เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 26 คาดเดา

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 26 คาดเดา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 26 คาดเดา

 

 

ตั้งแต่ตอนที่เขาสำเร็จจุดสูงสุดของกายาวัชระคงกระพันเมื่อไม่กี่ปีก่อน ซูฉินก็ไม่ได้รู้สึกว่าร่างกายของเขามีการพัฒนาใดที่เห็นได้ชัดอีกเลย

 

แม้แต่ตอนที่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง ก็เป็นเพียงการกลั่นกำลังภายในให้มีคุณภาพสูงขึ้น และบังเอิญไปเสริมศักยภาพร่างกายด้วยเล็กน้อย

 

การเสริมสร้างศักยภาพร่างกายทางอ้อมแบบนี้ สำหรับซูฉินแทบไม่รู้สึกว่ามันมีการเปลี่ยนแปลงใดเกิดขึ้น

 

แต่ตอนนี้

 

ซูฉินรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งของร่างกายที่รอคอยมาเนิ่นนาน ด้วยการผสานพลังของกายาวัชระคงกระพันและวิชาขัดเกลากายาจันทรา

 

ปึงๆ

 

เลือดลมพลุ่งพล่าน หยินสุดขั้ว หยางสุดแกร่ง โรมรันกันไปมา เกิดการปะทะและหักล้างกันอย่างต่อเนื่องจากพลังทั้งสองสายจนทำให้เกิดเป็นไอพลังสีเทาหลอมเข้าไปรวมกับทุกส่วนของร่างกาย

 

แม้แต่พลังลมปราณภายในก็ค่อยๆ ถูกชำระล้างให้บริสุทธิ์ไปทีละนิดจากเหตุการณ์ดังกล่าว

 

ลึกลงไประหว่างคิ้ว องค์ยูไลสีทองก็เริ่มเปล่งรัศมีออกมา เป็นคลื่นแสงสะท้อนไปทั่วทั้งร่างของเขา

 

กำลังภายในและกายเนื้อเป็นหนึ่งเดียวกัน พึ่งพากัน ร่างกายที่แข็งแกร่งสามารถทำให้มีกำลังภายในที่แข็งแกร่งได้ฉันใด กำลังภายในที่บริสุทธิ์ย่อมเสริมศักยภาพให้กับร่างกายได้ฉันนั้น

 

หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง

 

ซูฉินค่อยๆ ลุกขึ้นยืนช้าๆ

 

แกร๊ก แกร๊ก

 

ซูฉินขยับเคลื่อนกระดูกภายในร่างจนเกิดเสียง

 

“น่าเสียดายที่วิชาขัดเกลากายาจันทรา สามารถฝึกฝนได้ดีที่สุดก็เมื่อยามดวงจันทร์ลอยสูงอยู่กลางหัว”

 

ซูฉินเงยหน้ามองดวงจันทร์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าแล้วถอนหายใจ

 

“ค่อยกลับมาคืนพรุ่งนี้”

 

ซูฉินกลับไปที่ลานจิปาถะ

 

หลังผ่านการฝึกฝนมาตลอดทั้งคืนซูฉินไม่เหนื่อยเลย กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง

 

ตั้งแต่ที่กลายมาเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งและมีการฝึกฝน ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ถึงแม้เขาจะไม่พักผ่อนเป็นเวลานานนับเดือนก็หาได้เกิดปัญหาใดขึ้นไม่

 

 

ที่หน้าศาลาพระคัมภีร์

 

ซูฉินกล่าวกับตนเองเงียบๆ ในใจ “ระบบ ลงชื่อเข้าใช้”

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับ ‘ฝ่ามือปราณภาวนา‘ ]

 

“ฝ่ามือปราณภาวนา?”

 

รอยยิ้มบนใบหน้าของซูฉินปรากฏขึ้น

 

ฝ่ามือปราณภาวนาเป็นเคล็ดวิชาลับเฉพาะตัวของวัดเส้าหลิน มีเพียงเจ้าอาวาสและหัวหน้าตำหนักเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์เรียนรู้เคล็ดวิชาชุดนี้ได้

 

ว่ากันว่าเมื่อหลายร้อยปีก่อนมีสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ของวัดเส้าหลินฝึกฝนฝ่ามือปราณภาวนาจนถึงขนาดเอาชนะยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่โด่งดังมาแล้วหลายคนด้วยฝ่ามือเดียว นั่นทำให้สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับชั้นที่หนึ่งยุคนั้นมีชื่อเสียงไปทั่วยุทธภพ

 

แม้ว่าเหตุผลหลักจะมาจากความแข็งแกร่งที่แสนทรงพลังของการเป็นสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับชั้นที่หนึ่ง แต่ฝ่ามือปราณภาวนาก็หาใช่สิ่งที่ควรมองข้าม

 

หลังจากนั้น

 

รายละเอียดข้อมูลยิบย่อยทั้งหลายทั้งปวงเกี่ยวกับฝ่ามือปราณภาวนาก็หลั่งไหลเข้ามาในจิตของซูฉิน

 

ใช้เวลาเพียงครู่เดียวเท่านั้นซูฉินก็เหมือนกับได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาลับอย่างฝ่ามือปราณภาวนามาแล้วหลายสิบปี

 

หลังจากที่ลงชื่อเข้าใช้เรียบร้อย ซูฉินทำความสะอาดให้พอเป็นพิธี ก่อนจะเข้าไปที่ชั้นแรกของศาลาพระคัมภีร์เพื่อดูบันทึกข้อมูลเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่สะสมเอาไว้ในวัดเส้าหลิน

 

ศาลาพระคัมภีร์นั้นแบ่งออกเป็นสี่ชั้น

 

จากชั้นที่สองถึงชั้นที่สี่บรรจุเคล็ดวิชาหลายหลากของวัดเส้าหลิน

 

หากศิษย์คนใดต้องการจะขึ้นไปชั้นที่สองถึงชั้นที่สี่จำจะต้องได้รับอนุญาตจากท่านเจ้าอาวาสหรือไม่ก็หัวหน้าตำหนักต่างๆ เสียก่อน

 

ส่วนชั้นแรกเก็บบันทึกเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ถูกเขียนขึ้นหรือนำกลับมาจากพระสงฆ์ที่ลงเขาออกจาริกไปทั่วยุทธภพ

 

ไม่มีอะไรในชั้นนี้เกี่ยวข้องกับวิชายุทธเลย

 

ดังนั้นไม่ว่าศิษย์สาวกคนใดก็สามารถเข้ามาอ่านคัมภีร์ที่ชั้นหนึ่งของศาลาพระคัมภีร์ได้

 

ถึงแม้ซูฉินจะเป็นเพียงพระกวาดลาน แต่เขาก็เป็นศิษย์วัดเส้าหลิน ดังนั้นจึงสามารถเข้าใช้ได้อย่างไม่มีปัญหา

 

ขณะที่ซูฉินกำลังอ่านหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ด้วยความเพลิดเพลินอยู่นั้น

 

“ศิษย์น้องเจินกวน เจ้าก็มาที่นี่อย่างนั้นรึ?” เสียงแสดงความประหลาดใจดังขึ้นมาจากด้านข้าง

 

ซูฉินเงยหน้าขึ้น พับปิดหนังสือ ชำเลืองมองผู้มาใหม่ “ศิษย์พี่เจินชี่”

 

เจินชี่ผู้นี้ก็คือหัวหน้ากลุ่มสงฆ์ทั้งหนึ่งร้อยแปดรูปที่เฝ้าหอคอยสะกดมาร

 

ข้างเจินชี่มีพระหลายรูปยืนอยู่รอบๆ

 

“พลังชีวิตและเลือดเนื้อของข้านั้นถูกดูดกลืนไป ท่านหัวหน้าตำหนักให้ข้างดเว้นการฝึกวิทยายุทธชั่วคราวในยามนี้ เหตุนี้ข้าจึงมาที่นี่เพื่อหาหนังสืออ่านเสียหน่อย”

 

เจินชี่อธิบาย

 

“เป็นเช่นนั้นนี่เอง” ซูฉินพยักหน้าตอบรับ

 

ในตอนนั้นที่หน้าหอคอยสะกดมาร เจินชี่ถูกสูบพลังไปโดยมารเฒ่ากลืนโลหิตแต่ซูฉินเข้าไปขัดขวางเอาไว้ได้ทันเวลาจึงไม่ได้ทำให้รากฐานการบ่มเพาะเสียหาย

 

ไม่เช่นนั้นเจินชี่คงไม่เพียงแค่ถูกสูบพลังชีวิตไปและเลือดอีกนิดหน่อย แต่จะกลายเป็นถูกสูบเลือดจนแห้งหากซูฉินมาสายไปเพียงนิดเดียว

 

ส่วนภิกษุรูปอื่นๆ ที่อยู่ข้างๆ เจินชี่ก็มาด้วยเหตุผลเดียวกัน

 

แม้พวกเขาจะไม่ได้โดนสูบพลังชีวิต แต่พวกเข้าก็ได้รับบาดเจ็บและจำเป็นต้องพักไปก่อนในช่วงนี้

 

ทุกคนต่างสนทนากันสักพัก พวกเขาคุยเรื่องที่เกิดขึ้นที่หอคอยสะกดมารเมื่อคืน

 

“ฮึ่ม ตอนนั่นมันหน้าสิ่วหน้าขวานที่สุดไปเลยหละ อีกเพียงครู่เดียวเจ้ามารเฒ่ากลืนโลหิตนั่นคงจะสังหารข้า…”

 

เจินชี่เล่าอย่างออกรส

 

เป็นเรื่องราวหนักหน่วงที่เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นความตาย

 

หลังจากที่เจินชี่ผ่านช่วงวิกฤติความเป็นความตายมาได้ ความคิดของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

“ศิษย์พี่เจินชี่ ตอนนั้นศิษย์พี่ไม่ได้หมดสติไป ท่านได้เห็นรูปลักษณ์ของบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์หรือไม่…”

 

พระที่อยู่ด้านข้างถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ

 

เมื่อคำได้กล่าวออก

 

ดวงตาของเหล่าภิกษุสงฆ์รูปอื่นๆ พลันสว่างขึ้น

 

ในตอนนี้ข่าวเกี่ยวกับการลงมือของบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ได้แพร่กระจายไปทั่ววัดเส้าหลินแล้ว

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกับหัวหน้าตำหนักก็ไม่ได้ออกมาปฏิเสธข่าวนี้แต่อย่างใด

 

เพราะสุดท้ายแล้วการให้ศิษย์วัดได้รู้ว่าเบื้องหลังของวัดเส้าหลินมีสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ก็ช่วยให้ศิษย์มีแรงใจในการฝึกฝนต่อไปได้อยู่บ้าง

 

“รูปลักษณ์งั้นรึ?”

 

เจินชี่ส่ายหัว “ข้าเห็นเพียงร่างเงาที่คลุมเครือก่อนจะหมดสติไป…”

 

ซูฉินหัวเราะเบาๆ ยามเมื่อได้ยินเช่นนั้น

 

ตอนที่เขาไปปรากฏตัวที่หน้าหอคอยสะกดมาร เขาปกคลุมร่างตนด้วยกำลังภายใน เว้นไว้แต่มารเฒ่ากลืนโลหิต ไม่มีใครในที่นั้นจะสามารถมองเห็นเขาได้

 

เมื่อพระรูปอื่นๆ ได้ยินเช่นนั้นก็ทำได้แต่ยอมแพ้

 

“ถึงข้าจะไม่ได้เห็นรูปลักษณ์ แต่ข้าก็สัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์…”

 

เจินชี่ก็กล่าวต่ออย่างกะทันหัน

 

“ความแข็งแกร่งของบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์?”

 

พระทั้งหลายต่างกะพริบตาปริบๆ ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความงุนงง “บรรพบุรุษเป็นสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ ก็ต้องเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งอยู่แล้วมิใช่หรือ?”

 

“แน่นอนว่าย่อมเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง…”

 

เจินชี่เว้นช่วงก่อนจะลดเสียงลงแล้วกล่าวต่อ “ถึงจะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง แต่มันก็แบ่งได้ตั้งแต่ขั้นต่ำไปจนถึงขั้นสูงสุด”

 

“ยกตัวอย่าง นักพรตจางผู้สืบเชื้อสายจากนักพรตหวู่แห่งเขาหวู่ตั้งเขามีอำนาจยิ่งใหญ่มาหลายทศวรรษ แม้แต่ตัวตนอย่างจักรพรรดิเขาก็ยังเพิกเฉยได้ แล้วก็ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนก็ราวกับเป็นมังกรผู้พิทักษ์ทั้งอาณาจักรเหมิ่งหยวน[1]เลยล่ะ…”

 

เจินชี่แสดงออกด้วยสีหน้าที่กำลังหวาดกลัว

 

ไม่ว่าจะเป็นนักพรตจางหรือราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวน พวกเขาต่างยืนอยู่ในระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดและมีความเป็นไปได้ที่จะแตะขอบของระดับตำนานยุทธแล้ว

 

ต่อหน้าบุคคลเหล่านี้ปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งธรรมดาทั่วไปล้วนดูหมองซีดไปทันที

 

“ศิษย์พี่เจินชี่หมายความว่าอย่างไรกัน?”

 

ท่าทางของพระรอบข้างเริ่มเปลี่ยนไป

 

แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณยอดปรมาจารย์สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับชั้นที่หนึ่ง แต่เขาก็ไม่ได้ตระหนักถึงความแข็งแกร่งของยอดยุทธผู้นี้

 

สำหรับพระเหล่านี้แล้ว แม้แต่ระดับชั้นที่หนึ่งธรรมดาๆ ก็ยังห่างไกลเกินจะเอื้อม นับประสาอะไรกับนักพรตจางและราชครูอาณาจักรเหมิ่งหยวน?

 

“แม้ว่าข้าจะไม่ทราบความแข็งแกร่งของมารเฒ่ากลืนโลหิต แต่มันสามารถชนะค่ายกลร้อยแปดอรหันต์ได้ในทันที ถึงแม้จะไม่ใช่ระดับชั้นที่หนึ่งแต่ความแข็งแกร่งของมันคงไม่ไกลกว่านี้นัก”

 

“ตัวตนระดับนี้หากต้องปะทะกับปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งจริงๆ แม้จะไม่สามารถเอาชนะได้แต่ยังมีหวังที่จะหลบหนี”

 

“ถึงแม้จะหนีไม่ได้ ก็ต้องต่อกรได้บ้าง”

 

เจินชี่เน้นน้ำเสียง “แต่เมื่อคืนมารเฒ่ากลืนโลหิตตายในทันที ราวกับเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่เหนือล้ำไปกว่าตนเองมาก”

 

“ฉะนั้นข้าจึงเดาว่าบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์อย่างน้อยก็ต้องมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับเดียวกันกับราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนและนักพรตจาง…”

 

เจินชี่เผยความเห็นของเขา

 

กลุ่มสงฆ์ต่างมองหน้ากัน แสดงอาการตกใจ

 

เทียบเท่านักพรตจาง เทียบเท่าราชครูอาณาจักรเหมิ่งหยวน จุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่ง?

 

“ไม่เชื่อเช่นนั้นหรือ?”

 

เจินชี่รู้สึกประหม่าเมื่อเห็นกลุ่มสงฆ์เงียบไป เขามองไปที่ซูฉินที่กำลังหยิบหนังสือประวัติศาสตร์กลับมาอ่านอย่างเพลิดเพลินอีกครั้ง

 

“ศิษย์น้องเจินกวน ช่วยบอกศิษย์พี่ทีว่าการคาดเดานี้ถูกต้องหรือไม่?”

 

 

——————————————————–

[1] เหมิ่งหยวน 蒙元 – เหมิ่งเยวี๋ยน ในที่นี้น่าจะสื่อถึงชนชาติมองโกเลีย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 26 คาดเดา

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 26 คาดเดา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 26 คาดเดา

 

 

ตั้งแต่ตอนที่เขาสำเร็จจุดสูงสุดของกายาวัชระคงกระพันเมื่อไม่กี่ปีก่อน ซูฉินก็ไม่ได้รู้สึกว่าร่างกายของเขามีการพัฒนาใดที่เห็นได้ชัดอีกเลย

 

แม้แต่ตอนที่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง ก็เป็นเพียงการกลั่นกำลังภายในให้มีคุณภาพสูงขึ้น และบังเอิญไปเสริมศักยภาพร่างกายด้วยเล็กน้อย

 

การเสริมสร้างศักยภาพร่างกายทางอ้อมแบบนี้ สำหรับซูฉินแทบไม่รู้สึกว่ามันมีการเปลี่ยนแปลงใดเกิดขึ้น

 

แต่ตอนนี้

 

ซูฉินรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งของร่างกายที่รอคอยมาเนิ่นนาน ด้วยการผสานพลังของกายาวัชระคงกระพันและวิชาขัดเกลากายาจันทรา

 

ปึงๆ

 

เลือดลมพลุ่งพล่าน หยินสุดขั้ว หยางสุดแกร่ง โรมรันกันไปมา เกิดการปะทะและหักล้างกันอย่างต่อเนื่องจากพลังทั้งสองสายจนทำให้เกิดเป็นไอพลังสีเทาหลอมเข้าไปรวมกับทุกส่วนของร่างกาย

 

แม้แต่พลังลมปราณภายในก็ค่อยๆ ถูกชำระล้างให้บริสุทธิ์ไปทีละนิดจากเหตุการณ์ดังกล่าว

 

ลึกลงไประหว่างคิ้ว องค์ยูไลสีทองก็เริ่มเปล่งรัศมีออกมา เป็นคลื่นแสงสะท้อนไปทั่วทั้งร่างของเขา

 

กำลังภายในและกายเนื้อเป็นหนึ่งเดียวกัน พึ่งพากัน ร่างกายที่แข็งแกร่งสามารถทำให้มีกำลังภายในที่แข็งแกร่งได้ฉันใด กำลังภายในที่บริสุทธิ์ย่อมเสริมศักยภาพให้กับร่างกายได้ฉันนั้น

 

หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง

 

ซูฉินค่อยๆ ลุกขึ้นยืนช้าๆ

 

แกร๊ก แกร๊ก

 

ซูฉินขยับเคลื่อนกระดูกภายในร่างจนเกิดเสียง

 

“น่าเสียดายที่วิชาขัดเกลากายาจันทรา สามารถฝึกฝนได้ดีที่สุดก็เมื่อยามดวงจันทร์ลอยสูงอยู่กลางหัว”

 

ซูฉินเงยหน้ามองดวงจันทร์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าแล้วถอนหายใจ

 

“ค่อยกลับมาคืนพรุ่งนี้”

 

ซูฉินกลับไปที่ลานจิปาถะ

 

หลังผ่านการฝึกฝนมาตลอดทั้งคืนซูฉินไม่เหนื่อยเลย กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง

 

ตั้งแต่ที่กลายมาเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งและมีการฝึกฝน ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ถึงแม้เขาจะไม่พักผ่อนเป็นเวลานานนับเดือนก็หาได้เกิดปัญหาใดขึ้นไม่

 

 

ที่หน้าศาลาพระคัมภีร์

 

ซูฉินกล่าวกับตนเองเงียบๆ ในใจ “ระบบ ลงชื่อเข้าใช้”

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับ ‘ฝ่ามือปราณภาวนา‘ ]

 

“ฝ่ามือปราณภาวนา?”

 

รอยยิ้มบนใบหน้าของซูฉินปรากฏขึ้น

 

ฝ่ามือปราณภาวนาเป็นเคล็ดวิชาลับเฉพาะตัวของวัดเส้าหลิน มีเพียงเจ้าอาวาสและหัวหน้าตำหนักเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์เรียนรู้เคล็ดวิชาชุดนี้ได้

 

ว่ากันว่าเมื่อหลายร้อยปีก่อนมีสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ของวัดเส้าหลินฝึกฝนฝ่ามือปราณภาวนาจนถึงขนาดเอาชนะยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่โด่งดังมาแล้วหลายคนด้วยฝ่ามือเดียว นั่นทำให้สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับชั้นที่หนึ่งยุคนั้นมีชื่อเสียงไปทั่วยุทธภพ

 

แม้ว่าเหตุผลหลักจะมาจากความแข็งแกร่งที่แสนทรงพลังของการเป็นสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับชั้นที่หนึ่ง แต่ฝ่ามือปราณภาวนาก็หาใช่สิ่งที่ควรมองข้าม

 

หลังจากนั้น

 

รายละเอียดข้อมูลยิบย่อยทั้งหลายทั้งปวงเกี่ยวกับฝ่ามือปราณภาวนาก็หลั่งไหลเข้ามาในจิตของซูฉิน

 

ใช้เวลาเพียงครู่เดียวเท่านั้นซูฉินก็เหมือนกับได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาลับอย่างฝ่ามือปราณภาวนามาแล้วหลายสิบปี

 

หลังจากที่ลงชื่อเข้าใช้เรียบร้อย ซูฉินทำความสะอาดให้พอเป็นพิธี ก่อนจะเข้าไปที่ชั้นแรกของศาลาพระคัมภีร์เพื่อดูบันทึกข้อมูลเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่สะสมเอาไว้ในวัดเส้าหลิน

 

ศาลาพระคัมภีร์นั้นแบ่งออกเป็นสี่ชั้น

 

จากชั้นที่สองถึงชั้นที่สี่บรรจุเคล็ดวิชาหลายหลากของวัดเส้าหลิน

 

หากศิษย์คนใดต้องการจะขึ้นไปชั้นที่สองถึงชั้นที่สี่จำจะต้องได้รับอนุญาตจากท่านเจ้าอาวาสหรือไม่ก็หัวหน้าตำหนักต่างๆ เสียก่อน

 

ส่วนชั้นแรกเก็บบันทึกเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ถูกเขียนขึ้นหรือนำกลับมาจากพระสงฆ์ที่ลงเขาออกจาริกไปทั่วยุทธภพ

 

ไม่มีอะไรในชั้นนี้เกี่ยวข้องกับวิชายุทธเลย

 

ดังนั้นไม่ว่าศิษย์สาวกคนใดก็สามารถเข้ามาอ่านคัมภีร์ที่ชั้นหนึ่งของศาลาพระคัมภีร์ได้

 

ถึงแม้ซูฉินจะเป็นเพียงพระกวาดลาน แต่เขาก็เป็นศิษย์วัดเส้าหลิน ดังนั้นจึงสามารถเข้าใช้ได้อย่างไม่มีปัญหา

 

ขณะที่ซูฉินกำลังอ่านหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ด้วยความเพลิดเพลินอยู่นั้น

 

“ศิษย์น้องเจินกวน เจ้าก็มาที่นี่อย่างนั้นรึ?” เสียงแสดงความประหลาดใจดังขึ้นมาจากด้านข้าง

 

ซูฉินเงยหน้าขึ้น พับปิดหนังสือ ชำเลืองมองผู้มาใหม่ “ศิษย์พี่เจินชี่”

 

เจินชี่ผู้นี้ก็คือหัวหน้ากลุ่มสงฆ์ทั้งหนึ่งร้อยแปดรูปที่เฝ้าหอคอยสะกดมาร

 

ข้างเจินชี่มีพระหลายรูปยืนอยู่รอบๆ

 

“พลังชีวิตและเลือดเนื้อของข้านั้นถูกดูดกลืนไป ท่านหัวหน้าตำหนักให้ข้างดเว้นการฝึกวิทยายุทธชั่วคราวในยามนี้ เหตุนี้ข้าจึงมาที่นี่เพื่อหาหนังสืออ่านเสียหน่อย”

 

เจินชี่อธิบาย

 

“เป็นเช่นนั้นนี่เอง” ซูฉินพยักหน้าตอบรับ

 

ในตอนนั้นที่หน้าหอคอยสะกดมาร เจินชี่ถูกสูบพลังไปโดยมารเฒ่ากลืนโลหิตแต่ซูฉินเข้าไปขัดขวางเอาไว้ได้ทันเวลาจึงไม่ได้ทำให้รากฐานการบ่มเพาะเสียหาย

 

ไม่เช่นนั้นเจินชี่คงไม่เพียงแค่ถูกสูบพลังชีวิตไปและเลือดอีกนิดหน่อย แต่จะกลายเป็นถูกสูบเลือดจนแห้งหากซูฉินมาสายไปเพียงนิดเดียว

 

ส่วนภิกษุรูปอื่นๆ ที่อยู่ข้างๆ เจินชี่ก็มาด้วยเหตุผลเดียวกัน

 

แม้พวกเขาจะไม่ได้โดนสูบพลังชีวิต แต่พวกเข้าก็ได้รับบาดเจ็บและจำเป็นต้องพักไปก่อนในช่วงนี้

 

ทุกคนต่างสนทนากันสักพัก พวกเขาคุยเรื่องที่เกิดขึ้นที่หอคอยสะกดมารเมื่อคืน

 

“ฮึ่ม ตอนนั่นมันหน้าสิ่วหน้าขวานที่สุดไปเลยหละ อีกเพียงครู่เดียวเจ้ามารเฒ่ากลืนโลหิตนั่นคงจะสังหารข้า…”

 

เจินชี่เล่าอย่างออกรส

 

เป็นเรื่องราวหนักหน่วงที่เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นความตาย

 

หลังจากที่เจินชี่ผ่านช่วงวิกฤติความเป็นความตายมาได้ ความคิดของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

“ศิษย์พี่เจินชี่ ตอนนั้นศิษย์พี่ไม่ได้หมดสติไป ท่านได้เห็นรูปลักษณ์ของบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์หรือไม่…”

 

พระที่อยู่ด้านข้างถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ

 

เมื่อคำได้กล่าวออก

 

ดวงตาของเหล่าภิกษุสงฆ์รูปอื่นๆ พลันสว่างขึ้น

 

ในตอนนี้ข่าวเกี่ยวกับการลงมือของบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ได้แพร่กระจายไปทั่ววัดเส้าหลินแล้ว

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกับหัวหน้าตำหนักก็ไม่ได้ออกมาปฏิเสธข่าวนี้แต่อย่างใด

 

เพราะสุดท้ายแล้วการให้ศิษย์วัดได้รู้ว่าเบื้องหลังของวัดเส้าหลินมีสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ก็ช่วยให้ศิษย์มีแรงใจในการฝึกฝนต่อไปได้อยู่บ้าง

 

“รูปลักษณ์งั้นรึ?”

 

เจินชี่ส่ายหัว “ข้าเห็นเพียงร่างเงาที่คลุมเครือก่อนจะหมดสติไป…”

 

ซูฉินหัวเราะเบาๆ ยามเมื่อได้ยินเช่นนั้น

 

ตอนที่เขาไปปรากฏตัวที่หน้าหอคอยสะกดมาร เขาปกคลุมร่างตนด้วยกำลังภายใน เว้นไว้แต่มารเฒ่ากลืนโลหิต ไม่มีใครในที่นั้นจะสามารถมองเห็นเขาได้

 

เมื่อพระรูปอื่นๆ ได้ยินเช่นนั้นก็ทำได้แต่ยอมแพ้

 

“ถึงข้าจะไม่ได้เห็นรูปลักษณ์ แต่ข้าก็สัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์…”

 

เจินชี่ก็กล่าวต่ออย่างกะทันหัน

 

“ความแข็งแกร่งของบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์?”

 

พระทั้งหลายต่างกะพริบตาปริบๆ ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความงุนงง “บรรพบุรุษเป็นสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ ก็ต้องเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งอยู่แล้วมิใช่หรือ?”

 

“แน่นอนว่าย่อมเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง…”

 

เจินชี่เว้นช่วงก่อนจะลดเสียงลงแล้วกล่าวต่อ “ถึงจะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง แต่มันก็แบ่งได้ตั้งแต่ขั้นต่ำไปจนถึงขั้นสูงสุด”

 

“ยกตัวอย่าง นักพรตจางผู้สืบเชื้อสายจากนักพรตหวู่แห่งเขาหวู่ตั้งเขามีอำนาจยิ่งใหญ่มาหลายทศวรรษ แม้แต่ตัวตนอย่างจักรพรรดิเขาก็ยังเพิกเฉยได้ แล้วก็ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนก็ราวกับเป็นมังกรผู้พิทักษ์ทั้งอาณาจักรเหมิ่งหยวน[1]เลยล่ะ…”

 

เจินชี่แสดงออกด้วยสีหน้าที่กำลังหวาดกลัว

 

ไม่ว่าจะเป็นนักพรตจางหรือราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวน พวกเขาต่างยืนอยู่ในระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดและมีความเป็นไปได้ที่จะแตะขอบของระดับตำนานยุทธแล้ว

 

ต่อหน้าบุคคลเหล่านี้ปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งธรรมดาทั่วไปล้วนดูหมองซีดไปทันที

 

“ศิษย์พี่เจินชี่หมายความว่าอย่างไรกัน?”

 

ท่าทางของพระรอบข้างเริ่มเปลี่ยนไป

 

แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณยอดปรมาจารย์สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับชั้นที่หนึ่ง แต่เขาก็ไม่ได้ตระหนักถึงความแข็งแกร่งของยอดยุทธผู้นี้

 

สำหรับพระเหล่านี้แล้ว แม้แต่ระดับชั้นที่หนึ่งธรรมดาๆ ก็ยังห่างไกลเกินจะเอื้อม นับประสาอะไรกับนักพรตจางและราชครูอาณาจักรเหมิ่งหยวน?

 

“แม้ว่าข้าจะไม่ทราบความแข็งแกร่งของมารเฒ่ากลืนโลหิต แต่มันสามารถชนะค่ายกลร้อยแปดอรหันต์ได้ในทันที ถึงแม้จะไม่ใช่ระดับชั้นที่หนึ่งแต่ความแข็งแกร่งของมันคงไม่ไกลกว่านี้นัก”

 

“ตัวตนระดับนี้หากต้องปะทะกับปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งจริงๆ แม้จะไม่สามารถเอาชนะได้แต่ยังมีหวังที่จะหลบหนี”

 

“ถึงแม้จะหนีไม่ได้ ก็ต้องต่อกรได้บ้าง”

 

เจินชี่เน้นน้ำเสียง “แต่เมื่อคืนมารเฒ่ากลืนโลหิตตายในทันที ราวกับเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่เหนือล้ำไปกว่าตนเองมาก”

 

“ฉะนั้นข้าจึงเดาว่าบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์อย่างน้อยก็ต้องมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับเดียวกันกับราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนและนักพรตจาง…”

 

เจินชี่เผยความเห็นของเขา

 

กลุ่มสงฆ์ต่างมองหน้ากัน แสดงอาการตกใจ

 

เทียบเท่านักพรตจาง เทียบเท่าราชครูอาณาจักรเหมิ่งหยวน จุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่ง?

 

“ไม่เชื่อเช่นนั้นหรือ?”

 

เจินชี่รู้สึกประหม่าเมื่อเห็นกลุ่มสงฆ์เงียบไป เขามองไปที่ซูฉินที่กำลังหยิบหนังสือประวัติศาสตร์กลับมาอ่านอย่างเพลิดเพลินอีกครั้ง

 

“ศิษย์น้องเจินกวน ช่วยบอกศิษย์พี่ทีว่าการคาดเดานี้ถูกต้องหรือไม่?”

 

 

——————————————————–

[1] เหมิ่งหยวน 蒙元 – เหมิ่งเยวี๋ยน ในที่นี้น่าจะสื่อถึงชนชาติมองโกเลีย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+