เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 261 (I) เฉินกวนพระผู้ต่ําต้อย มานมัสการวิหาร วัดเส้าหลิน

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 261 (I) เฉินกวนพระผู้ต่ําต้อย มานมัสการวิหาร วัดเส้าหลิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 261 (1) เฉินกวนพระผู้ต่ําต้อย มานมัสการวิหาร

วัดเส้าหลิน

 

ซูฉินได้กระจายหยดน้ําจิตวิญญาณพฤกษาหนึ่งหยดออกเป็นล้านๆ ส่วน ละลายเข้าไปในเม ฆหมอก และแทรกซึมเข้าไปในตัวของเหล่าศิษย์วัดเส้าหลินในรูปของฝนโปรยปราย

 

แม้ว่าพลังชีวิตในหยดน้ําจิตวิญญาณกําเนิดพฤกษาจะมีคุณค่าเล็กน้อยในสายตาของซูฉิน แต่ในมุมของศิษย์วัดเส้าหลินเหล่านี้มันไม่ต่างไปจากน้ําอมฤต ศิษย์ทุกคนที่ได้อาบน้ําฝนแห่งชีวิต ล้วนเปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวาและรู้สึกได้ถึงพลังฉีอันนับไม่ถ้วน

 

ในเวลาต่อมา ซูฉินก็เพิกเฉยต่อการกราบไหว้เคารพของเหล่าศิษย์สาวก และมองดูค่ายกลฟ้า ดินขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังแทน

 

ค่ายกลฟ้าดินเหล่านี้ถูกจัดเรียงไว้ในยามที่ซูฉินอยู่ในระดับนภาชั้นที่สาม และตอนนี้ถูกทํา ลายลงแล้วโดยบรรพชนเก้า แม้จะยังคงมีผลในการรวบรวมพลังฟ้าดินแต่ก็ไม่ดีเหมือนเก่าก่อน

 

“จัดตั้งขึ้นใหม่อีกรอบแล้วกัน”

 

ซูฉินแตะปลายคางและตัดสินใจ

 

นับตั้งแต่ออกจากวัดเส้าหลินไป เขาก็ได้รับผังค่ายกลฟ้าดินมากมายหลายร้อยหลายพันแบบ จากการลงชื่อเข้าใช้ และความเข้าใจของซูฉินเกี่ยวกับค่ายกลนับร้อยนับพันเหล่า นั้นก็พัฒนาจนสมบูรณ์ และบรรลุผลลัพธ์ชั่วชีวิตของคนสองสามชั่วชีวิตคนเลยทีเดียว

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

ซูฉินยกมือขวาขึ้นมา และจุดแสงนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นทันที พื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังของ วัดเส้าหลินก็ปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกอีกครั้ง

 

“จัดตั้งค่ายกลใหม่เพิ่มเข้าไปเก้าแห่งเรียบร้อย

 

ค่ายกลฟ้าดินทั้งเก้านี้ แม้ว่าซูฉินจะไม่ได้จัดตั้งอย่างพิถีพิถันมากนัก แต่ด้วยความแข็งแกร่งใน ระดับปัจจุบันของเขา หากบรรพชนเก้าต้องการทําลายค่ายกลอีกครั้งเกรงว่ามันจะไม่ง่ายดายนัก

 

อาจจะไม่ถึงขั้นที่ปิดกั้นบรรพชนเก้าได้อย่างสมบูรณ์ แต่อย่างน้อยก็กักตัวบรรพชนเก้าไว้ได้ อย่างน้อยครึ่งวัน

 

ด้วยความเร็วของซฉิน ครึ่งค่อนวันก็เพียงพอแล้วที่จะวิ่งวนทั่วทั้งทวีปได้สองสามรอบ

 

เวลาค่อยๆ ผ่านเลยไป

หลังจากผ่านไปเกือบครึ่งวัน

ซูฉินเงยหน้าขึ้นและมองไปยังทิศทางของทะเลทรายตะวันตก คิดสงสัยอยู่กับตนเอง “ไม่ ขยับไปไหนแล้ว ไปถึงวิหารหมื่นพุทธแล้วอย่างนั้นรึ?”

เกือบตลอดทั้งวัน ซูฉินไม่เพียงแต่รักษาศิษย์วัดเส้าหลิน จัดตั้งค่ายกลเสียใหม่ แต่ยังคงแบ่ง ความสนใจไปกับสถานที่ที่บรรพชนเก้าเดินทางไปด้วย

ด้วยดวงตาแห่งสัจจะและวิชาปราณฉีฟ้ากําหนด หลังจากที่บรรพชนเก้าออกจากวัดเส้าหลิน ทุกๆ สถานที่ที่เขาไปก็อยู่ภายใต้การตรวจสอบของซูฉินทั้งหมด

แต่ตอนนี้ซูฉันค้นพบว่าบรรพชนเก้าอยู่ที่เดิมมานานกว่าหนึ่งชั่วโมงแล้ว

เห็นได้ชัดว่ามีเพียงวิหารหมื่นพุทธเท่านั้นที่บรรพชนเก้าจะอยู่ได้นานขนาดนี้

“ได้เวลาไปทะเลทรายตะวันตกแล้ว”

ซูฉันคิดตัดสินใจ เขาหันหน้าไปมองเจ้าอาวาสอุ่ยเหวินและหัวหน้าตําหนักที่ยืนอยู่ด้านข้าง ค่อยๆ พูดอย่างใจเย็น “ข้าจะไปยังทะเลทรายตะวันตก”

“ทะเลทรายตะวันตก?”

เจ้าอาวาสชุ่ยเหวินและหัวหน้าตําหนักต่างมองหน้ากัน สุดท้ายจึงเอ่ยปากถามอย่างระมัดระ วัง “ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์จะไปทําสิ่งใดในทะเลทรายตะวันตก?”

“ไปวิหารหมื่นพุทธ…”

ซูฉินก้าวเท้าไปข้างหน้า และหายตัวไปจากวัดเส้าหลิน

เจ้าอาวาสชุ่ยเหวินและหัวหน้าตําหนักพยายามนึกว่าซูฉินจะพูดอะไรต่อ “ข้าต้องการคําอธิ บาย….”

ส่วนลึกของทะเลทรายตะวันตก

ภายในวิหารหมื่นพุทธ

ร่างสามร่างนั่งขัดสมาธิทํามุมกันเป็นสามเหลี่ยมอยู่ในห้องโถงใหญ่ ลมหายใจของพวกเขาลึก ซึ้งและทรงพลังอย่างยิ่ง

ที่มุมซ้ายสุดของห้องโถง บรรพชนเก้าอยู่ในมุมปลายแหลมระหว่างสองร่างที่เหลือ แล้วกล่า วอย่างเคร่งขรึมว่า

“บรรพชนหก บรรพชนเจ็ด ก็เป็นตามที่ข้ากล่าวไปเมื่อครู่”

“แผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่แห่งนี้อันตรายจริงๆ ไม่เพียงแต่ตํานานยุทธเมืองฉางอันที่สา มารถเอาชนะตํานานยุทธขั้นสูงสุดอย่างบรรพบุรุษชีหยวนได้เท่านั้น ผู้ทรงสมณศักดิ์จากวัดเส้าหลิ นก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่ากันมากนัก…”

 

ตั้งแต่ที่บรรพชนเก้ากลับมา เขาก็ได้พบบรรพชนหกและบรรพชนเจ็ดจากวิหารหมื่นพุทธที่รีบ เดินทางมาจากต่างแดน จากนั้นจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่ได้ประสบมาในวัดเส้าหลินให้ฟัง

 

“แผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ นี้ค่อนข้างน่าสนใจ”

 

“กระแสปราณฉีเสื่อมโทรมมานานหลายต่อหลายปีแล้ว ค่อนข้างไม่สมเหตุสมผลที่ จะให้กําเนิดผู้ที่แข็งแกร่งเช่นนี้”

 

บรรพชนหกดูเป็นพระชราใจดีรูปหนึ่ง ในตอนนี้เขาพูดช้าๆ ด้วยน้ําเสียงที่อยากรู้อยากเห็น “ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน”

 

บรรพชนเก้ายิ้มอย่างขมขื่น เขาไม่เชื่อว่าว่าวัดเส้าหลินจะมีผู้ทรงสมณศักดิ์ที่ทรงพลังเช่นนั้น ไม่ทีแรก แต่สิ่งที่เจอทําให้เขาตกตะลึง

 

ซูฉินไม่เพียงแต่เป็นผู้ทรงสมณศักดิ์ แต่ยังแข็งแกร่งท่ามกลางผู้ทรงสมณศักดิ์ทั้งหลาย

 

“เจ้าคิดว่าผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลินแข็งแกร่งเพียงใด?” ในเวลานี้ บรรพชนเจ็ดที่ไม่พูด อะไรเลยตั้งแต่แรก ก็กล่าวถามออกมา

 

บรรพชนเก้าเพิ่งจะเล่าถึงเรื่องที่ต่อสู้กับซูฉินแล้วรีบหนีออกมาในทันทีด้วยเคล็ดวิชาท่าเท้า หลบหนีศักดิ์สิทธิ์ แต่ไม่ได้ลงรายละเอียดระหว่างการต่อสู้

 

“แข็งแกร่งเพียงใด?”

 

บรรพชนเก้าเงียบไป แล้วยกสายลูกประคําที่คล้องไว้กับข้อมือของเขาขึ้นมา

 

“ข้าได้อัญเชิญลูกประคําเส้นนี้เพื่อต่อสู้กับผู้ทรงสมณศักดิ์วัดเส้าหลิน ผลคือผู้ทรงสมณศักดิ์ กระแทกสมบัติพุทธคุณเส้นนี้กลับมาได้ด้วยมือเปล่า…”

 

คําที่กล่าวออกมา

 

ไม่ว่าจะเป็นบรรพชนหกหรือบรรพชนเจ็ด รูม่านตาของพวกเขาพลันหดตัวลงอย่างรวดเร็ว

 

การขับไล่บรรพชนเก้าออกมา กับการขับไล่บรรพชนเก้าที่ใช้สมบัติพุทธคุณร่วมด้วยแล้วนั้น เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน

 

แม้ว่าบรรพชนเก้าจะเป็นอรหันต์ขั้นสูงสุด เขาก็ยังไม่ได้เปลี่ยนจิตวิญญาณแรกกําเนิด ประ กอบกับเลือดเนื้อตกต่ําลง ทําให้ความแข็งแกร่งของเขาไม่ได้อยู่ในจุดสูงสุดอีกต่อไป และเมื่อต้อง เผชิญหน้ากับผู้ที่แข็งแกร่งในระดับเดียวกัน ด้วยพละกําลังที่ถดถอยจึงเลือกที่จะหนีกลับ เป็นเรื่อง ที่เข้าใจได้

นั่นหมายความว่าบรรพชนเก้าไม่ได้ด้อยกว่าซูฉิน

แต่บรรพชนเก้าที่ใช้สมบัติพุทธคุณ การที่ใช้สมบัติพุทธคุณจะช่วยเสริมความแข็งแกร่ง เพิ่มขึ้นไปอีกหลายระดับ ในกรณีนี้ซูฉินยังคงขับไล่ออกไปได้ เป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก

“ไม่เพียงเท่านี้”

บรรพชนเก้าส่ายศีรษะเล็กน้อย แล้วส่งแก่นแท้แห่งพลังเข้าไปในลูกประคํา ทันใดนั้น สายลูก ประคําก็ขยายขนาดอย่างรวดเร็ว

ในเวลานี้ บรรพชนหกและบรรพชนเจ็ดก็เห็นรอยหมัดตื้นๆ ที่อยู่บนลูกประคํา

“นี่คือ?”

ใบหน้าของบรรพชนหกและบรรพชนเจ็ดเปลี่ยนไปอย่างมาก

สายตาของพวกเขานั้นมองเห็นได้ลึกซึ้งกว่าบรรพชนเก้าแน่นอน เขาตระหนักดีว่าการที่สามา รถทิ้งรอยไว้บนลูกประคําเส้นนี้ได้หมายความเช่นไร

“เป็นไปได้ไหมว่าผู้ทรงสมณศักดิ์ของวัดเส้าหลินได้เปลี่ยนเป็นจิตวิญญาณแรกกําเนิดแล้ว?” บรรพชนเจ็ดกล่าวด้วยท่าทีที่เคร่งขรึม

ตํานานยุทธขั้นสูงสุดธรรมดา วิหารหมื่นพุทธย่อมไม่สนใจ แต่ตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่เปลี่ยนจิ ตวิญญาณแรกกําเนิดได้แล้วก็เพียงพอจะกวาดล้างยุทธภพต่างแดนได้ง่ายดายในยุคปัจจุบันนี้

 

ในยุคที่ไม่มีเซียนเทพปฐพีกําเนิดขึ้นมา ตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่เปลี่ยนจิตวิญญาณแรกกําเนิด ได้ ย่อมเป็นตัวตนที่อยู่ยงคงกระพัน

 

พลังของจิตวิญญาณแรกกําเนิดลึกซึ้งเกินกว่าจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์

 

เมื่อแปรเปลี่ยนเป็นจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ จอมยุทธไม่เพียงแต่จะหลุดออกจากพันธนาการ ของร่างกายเท่านั้น ยังสามารถพึ่งพาจิตวิญญาณแรกกําเนิดเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ด้วย

 

จอมยุทธธรรมดาๆ ถึงแม้จะเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุด เมื่อตกตายไปนั้น เว้นแต่จะมีทักษะลับ จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่สามารถดํารงอยู่ได้นานนักหากปราศจากร่างกาย จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์จะ ค่อยๆ สลายไปด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

 

แต่จิตวิญญาณแรกกําเนิดนั้นต่างออกไป

 

แม้จิตวิญญาณแรกกําเนิดจะยังอยู่กับกายเนื้อ แต่อีกแง่หนึ่งมันก็ไม่ได้มีร่างกายมาเป็นข้อจํา กัด

 

สําหรับตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่เปลี่ยนจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ แม้ว่าจะสูญเสียร่างกายไป แต่ก็สามารถพึ่งพาจิตวิญญาณแรกกําเนิดเพื่อรักษาพลังต่อสู้ส่วนใหญ่เอาไว้ได้ ไม่ต้องกังวลต่อกา รเน่าเปื่อยของสังขารอย่างบรรพชนเก้า บรรพชนหก หรือบรรพชนเจ็ดที่ต้องคอยระวังเกี่ยวกับ พลังชีวิตเลือดเนื้อของตนเองอยู่ตลอดเวลา ไม่กล้าต่อสู้ด้วยกําลังทั้งหมด

“ข้าไม่ได้สัมผัสถึงพลังของจิตวิญญาณแรกกําเนิดแม้แต่น้อย” หลังจากได้ยินคําถามนั้น บร รพชนเก้าก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวยืนยันอย่างจริงจังว่า “ยิ่งไปกว่านั้น หากผู้ทรงสมณศักดิ์ แห่งวัดเส้าหลินแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดแล้วจริงๆ ข้าคงไม่สามารถรับมือได้โดยง่าย”

 

เมื่อบรรพชนเจ็ดได้ยินเช่นนี้ ท่าทีของเขาก็เชื่องช้าลงไปเล็กน้อย มองดูรอยหมัดตื้นๆ บนลูก ประคําอย่างพินิจพิเคราะห์ ขมวดคิ้วพร้อมกับกล่าวว่า “หากไม่มีการเปลี่ยนจิตวิญญาณแรกกํา เนิด รอยหมัดนี้ข้าก็เกรงว่ามันจะมาจากพลังกายล้วนๆ”

 

“ร่างกายที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ น่าจะใกล้เคียงกับขอบเขตยอดอรหันต์เต็มทนแล้ว”

 

บรรพชนเจ็ดมองด้วยความประหลาดใจ

เมื่อเทียบกับพลังที่แปลกประหลาดและคาดเดาไม่ได้ของจิตวิญญาณแรกกําเนิด การรับมือ งอื่นๆ ด้วยพลังก็ยังพอกระทําได้ เว้นแต่ซูฉินจะมีพละกําลังจากร่างกายที่ไปถึงขอบเขตเซียนเทพ ปฐพีซึ่งนั้นจะเป็นสิ่งรับมือได้ยากที่สุด

 

“ลูกประคํามีจิตวิญญาณอยู่ มันเป็นเพียงรอยกําปั้นเล็กๆ จะไม่ทําลายแก่นของสมบัติพุทธ คุณ สามารถฟื้นตัวได้หลังจากดูดซับพลังสักหลายร้อยปี”

บรรพชนหกพูดอย่างช้าๆ ที่ด้านข้าง

 

ในฐานะที่เป็นสมบัติพุทธคุณที่ยอดอรหันต์ทิ้งไว้ มันจึงเข้ากันได้ดีกับวิชาบ่มเพาะภายในวิ หารหมื่นพุทธ สามารถใช้ประโยชน์จากพลังของบรรดาผู้ทรงสมณศักดิ์มากมายในวิหารหมื่นพุทธ เพิ่มบํารุงหล่อเลี้ยงพวกมันได้อย่างสมบูรณ์

 

“ข้าไม่ได้กังวลเรื่องลูกประคํา”

 

บรรพชนเก้าเก็บลูกประคําไปแล้วส่ายศีรษะ “ข้าเป็นกังวลว่าผู้ทรงสมณศักดิ์วัดเส้าหลินจะใช้ เหตุผลนี้ในการมาสร้างปัญหายังวิหารหมื่นพุทธหรือไม่….”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 261 (I) เฉินกวนพระผู้ต่ําต้อย มานมัสการวิหาร วัดเส้าหลิน

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 261 (I) เฉินกวนพระผู้ต่ําต้อย มานมัสการวิหาร วัดเส้าหลิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 261 (1) เฉินกวนพระผู้ต่ําต้อย มานมัสการวิหาร

วัดเส้าหลิน

 

ซูฉินได้กระจายหยดน้ําจิตวิญญาณพฤกษาหนึ่งหยดออกเป็นล้านๆ ส่วน ละลายเข้าไปในเม ฆหมอก และแทรกซึมเข้าไปในตัวของเหล่าศิษย์วัดเส้าหลินในรูปของฝนโปรยปราย

 

แม้ว่าพลังชีวิตในหยดน้ําจิตวิญญาณกําเนิดพฤกษาจะมีคุณค่าเล็กน้อยในสายตาของซูฉิน แต่ในมุมของศิษย์วัดเส้าหลินเหล่านี้มันไม่ต่างไปจากน้ําอมฤต ศิษย์ทุกคนที่ได้อาบน้ําฝนแห่งชีวิต ล้วนเปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวาและรู้สึกได้ถึงพลังฉีอันนับไม่ถ้วน

 

ในเวลาต่อมา ซูฉินก็เพิกเฉยต่อการกราบไหว้เคารพของเหล่าศิษย์สาวก และมองดูค่ายกลฟ้า ดินขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังแทน

 

ค่ายกลฟ้าดินเหล่านี้ถูกจัดเรียงไว้ในยามที่ซูฉินอยู่ในระดับนภาชั้นที่สาม และตอนนี้ถูกทํา ลายลงแล้วโดยบรรพชนเก้า แม้จะยังคงมีผลในการรวบรวมพลังฟ้าดินแต่ก็ไม่ดีเหมือนเก่าก่อน

 

“จัดตั้งขึ้นใหม่อีกรอบแล้วกัน”

 

ซูฉินแตะปลายคางและตัดสินใจ

 

นับตั้งแต่ออกจากวัดเส้าหลินไป เขาก็ได้รับผังค่ายกลฟ้าดินมากมายหลายร้อยหลายพันแบบ จากการลงชื่อเข้าใช้ และความเข้าใจของซูฉินเกี่ยวกับค่ายกลนับร้อยนับพันเหล่า นั้นก็พัฒนาจนสมบูรณ์ และบรรลุผลลัพธ์ชั่วชีวิตของคนสองสามชั่วชีวิตคนเลยทีเดียว

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

ซูฉินยกมือขวาขึ้นมา และจุดแสงนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นทันที พื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังของ วัดเส้าหลินก็ปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกอีกครั้ง

 

“จัดตั้งค่ายกลใหม่เพิ่มเข้าไปเก้าแห่งเรียบร้อย

 

ค่ายกลฟ้าดินทั้งเก้านี้ แม้ว่าซูฉินจะไม่ได้จัดตั้งอย่างพิถีพิถันมากนัก แต่ด้วยความแข็งแกร่งใน ระดับปัจจุบันของเขา หากบรรพชนเก้าต้องการทําลายค่ายกลอีกครั้งเกรงว่ามันจะไม่ง่ายดายนัก

 

อาจจะไม่ถึงขั้นที่ปิดกั้นบรรพชนเก้าได้อย่างสมบูรณ์ แต่อย่างน้อยก็กักตัวบรรพชนเก้าไว้ได้ อย่างน้อยครึ่งวัน

 

ด้วยความเร็วของซฉิน ครึ่งค่อนวันก็เพียงพอแล้วที่จะวิ่งวนทั่วทั้งทวีปได้สองสามรอบ

 

เวลาค่อยๆ ผ่านเลยไป

หลังจากผ่านไปเกือบครึ่งวัน

ซูฉินเงยหน้าขึ้นและมองไปยังทิศทางของทะเลทรายตะวันตก คิดสงสัยอยู่กับตนเอง “ไม่ ขยับไปไหนแล้ว ไปถึงวิหารหมื่นพุทธแล้วอย่างนั้นรึ?”

เกือบตลอดทั้งวัน ซูฉินไม่เพียงแต่รักษาศิษย์วัดเส้าหลิน จัดตั้งค่ายกลเสียใหม่ แต่ยังคงแบ่ง ความสนใจไปกับสถานที่ที่บรรพชนเก้าเดินทางไปด้วย

ด้วยดวงตาแห่งสัจจะและวิชาปราณฉีฟ้ากําหนด หลังจากที่บรรพชนเก้าออกจากวัดเส้าหลิน ทุกๆ สถานที่ที่เขาไปก็อยู่ภายใต้การตรวจสอบของซูฉินทั้งหมด

แต่ตอนนี้ซูฉันค้นพบว่าบรรพชนเก้าอยู่ที่เดิมมานานกว่าหนึ่งชั่วโมงแล้ว

เห็นได้ชัดว่ามีเพียงวิหารหมื่นพุทธเท่านั้นที่บรรพชนเก้าจะอยู่ได้นานขนาดนี้

“ได้เวลาไปทะเลทรายตะวันตกแล้ว”

ซูฉันคิดตัดสินใจ เขาหันหน้าไปมองเจ้าอาวาสอุ่ยเหวินและหัวหน้าตําหนักที่ยืนอยู่ด้านข้าง ค่อยๆ พูดอย่างใจเย็น “ข้าจะไปยังทะเลทรายตะวันตก”

“ทะเลทรายตะวันตก?”

เจ้าอาวาสชุ่ยเหวินและหัวหน้าตําหนักต่างมองหน้ากัน สุดท้ายจึงเอ่ยปากถามอย่างระมัดระ วัง “ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์จะไปทําสิ่งใดในทะเลทรายตะวันตก?”

“ไปวิหารหมื่นพุทธ…”

ซูฉินก้าวเท้าไปข้างหน้า และหายตัวไปจากวัดเส้าหลิน

เจ้าอาวาสชุ่ยเหวินและหัวหน้าตําหนักพยายามนึกว่าซูฉินจะพูดอะไรต่อ “ข้าต้องการคําอธิ บาย….”

ส่วนลึกของทะเลทรายตะวันตก

ภายในวิหารหมื่นพุทธ

ร่างสามร่างนั่งขัดสมาธิทํามุมกันเป็นสามเหลี่ยมอยู่ในห้องโถงใหญ่ ลมหายใจของพวกเขาลึก ซึ้งและทรงพลังอย่างยิ่ง

ที่มุมซ้ายสุดของห้องโถง บรรพชนเก้าอยู่ในมุมปลายแหลมระหว่างสองร่างที่เหลือ แล้วกล่า วอย่างเคร่งขรึมว่า

“บรรพชนหก บรรพชนเจ็ด ก็เป็นตามที่ข้ากล่าวไปเมื่อครู่”

“แผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่แห่งนี้อันตรายจริงๆ ไม่เพียงแต่ตํานานยุทธเมืองฉางอันที่สา มารถเอาชนะตํานานยุทธขั้นสูงสุดอย่างบรรพบุรุษชีหยวนได้เท่านั้น ผู้ทรงสมณศักดิ์จากวัดเส้าหลิ นก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่ากันมากนัก…”

 

ตั้งแต่ที่บรรพชนเก้ากลับมา เขาก็ได้พบบรรพชนหกและบรรพชนเจ็ดจากวิหารหมื่นพุทธที่รีบ เดินทางมาจากต่างแดน จากนั้นจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่ได้ประสบมาในวัดเส้าหลินให้ฟัง

 

“แผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ นี้ค่อนข้างน่าสนใจ”

 

“กระแสปราณฉีเสื่อมโทรมมานานหลายต่อหลายปีแล้ว ค่อนข้างไม่สมเหตุสมผลที่ จะให้กําเนิดผู้ที่แข็งแกร่งเช่นนี้”

 

บรรพชนหกดูเป็นพระชราใจดีรูปหนึ่ง ในตอนนี้เขาพูดช้าๆ ด้วยน้ําเสียงที่อยากรู้อยากเห็น “ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน”

 

บรรพชนเก้ายิ้มอย่างขมขื่น เขาไม่เชื่อว่าว่าวัดเส้าหลินจะมีผู้ทรงสมณศักดิ์ที่ทรงพลังเช่นนั้น ไม่ทีแรก แต่สิ่งที่เจอทําให้เขาตกตะลึง

 

ซูฉินไม่เพียงแต่เป็นผู้ทรงสมณศักดิ์ แต่ยังแข็งแกร่งท่ามกลางผู้ทรงสมณศักดิ์ทั้งหลาย

 

“เจ้าคิดว่าผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลินแข็งแกร่งเพียงใด?” ในเวลานี้ บรรพชนเจ็ดที่ไม่พูด อะไรเลยตั้งแต่แรก ก็กล่าวถามออกมา

 

บรรพชนเก้าเพิ่งจะเล่าถึงเรื่องที่ต่อสู้กับซูฉินแล้วรีบหนีออกมาในทันทีด้วยเคล็ดวิชาท่าเท้า หลบหนีศักดิ์สิทธิ์ แต่ไม่ได้ลงรายละเอียดระหว่างการต่อสู้

 

“แข็งแกร่งเพียงใด?”

 

บรรพชนเก้าเงียบไป แล้วยกสายลูกประคําที่คล้องไว้กับข้อมือของเขาขึ้นมา

 

“ข้าได้อัญเชิญลูกประคําเส้นนี้เพื่อต่อสู้กับผู้ทรงสมณศักดิ์วัดเส้าหลิน ผลคือผู้ทรงสมณศักดิ์ กระแทกสมบัติพุทธคุณเส้นนี้กลับมาได้ด้วยมือเปล่า…”

 

คําที่กล่าวออกมา

 

ไม่ว่าจะเป็นบรรพชนหกหรือบรรพชนเจ็ด รูม่านตาของพวกเขาพลันหดตัวลงอย่างรวดเร็ว

 

การขับไล่บรรพชนเก้าออกมา กับการขับไล่บรรพชนเก้าที่ใช้สมบัติพุทธคุณร่วมด้วยแล้วนั้น เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน

 

แม้ว่าบรรพชนเก้าจะเป็นอรหันต์ขั้นสูงสุด เขาก็ยังไม่ได้เปลี่ยนจิตวิญญาณแรกกําเนิด ประ กอบกับเลือดเนื้อตกต่ําลง ทําให้ความแข็งแกร่งของเขาไม่ได้อยู่ในจุดสูงสุดอีกต่อไป และเมื่อต้อง เผชิญหน้ากับผู้ที่แข็งแกร่งในระดับเดียวกัน ด้วยพละกําลังที่ถดถอยจึงเลือกที่จะหนีกลับ เป็นเรื่อง ที่เข้าใจได้

นั่นหมายความว่าบรรพชนเก้าไม่ได้ด้อยกว่าซูฉิน

แต่บรรพชนเก้าที่ใช้สมบัติพุทธคุณ การที่ใช้สมบัติพุทธคุณจะช่วยเสริมความแข็งแกร่ง เพิ่มขึ้นไปอีกหลายระดับ ในกรณีนี้ซูฉินยังคงขับไล่ออกไปได้ เป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก

“ไม่เพียงเท่านี้”

บรรพชนเก้าส่ายศีรษะเล็กน้อย แล้วส่งแก่นแท้แห่งพลังเข้าไปในลูกประคํา ทันใดนั้น สายลูก ประคําก็ขยายขนาดอย่างรวดเร็ว

ในเวลานี้ บรรพชนหกและบรรพชนเจ็ดก็เห็นรอยหมัดตื้นๆ ที่อยู่บนลูกประคํา

“นี่คือ?”

ใบหน้าของบรรพชนหกและบรรพชนเจ็ดเปลี่ยนไปอย่างมาก

สายตาของพวกเขานั้นมองเห็นได้ลึกซึ้งกว่าบรรพชนเก้าแน่นอน เขาตระหนักดีว่าการที่สามา รถทิ้งรอยไว้บนลูกประคําเส้นนี้ได้หมายความเช่นไร

“เป็นไปได้ไหมว่าผู้ทรงสมณศักดิ์ของวัดเส้าหลินได้เปลี่ยนเป็นจิตวิญญาณแรกกําเนิดแล้ว?” บรรพชนเจ็ดกล่าวด้วยท่าทีที่เคร่งขรึม

ตํานานยุทธขั้นสูงสุดธรรมดา วิหารหมื่นพุทธย่อมไม่สนใจ แต่ตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่เปลี่ยนจิ ตวิญญาณแรกกําเนิดได้แล้วก็เพียงพอจะกวาดล้างยุทธภพต่างแดนได้ง่ายดายในยุคปัจจุบันนี้

 

ในยุคที่ไม่มีเซียนเทพปฐพีกําเนิดขึ้นมา ตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่เปลี่ยนจิตวิญญาณแรกกําเนิด ได้ ย่อมเป็นตัวตนที่อยู่ยงคงกระพัน

 

พลังของจิตวิญญาณแรกกําเนิดลึกซึ้งเกินกว่าจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์

 

เมื่อแปรเปลี่ยนเป็นจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ จอมยุทธไม่เพียงแต่จะหลุดออกจากพันธนาการ ของร่างกายเท่านั้น ยังสามารถพึ่งพาจิตวิญญาณแรกกําเนิดเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ด้วย

 

จอมยุทธธรรมดาๆ ถึงแม้จะเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุด เมื่อตกตายไปนั้น เว้นแต่จะมีทักษะลับ จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่สามารถดํารงอยู่ได้นานนักหากปราศจากร่างกาย จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์จะ ค่อยๆ สลายไปด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

 

แต่จิตวิญญาณแรกกําเนิดนั้นต่างออกไป

 

แม้จิตวิญญาณแรกกําเนิดจะยังอยู่กับกายเนื้อ แต่อีกแง่หนึ่งมันก็ไม่ได้มีร่างกายมาเป็นข้อจํา กัด

 

สําหรับตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่เปลี่ยนจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ แม้ว่าจะสูญเสียร่างกายไป แต่ก็สามารถพึ่งพาจิตวิญญาณแรกกําเนิดเพื่อรักษาพลังต่อสู้ส่วนใหญ่เอาไว้ได้ ไม่ต้องกังวลต่อกา รเน่าเปื่อยของสังขารอย่างบรรพชนเก้า บรรพชนหก หรือบรรพชนเจ็ดที่ต้องคอยระวังเกี่ยวกับ พลังชีวิตเลือดเนื้อของตนเองอยู่ตลอดเวลา ไม่กล้าต่อสู้ด้วยกําลังทั้งหมด

“ข้าไม่ได้สัมผัสถึงพลังของจิตวิญญาณแรกกําเนิดแม้แต่น้อย” หลังจากได้ยินคําถามนั้น บร รพชนเก้าก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวยืนยันอย่างจริงจังว่า “ยิ่งไปกว่านั้น หากผู้ทรงสมณศักดิ์ แห่งวัดเส้าหลินแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดแล้วจริงๆ ข้าคงไม่สามารถรับมือได้โดยง่าย”

 

เมื่อบรรพชนเจ็ดได้ยินเช่นนี้ ท่าทีของเขาก็เชื่องช้าลงไปเล็กน้อย มองดูรอยหมัดตื้นๆ บนลูก ประคําอย่างพินิจพิเคราะห์ ขมวดคิ้วพร้อมกับกล่าวว่า “หากไม่มีการเปลี่ยนจิตวิญญาณแรกกํา เนิด รอยหมัดนี้ข้าก็เกรงว่ามันจะมาจากพลังกายล้วนๆ”

 

“ร่างกายที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ น่าจะใกล้เคียงกับขอบเขตยอดอรหันต์เต็มทนแล้ว”

 

บรรพชนเจ็ดมองด้วยความประหลาดใจ

เมื่อเทียบกับพลังที่แปลกประหลาดและคาดเดาไม่ได้ของจิตวิญญาณแรกกําเนิด การรับมือ งอื่นๆ ด้วยพลังก็ยังพอกระทําได้ เว้นแต่ซูฉินจะมีพละกําลังจากร่างกายที่ไปถึงขอบเขตเซียนเทพ ปฐพีซึ่งนั้นจะเป็นสิ่งรับมือได้ยากที่สุด

 

“ลูกประคํามีจิตวิญญาณอยู่ มันเป็นเพียงรอยกําปั้นเล็กๆ จะไม่ทําลายแก่นของสมบัติพุทธ คุณ สามารถฟื้นตัวได้หลังจากดูดซับพลังสักหลายร้อยปี”

บรรพชนหกพูดอย่างช้าๆ ที่ด้านข้าง

 

ในฐานะที่เป็นสมบัติพุทธคุณที่ยอดอรหันต์ทิ้งไว้ มันจึงเข้ากันได้ดีกับวิชาบ่มเพาะภายในวิ หารหมื่นพุทธ สามารถใช้ประโยชน์จากพลังของบรรดาผู้ทรงสมณศักดิ์มากมายในวิหารหมื่นพุทธ เพิ่มบํารุงหล่อเลี้ยงพวกมันได้อย่างสมบูรณ์

 

“ข้าไม่ได้กังวลเรื่องลูกประคํา”

 

บรรพชนเก้าเก็บลูกประคําไปแล้วส่ายศีรษะ “ข้าเป็นกังวลว่าผู้ทรงสมณศักดิ์วัดเส้าหลินจะใช้ เหตุผลนี้ในการมาสร้างปัญหายังวิหารหมื่นพุทธหรือไม่….”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 261 (I) เฉินกวนพระผู้ต่ําต้อย มานมัสการวิหาร วัดเส้าหลิน

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 261 (I) เฉินกวนพระผู้ต่ําต้อย มานมัสการวิหาร วัดเส้าหลิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 261 (1) เฉินกวนพระผู้ต่ําต้อย มานมัสการวิหาร

วัดเส้าหลิน

 

ซูฉินได้กระจายหยดน้ําจิตวิญญาณพฤกษาหนึ่งหยดออกเป็นล้านๆ ส่วน ละลายเข้าไปในเม ฆหมอก และแทรกซึมเข้าไปในตัวของเหล่าศิษย์วัดเส้าหลินในรูปของฝนโปรยปราย

 

แม้ว่าพลังชีวิตในหยดน้ําจิตวิญญาณกําเนิดพฤกษาจะมีคุณค่าเล็กน้อยในสายตาของซูฉิน แต่ในมุมของศิษย์วัดเส้าหลินเหล่านี้มันไม่ต่างไปจากน้ําอมฤต ศิษย์ทุกคนที่ได้อาบน้ําฝนแห่งชีวิต ล้วนเปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวาและรู้สึกได้ถึงพลังฉีอันนับไม่ถ้วน

 

ในเวลาต่อมา ซูฉินก็เพิกเฉยต่อการกราบไหว้เคารพของเหล่าศิษย์สาวก และมองดูค่ายกลฟ้า ดินขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังแทน

 

ค่ายกลฟ้าดินเหล่านี้ถูกจัดเรียงไว้ในยามที่ซูฉินอยู่ในระดับนภาชั้นที่สาม และตอนนี้ถูกทํา ลายลงแล้วโดยบรรพชนเก้า แม้จะยังคงมีผลในการรวบรวมพลังฟ้าดินแต่ก็ไม่ดีเหมือนเก่าก่อน

 

“จัดตั้งขึ้นใหม่อีกรอบแล้วกัน”

 

ซูฉินแตะปลายคางและตัดสินใจ

 

นับตั้งแต่ออกจากวัดเส้าหลินไป เขาก็ได้รับผังค่ายกลฟ้าดินมากมายหลายร้อยหลายพันแบบ จากการลงชื่อเข้าใช้ และความเข้าใจของซูฉินเกี่ยวกับค่ายกลนับร้อยนับพันเหล่า นั้นก็พัฒนาจนสมบูรณ์ และบรรลุผลลัพธ์ชั่วชีวิตของคนสองสามชั่วชีวิตคนเลยทีเดียว

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

ซูฉินยกมือขวาขึ้นมา และจุดแสงนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นทันที พื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังของ วัดเส้าหลินก็ปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกอีกครั้ง

 

“จัดตั้งค่ายกลใหม่เพิ่มเข้าไปเก้าแห่งเรียบร้อย

 

ค่ายกลฟ้าดินทั้งเก้านี้ แม้ว่าซูฉินจะไม่ได้จัดตั้งอย่างพิถีพิถันมากนัก แต่ด้วยความแข็งแกร่งใน ระดับปัจจุบันของเขา หากบรรพชนเก้าต้องการทําลายค่ายกลอีกครั้งเกรงว่ามันจะไม่ง่ายดายนัก

 

อาจจะไม่ถึงขั้นที่ปิดกั้นบรรพชนเก้าได้อย่างสมบูรณ์ แต่อย่างน้อยก็กักตัวบรรพชนเก้าไว้ได้ อย่างน้อยครึ่งวัน

 

ด้วยความเร็วของซฉิน ครึ่งค่อนวันก็เพียงพอแล้วที่จะวิ่งวนทั่วทั้งทวีปได้สองสามรอบ

 

เวลาค่อยๆ ผ่านเลยไป

หลังจากผ่านไปเกือบครึ่งวัน

ซูฉินเงยหน้าขึ้นและมองไปยังทิศทางของทะเลทรายตะวันตก คิดสงสัยอยู่กับตนเอง “ไม่ ขยับไปไหนแล้ว ไปถึงวิหารหมื่นพุทธแล้วอย่างนั้นรึ?”

เกือบตลอดทั้งวัน ซูฉินไม่เพียงแต่รักษาศิษย์วัดเส้าหลิน จัดตั้งค่ายกลเสียใหม่ แต่ยังคงแบ่ง ความสนใจไปกับสถานที่ที่บรรพชนเก้าเดินทางไปด้วย

ด้วยดวงตาแห่งสัจจะและวิชาปราณฉีฟ้ากําหนด หลังจากที่บรรพชนเก้าออกจากวัดเส้าหลิน ทุกๆ สถานที่ที่เขาไปก็อยู่ภายใต้การตรวจสอบของซูฉินทั้งหมด

แต่ตอนนี้ซูฉันค้นพบว่าบรรพชนเก้าอยู่ที่เดิมมานานกว่าหนึ่งชั่วโมงแล้ว

เห็นได้ชัดว่ามีเพียงวิหารหมื่นพุทธเท่านั้นที่บรรพชนเก้าจะอยู่ได้นานขนาดนี้

“ได้เวลาไปทะเลทรายตะวันตกแล้ว”

ซูฉันคิดตัดสินใจ เขาหันหน้าไปมองเจ้าอาวาสอุ่ยเหวินและหัวหน้าตําหนักที่ยืนอยู่ด้านข้าง ค่อยๆ พูดอย่างใจเย็น “ข้าจะไปยังทะเลทรายตะวันตก”

“ทะเลทรายตะวันตก?”

เจ้าอาวาสชุ่ยเหวินและหัวหน้าตําหนักต่างมองหน้ากัน สุดท้ายจึงเอ่ยปากถามอย่างระมัดระ วัง “ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์จะไปทําสิ่งใดในทะเลทรายตะวันตก?”

“ไปวิหารหมื่นพุทธ…”

ซูฉินก้าวเท้าไปข้างหน้า และหายตัวไปจากวัดเส้าหลิน

เจ้าอาวาสชุ่ยเหวินและหัวหน้าตําหนักพยายามนึกว่าซูฉินจะพูดอะไรต่อ “ข้าต้องการคําอธิ บาย….”

ส่วนลึกของทะเลทรายตะวันตก

ภายในวิหารหมื่นพุทธ

ร่างสามร่างนั่งขัดสมาธิทํามุมกันเป็นสามเหลี่ยมอยู่ในห้องโถงใหญ่ ลมหายใจของพวกเขาลึก ซึ้งและทรงพลังอย่างยิ่ง

ที่มุมซ้ายสุดของห้องโถง บรรพชนเก้าอยู่ในมุมปลายแหลมระหว่างสองร่างที่เหลือ แล้วกล่า วอย่างเคร่งขรึมว่า

“บรรพชนหก บรรพชนเจ็ด ก็เป็นตามที่ข้ากล่าวไปเมื่อครู่”

“แผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่แห่งนี้อันตรายจริงๆ ไม่เพียงแต่ตํานานยุทธเมืองฉางอันที่สา มารถเอาชนะตํานานยุทธขั้นสูงสุดอย่างบรรพบุรุษชีหยวนได้เท่านั้น ผู้ทรงสมณศักดิ์จากวัดเส้าหลิ นก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่ากันมากนัก…”

 

ตั้งแต่ที่บรรพชนเก้ากลับมา เขาก็ได้พบบรรพชนหกและบรรพชนเจ็ดจากวิหารหมื่นพุทธที่รีบ เดินทางมาจากต่างแดน จากนั้นจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่ได้ประสบมาในวัดเส้าหลินให้ฟัง

 

“แผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ นี้ค่อนข้างน่าสนใจ”

 

“กระแสปราณฉีเสื่อมโทรมมานานหลายต่อหลายปีแล้ว ค่อนข้างไม่สมเหตุสมผลที่ จะให้กําเนิดผู้ที่แข็งแกร่งเช่นนี้”

 

บรรพชนหกดูเป็นพระชราใจดีรูปหนึ่ง ในตอนนี้เขาพูดช้าๆ ด้วยน้ําเสียงที่อยากรู้อยากเห็น “ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน”

 

บรรพชนเก้ายิ้มอย่างขมขื่น เขาไม่เชื่อว่าว่าวัดเส้าหลินจะมีผู้ทรงสมณศักดิ์ที่ทรงพลังเช่นนั้น ไม่ทีแรก แต่สิ่งที่เจอทําให้เขาตกตะลึง

 

ซูฉินไม่เพียงแต่เป็นผู้ทรงสมณศักดิ์ แต่ยังแข็งแกร่งท่ามกลางผู้ทรงสมณศักดิ์ทั้งหลาย

 

“เจ้าคิดว่าผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลินแข็งแกร่งเพียงใด?” ในเวลานี้ บรรพชนเจ็ดที่ไม่พูด อะไรเลยตั้งแต่แรก ก็กล่าวถามออกมา

 

บรรพชนเก้าเพิ่งจะเล่าถึงเรื่องที่ต่อสู้กับซูฉินแล้วรีบหนีออกมาในทันทีด้วยเคล็ดวิชาท่าเท้า หลบหนีศักดิ์สิทธิ์ แต่ไม่ได้ลงรายละเอียดระหว่างการต่อสู้

 

“แข็งแกร่งเพียงใด?”

 

บรรพชนเก้าเงียบไป แล้วยกสายลูกประคําที่คล้องไว้กับข้อมือของเขาขึ้นมา

 

“ข้าได้อัญเชิญลูกประคําเส้นนี้เพื่อต่อสู้กับผู้ทรงสมณศักดิ์วัดเส้าหลิน ผลคือผู้ทรงสมณศักดิ์ กระแทกสมบัติพุทธคุณเส้นนี้กลับมาได้ด้วยมือเปล่า…”

 

คําที่กล่าวออกมา

 

ไม่ว่าจะเป็นบรรพชนหกหรือบรรพชนเจ็ด รูม่านตาของพวกเขาพลันหดตัวลงอย่างรวดเร็ว

 

การขับไล่บรรพชนเก้าออกมา กับการขับไล่บรรพชนเก้าที่ใช้สมบัติพุทธคุณร่วมด้วยแล้วนั้น เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน

 

แม้ว่าบรรพชนเก้าจะเป็นอรหันต์ขั้นสูงสุด เขาก็ยังไม่ได้เปลี่ยนจิตวิญญาณแรกกําเนิด ประ กอบกับเลือดเนื้อตกต่ําลง ทําให้ความแข็งแกร่งของเขาไม่ได้อยู่ในจุดสูงสุดอีกต่อไป และเมื่อต้อง เผชิญหน้ากับผู้ที่แข็งแกร่งในระดับเดียวกัน ด้วยพละกําลังที่ถดถอยจึงเลือกที่จะหนีกลับ เป็นเรื่อง ที่เข้าใจได้

นั่นหมายความว่าบรรพชนเก้าไม่ได้ด้อยกว่าซูฉิน

แต่บรรพชนเก้าที่ใช้สมบัติพุทธคุณ การที่ใช้สมบัติพุทธคุณจะช่วยเสริมความแข็งแกร่ง เพิ่มขึ้นไปอีกหลายระดับ ในกรณีนี้ซูฉินยังคงขับไล่ออกไปได้ เป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก

“ไม่เพียงเท่านี้”

บรรพชนเก้าส่ายศีรษะเล็กน้อย แล้วส่งแก่นแท้แห่งพลังเข้าไปในลูกประคํา ทันใดนั้น สายลูก ประคําก็ขยายขนาดอย่างรวดเร็ว

ในเวลานี้ บรรพชนหกและบรรพชนเจ็ดก็เห็นรอยหมัดตื้นๆ ที่อยู่บนลูกประคํา

“นี่คือ?”

ใบหน้าของบรรพชนหกและบรรพชนเจ็ดเปลี่ยนไปอย่างมาก

สายตาของพวกเขานั้นมองเห็นได้ลึกซึ้งกว่าบรรพชนเก้าแน่นอน เขาตระหนักดีว่าการที่สามา รถทิ้งรอยไว้บนลูกประคําเส้นนี้ได้หมายความเช่นไร

“เป็นไปได้ไหมว่าผู้ทรงสมณศักดิ์ของวัดเส้าหลินได้เปลี่ยนเป็นจิตวิญญาณแรกกําเนิดแล้ว?” บรรพชนเจ็ดกล่าวด้วยท่าทีที่เคร่งขรึม

ตํานานยุทธขั้นสูงสุดธรรมดา วิหารหมื่นพุทธย่อมไม่สนใจ แต่ตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่เปลี่ยนจิ ตวิญญาณแรกกําเนิดได้แล้วก็เพียงพอจะกวาดล้างยุทธภพต่างแดนได้ง่ายดายในยุคปัจจุบันนี้

 

ในยุคที่ไม่มีเซียนเทพปฐพีกําเนิดขึ้นมา ตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่เปลี่ยนจิตวิญญาณแรกกําเนิด ได้ ย่อมเป็นตัวตนที่อยู่ยงคงกระพัน

 

พลังของจิตวิญญาณแรกกําเนิดลึกซึ้งเกินกว่าจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์

 

เมื่อแปรเปลี่ยนเป็นจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ จอมยุทธไม่เพียงแต่จะหลุดออกจากพันธนาการ ของร่างกายเท่านั้น ยังสามารถพึ่งพาจิตวิญญาณแรกกําเนิดเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ด้วย

 

จอมยุทธธรรมดาๆ ถึงแม้จะเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุด เมื่อตกตายไปนั้น เว้นแต่จะมีทักษะลับ จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่สามารถดํารงอยู่ได้นานนักหากปราศจากร่างกาย จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์จะ ค่อยๆ สลายไปด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

 

แต่จิตวิญญาณแรกกําเนิดนั้นต่างออกไป

 

แม้จิตวิญญาณแรกกําเนิดจะยังอยู่กับกายเนื้อ แต่อีกแง่หนึ่งมันก็ไม่ได้มีร่างกายมาเป็นข้อจํา กัด

 

สําหรับตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่เปลี่ยนจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ แม้ว่าจะสูญเสียร่างกายไป แต่ก็สามารถพึ่งพาจิตวิญญาณแรกกําเนิดเพื่อรักษาพลังต่อสู้ส่วนใหญ่เอาไว้ได้ ไม่ต้องกังวลต่อกา รเน่าเปื่อยของสังขารอย่างบรรพชนเก้า บรรพชนหก หรือบรรพชนเจ็ดที่ต้องคอยระวังเกี่ยวกับ พลังชีวิตเลือดเนื้อของตนเองอยู่ตลอดเวลา ไม่กล้าต่อสู้ด้วยกําลังทั้งหมด

“ข้าไม่ได้สัมผัสถึงพลังของจิตวิญญาณแรกกําเนิดแม้แต่น้อย” หลังจากได้ยินคําถามนั้น บร รพชนเก้าก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวยืนยันอย่างจริงจังว่า “ยิ่งไปกว่านั้น หากผู้ทรงสมณศักดิ์ แห่งวัดเส้าหลินแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดแล้วจริงๆ ข้าคงไม่สามารถรับมือได้โดยง่าย”

 

เมื่อบรรพชนเจ็ดได้ยินเช่นนี้ ท่าทีของเขาก็เชื่องช้าลงไปเล็กน้อย มองดูรอยหมัดตื้นๆ บนลูก ประคําอย่างพินิจพิเคราะห์ ขมวดคิ้วพร้อมกับกล่าวว่า “หากไม่มีการเปลี่ยนจิตวิญญาณแรกกํา เนิด รอยหมัดนี้ข้าก็เกรงว่ามันจะมาจากพลังกายล้วนๆ”

 

“ร่างกายที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ น่าจะใกล้เคียงกับขอบเขตยอดอรหันต์เต็มทนแล้ว”

 

บรรพชนเจ็ดมองด้วยความประหลาดใจ

เมื่อเทียบกับพลังที่แปลกประหลาดและคาดเดาไม่ได้ของจิตวิญญาณแรกกําเนิด การรับมือ งอื่นๆ ด้วยพลังก็ยังพอกระทําได้ เว้นแต่ซูฉินจะมีพละกําลังจากร่างกายที่ไปถึงขอบเขตเซียนเทพ ปฐพีซึ่งนั้นจะเป็นสิ่งรับมือได้ยากที่สุด

 

“ลูกประคํามีจิตวิญญาณอยู่ มันเป็นเพียงรอยกําปั้นเล็กๆ จะไม่ทําลายแก่นของสมบัติพุทธ คุณ สามารถฟื้นตัวได้หลังจากดูดซับพลังสักหลายร้อยปี”

บรรพชนหกพูดอย่างช้าๆ ที่ด้านข้าง

 

ในฐานะที่เป็นสมบัติพุทธคุณที่ยอดอรหันต์ทิ้งไว้ มันจึงเข้ากันได้ดีกับวิชาบ่มเพาะภายในวิ หารหมื่นพุทธ สามารถใช้ประโยชน์จากพลังของบรรดาผู้ทรงสมณศักดิ์มากมายในวิหารหมื่นพุทธ เพิ่มบํารุงหล่อเลี้ยงพวกมันได้อย่างสมบูรณ์

 

“ข้าไม่ได้กังวลเรื่องลูกประคํา”

 

บรรพชนเก้าเก็บลูกประคําไปแล้วส่ายศีรษะ “ข้าเป็นกังวลว่าผู้ทรงสมณศักดิ์วัดเส้าหลินจะใช้ เหตุผลนี้ในการมาสร้างปัญหายังวิหารหมื่นพุทธหรือไม่….”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+