คนพวกนี้แข็งแกร่งหรือไม่?”

เมื่อเห็นใบหน้าของนักพรตเฒ่าดูบิดเบี้ยวน่าเกลียด จักรพรรดิถังจึงถามด้วยเสียงต่ํา

 

“แข็งแกร่งหรือไม่?” นักพรตเฒ่าถอนหายใจเบาๆ ไม่ต้องกล่าวถึงบรรพบุรุษชีหยวนซึ่งเป็นสัตว์ประหลาดดุร้ายไร้เทียมทานในยุทธภพ แค่บรรพบุรุษเฉวซินแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะเพียงคนเดียวก็อยู่เหนือสิ่งมีชีวิตทั้งมวลแล้ว

หากไม่มีซูฉินคอยปกปักคุ้มครอง ต่อให้อาณาจักรถังจะเล่นแง่มากแค่ไหนก็ไม่สามารถหยุดตัวตนทรงอํานาจระดับนี้ได้

หร่วนชิงและเหยียนไห่เองก็หน้าซีดเซียว พวกเขาก็รู้เรื่องราวของบรรพชนจากนิกายใหญ่ แม้จะไม่ได้รู้เรื่องราวมากมายเท่ากับนักพรตเฒ่า แต่ก็รับรู้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของบรรพชนเหล่านี้ดี

ทําไมนิกายใหญ่ในต่างแดนจึงสามารถเข้าครอบครองทรัพยากรบ่มเพาะมากมายในดินแดนโพ้นทะเลได้ตามอําเภอใจ? ก็อาศัยการมีอยู่ของบรรพชนเหล่านี้ภายในนิกายมิใช่หรือ?

“ฝ่าบาท รีบรวบรวมคนสําคัญทั้งหมดมาที่นี่ เราต้องรีบหนีออกจากเมืองฉางอันโดยเร็วที่สุด” นักพรตเฒ่ากล่าวออกมาทันทีด้วยท่าทีเคร่งเครียด

 

“ออกจากเมืองฉางอัน?” สีหน้าของจักรพรรดิถังเปลี่ยนไป

 

ที่นักพรตเฒ่าพูดออกมาก่อนหน้าเขาฟังได้ไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก แต่ประโยคเมื่อครู่นี้ทําให้จักรพรรดิถังตระหนักได้ถึงความจริงจังของเรื่องราวที่เกิดขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม

ในตอนนั้นเอง

ฟูมมม….

บนท้องฟ้าเหนือพื้นดินกว่าพันเมตร บรรพบุรุษชีหยวนก็เริ่มเคลื่อนไหว เขายกมือขวาที่ผอมบางขึ้นมา มันเต็มไปด้วยพลังงานสีดําที่น่าสะพรึงกลัวไหลหลากออกมา พุ่งเข้าหาซูฉิน

ทันใดนั้นอากาศโดยรอบก็กระจายตัวออก เห็นเพียงนิ้วของบรรพบุรุษชีหยวนที่ค่อยๆกดลงช้าๆ

“มันจบแล้ว”

“มันจบสิ้นแล้ว”

 

เมื่อนักพรตเฒ่าเห็นฉากนี้ มือและเท้าของเขาก็เย็นเยียบ

 

ตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่ควบแน่นอาณาเขตได้ถึงสองคนต่อสู้กัน แม้ว่าจะเป็นในต่างดินแดน เหตุการณ์เช่นนี้ก็ยังหาได้ยากยิ่ง หลายร้อยปีอาจจะมีสักครั้ง สําหรับขุมพลังระดับนี้ด้วยการต่อสู้น้ํานั่นเต็มรูปแบบ เพียงแค่การปะทะกันของอาณาเขตก็อาจเปลี่ยนพื้นที่หลายสิบล้ําให้กลายเป็นดินแดนแห่งความตายได้เลย

 

หากเป็นช่วงก่อนที่บรรพบุรุษชีหยวนและซูฉินจะต่อสู้กัน นักพรตเฒ่าค่อนข้างมั่นใจว่าจะพาจักรพรรดิถังและตระกูลซูฉินออกจากเมืองฉางอันเพื่อหลีกเลี่ยงภัยพิบัติได้ แต่ในตอนที่การต่อสู้เริ่มรุนแรงขึ้นแล้ว นับประสาอะไรกับการที่นักพรตเฒ่าจะพาผู้คนออกไปด้วย แค่การรักษาตนเองให้รอดไปได้ก็เป็นปัญหายิ่งแล้ว

 

และในครั้งนี้

ท่ามกลางสายตาของผู้คนนับไม่ถ้วน แววดูถูกก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

“ถ้าเจ้ามีกําลังวังชาเต็มเปี่ยม มีความแข็งแกร่งเหมือนตอนอยู่ในยุครุ่งเรือง ข้าก็พอจะสนใจอยู่ ทว่าตอนนี้…”

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 251 (l) ดับชีวิต

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 251 (l) ดับชีวิต at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm]

Sign in Buddha’s palm 251 (1) ดับชีวิต

 

อํานาจของบรรพบุรุษชีหยวนเป็นที่รู้กันดีในยุคสมัยนั้น ไม่เพียงแต่จะเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เก้าเท่านั้น แต่ยังควบแน่นอาณาเขตได้อีกด้วย มีอํานาจท่วมท้นในต่างดินแดน

พันกว่าปีที่แล้ว แม้จะเป็นนิกายใหญ่ห้าอันดับแรก ก็ไม่เต็มใจหาเรื่องดึงดูดความสนใจของบรรพบุรุษชีหยวนผู้โด่งดังแน่

ถ้าไม่ใช่เพราะข้อบกพร่องในวิชาบ่มเพาะของนิกายเฮยหยวน ซึ่งทําให้ไม่อาจเปลี่ยนจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ให้กลายเป็นจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ บรรพบุรุษชีหยวนอาจจะกลายเป็นเซียนเทพปฐพีไปแล้ว

 

ซึ่งในทางกลับกันแน่นอนว่าถ้าไม่ใช่เพราะวิชาบ่มเพาะของนิกายเฮยหยวนที่เป็นวิถีมาร ทําให้ความรวดเร็วในการบ่มเพาะนั้นคืบหน้าเร็วมากทั้งยังไม่มีคอขวด ไม่เช่นนั้นบรรพบุรุษชีหยวนก็คงไม่มาถึงระดับนี้ได้

 

แต่อย่างไรเสีย ความแข็งแกร่งของบรรพบุรุษชีหยวนนั้นนับเป็นที่สุดอย่างแน่นอนในระดับที่ต่ํากว่าเซียนเทพปฐพี ด้วยพลังของอาณาเขตควบคู่กับทักษะแปลกๆของนิกายเฮยหยวนก็เพียงพอจะอยู่เหนือตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เก้า…

 

แต่ตอนนี้ บรรพบุรุษชีหยวนซึ่งเปรียบเสมือนเทพเจ้าในสายตาของชายผมหงอกและตํานานยุทธจากต่างดินแดน กลับถูกเฉือนตัดอาณาเขตเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยคมมีด ไอพลังก็ยังลดลงอีกด้วย

“เมื่อครู่มันเกิดอะไรขึ้น?”

 

รูม่านตาของชายผมหงอกหดตัวลงกะทันหัน และตํานานยุทธคนอื่นๆที่อยู่ตรงนั้นก็สะเทือนใจยิ่งกว่า ต่อหน้าคมมีดที่ตัดผ่าอาณาเขตแห่งความมืด พวกเขาแทบจะล้มลงนั่งกับพื้นด้วยความตกใจ

ในขณะที่ทุกคนกําลังตกใจอยู่นั้น

ด้านในเมืองฉางอัน ไอพลังหลายจุดก็พุ่งออกมาอย่างเต็มที่ ท่ามกลางสายตาที่จ้องมองอย่างเหลือเชื่อของชายผมหงอกและคนอื่นๆ รัศมีพลังสี่ดวงก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า และหยุดอยู่ที่ระดับความสูงหนึ่งพันเมตรเหนือเมืองฉางอัน

 

“นั่นคือบรรพบุรุษชีหยวนงั้นหรือ?”

 

ชายผมหงอกเงยหน้าขึ้น เพ่งสายตาไปเห็นร่างสี่ร่างยืนอยู่ที่ระดับความสูงพันเมตรเหนือพื้นดิน และหนึ่งในนั้นคือบรรพบุรุษชีหยวน

ในขณะนี้บรรพบุรุษชีหยวนรู้สึกอับอายอย่างยิ่ง พลังผันผวนแปรปรวน แม้จะยังคงยืนอยู่บนอากาศ แต่ไอพลังเริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัด

ฝั่งตรงข้ามที่เผชิญหน้าอยู่กับบรรพบุรุษชีหยวนเป็นชายหนุ่มผู้หนึ่งที่มีปราณชีวิตยืนยาว แม้ว่าชายผมหงอกจะไม่เคยเห็นบุคคลผู้นี้มาก่อน แต่เขาก็เดาได้ว่าชายหนุ่มคนนี้คือตํานานยุทธเมืองฉางอัน บุคคลผู้แข็งแกร่งที่ทําลายอาณาเขตของบรรพบุรุษชีหยวน

“สามารถปราบปรามบรรพบุรุษชีหยวนได้ เกรงว่าเขาคงจะควบแน่นอาณาเขตได้แล้วเหมือนกัน..”

 

ชายผมหงอกยืนอยู่กับที่ มองขึ้นไปเห็นร่างของซูฉิน ท่าทางของเขาเหม่อลอย

ทุกวันนี้ยุทธภพในต่างแดนนั้นไม่ต้องกล่าวผู้ที่สามารถควบแน่นอาณาเขตได้ แค่ตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ดก็แทบจะไม่มีอยู่แล้ว ยกเว้นก็แต่บรรพบุรุษที่หลับใหลในนิกายใหญ่ ส่วนตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่ยังคงมีพลังชีวิตเหลืออยู่อีกเยอะนั้นมีไม่มากนัก

“ไม่เลว”

“สามารถทานทนต่อคมมีดของข้าได้และยังไม่ตกตายไป?”

ซูฉินถือคมมีดเทพเจ้าปีศาจไว้ในมือ มองไปที่บรรพบุรุษชีหยวนด้วยความสนใจ จากนั้นจึงพูดออกมาอย่างแผ่วเบา

 

แม้ว่าชิงชิวชิงหลิงและมังกรปีศาจในวิหารการสงครามจะสามารถป้องกันคมมีดเทพเจ้าปีศาจได้ แต่พวกมันก็ต้องพึ่งพาร่างกายอันทรงพลังของเผ่าพันธุ์สัตว์อสูร

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มังกรปีศาจนั้นลําตัวยาวหลายร้อยเมตร และคมมีดเทพเจ้าปีศาจนั้นยาวเพียงไม่กี่เมตรเท่านั้น เชือดเฉือนคู่ต่อสู้ไป แม้ว่าจะทําให้ได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ไม่ได้ทําร้ายไปถึงแก่นชีวิต

แต่บรรพบุรุษชีหยวนนั้นต่างออกไป

บรรพบุรุษชีหยวนนั้นเป็นเผ่ามนุษย์ เลือดเนื้อและพลังชีวิตของเขาก็ลดลงมากแล้ว อาศัยทักษะลับเฉพาะตัวจึงรอดมาได้จนป่านนี้ เขาสามารถสกัดกั้นใบมีดของคมมีดเทพเจ้าปีศาจได้ ทําให้ซุฉินต้องมองเขาด้วยความชื่นชม

 

“แข็งแกร่งนัก…”

ท่าทีของบรรพบุรุษชีหยวนดูสั่นไหว มีดของซูฉินที่ตวัดออกไป เมื่อครู่ได้ทุบทําลายอาณาเขตของเขาตรงๆ และเมื่อเจตจํานงจากมีดกระจัดกระจายออก อํานาจของอาณาเขตก็ย้อนกลับกระแทกเข้าหาตัวเขาเอง

ถ้าไม่ใช่เพราะทักษะร่างปีศาจลวงของบรรพบุรุษชีหยวนที่ทําให้สามารถเปลี่ยนแปลงระหว่างร่างลวงตาและความเป็นจริง เกรงว่ามีดในมือซูฉินคงสังหารเขาจนสิ้นใจไปแล้ว

 

บรรพบุรุษชีหยวนได้ต่อสู้กับซูฉินด้วยความรวดเร็ว และในตอนนี้เมื่อพวกเขาขึ้นมายืนอยู่เหนือพื้นดินกว่าพันเมตร ทําให้ผู้คนในเมืองฉางอันตกใจเป็นธรรมดา

 

“นั่นคืออะไร?”

 

“ พ่อครับ มีคนลอยอยู่บนฟ้า!”

“จะไปมีใครลอยอยู่บนฟ้า? นี่เจ้าไปฝึกวิชามาแล้วโง่ลงรึเปล่า?”

 

ผู้คนมากมายในเมืองฉางอันแหงนหน้าขึ้นมองบนฟ้า คนส่วนใหญ่นั้นเป็นคนธรรมดา ปกติแล้วพวกเขาไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่เหนือพื้นดินกว่าพันเมตรได้ แต่อย่างน้อยก็สามารถเห็นได้รางๆ ว่ามีจุดสีดําสี่จุดตั้งอยู่ตรงนั้น มีเสียงลมพัดหวีดหวิวไปมา แต่ทั้งสี่จุดยังคงยืนนิ่ง

 

“พี่สามลงมือ?”

ภายในวังหลวง จักรพรรดิถังรีบไปที่กําแพงเมือง แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เห็นจุดสีดําสี่จุดรางๆ

 

“ใครกันที่กําลังต่อสู้กับพี่สาม?” จักรพรรดิถังอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

“ฝ่าบาท นั่นคือบรรพบุรุษชีหยวนแห่งนิกายเฮยหยวน ส่วนอีกสองคนเป็นบรรพชนของพรรคหมื่นดาบและตําหนักเทพเจ้า มะ….”

 

ใบหน้าของนักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถีเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นใบหน้าตกตะลึงเหลือเชื่อ

เมื่อซูฉินสังหารผู้อาวุโสตําหนักเทพเจ้าหิมะและรองหัวหน้านิกายเฮยหยวนบนเกาะหยิงโจว นักพรตเฒ่าก็คาดเดาเอาไว้แล้วว่านิกายใหญ่เหล่านั้นจะยังไม่ยอมแพ้

โดยเฉพาะในตอนนี้ที่นักพรตเฒ่าได้อยู่ในเมืองฉางอันมาระยะหนึ่ง เขาก็ตระหนักได้ถึงประโยชน์อันยิ่งใหญ่ในการบ่มเพาะภายในแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ เขายิ่งเชื่อมั่นมากขึ้นเรื่อยๆ ว่านิกายเฮยหยวนและนิกายใหญ่อื่นๆจะต้องส่งคนออกมาอีก

 

แต่สิ่งที่นักพรตเฒ่าไม่คาดฝันคือ ทั้งพรรคหมื่นดาบและตําหนักเทพเจ้าหิมะก็ได้ปลุกบรรพชนของเขาขึ้นมาด้วย

 

โดยเฉพาะนิกายเฮยหยวนที่ถึงกับปลุกบรรพบุรุษชีหยวนผู้ชั่วร้ายที่เคยอาละวาดไปทั่วจนไม่มีใครในต่างแดนหยุดได้เมื่อพันกว่าปีก่อนขึ้นมา

นักพรตเฒ่าดูซีดเซียว ตัวสั่นไปทั้งตัว

หากเป็นเพียงบรรพชนตําหนักเทพเจ้าหิมะหรือพรรคหมื่นดาบ เขาก็ยังพอมีความมั่นใจในตัวซูฉินอยู่ ท้ายที่สุดแล้วซูฉินก็ควบแน่นอาณาเขตได้ การจะจัดการกับตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่ยังไม่ได้ควบแน่นอาณาเขตก็คงไม่ได้ลําบากเท่าไหร่กระมัง?

แต่การปรากฏตัวของบรรพบุรุษชีหยวนทําให้นักพรตเฒ่าขนหัวลุก ซูฉินนั้นควบแน่นอาณาเขตได้จริง แต่บรรพบุรุษชีหยวนก็ควบแน่นอาณาเขตได้เช่นเดียวกัน ซึ่งตามศักดิ์ศรีแล้วบรรพบุรุษชีหยวนเกิดก่อนซูฉินเป็นพันปี หากซูฉินต้องเผชิญหน้ากับคนผู้ นี้ก็คงจะยากสักหน่อย ไหนจะยังมีบรรพชนอีกสองคนอยู่เคียงข้างด้วย……

นักพรตเฒ่าเริ่มคิดแล้วว่าเขาจะนําจักรพรรดิถังและสมาชิกตระกูลซูหนีออกจากเมืองฉางอันเงียบๆ เพื่อหลีกเลี่ยงภัยพิบัติได้อย่างไรดี

สําหรับผู้คนนับล้านภายในเมืองฉางอัน นักพรตเฒ่าก็ทําได้เพียงกล่าวคําขอโทษ ด้วยความแข็งแกร่งของเขานั้นจํากัดอยู่แค่สามารถช่วยจักรพรรดิถังและครอบครัวตระกูลซูได้เท่านั้น เขาจะมีปัญญาอะไรไปช่วยคนนับล้าน?

 

“คนพวกนี้แข็งแกร่งหรือไม่?”

เมื่อเห็นใบหน้าของนักพรตเฒ่าดูบิดเบี้ยวน่าเกลียด จักรพรรดิถังจึงถามด้วยเสียงต่ํา

 

“แข็งแกร่งหรือไม่?” นักพรตเฒ่าถอนหายใจเบาๆ ไม่ต้องกล่าวถึงบรรพบุรุษชีหยวนซึ่งเป็นสัตว์ประหลาดดุร้ายไร้เทียมทานในยุทธภพ แค่บรรพบุรุษเฉวซินแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะเพียงคนเดียวก็อยู่เหนือสิ่งมีชีวิตทั้งมวลแล้ว

หากไม่มีซูฉินคอยปกปักคุ้มครอง ต่อให้อาณาจักรถังจะเล่นแง่มากแค่ไหนก็ไม่สามารถหยุดตัวตนทรงอํานาจระดับนี้ได้

หร่วนชิงและเหยียนไห่เองก็หน้าซีดเซียว พวกเขาก็รู้เรื่องราวของบรรพชนจากนิกายใหญ่ แม้จะไม่ได้รู้เรื่องราวมากมายเท่ากับนักพรตเฒ่า แต่ก็รับรู้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของบรรพชนเหล่านี้ดี

ทําไมนิกายใหญ่ในต่างแดนจึงสามารถเข้าครอบครองทรัพยากรบ่มเพาะมากมายในดินแดนโพ้นทะเลได้ตามอําเภอใจ? ก็อาศัยการมีอยู่ของบรรพชนเหล่านี้ภายในนิกายมิใช่หรือ?

“ฝ่าบาท รีบรวบรวมคนสําคัญทั้งหมดมาที่นี่ เราต้องรีบหนีออกจากเมืองฉางอันโดยเร็วที่สุด” นักพรตเฒ่ากล่าวออกมาทันทีด้วยท่าทีเคร่งเครียด

 

“ออกจากเมืองฉางอัน?” สีหน้าของจักรพรรดิถังเปลี่ยนไป

 

ที่นักพรตเฒ่าพูดออกมาก่อนหน้าเขาฟังได้ไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก แต่ประโยคเมื่อครู่นี้ทําให้จักรพรรดิถังตระหนักได้ถึงความจริงจังของเรื่องราวที่เกิดขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม

ในตอนนั้นเอง

ฟูมมม….

บนท้องฟ้าเหนือพื้นดินกว่าพันเมตร บรรพบุรุษชีหยวนก็เริ่มเคลื่อนไหว เขายกมือขวาที่ผอมบางขึ้นมา มันเต็มไปด้วยพลังงานสีดําที่น่าสะพรึงกลัวไหลหลากออกมา พุ่งเข้าหาซูฉิน

ทันใดนั้นอากาศโดยรอบก็กระจายตัวออก เห็นเพียงนิ้วของบรรพบุรุษชีหยวนที่ค่อยๆกดลงช้าๆ

“มันจบแล้ว”

“มันจบสิ้นแล้ว”

 

เมื่อนักพรตเฒ่าเห็นฉากนี้ มือและเท้าของเขาก็เย็นเยียบ

 

ตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่ควบแน่นอาณาเขตได้ถึงสองคนต่อสู้กัน แม้ว่าจะเป็นในต่างดินแดน เหตุการณ์เช่นนี้ก็ยังหาได้ยากยิ่ง หลายร้อยปีอาจจะมีสักครั้ง สําหรับขุมพลังระดับนี้ด้วยการต่อสู้น้ํานั่นเต็มรูปแบบ เพียงแค่การปะทะกันของอาณาเขตก็อาจเปลี่ยนพื้นที่หลายสิบล้ําให้กลายเป็นดินแดนแห่งความตายได้เลย

 

หากเป็นช่วงก่อนที่บรรพบุรุษชีหยวนและซูฉินจะต่อสู้กัน นักพรตเฒ่าค่อนข้างมั่นใจว่าจะพาจักรพรรดิถังและตระกูลซูฉินออกจากเมืองฉางอันเพื่อหลีกเลี่ยงภัยพิบัติได้ แต่ในตอนที่การต่อสู้เริ่มรุนแรงขึ้นแล้ว นับประสาอะไรกับการที่นักพรตเฒ่าจะพาผู้คนออกไปด้วย แค่การรักษาตนเองให้รอดไปได้ก็เป็นปัญหายิ่งแล้ว

 

และในครั้งนี้

ท่ามกลางสายตาของผู้คนนับไม่ถ้วน แววดูถูกก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

“ถ้าเจ้ามีกําลังวังชาเต็มเปี่ยม มีความแข็งแกร่งเหมือนตอนอยู่ในยุครุ่งเรือง ข้าก็พอจะสนใจอยู่ ทว่าตอนนี้…”

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+