เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 259 ลูกประคำ

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 259 ลูกประคำ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm]

 

Sign in Buddha’s palm 259 ลูกประคำ

 

“นั่นคือผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลินงั้นหรือ?”

 

บรรพชนเก้าเคร่งขรึมขึ้น กลิ่นอายที่เขาจับได้นั้นเหมือนกับกลิ่นอายที่ออกมาจากดาบไม้เมื่อครู่ เห็นได้ชัดว่าเป็นคนคนเดียวกัน

 

“ช่างเถอะ ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกัน ว่าอรหันต์ในแผ่นดินแห่งพลังยุทธ มีความพิเศษอย่างไร?”

 

ดวงตาของบรรพชนเก้ามีความสั่นไหวเล็กน้อย

 

ในฐานะที่เป็นบรรพชนลำดับที่เก้าของวิหารหมื่นพุทธจากดินแดนโพ้นทะเล แม้จะหลับใหลมาตลอด แต่ครั้งหนึ่งเขาก็เคยกำราบทั่วหล้ามาแล้ว ไม่คิดว่าจะพ่ายแพ้ให้กับขอบเขตตำนานยุทธขั้นสูงสุดคนใด

 

“เอ๋?”

 

“ทำไมคนผู้นี้ไม่เคลื่อนไหวต่อแล้ว?”

 

หัวหน้าตำหนักวัดเส้าหลินและเจ้าอาวาสชุ่ยเหวินเห็นบรรพชนเก้ายืนอยู่เงียบๆ พวกเขาก็งุนงงเล็กน้อย

 

ไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยที่จะบอกว่าไอพลังที่บรรพชนเก้าแสดงออกมานั้นช่างน่ากลัว ไม่ว่าจะเป็นค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่บริเวณภูเขาด้านหลังหรือดาบไม้ขนาดเท่าฝ่ามือที่ห้อยอยู่รอบคอเฉียนอู่ซึ่งผู้ทรงสมณศักดิ์ทิ้งเอาไว้ล้วนถูกปราบปรามอย่างรวดเร็ว ตัวตนไร้พ่ายเช่นนี้ ไม่มีเหตุผลใดเลยที่จะต้องลังเลใจ เหตุใดจึงหยุดลงกะทันหัน

 

ในขณะที่ศิษย์วัดเส้าหลินเต็มไปด้วยความสงสัย เฉียนก็รู้สึกว่าหัวใจสั่นกระตุก รู้สึกได้ถึงบางอย่าง จากนั้นจึงหันมองไปยังทิศทางที่บรรพชนเก้ามอง

 

เขาเป็นเพียงยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุด ดังนั้นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาไม่มีทางจะครอบคลุมระยะทางหลายร้อยลี้ได้เหมือนบรรพชนเก้า แต่เขาตรวจสอบกลิ่นอายของซูฉินล่วงหน้าได้

 

เฉียนขู่มีดวงใจพุทธะ และการรับสัมผัสต่อสิ่งภายนอกได้อย่างเฉียบคม สามารถคาดเดาได้คร่าวๆ ว่าบรรพชนเก้ากำลังรอคอยใครบางคนอยู่

 

“ใครคนนั้นอาจจะเป็น…”

 

ดวงตาของเฉียนขู่เป็นประกาย

 

ด้วยความแข็งแกร่งในระดับของบรรพชนเก้า ที่ทำให้วัดเส้าหลินตกอยู่ในวิกฤตด้วยการลงมือเพียงครั้งเดียว การที่ทำให้เขารอคอยเช่นนี้ เกรงว่าจะมีแต่ซูฉินเพียงคนเดียวที่ทำได้

 

ตามที่คาดการณ์

 

หลังจากนั้นเพียงครู่หนึ่ง

 

ลมปราณศักดิ์สิทธิ์ที่แผ่แรงกดดันราวกับกรงขังก็แผ่พุ่งมาจากที่ไกลๆ เจ้าอาวาสชุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักต่างเงยหน้ามองไปทางที่ไอพลังนี้แผ่ขยายออกมา ทันใดนั้นสีหน้าของพวกเขาก็แปรเปลี่ยนไป

 

“นั่นคือ?!”

 

เจ้าอาวาสอุ่ยเหวินรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง

 

“ผู้ทรงสมณศักดิ์ เป็นผู้ทรงสมณศักดิ์”

 

หัวหน้าตำหนักวัดเส้าหลินก็เห็นเช่นเดียวกัน ก่อเกิดกำลังใจขึ้นมาในทันใด

 

ซูฉินเป็นผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลิน ถ้าไม่ใช่เพราะซุฉิน วัดเส้าหลินคงถูกทำลายไปโดยทายาทมารพุทธะตั้งแต่หลายสิบปีก่อนแล้ว

 

ในเวลานี้ ก่อนที่บรรพชนเก้าจะปราบปรามวัดเส้าหลินทั้งหมดซูฉินก็เข้ามาเป็นผู้กอบกู้ ความปิติยินดีของเหล่าหัวหน้าตำหนักนั้นไม่สามารถจะจินตนาการได้

 

“ผู้ทรงสมณศักดิ์กลับมาแล้ว!”

 

“วัดเส้าหลินของพวกเรารอดแล้ว!”

 

ท่าทีของศิษย์วัดเส้าหลินหลายคนต่างตะลึง บรรพชนเก้ามีพลังมากก็จริง แต่ในสายตาของศิษย์วัดเหล่านี้ ซูฉินอยู่ยงคงกระพันแท้จริงบนโลกนี้ ต่อหน้าซูฉินแม้แต่บรรพชนเก้าก็ไม่มีหน้ามาสู้ได้

 

“เลือดเนื้อพลังชีวิตแข็งแกร่งมาก”

 

“ควบแน่นอาณาเขตแล้วด้วย”

 

มีแสงเรื่อๆ ส่องสว่างออกมาจากดวงตาของบรรพชนเก้า เมื่อซูฉินเข้ามาใกล้ เขายิ่งรับรู้ข้อมูลมากขึ้นเท่านั้น

 

แน่นอนว่าซูฉินขี้เกียจเกินกว่าจะปกปิด และแสดงความผันผวนของเลือดเนื้อและพลังชีวิตออกมาอย่างเปิดเผย

 

ไม่เช่นนั้น หากซูฉันต้องการปกปิดพลัง นับประสาอะไรกับบรรพชนเก้า แม้จะอยู่ในอาณาเขตของขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ถ้าหากไม่ได้สังเกตจริงๆ ก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะตรวจพบ

 

“ด้วยพลังชีวิตและเลือดเนื้อระดับนี้ จะต้องมีอายุขัยเหลืออย่างน้อยก็หนึ่งร้อยปี…” บรรพชนเก้าไม่สามารถระบุอายุขัยของซูฉินได้อย่างแม่นยำ แต่จากเลือดเนื้อที่แข็งแกร่งของซูฉิน เขาก็ตระหนักว่าอีกฝ่ายควรจะมีอายุขัยเหลือเยอะพอสมควร

 

เมื่อถึงขอบเขตตำนานขั้นสูงสุดแล้ว แม้จะต้องเผชิญกับขีดจำกัดของอายุขัย ก็ยังคงรักษาสภาพความแข็งแกร่งเอาไว้ได้ จะไม่มีทางที่จะเห็นสภาพเดินเหินไม่ไหวเหมือนคนทั่วไปเด็ดขาด

 

แต่กระนั้นการสลายไปของเลือดเนื้อและพลังชีวิตก็ไม่ใช่สิ่งที่จะหลีกเลี่ยง

 

ยิ่งใกล้ถึงจุดสิ้นสุดของชีวิต ปราณชีวิตและเลือดเนื้อยิ่งสูญสลายเร็วมากขึ้นเท่านั้น และความผันผวนของพลังชีวิตและเลือดเนื้อที่ซูฉันแสดงออกมา อย่างน้อยก็มากกว่าร้อยปีกว่าจะถึงจุดสิ้นสุดของชีวิต

 

บรรพชนเก้าคาดเดาอยู่ในใจ เค้าลางความอิจฉาปรากฏขึ้นอย่างไม่คาดคิด

 

บรรพชนเก่าไม่ทราบว่าอายุขัยที่เหลืออยู่ของซูฉินหาใช่แค่ร้อยปีไม่ แต่มากกว่าเก้าร้อยสี่สิบปี และหากเพิ่มผลของลูกท้อบ้านเข้าไปอีก อายุขัยของซูฉินก็จะเพิ่มขึ้นอีกเป็นหนึ่งพันเก้าร้อยสี่สิบปี

 

หนึ่ง!

 

ซูฉินก้าวเข้ามาปรากฏตัวที่หน้าพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

นักพรตเฒ่ารู้ว่าด้วยระยะทางหลายหมื่นลี้ แม้แต่ตำนานยุทธขั้นสูงสุดยังต้องใช้เวลาไปกว่าครึ่งก้านธูป

 

แต่ซูฉินไม่ใช่ตำนานยุทธขั้นสูงสุดธรรมดา การเดินทางในระยะหมื่นลี้ใช้เวลาน้อยกว่าครึ่งก้านธูปมากนัก

 

นับตั้งแต่ซูฉินเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่เก้า ซูฉินไม่เพียงรักษาฐานของระดับชั้นให้มั่นคงเท่านั้น แต่ยังกลืนโอสถศักดิ์สิทธิ์ธาตุไฟและโอสถวิเศษส่วนใหญ่ที่เขาลงชื่อเข้าใช้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาลงไป ใช้มันเพื่อบ่มเพาะภาพดวงตะวันขนาดมหึมาจากภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์

 

ในวันนี้ แม้ภาพดวงตะวันขนาดมหึมาของซูฉินจะยังไม่ถึงความสำเร็จระดับเล็ก แต่ก็มาไกลกว่าระดับเริ่มต้นไปมากแล้ว

 

ด้วยภาพดวงตะวันฯ นี้ ซูฉินสามารถใช้ประโยชน์จากความสามารถส่วนหนึ่งของอีกาทองคำสามขา

 

ตัวอย่างเช่นความเร็ว?

 

แม้ว่าอีกาทองคำสามขาจะเป็นที่รู้จักในด้านความแข็งแกร่งในเรื่องเปลวเพลิง มันเพียงพอที่จะแผดเผาท้องฟ้าและผืนปฐพีแต่เปลวเพลิงก็เป็นเพียงวิธีการที่แข็งแกร่งที่สุดของอีกาทองคำสามขาเท่านั้น

 

นอกจากเปลวเพลิงแล้ว ความเร็วของอีกาทองคำสามขายังเร็วมากอีกด้วย

 

ในฐานะของสัตว์ปีก แม้ว่าอีกาทองคำจะไม่รวดเร็วเท่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่เด่นด้านความเร็ว แต่ความเร็วของมันก็อยู่ไกลเกินกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆ

 

แม้ซูฉินจะใช้ความช่วยเหลือจากมันเพียงเล็กน้อย แต่ก็เพียงพอที่จะระเบิดพลังของตนเองพุ่งออกไปได้หลายต่อหลายครั้ง และมันเกือบจะเท่ากับที่เซียนเทพปฐพี่ทำได้

 

“ในที่สุดข้าก็ได้กลับมาอีกครั้ง…” ซูฉินไม่สนใจบรรพชนเก้าสายตาของเขากวาดไปทั่วทุกมุมของวัดเส้าหลิน

 

วัดเส้าหลินที่ซูฉินเคยอยู่อาศัยมามากกว่ายี่สิบปี เขานั้นคุ้นเคยกับทุกซอกทุกมุมเป็นอย่างดี

 

“ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์”

 

เจ้าอาวาสขี่ยเหวินเดินเข้าไปหาซูฉินด้วยความเคารพ

 

“ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์”

 

“น้อมคารวะ ผู้ทรงสมณศักดิ์”

 

“ข้าขอคารวะ ผู้ทรงสมณศักดิ์”

 

ศิษย์วัดเส้าหลินหลายคนจ้องมาไปยังซูฉินด้วยแววตาสดใส คุกเข่าลงคารวะซูฉินกันที่ละคน

 

ฉับพลันซูฉินก็กลายเป็นศูนย์กลาง ศิษย์นับหมื่นของวัดเส้าหลินคุกเข่าลง ผู้คนนับไม่ถ้วนร้องห่มร้องไห้ด้วยความดีใจ หลายคนเป็นผู้อาวุโสที่อยู่มาตั้งแต่ซูฉินเป็นพระภิกษุ พวกเขามีความทรงจำร่วมกับซูฉินเป็นการส่วนตัว ซูฉินช่วยเหลือวัดเส้าหลินจากการถูกทำลายครั้งแล้วครั้งเล่า

 

“ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์”

 

เฉียนขู่ก็โค้งตัวลงคารวะซูฉินเช่นกัน

 

ซูฉินไม่ได้กล่าวอะไร แต่ค่อยๆ เพ่งมองไปยังบรรพชนเก้า แล้วพูดด้วยที่ท่าสนใจว่า “เจ้าเป็นบรรพชนคนใดในวิหารหมื่นพุทธ?”

 

“ข้าคือบรรพชนลำดับที่เก้า”

 

ใบหน้าของบรรพชนเก้าแสดงอาการประหลาดใจเล็กน้อย เขาไม่ได้คาดหวังว่าซูฉินจะรู้ตัวตนของเขา

 

จนถึงตอนนี้ บรรพชนเก้าก็ยังไม่ได้ตั้งใจจะล่าถอยไปเลยแม้แต่น้อย

 

แม้ว่าซูฉินจะแข็งแกร่งและเต็มไปด้วยพลังชีวิต แต่ตัวเขาเองก็ไม่ได้แย่ ในฐานะที่เป็นบรรพชนลำดับที่เก้าแห่งวิหารหมื่นพุทธ ไม่เพียงแต่จะฝึกฝนบ่มเพาะวิชาสายพุทธเท่านั้น ยังถือครองสมบัติพุทธคุณจากวิหารหมื่นพุทธอีกหลายชิ้นด้วย

 

สำหรับจอมยุทธ เลือดเนื้อพลังชีวิตเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างแน่นอน ฝ่ายที่มีเลือดเนื้อพลังชีวิตเข้มข้นกว่าย่อมได้เปรียบ ในทางตรงกันข้าม ฝ่ายที่มีเลือดเนื้อพลังชีวิตเสื่อมถอยจะกังวลมาก เพราะกลัวว่าเลือดเนื้อและพลังชีวิตตนจะหมดสิ้นเสียก่อนและตกตายลงที่จุดนั้น

 

แต่นอกเหนือจากปราณชีวิตและเลือดเนื้อแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ของการต่อสู้ เช่น เคล็ดวิชาที่ฝึกฝนความแข็งแกร่งของอาวุธวิเศษ

 

โดยเฉพาะอย่างหลัง อาวุธวิเศษที่ทรงพลังสามารถเพิ่มความสามารถในการต่อสู้ได้หลายระดับอย่างแน่นอน

 

“เพราะเจ้าไม่ได้ทำร้ายใครในวัดเส้าหลิน ข้าจะให้โอกาสเจ้าลงมือก่อน”

 

การแสดงออกของซูฉินไม่มีทั้งสุข ไม่มีทั้งเศร้า กล่าวออกอย่างใจเย็น

 

“ยอมให้ข้าชนะแล้ว”

 

เมื่อบรรพชนเก้าได้ยินสิ่งนี้ ก็ไม่คิดจะอ่อนน้อมถ่อมตนอีกต่อไปสำหรับจอมยุทธทุกสิ่งแก้ไขได้ด้วยการต่อสู้ เนื่องจากซูฉินต้องการให้เขาลงมือก่อน บรรพชนเก้าจึงไม่ลังเลใจ

 

ครืน!!

 

บรรพชนเก้าใช้เคล็ดวิชาของตนอย่างสุดกำลัง และรัศมีพลังที่น่าสะพรึงกลัวก็ได้ปกคลุมไปทั่ววัดเส้าหลินอย่างรวดเร็ว มันแพร่กระจายไปทุกทิศทาง

 

ต่อหน้าอรหันต์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยปราณชีวิตและเลือดเนื้ออย่างซูฉิน แม้ว่าบรรพชนเก้าจะมีสมบัติพุทธคุณอยู่ถึงสองสามชิ้นที่นำติดตัวมาจากวิหารหมื่นพุทธ แต่เขาก็ไม่กล้านำของชิ้นใหญ่เกินไปมาดังนั้นจึงต้องพยายามอย่างเต็มที่ในคราแรก

 

ด้านหลังของบรรพชนเก้ามีเสียงดังหนักแน่นดั่งฟันเฟืองเครื่องจักร มีพระพุทธรูปขนาดสิบจ้าง ดวงตาโกรธเคืองปรากฏขึ้นจากอากาศ

 

พระพิโรธองค์นี้มีรัศมีที่ด้อยกว่าองค์ยูไลทองคำที่มือหนึ่งชี้ขึ้นฟ้าอีกมือลงพื้นพสุธาของซูฉิน แต่ตอนนี้บรรพชนเก้าก็พยายามอย่างเต็มที่ที่สุดแล้ว มันก็นับว่ามีพลังอำนาจเกินกว่าตำนานยุทธขั้นสูงสุดอย่างบรรพบุรุษชีหยวน

 

“เป็นไปได้ไหมว่าบุคคลผู้นี้คือองค์ยูไล?”

 

เจ้าอาวาสชุ่ยเหวินและคนอื่นๆ ที่เห็นฉากนี้ต่างตื่นตกใจ

 

ในเวลานี้หลังจากที่ได้สัมผัสพลังที่แท้จริงของบรรพชนเก้า พวกเขาก็ตระหนักว่าบรรพชนเก้าได้ออมมือไว้แล้ว ไม่เช่นนั้นหากแสดงความสามารถที่แท้จริง วัดเส้าหลินคงพินาศไปเสียนานแล้ว จะรอดปลอดภัยจนถึงตอนที่ซูฉินมาได้อย่างไร?

 

“วิหารหมื่นพุทธ?”

 

“บรรพชนลำดับที่เก้า?”

 

เจ้าอาวาสอุ่ยเหวินกลืนน้ำลาย

 

พวกเขาได้ยินการสนทนาระหว่างซูฉินและบรรพชนเก้าก่อนหน้านี้

 

จากการเสวนาเพียงไม่กี่ครั้งเมื่อครู่ ไม่ยากเลยที่จะเข้าใจว่าบรรพชนเก้านั้นมาจากขุมอำนาจที่เรียกว่าวิหารหมื่นพุทธ และในขุมอำนาจนี้บรรพชนเก้าเพียงอยู่ในลำดับที่เก้าเท่านั้น

 

ขนาดบรรพชนลำดับที่เก้ายังมีพลังที่น่ากลัวเช่นนี้ แล้วบรรพชนลำดับที่ห้าลำดับที่หกเล่า?

 

เจ้าอาวาสชุ่ยเหวินไม่สามารถจินตนาการได้

 

เพียงเท่านั้น

 

ขณะที่ทุกคนกำลังคิดว่าสงครามใหญ่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น

 

ซูฉินที่ยืนอยู่เงียบๆ ก็ส่ายหัวเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ไม่เพียงพอ”

 

“อาศัยเพียงแค่เท่านั้นยังไม่เพียงพอ”

 

คำที่กล่าวออกมา

 

ใบหน้าของบรรพชนเก้าก็บิดเบี้ยวน่าเกลียดขึ้นเล็กน้อย

 

ในตอนนี้เขาได้รวบรวมพลังอย่างเต็มที่ด้วยเคล็ดวิชาที่มี ยกเว้นก็แต่สมบัติพุทธคุณสองสามชิ้น เขาแทบจะเรียกได้ว่าลงมือเต็มที่ที่สุดแล้ว แต่คำพูดจากปากซูฉินกลับบอกว่ามันยังไม่เพียงพอ

 

บรรพชนเก้าสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ยกมือขวาขึ้นเห็นสายลูกประคำปรากฏออกมา

 

สายลูกประคำเส้นนี้มีสีออกจางๆ และดูทรุดโทรมมาก แต่เมื่อมันโผล่ออกมากลับเผยกลิ่นอายที่โอบล้อมทุกผู้ทุกคนให้ต้องใจสั่น

 

“สายลูกประคำเส้นนี้ ยอดอรหันต์เป็นผู้ทิ้งเอาไว้ เป็นหนึ่งในสมบัติของวิหารหมื่นพุทธของข้า มันแข็งแกร่งพอที่จะทำให้เซียนเทพปฐพี่ต้องมีสั่นสะเทือนกันบ้างไม่มากก็น้อย”

 

บรรพชนเก้ามองลูกประคำในมือ ร่องรอยความน่าเกรงขามแฝงอยู่ในน้ำเสียงของเขา

 

ที่เขากล่าวมาคือเรื่องจริง ลูกประคำสายนี้เป็นสมบัติที่ยอดอรหันต์ได้ทิ้งเอาไว้ แต่หากต้องการจะใช้ลูกประคำนี้ในการสร้างความสั่นสะเทือนให้แก่เซียนเทพปฐพี ก่อนอื่นตัวผู้ใช้จะต้องแข็งแกร่งเพียงพอ

 

แม้ว่าบรรพชนเก้าจะเป็นอรหันต์ขั้นสูงสุด แต่ก็ยังห่างไกลจากขอบเขตยอดอรหันต์ และห่างไกลจากความสามารถในการใช้ลูกประคำได้อย่างเต็มที่

 

แม้บรรพชนเก้าจะไม่สามารถสร้างความสั่นสะเทือนให้แก่เซียนเทพปฐพี่ได้ แต่ก็ไม่มีปัญหาในการจัดการกับตำนานยุทธขั้นสูงสุดธรรมดาๆ

 

เมื่อลูกประคำโผล่ออกมา ท้องฟ้าและผืนดินก็เหมือนจะถูกแช่แข็ง ลูกประคำหมุนวนไปเรื่อยๆ ในท้ายที่สุดมันก็พุ่งลงเข้าหาซูฉิน

 

ลูกประคำขนาดใหญ่กดทับอากาศเบื้องล่าง ค่อยๆ กดลงไปยังซูฉิน ด้วยพลังอันรุนแรงนี้ แม้ว่าบรรพบุรุษซีหยวนจะมาอยู่ที่นี่ เขาก็ต้องหันหน้าหนี หมุนตัวจากไปแน่นอน ไม่คิดเข้าขวางทางลูกประลัก

 

เจ้าอาวาสอุ่ยเหวินและคนอื่นๆ ในวัดเส้าหลินต่างมือเท้าชาเมื่อได้เห็นลูกประคำเส้นนี้

 

แม้ว่าพวกเขาจะมั่นใจในตัวซูฉิน แต่ลูกประคำนั้นน่ากลัวเกินไปแม้ว่าจะมองดูจากระยะไกลเพียงไม่นาน จิตใจของพวกเขาก็ถูกครอบงำด้วยอำนาจของลูกประคำแล้ว แล้วซูฉินที่ต้องเผชิญหน้ากับพลังทั้งหมดของลูกประคำเล่า?

 

ท่ามกลางสายตาที่ตื่นกลัวของทุกคน

 

ซูฉินก้าวเท้าเดินช้าๆ ยกมือขึ้นอย่างเบาสบาย หดนิ้วเข้าหากันจนเป็นกำปั้น แล้วโจมตีไปทางลูกประคำ

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

หมัดนี้ก็ปะทะเข้ากับลูกประคำ

 

ทันใดนั้นลูกประคำก็สั่นไหว และแรงกดดันที่กดทับลงมาก็หยุดลงอย่างกะทันหัน

 

“นี่คือ?”

 

บรรพชนเก้าซึ่งแต่เดิมมีความมั่นใจอยู่เต็มเปี่ยม บัดนี้สีหน้าของเขาเปลี่ยนแปลงไปทันที มองไปที่ซูฉินอย่างเหลือเชื่อ

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 259 ลูกประคำ

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 259 ลูกประคำ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm]

 

Sign in Buddha’s palm 259 ลูกประคำ

 

“นั่นคือผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลินงั้นหรือ?”

 

บรรพชนเก้าเคร่งขรึมขึ้น กลิ่นอายที่เขาจับได้นั้นเหมือนกับกลิ่นอายที่ออกมาจากดาบไม้เมื่อครู่ เห็นได้ชัดว่าเป็นคนคนเดียวกัน

 

“ช่างเถอะ ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกัน ว่าอรหันต์ในแผ่นดินแห่งพลังยุทธ มีความพิเศษอย่างไร?”

 

ดวงตาของบรรพชนเก้ามีความสั่นไหวเล็กน้อย

 

ในฐานะที่เป็นบรรพชนลำดับที่เก้าของวิหารหมื่นพุทธจากดินแดนโพ้นทะเล แม้จะหลับใหลมาตลอด แต่ครั้งหนึ่งเขาก็เคยกำราบทั่วหล้ามาแล้ว ไม่คิดว่าจะพ่ายแพ้ให้กับขอบเขตตำนานยุทธขั้นสูงสุดคนใด

 

“เอ๋?”

 

“ทำไมคนผู้นี้ไม่เคลื่อนไหวต่อแล้ว?”

 

หัวหน้าตำหนักวัดเส้าหลินและเจ้าอาวาสชุ่ยเหวินเห็นบรรพชนเก้ายืนอยู่เงียบๆ พวกเขาก็งุนงงเล็กน้อย

 

ไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยที่จะบอกว่าไอพลังที่บรรพชนเก้าแสดงออกมานั้นช่างน่ากลัว ไม่ว่าจะเป็นค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่บริเวณภูเขาด้านหลังหรือดาบไม้ขนาดเท่าฝ่ามือที่ห้อยอยู่รอบคอเฉียนอู่ซึ่งผู้ทรงสมณศักดิ์ทิ้งเอาไว้ล้วนถูกปราบปรามอย่างรวดเร็ว ตัวตนไร้พ่ายเช่นนี้ ไม่มีเหตุผลใดเลยที่จะต้องลังเลใจ เหตุใดจึงหยุดลงกะทันหัน

 

ในขณะที่ศิษย์วัดเส้าหลินเต็มไปด้วยความสงสัย เฉียนก็รู้สึกว่าหัวใจสั่นกระตุก รู้สึกได้ถึงบางอย่าง จากนั้นจึงหันมองไปยังทิศทางที่บรรพชนเก้ามอง

 

เขาเป็นเพียงยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุด ดังนั้นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาไม่มีทางจะครอบคลุมระยะทางหลายร้อยลี้ได้เหมือนบรรพชนเก้า แต่เขาตรวจสอบกลิ่นอายของซูฉินล่วงหน้าได้

 

เฉียนขู่มีดวงใจพุทธะ และการรับสัมผัสต่อสิ่งภายนอกได้อย่างเฉียบคม สามารถคาดเดาได้คร่าวๆ ว่าบรรพชนเก้ากำลังรอคอยใครบางคนอยู่

 

“ใครคนนั้นอาจจะเป็น…”

 

ดวงตาของเฉียนขู่เป็นประกาย

 

ด้วยความแข็งแกร่งในระดับของบรรพชนเก้า ที่ทำให้วัดเส้าหลินตกอยู่ในวิกฤตด้วยการลงมือเพียงครั้งเดียว การที่ทำให้เขารอคอยเช่นนี้ เกรงว่าจะมีแต่ซูฉินเพียงคนเดียวที่ทำได้

 

ตามที่คาดการณ์

 

หลังจากนั้นเพียงครู่หนึ่ง

 

ลมปราณศักดิ์สิทธิ์ที่แผ่แรงกดดันราวกับกรงขังก็แผ่พุ่งมาจากที่ไกลๆ เจ้าอาวาสชุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักต่างเงยหน้ามองไปทางที่ไอพลังนี้แผ่ขยายออกมา ทันใดนั้นสีหน้าของพวกเขาก็แปรเปลี่ยนไป

 

“นั่นคือ?!”

 

เจ้าอาวาสอุ่ยเหวินรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง

 

“ผู้ทรงสมณศักดิ์ เป็นผู้ทรงสมณศักดิ์”

 

หัวหน้าตำหนักวัดเส้าหลินก็เห็นเช่นเดียวกัน ก่อเกิดกำลังใจขึ้นมาในทันใด

 

ซูฉินเป็นผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลิน ถ้าไม่ใช่เพราะซุฉิน วัดเส้าหลินคงถูกทำลายไปโดยทายาทมารพุทธะตั้งแต่หลายสิบปีก่อนแล้ว

 

ในเวลานี้ ก่อนที่บรรพชนเก้าจะปราบปรามวัดเส้าหลินทั้งหมดซูฉินก็เข้ามาเป็นผู้กอบกู้ ความปิติยินดีของเหล่าหัวหน้าตำหนักนั้นไม่สามารถจะจินตนาการได้

 

“ผู้ทรงสมณศักดิ์กลับมาแล้ว!”

 

“วัดเส้าหลินของพวกเรารอดแล้ว!”

 

ท่าทีของศิษย์วัดเส้าหลินหลายคนต่างตะลึง บรรพชนเก้ามีพลังมากก็จริง แต่ในสายตาของศิษย์วัดเหล่านี้ ซูฉินอยู่ยงคงกระพันแท้จริงบนโลกนี้ ต่อหน้าซูฉินแม้แต่บรรพชนเก้าก็ไม่มีหน้ามาสู้ได้

 

“เลือดเนื้อพลังชีวิตแข็งแกร่งมาก”

 

“ควบแน่นอาณาเขตแล้วด้วย”

 

มีแสงเรื่อๆ ส่องสว่างออกมาจากดวงตาของบรรพชนเก้า เมื่อซูฉินเข้ามาใกล้ เขายิ่งรับรู้ข้อมูลมากขึ้นเท่านั้น

 

แน่นอนว่าซูฉินขี้เกียจเกินกว่าจะปกปิด และแสดงความผันผวนของเลือดเนื้อและพลังชีวิตออกมาอย่างเปิดเผย

 

ไม่เช่นนั้น หากซูฉันต้องการปกปิดพลัง นับประสาอะไรกับบรรพชนเก้า แม้จะอยู่ในอาณาเขตของขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ถ้าหากไม่ได้สังเกตจริงๆ ก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะตรวจพบ

 

“ด้วยพลังชีวิตและเลือดเนื้อระดับนี้ จะต้องมีอายุขัยเหลืออย่างน้อยก็หนึ่งร้อยปี…” บรรพชนเก้าไม่สามารถระบุอายุขัยของซูฉินได้อย่างแม่นยำ แต่จากเลือดเนื้อที่แข็งแกร่งของซูฉิน เขาก็ตระหนักว่าอีกฝ่ายควรจะมีอายุขัยเหลือเยอะพอสมควร

 

เมื่อถึงขอบเขตตำนานขั้นสูงสุดแล้ว แม้จะต้องเผชิญกับขีดจำกัดของอายุขัย ก็ยังคงรักษาสภาพความแข็งแกร่งเอาไว้ได้ จะไม่มีทางที่จะเห็นสภาพเดินเหินไม่ไหวเหมือนคนทั่วไปเด็ดขาด

 

แต่กระนั้นการสลายไปของเลือดเนื้อและพลังชีวิตก็ไม่ใช่สิ่งที่จะหลีกเลี่ยง

 

ยิ่งใกล้ถึงจุดสิ้นสุดของชีวิต ปราณชีวิตและเลือดเนื้อยิ่งสูญสลายเร็วมากขึ้นเท่านั้น และความผันผวนของพลังชีวิตและเลือดเนื้อที่ซูฉันแสดงออกมา อย่างน้อยก็มากกว่าร้อยปีกว่าจะถึงจุดสิ้นสุดของชีวิต

 

บรรพชนเก้าคาดเดาอยู่ในใจ เค้าลางความอิจฉาปรากฏขึ้นอย่างไม่คาดคิด

 

บรรพชนเก่าไม่ทราบว่าอายุขัยที่เหลืออยู่ของซูฉินหาใช่แค่ร้อยปีไม่ แต่มากกว่าเก้าร้อยสี่สิบปี และหากเพิ่มผลของลูกท้อบ้านเข้าไปอีก อายุขัยของซูฉินก็จะเพิ่มขึ้นอีกเป็นหนึ่งพันเก้าร้อยสี่สิบปี

 

หนึ่ง!

 

ซูฉินก้าวเข้ามาปรากฏตัวที่หน้าพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

นักพรตเฒ่ารู้ว่าด้วยระยะทางหลายหมื่นลี้ แม้แต่ตำนานยุทธขั้นสูงสุดยังต้องใช้เวลาไปกว่าครึ่งก้านธูป

 

แต่ซูฉินไม่ใช่ตำนานยุทธขั้นสูงสุดธรรมดา การเดินทางในระยะหมื่นลี้ใช้เวลาน้อยกว่าครึ่งก้านธูปมากนัก

 

นับตั้งแต่ซูฉินเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่เก้า ซูฉินไม่เพียงรักษาฐานของระดับชั้นให้มั่นคงเท่านั้น แต่ยังกลืนโอสถศักดิ์สิทธิ์ธาตุไฟและโอสถวิเศษส่วนใหญ่ที่เขาลงชื่อเข้าใช้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาลงไป ใช้มันเพื่อบ่มเพาะภาพดวงตะวันขนาดมหึมาจากภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์

 

ในวันนี้ แม้ภาพดวงตะวันขนาดมหึมาของซูฉินจะยังไม่ถึงความสำเร็จระดับเล็ก แต่ก็มาไกลกว่าระดับเริ่มต้นไปมากแล้ว

 

ด้วยภาพดวงตะวันฯ นี้ ซูฉินสามารถใช้ประโยชน์จากความสามารถส่วนหนึ่งของอีกาทองคำสามขา

 

ตัวอย่างเช่นความเร็ว?

 

แม้ว่าอีกาทองคำสามขาจะเป็นที่รู้จักในด้านความแข็งแกร่งในเรื่องเปลวเพลิง มันเพียงพอที่จะแผดเผาท้องฟ้าและผืนปฐพีแต่เปลวเพลิงก็เป็นเพียงวิธีการที่แข็งแกร่งที่สุดของอีกาทองคำสามขาเท่านั้น

 

นอกจากเปลวเพลิงแล้ว ความเร็วของอีกาทองคำสามขายังเร็วมากอีกด้วย

 

ในฐานะของสัตว์ปีก แม้ว่าอีกาทองคำจะไม่รวดเร็วเท่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่เด่นด้านความเร็ว แต่ความเร็วของมันก็อยู่ไกลเกินกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆ

 

แม้ซูฉินจะใช้ความช่วยเหลือจากมันเพียงเล็กน้อย แต่ก็เพียงพอที่จะระเบิดพลังของตนเองพุ่งออกไปได้หลายต่อหลายครั้ง และมันเกือบจะเท่ากับที่เซียนเทพปฐพี่ทำได้

 

“ในที่สุดข้าก็ได้กลับมาอีกครั้ง…” ซูฉินไม่สนใจบรรพชนเก้าสายตาของเขากวาดไปทั่วทุกมุมของวัดเส้าหลิน

 

วัดเส้าหลินที่ซูฉินเคยอยู่อาศัยมามากกว่ายี่สิบปี เขานั้นคุ้นเคยกับทุกซอกทุกมุมเป็นอย่างดี

 

“ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์”

 

เจ้าอาวาสขี่ยเหวินเดินเข้าไปหาซูฉินด้วยความเคารพ

 

“ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์”

 

“น้อมคารวะ ผู้ทรงสมณศักดิ์”

 

“ข้าขอคารวะ ผู้ทรงสมณศักดิ์”

 

ศิษย์วัดเส้าหลินหลายคนจ้องมาไปยังซูฉินด้วยแววตาสดใส คุกเข่าลงคารวะซูฉินกันที่ละคน

 

ฉับพลันซูฉินก็กลายเป็นศูนย์กลาง ศิษย์นับหมื่นของวัดเส้าหลินคุกเข่าลง ผู้คนนับไม่ถ้วนร้องห่มร้องไห้ด้วยความดีใจ หลายคนเป็นผู้อาวุโสที่อยู่มาตั้งแต่ซูฉินเป็นพระภิกษุ พวกเขามีความทรงจำร่วมกับซูฉินเป็นการส่วนตัว ซูฉินช่วยเหลือวัดเส้าหลินจากการถูกทำลายครั้งแล้วครั้งเล่า

 

“ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์”

 

เฉียนขู่ก็โค้งตัวลงคารวะซูฉินเช่นกัน

 

ซูฉินไม่ได้กล่าวอะไร แต่ค่อยๆ เพ่งมองไปยังบรรพชนเก้า แล้วพูดด้วยที่ท่าสนใจว่า “เจ้าเป็นบรรพชนคนใดในวิหารหมื่นพุทธ?”

 

“ข้าคือบรรพชนลำดับที่เก้า”

 

ใบหน้าของบรรพชนเก้าแสดงอาการประหลาดใจเล็กน้อย เขาไม่ได้คาดหวังว่าซูฉินจะรู้ตัวตนของเขา

 

จนถึงตอนนี้ บรรพชนเก้าก็ยังไม่ได้ตั้งใจจะล่าถอยไปเลยแม้แต่น้อย

 

แม้ว่าซูฉินจะแข็งแกร่งและเต็มไปด้วยพลังชีวิต แต่ตัวเขาเองก็ไม่ได้แย่ ในฐานะที่เป็นบรรพชนลำดับที่เก้าแห่งวิหารหมื่นพุทธ ไม่เพียงแต่จะฝึกฝนบ่มเพาะวิชาสายพุทธเท่านั้น ยังถือครองสมบัติพุทธคุณจากวิหารหมื่นพุทธอีกหลายชิ้นด้วย

 

สำหรับจอมยุทธ เลือดเนื้อพลังชีวิตเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างแน่นอน ฝ่ายที่มีเลือดเนื้อพลังชีวิตเข้มข้นกว่าย่อมได้เปรียบ ในทางตรงกันข้าม ฝ่ายที่มีเลือดเนื้อพลังชีวิตเสื่อมถอยจะกังวลมาก เพราะกลัวว่าเลือดเนื้อและพลังชีวิตตนจะหมดสิ้นเสียก่อนและตกตายลงที่จุดนั้น

 

แต่นอกเหนือจากปราณชีวิตและเลือดเนื้อแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ของการต่อสู้ เช่น เคล็ดวิชาที่ฝึกฝนความแข็งแกร่งของอาวุธวิเศษ

 

โดยเฉพาะอย่างหลัง อาวุธวิเศษที่ทรงพลังสามารถเพิ่มความสามารถในการต่อสู้ได้หลายระดับอย่างแน่นอน

 

“เพราะเจ้าไม่ได้ทำร้ายใครในวัดเส้าหลิน ข้าจะให้โอกาสเจ้าลงมือก่อน”

 

การแสดงออกของซูฉินไม่มีทั้งสุข ไม่มีทั้งเศร้า กล่าวออกอย่างใจเย็น

 

“ยอมให้ข้าชนะแล้ว”

 

เมื่อบรรพชนเก้าได้ยินสิ่งนี้ ก็ไม่คิดจะอ่อนน้อมถ่อมตนอีกต่อไปสำหรับจอมยุทธทุกสิ่งแก้ไขได้ด้วยการต่อสู้ เนื่องจากซูฉินต้องการให้เขาลงมือก่อน บรรพชนเก้าจึงไม่ลังเลใจ

 

ครืน!!

 

บรรพชนเก้าใช้เคล็ดวิชาของตนอย่างสุดกำลัง และรัศมีพลังที่น่าสะพรึงกลัวก็ได้ปกคลุมไปทั่ววัดเส้าหลินอย่างรวดเร็ว มันแพร่กระจายไปทุกทิศทาง

 

ต่อหน้าอรหันต์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยปราณชีวิตและเลือดเนื้ออย่างซูฉิน แม้ว่าบรรพชนเก้าจะมีสมบัติพุทธคุณอยู่ถึงสองสามชิ้นที่นำติดตัวมาจากวิหารหมื่นพุทธ แต่เขาก็ไม่กล้านำของชิ้นใหญ่เกินไปมาดังนั้นจึงต้องพยายามอย่างเต็มที่ในคราแรก

 

ด้านหลังของบรรพชนเก้ามีเสียงดังหนักแน่นดั่งฟันเฟืองเครื่องจักร มีพระพุทธรูปขนาดสิบจ้าง ดวงตาโกรธเคืองปรากฏขึ้นจากอากาศ

 

พระพิโรธองค์นี้มีรัศมีที่ด้อยกว่าองค์ยูไลทองคำที่มือหนึ่งชี้ขึ้นฟ้าอีกมือลงพื้นพสุธาของซูฉิน แต่ตอนนี้บรรพชนเก้าก็พยายามอย่างเต็มที่ที่สุดแล้ว มันก็นับว่ามีพลังอำนาจเกินกว่าตำนานยุทธขั้นสูงสุดอย่างบรรพบุรุษชีหยวน

 

“เป็นไปได้ไหมว่าบุคคลผู้นี้คือองค์ยูไล?”

 

เจ้าอาวาสชุ่ยเหวินและคนอื่นๆ ที่เห็นฉากนี้ต่างตื่นตกใจ

 

ในเวลานี้หลังจากที่ได้สัมผัสพลังที่แท้จริงของบรรพชนเก้า พวกเขาก็ตระหนักว่าบรรพชนเก้าได้ออมมือไว้แล้ว ไม่เช่นนั้นหากแสดงความสามารถที่แท้จริง วัดเส้าหลินคงพินาศไปเสียนานแล้ว จะรอดปลอดภัยจนถึงตอนที่ซูฉินมาได้อย่างไร?

 

“วิหารหมื่นพุทธ?”

 

“บรรพชนลำดับที่เก้า?”

 

เจ้าอาวาสอุ่ยเหวินกลืนน้ำลาย

 

พวกเขาได้ยินการสนทนาระหว่างซูฉินและบรรพชนเก้าก่อนหน้านี้

 

จากการเสวนาเพียงไม่กี่ครั้งเมื่อครู่ ไม่ยากเลยที่จะเข้าใจว่าบรรพชนเก้านั้นมาจากขุมอำนาจที่เรียกว่าวิหารหมื่นพุทธ และในขุมอำนาจนี้บรรพชนเก้าเพียงอยู่ในลำดับที่เก้าเท่านั้น

 

ขนาดบรรพชนลำดับที่เก้ายังมีพลังที่น่ากลัวเช่นนี้ แล้วบรรพชนลำดับที่ห้าลำดับที่หกเล่า?

 

เจ้าอาวาสชุ่ยเหวินไม่สามารถจินตนาการได้

 

เพียงเท่านั้น

 

ขณะที่ทุกคนกำลังคิดว่าสงครามใหญ่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น

 

ซูฉินที่ยืนอยู่เงียบๆ ก็ส่ายหัวเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ไม่เพียงพอ”

 

“อาศัยเพียงแค่เท่านั้นยังไม่เพียงพอ”

 

คำที่กล่าวออกมา

 

ใบหน้าของบรรพชนเก้าก็บิดเบี้ยวน่าเกลียดขึ้นเล็กน้อย

 

ในตอนนี้เขาได้รวบรวมพลังอย่างเต็มที่ด้วยเคล็ดวิชาที่มี ยกเว้นก็แต่สมบัติพุทธคุณสองสามชิ้น เขาแทบจะเรียกได้ว่าลงมือเต็มที่ที่สุดแล้ว แต่คำพูดจากปากซูฉินกลับบอกว่ามันยังไม่เพียงพอ

 

บรรพชนเก้าสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ยกมือขวาขึ้นเห็นสายลูกประคำปรากฏออกมา

 

สายลูกประคำเส้นนี้มีสีออกจางๆ และดูทรุดโทรมมาก แต่เมื่อมันโผล่ออกมากลับเผยกลิ่นอายที่โอบล้อมทุกผู้ทุกคนให้ต้องใจสั่น

 

“สายลูกประคำเส้นนี้ ยอดอรหันต์เป็นผู้ทิ้งเอาไว้ เป็นหนึ่งในสมบัติของวิหารหมื่นพุทธของข้า มันแข็งแกร่งพอที่จะทำให้เซียนเทพปฐพี่ต้องมีสั่นสะเทือนกันบ้างไม่มากก็น้อย”

 

บรรพชนเก้ามองลูกประคำในมือ ร่องรอยความน่าเกรงขามแฝงอยู่ในน้ำเสียงของเขา

 

ที่เขากล่าวมาคือเรื่องจริง ลูกประคำสายนี้เป็นสมบัติที่ยอดอรหันต์ได้ทิ้งเอาไว้ แต่หากต้องการจะใช้ลูกประคำนี้ในการสร้างความสั่นสะเทือนให้แก่เซียนเทพปฐพี ก่อนอื่นตัวผู้ใช้จะต้องแข็งแกร่งเพียงพอ

 

แม้ว่าบรรพชนเก้าจะเป็นอรหันต์ขั้นสูงสุด แต่ก็ยังห่างไกลจากขอบเขตยอดอรหันต์ และห่างไกลจากความสามารถในการใช้ลูกประคำได้อย่างเต็มที่

 

แม้บรรพชนเก้าจะไม่สามารถสร้างความสั่นสะเทือนให้แก่เซียนเทพปฐพี่ได้ แต่ก็ไม่มีปัญหาในการจัดการกับตำนานยุทธขั้นสูงสุดธรรมดาๆ

 

เมื่อลูกประคำโผล่ออกมา ท้องฟ้าและผืนดินก็เหมือนจะถูกแช่แข็ง ลูกประคำหมุนวนไปเรื่อยๆ ในท้ายที่สุดมันก็พุ่งลงเข้าหาซูฉิน

 

ลูกประคำขนาดใหญ่กดทับอากาศเบื้องล่าง ค่อยๆ กดลงไปยังซูฉิน ด้วยพลังอันรุนแรงนี้ แม้ว่าบรรพบุรุษซีหยวนจะมาอยู่ที่นี่ เขาก็ต้องหันหน้าหนี หมุนตัวจากไปแน่นอน ไม่คิดเข้าขวางทางลูกประลัก

 

เจ้าอาวาสอุ่ยเหวินและคนอื่นๆ ในวัดเส้าหลินต่างมือเท้าชาเมื่อได้เห็นลูกประคำเส้นนี้

 

แม้ว่าพวกเขาจะมั่นใจในตัวซูฉิน แต่ลูกประคำนั้นน่ากลัวเกินไปแม้ว่าจะมองดูจากระยะไกลเพียงไม่นาน จิตใจของพวกเขาก็ถูกครอบงำด้วยอำนาจของลูกประคำแล้ว แล้วซูฉินที่ต้องเผชิญหน้ากับพลังทั้งหมดของลูกประคำเล่า?

 

ท่ามกลางสายตาที่ตื่นกลัวของทุกคน

 

ซูฉินก้าวเท้าเดินช้าๆ ยกมือขึ้นอย่างเบาสบาย หดนิ้วเข้าหากันจนเป็นกำปั้น แล้วโจมตีไปทางลูกประคำ

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

หมัดนี้ก็ปะทะเข้ากับลูกประคำ

 

ทันใดนั้นลูกประคำก็สั่นไหว และแรงกดดันที่กดทับลงมาก็หยุดลงอย่างกะทันหัน

 

“นี่คือ?”

 

บรรพชนเก้าซึ่งแต่เดิมมีความมั่นใจอยู่เต็มเปี่ยม บัดนี้สีหน้าของเขาเปลี่ยนแปลงไปทันที มองไปที่ซูฉินอย่างเหลือเชื่อ

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+