เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 27 ราชโองการจากจักรพรรดิถัง

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 27 ราชโองการจากจักรพรรดิถัง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 27 ราชโองการจากจักรพรรดิถัง

 

 

 

“ศิษย์น้องเจินกวน ช่วยบอกศิษย์พี่ทีว่าการคาดเดานี้ถูกต้องหรือไม่?”

 

เจินชี่มองไปที่กลุ่มสงฆ์สลับกับมองไปที่ซูฉินอย่างคาดหวังคำตอบ

 

“เอ่อ……”

 

ซูฉินวางหนังสือประวัติศาสตร์ในมือ คิดอยู่สักพักแล้วตอบกลับด้วยความจริงจัง “สิ่งที่ศิษย์พี่กล่าวมานั้นสมเหตุสมผล”

 

“อย่างน้อยก็มีศิษย์น้องเจินกวนที่เข้าใจข้า!”

 

เจินชี่ยิ้มแย้ม

 

หลังจากนั้นเจินชี่ก็พูดคุยกับเหล่าสงฆ์อยู่สักพักก่อนจะจากไปพร้อมพระอีกสองสามรูป

 

เมื่อพวกเขาจากไปจนหมด ซูฉินก็กระซิบกับตัวเอง “ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวน? นักพรตจาง?”

 

ก่อนที่เขาจะเข้ามาอยู่ในวัดเส้าหลิน ซูฉินก็ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของทั้งคู่มาตั้งแต่เป็นนายน้อยสามตระกูลซูแล้ว

 

ในตอนนั้นซูฉินรู้เพียงว่าพวกเขานั้นแข็งแกร่งจนเกินเอื้อม

 

“จุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่ง?”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

 

ถึงแม้ซูฉินจะไม่รู้แน่ชัดว่าเขาเป็นยอดฝีมือระดับชั้นที่หนึ่งในอันดับต้นๆ ของยุทธภพหรือไม่ แต่ถ้านับไพ่ลับในแขนเสื้อของเขาแล้วนั้น ย่อมไม่สามารถมองเห็นเขาเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งธรรมดาๆ ได้

 

เขารู้สึกกระทั่งว่า ร่างกายของเขาที่บ่มเพาะด้วยกายาวัชระคงกระพันและวิชาขัดเกลากายาจันทรา เขาก็สามารถพิชิตยอดปรมาจารย์ระดับแรกเริ่มได้ด้วยกายเนื้อเพียงอย่างเดียว

 

เมื่อมารเฒ่ากลืนโลหิตหลบหนีออกมาจากหอคอยสะกดมารก่อนหน้า วัดเส้าหลินก็ได้รู้ว่าหอคอยสะกดมารนั้นมีช่องโหว่อยู่และเริ่มที่จะซ่อมแซมหอคอย

 

ในเมื่อเหล่ามารร้ายในหอคอยสะกดมารได้ถูกดูดกลืนไปหมดแล้วด้วยฝีมือของมารเฒ่ากลืนโลหิต จึงถือเป็นจังหวะดีที่วัดเส้าหลินไม่จำเป็นต้องกังวลในเรื่องนั้น

 

และแล้วหนึ่งปีก็ผ่านไปไวราวกะพริบตา

 

ในช่วงปีนี้ซูฉินก็กลับสู่วิถีชีวิตแบบเดิม

 

นอกเหนือจากการลงชื่อเข้าใช้ไปทั่วทุกที่ ภารกิจหลักของซูฉินก็คือการบ่มเพาะกำลังภายนอกอย่างกายาวัชระคงกระพันและขัดเกลากายาจันทรา

 

“ในที่สุด! ข้าก็ถึงขีดจำกัดเสียที…”

 

ซูฉินเปิดตาขึ้น ทอดถอนใจออกมาน้อยๆ

 

ตลอดมาตั้งแต่เขาค้นพบว่าการฝึกวิชาขัดเกลากายาจันทราแล้วนำมาหลอมรวมเข้ากับกายาวัชระคงกระพันสามารถช่วยให้เขาเพิ่มศักยภาพทางกายไปได้อีกระดับ

 

ทุกๆ คืนซูฉินก็จะไปขัดเกลาร่างกายใต้แสงจันทร์

 

จนยามนี้ไอพลังสีเทาที่เกิดจากการหลอมรวมทั้งขัดเกลากายาจันทราและกายาวัชระคงกระพันไม่สามารถขัดเกลาร่างกายไปมากกว่านี้แล้ว

 

“ดูเหมือนว่าแม้จะมีหยินและหยางที่สมดุลกลมกลืน แต่ร่างกายก็ใช่ว่าจะเปลี่ยนแปลงเพิ่มศักยภาพได้อย่างไร้ที่สิ้นสุด…”

 

ซูฉินดูเหมือนจะเสียใจเล็กน้อย

 

“แต่ตอนนี้ข้าสามารถต่อกรกับยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งได้เพียงด้วยกายเนื้อเปล่าๆ….”

 

“หรือถ้าจะพูดอีกอย่างก็คือ แม้ว่าข้าจะยืนนิ่งเฉยให้ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งโจมตี คู่ต่อสู้ก็คงไม่อาจผ่านปราการ ‘ป้องกัน’ ของข้าไปได้?”

 

ซูฉินคิดอยู่อย่างเงียบงัน

 

หากเป็นกายาวัชระคงกระพันเพียงอย่างเดียว แม้จะฝึกฝนไปได้จนถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ แต่ก็สามารถเทียบเท่าได้แค่พลังของสามระดับบนธรรมดาๆ เท่านั้น

 

หรือก็คือพอๆ กับผู้เชี่ยวชาญระดับชั้นที่สาม

 

แต่ตอนนี้

 

ซูฉินผสานวิชาบ่มเพาะขัดเกลากายาจันทราร่วมด้วย กายเนื้อที่เขาพร่ำฝึกฝนก็มาถึงระดับเดียวกับยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเสียแล้ว?

 

หากเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักได้ทราบเรื่องคงตาถลนออกจากเบ้า

 

เพียงกายเนื้ออย่างเดียวก็เทียบเท่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง?

 

ช่วงเป็นร่างกายที่น่าสะพรึงกลัวอะไรขนาดนี้?

 

แม้แต่ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนที่อวดอ้างว่ามีพลังดังช้างสารมังกรผงาดก็คงไม่ได้บรรลุถึงขั้นนี้ใช่หรือไม่?

 

“แล้วข้าจะบรรลุถึงขอบเขต ‘อรหันต์’ ได้อย่างไร?”

 

ซูฉินลุกขึ้นยืนมองไปที่ดวงจันทร์ที่ลาลับขอบฟ้าบ่นพึมพำกับตนเอง

 

ในช่วงปีที่ผ่านมาซูฉันได้ใช้โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์อย่างน้อยก็หลายร้อยเม็ดเพื่อหล่อเลี้ยง ‘พลังศักดิ์สิทธิ์’ อย่างต่อเนื่อง แต่จนบัดนี้เขาก็ยังไม่สามารถสัมผัสกับคอขวดของระดับตำนานยุทธได้

 

“ต้องมีบางจุดที่ข้ายังไม่สำเร็จจนถึงขั้นสูงสุด”

 

ซูฉินไม่ได้ท้อถอยเพราะตั้งแต่ที่ร่างกายของเขามีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้ง เขาแอบมีความรู้อันเจือจางบอกว่าพลังชีวิตและอายุขัยของเขาเหมือนจะยืดยาวเพิ่มขึ้นไปอีก

 

โดยทั่วไปอายุขัยของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งคือราวสองร้อยปี

 

แต่ขณะนี้ซูฉินมีพลังชีวิตและอายุขัยเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า แตะที่ขอบเขตอายุขัยสี่ร้อยปี

 

อายุขัยสี่ร้อยปี!

 

ทราบหรือไม่ว่าแม้จะเป็น’อรหันต์’หรือตำนานยุทธ ช่วงชีวิตของพวกเขายาวนานเพียงห้าร้อยปี

 

เรียกได้ว่าใกล้เคียงกับซูฉินในตอนนี้เลย

 

“ยังมีเวลาอีกมาก ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน”

 

ขณะนั้นเองซูฉินก็นึกไปถึงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งนามจิ่วชื่อซานเหรินที่สิ้นลมระหว่างการบำเพ็ญในวิหารพระสหัสพุทธ

 

แม้ว่าจิ่วชื่อซานเหรินจะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งแต่เขาก็มีชีวิตอยู่ได้นานกว่าร้อยหกสิบปีไปนิดหน่อยเท่านั้นก่อนจะจากไปด้วยวัยชรา

 

ถึงจะบอกว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งมีอายุขัยมากที่สุดได้ถึงสองร้อยปี

 

ก็มียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งน้อยคนนักที่จะมีชีวิตยืนยาวจนถึงสองร้อยปีได้จริงๆ

 

ส่วนใหญ่แล้วยอดปรมาจารย์ก็มีอายุถึงเพียงแค่ร้อยห้าสิบปีและจากโลกนี้ไประหว่างการบำเพ็ญตบะเพราะทนพิษบาดแผลภายในที่สะสมมาชั่วชีวิตไม่ไหว

 

วันต่อมา

 

หลังจากที่ซูฉินลงชื่อเข้าใช้ เขาบังเอิญเดินผ่านหอประชุมใหญ่

 

ทันใดนั้น

 

ณ สถานที่แห่งนี้

 

เสลี่ยงหยกได้มาถึง เสลี่ยงที่ทำจากหยกนั้นงดงามมาก มีการแกะสลักตัวหยกได้อย่างวิจิตร ลงรักด้วยลวดลายสีทองเข้ม

 

“หืม?”

 

ซูฉินหยุดฝีเท้า สายตาจ้องมองไปที่ขันทีชราที่ยืนอยู่ด้านข้างเสลี่ยงหยก เขาสวมใส่เครื่องแบบของขันทีสีแดง

แม้ว่าขันทีเฒ่าจะก้มหัวอยู่และไม่ได้มองเห็นถึงรัศมีไอพลัง แต่ซูฉินก็สามารถมองทะลุเข้าไปได้ และเห็นว่าเขาคือผู้เชี่ยวชาญระดับชั้นที่สอง

 

“หงกงกง[1]มาที่นี่มีเรื่องอะไรหรือ?”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักที่เพิ่งมาถึงก็มองไปที่ขันทีเฒ่าที่ยืนอยู่ด้านข้างเสลี่ยงอย่างเคร่งขรึม

 

ขันทีชราที่มีนามว่าหงกงกงก้าวไปอย่างเชื่องช้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหลมคม “พระสนมลี่เฟยนั้นเลื่อมใสในพุทธศาสนา ข้าได้ยินมาว่าวัดเส้าหลินเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาพุทธในทั่วทั้งยุทธภพ พระนางจึงอยากจะฝึกฝนอยู่ที่นี่สักพักหนึ่ง”

 

เสียงของหงกงกงค่อยๆ ลดลง

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักพลันเปลี่ยนสีหน้าไปทันทีที่ได้ยิน

 

พระสนมลี่เฟย?

 

พระสนมคนโปรดขององค์จักรพรรดิถัง?

 

สัญชาตญาณของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินร่ำร้องว่าเจอเข้ากับปัญหาใหญ่เสียแล้ว

 

พระสนมลี่ควรจะอยู่ในวังเพื่อปรนนิบัติองค์จักรพรรดิสิ พระนางจะมาทำอะไรที่วัดเส้าหลิน?

 

“หงกงกง”

 

“ที่วัดเส้าหลินมีกฎเกณฑ์ข้อห้ามมากมายเกี่ยวกับอิสตรีคงจะไม่อาจให้อยู่ร่วมภายในวัดได้ ถ้าพระนางสนใจในพุทธศาสนาจริงๆ พระตัวน้อยๆ อย่างอาตมาคงจะอนุญาตได้เพียงให้พระนางได้หยิบยืมพระคัมภีร์ แต่คงจะให้พำนักอยู่ที่นี่ไม่ได้…”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินรีบปฏิเสธในทันทีแต่ก็ยังรักษาไว้ซึ่งความเคารพนอบน้อม

 

ถึงแม้วัดเส้าหลินจะเป็นสุดยอดพรรค แต่ก็ไม่ได้อยากจะยั่วยุราชวงศ์ในรั้วในวังทั้งยังไม่ต้องการจะเข้าไปแทรกแซงกิจการภายใน

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระสนมลี่เฟยที่ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่กับเชื้อพระวงศ์หลายพระองค์ด้านในวัง

 

ช่วงนี้องค์จักรพรรดิถังก็ชราภาพลงทุกวัน องค์ชายแต่ละพระองค์ต่างก็มีความขัดแย้งกันทั้งโดยเปิดเผยและหลบซ่อน ต่างต่อสู้กันเพื่อราชบัลลังก์

 

และในตอนนี้หากวัดเส้าหลินได้ตกลงรับพระสนมลี่เข้ามา ก็ประหนึ่งยื่นมือออกไปรับเผือกร้อนด้วยตัวเอง

 

“ฮึ่ม!”

 

หงกงกงกระตุกมุมปากเย้ยหยัน “นี่คือราชโองการขององค์จักรพรรดิ วัดเส้าหลินของพวกเจ้ายังกล้าไม่ปฏิบัติตามอยู่อีกหรือไม่”

 

เมื่อหงกงกงพูดจบคำ เขาหยิบเอกสารสีทองออกมา จ้องหน้าเจ้าอาวาสฮุ่นเหวินอย่างเย็นชา

 

“ราชโองการจากองค์จักรพรรดิถัง?”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินพลันเงียบไป

 

หากเพียงพระสนมลี่บอกความประสงค์ที่จะฝึกฝนอยู่ในวัดเส้าหลินสักระยะ แบบนั้นเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินยังพอใช้กฎเกณฑ์ศีลธรรมของวัดมาปฏิเสธ

 

ทั้งหมดแล้วพระนางก็เป็นเพียงแค่พระสนม ถึงจะเป็นคนโปรดขององค์จักรพรรดิ แต่เธอจะทำสิ่งใดได้?

 

แต่ถ้าหากเป็นราชโองการจากองค์จักรพรรดิถัง เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินต้องรับมือกับปัญหาอย่างระมัดระวัง

 

ราชโองการจากจักรพรรดิถังคือสื่อแทนความประสงค์ขององค์มหาจักรพรรดิถัง

 

ตราบใดที่เส้าหลินได้ปฏิเสธไป นั่นเทียบเท่าได้กับการก่อการกบฏต่อองค์จักรพรรดิ

 

นั่นจะเป็นมหันตภัยร้ายต่อวัดเส้าหลิน เพราะวัดนั้นตั้งอยู่ในอาณาเขตของอาณาจักรต้าถัง

 

หลังจากตรึกตรองอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจะฝืนยิ้มและเค้นคำพูดออกมาได้ในที่สุด “ในเมื่อเป็นความปรารถนาขององค์จักรพรรดิถัง ฉะนั้นพระสนมลี่เฟยก็อยู่ที่นี่ได้…”

 

“พระสนมลี่เฟย?”

 

สายตาของซูฉินไปหยุดอยู่ที่เสลี่ยงหยก ด้วยความสามารถในการมองทะลุของดวงตาแห่งสัจจะ การแสดงออกที่แปลกพิกลก็ฉายออกทางสีหน้า

 

————————————————–

[1] กงกง เป็นชื่อตำแหน่งขันทีชั้นผู้ใหญ่เป็นขุนนางระดับสูงที่ทำหน้าที่ดูแลเรื่องราวฝ่ายในของพระราชสำนัก เชิญราชโองการจากองค์จักรพรรดิไปให้ขุนนางและดูแลขันทีชั้นผู้น้อย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 27 ราชโองการจากจักรพรรดิถัง

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 27 ราชโองการจากจักรพรรดิถัง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 27 ราชโองการจากจักรพรรดิถัง

 

 

 

“ศิษย์น้องเจินกวน ช่วยบอกศิษย์พี่ทีว่าการคาดเดานี้ถูกต้องหรือไม่?”

 

เจินชี่มองไปที่กลุ่มสงฆ์สลับกับมองไปที่ซูฉินอย่างคาดหวังคำตอบ

 

“เอ่อ……”

 

ซูฉินวางหนังสือประวัติศาสตร์ในมือ คิดอยู่สักพักแล้วตอบกลับด้วยความจริงจัง “สิ่งที่ศิษย์พี่กล่าวมานั้นสมเหตุสมผล”

 

“อย่างน้อยก็มีศิษย์น้องเจินกวนที่เข้าใจข้า!”

 

เจินชี่ยิ้มแย้ม

 

หลังจากนั้นเจินชี่ก็พูดคุยกับเหล่าสงฆ์อยู่สักพักก่อนจะจากไปพร้อมพระอีกสองสามรูป

 

เมื่อพวกเขาจากไปจนหมด ซูฉินก็กระซิบกับตัวเอง “ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวน? นักพรตจาง?”

 

ก่อนที่เขาจะเข้ามาอยู่ในวัดเส้าหลิน ซูฉินก็ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของทั้งคู่มาตั้งแต่เป็นนายน้อยสามตระกูลซูแล้ว

 

ในตอนนั้นซูฉินรู้เพียงว่าพวกเขานั้นแข็งแกร่งจนเกินเอื้อม

 

“จุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่ง?”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

 

ถึงแม้ซูฉินจะไม่รู้แน่ชัดว่าเขาเป็นยอดฝีมือระดับชั้นที่หนึ่งในอันดับต้นๆ ของยุทธภพหรือไม่ แต่ถ้านับไพ่ลับในแขนเสื้อของเขาแล้วนั้น ย่อมไม่สามารถมองเห็นเขาเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งธรรมดาๆ ได้

 

เขารู้สึกกระทั่งว่า ร่างกายของเขาที่บ่มเพาะด้วยกายาวัชระคงกระพันและวิชาขัดเกลากายาจันทรา เขาก็สามารถพิชิตยอดปรมาจารย์ระดับแรกเริ่มได้ด้วยกายเนื้อเพียงอย่างเดียว

 

เมื่อมารเฒ่ากลืนโลหิตหลบหนีออกมาจากหอคอยสะกดมารก่อนหน้า วัดเส้าหลินก็ได้รู้ว่าหอคอยสะกดมารนั้นมีช่องโหว่อยู่และเริ่มที่จะซ่อมแซมหอคอย

 

ในเมื่อเหล่ามารร้ายในหอคอยสะกดมารได้ถูกดูดกลืนไปหมดแล้วด้วยฝีมือของมารเฒ่ากลืนโลหิต จึงถือเป็นจังหวะดีที่วัดเส้าหลินไม่จำเป็นต้องกังวลในเรื่องนั้น

 

และแล้วหนึ่งปีก็ผ่านไปไวราวกะพริบตา

 

ในช่วงปีนี้ซูฉินก็กลับสู่วิถีชีวิตแบบเดิม

 

นอกเหนือจากการลงชื่อเข้าใช้ไปทั่วทุกที่ ภารกิจหลักของซูฉินก็คือการบ่มเพาะกำลังภายนอกอย่างกายาวัชระคงกระพันและขัดเกลากายาจันทรา

 

“ในที่สุด! ข้าก็ถึงขีดจำกัดเสียที…”

 

ซูฉินเปิดตาขึ้น ทอดถอนใจออกมาน้อยๆ

 

ตลอดมาตั้งแต่เขาค้นพบว่าการฝึกวิชาขัดเกลากายาจันทราแล้วนำมาหลอมรวมเข้ากับกายาวัชระคงกระพันสามารถช่วยให้เขาเพิ่มศักยภาพทางกายไปได้อีกระดับ

 

ทุกๆ คืนซูฉินก็จะไปขัดเกลาร่างกายใต้แสงจันทร์

 

จนยามนี้ไอพลังสีเทาที่เกิดจากการหลอมรวมทั้งขัดเกลากายาจันทราและกายาวัชระคงกระพันไม่สามารถขัดเกลาร่างกายไปมากกว่านี้แล้ว

 

“ดูเหมือนว่าแม้จะมีหยินและหยางที่สมดุลกลมกลืน แต่ร่างกายก็ใช่ว่าจะเปลี่ยนแปลงเพิ่มศักยภาพได้อย่างไร้ที่สิ้นสุด…”

 

ซูฉินดูเหมือนจะเสียใจเล็กน้อย

 

“แต่ตอนนี้ข้าสามารถต่อกรกับยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งได้เพียงด้วยกายเนื้อเปล่าๆ….”

 

“หรือถ้าจะพูดอีกอย่างก็คือ แม้ว่าข้าจะยืนนิ่งเฉยให้ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งโจมตี คู่ต่อสู้ก็คงไม่อาจผ่านปราการ ‘ป้องกัน’ ของข้าไปได้?”

 

ซูฉินคิดอยู่อย่างเงียบงัน

 

หากเป็นกายาวัชระคงกระพันเพียงอย่างเดียว แม้จะฝึกฝนไปได้จนถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ แต่ก็สามารถเทียบเท่าได้แค่พลังของสามระดับบนธรรมดาๆ เท่านั้น

 

หรือก็คือพอๆ กับผู้เชี่ยวชาญระดับชั้นที่สาม

 

แต่ตอนนี้

 

ซูฉินผสานวิชาบ่มเพาะขัดเกลากายาจันทราร่วมด้วย กายเนื้อที่เขาพร่ำฝึกฝนก็มาถึงระดับเดียวกับยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเสียแล้ว?

 

หากเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักได้ทราบเรื่องคงตาถลนออกจากเบ้า

 

เพียงกายเนื้ออย่างเดียวก็เทียบเท่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง?

 

ช่วงเป็นร่างกายที่น่าสะพรึงกลัวอะไรขนาดนี้?

 

แม้แต่ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนที่อวดอ้างว่ามีพลังดังช้างสารมังกรผงาดก็คงไม่ได้บรรลุถึงขั้นนี้ใช่หรือไม่?

 

“แล้วข้าจะบรรลุถึงขอบเขต ‘อรหันต์’ ได้อย่างไร?”

 

ซูฉินลุกขึ้นยืนมองไปที่ดวงจันทร์ที่ลาลับขอบฟ้าบ่นพึมพำกับตนเอง

 

ในช่วงปีที่ผ่านมาซูฉันได้ใช้โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์อย่างน้อยก็หลายร้อยเม็ดเพื่อหล่อเลี้ยง ‘พลังศักดิ์สิทธิ์’ อย่างต่อเนื่อง แต่จนบัดนี้เขาก็ยังไม่สามารถสัมผัสกับคอขวดของระดับตำนานยุทธได้

 

“ต้องมีบางจุดที่ข้ายังไม่สำเร็จจนถึงขั้นสูงสุด”

 

ซูฉินไม่ได้ท้อถอยเพราะตั้งแต่ที่ร่างกายของเขามีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้ง เขาแอบมีความรู้อันเจือจางบอกว่าพลังชีวิตและอายุขัยของเขาเหมือนจะยืดยาวเพิ่มขึ้นไปอีก

 

โดยทั่วไปอายุขัยของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งคือราวสองร้อยปี

 

แต่ขณะนี้ซูฉินมีพลังชีวิตและอายุขัยเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า แตะที่ขอบเขตอายุขัยสี่ร้อยปี

 

อายุขัยสี่ร้อยปี!

 

ทราบหรือไม่ว่าแม้จะเป็น’อรหันต์’หรือตำนานยุทธ ช่วงชีวิตของพวกเขายาวนานเพียงห้าร้อยปี

 

เรียกได้ว่าใกล้เคียงกับซูฉินในตอนนี้เลย

 

“ยังมีเวลาอีกมาก ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน”

 

ขณะนั้นเองซูฉินก็นึกไปถึงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งนามจิ่วชื่อซานเหรินที่สิ้นลมระหว่างการบำเพ็ญในวิหารพระสหัสพุทธ

 

แม้ว่าจิ่วชื่อซานเหรินจะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งแต่เขาก็มีชีวิตอยู่ได้นานกว่าร้อยหกสิบปีไปนิดหน่อยเท่านั้นก่อนจะจากไปด้วยวัยชรา

 

ถึงจะบอกว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งมีอายุขัยมากที่สุดได้ถึงสองร้อยปี

 

ก็มียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งน้อยคนนักที่จะมีชีวิตยืนยาวจนถึงสองร้อยปีได้จริงๆ

 

ส่วนใหญ่แล้วยอดปรมาจารย์ก็มีอายุถึงเพียงแค่ร้อยห้าสิบปีและจากโลกนี้ไประหว่างการบำเพ็ญตบะเพราะทนพิษบาดแผลภายในที่สะสมมาชั่วชีวิตไม่ไหว

 

วันต่อมา

 

หลังจากที่ซูฉินลงชื่อเข้าใช้ เขาบังเอิญเดินผ่านหอประชุมใหญ่

 

ทันใดนั้น

 

ณ สถานที่แห่งนี้

 

เสลี่ยงหยกได้มาถึง เสลี่ยงที่ทำจากหยกนั้นงดงามมาก มีการแกะสลักตัวหยกได้อย่างวิจิตร ลงรักด้วยลวดลายสีทองเข้ม

 

“หืม?”

 

ซูฉินหยุดฝีเท้า สายตาจ้องมองไปที่ขันทีชราที่ยืนอยู่ด้านข้างเสลี่ยงหยก เขาสวมใส่เครื่องแบบของขันทีสีแดง

แม้ว่าขันทีเฒ่าจะก้มหัวอยู่และไม่ได้มองเห็นถึงรัศมีไอพลัง แต่ซูฉินก็สามารถมองทะลุเข้าไปได้ และเห็นว่าเขาคือผู้เชี่ยวชาญระดับชั้นที่สอง

 

“หงกงกง[1]มาที่นี่มีเรื่องอะไรหรือ?”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักที่เพิ่งมาถึงก็มองไปที่ขันทีเฒ่าที่ยืนอยู่ด้านข้างเสลี่ยงอย่างเคร่งขรึม

 

ขันทีชราที่มีนามว่าหงกงกงก้าวไปอย่างเชื่องช้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหลมคม “พระสนมลี่เฟยนั้นเลื่อมใสในพุทธศาสนา ข้าได้ยินมาว่าวัดเส้าหลินเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาพุทธในทั่วทั้งยุทธภพ พระนางจึงอยากจะฝึกฝนอยู่ที่นี่สักพักหนึ่ง”

 

เสียงของหงกงกงค่อยๆ ลดลง

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักพลันเปลี่ยนสีหน้าไปทันทีที่ได้ยิน

 

พระสนมลี่เฟย?

 

พระสนมคนโปรดขององค์จักรพรรดิถัง?

 

สัญชาตญาณของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินร่ำร้องว่าเจอเข้ากับปัญหาใหญ่เสียแล้ว

 

พระสนมลี่ควรจะอยู่ในวังเพื่อปรนนิบัติองค์จักรพรรดิสิ พระนางจะมาทำอะไรที่วัดเส้าหลิน?

 

“หงกงกง”

 

“ที่วัดเส้าหลินมีกฎเกณฑ์ข้อห้ามมากมายเกี่ยวกับอิสตรีคงจะไม่อาจให้อยู่ร่วมภายในวัดได้ ถ้าพระนางสนใจในพุทธศาสนาจริงๆ พระตัวน้อยๆ อย่างอาตมาคงจะอนุญาตได้เพียงให้พระนางได้หยิบยืมพระคัมภีร์ แต่คงจะให้พำนักอยู่ที่นี่ไม่ได้…”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินรีบปฏิเสธในทันทีแต่ก็ยังรักษาไว้ซึ่งความเคารพนอบน้อม

 

ถึงแม้วัดเส้าหลินจะเป็นสุดยอดพรรค แต่ก็ไม่ได้อยากจะยั่วยุราชวงศ์ในรั้วในวังทั้งยังไม่ต้องการจะเข้าไปแทรกแซงกิจการภายใน

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระสนมลี่เฟยที่ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่กับเชื้อพระวงศ์หลายพระองค์ด้านในวัง

 

ช่วงนี้องค์จักรพรรดิถังก็ชราภาพลงทุกวัน องค์ชายแต่ละพระองค์ต่างก็มีความขัดแย้งกันทั้งโดยเปิดเผยและหลบซ่อน ต่างต่อสู้กันเพื่อราชบัลลังก์

 

และในตอนนี้หากวัดเส้าหลินได้ตกลงรับพระสนมลี่เข้ามา ก็ประหนึ่งยื่นมือออกไปรับเผือกร้อนด้วยตัวเอง

 

“ฮึ่ม!”

 

หงกงกงกระตุกมุมปากเย้ยหยัน “นี่คือราชโองการขององค์จักรพรรดิ วัดเส้าหลินของพวกเจ้ายังกล้าไม่ปฏิบัติตามอยู่อีกหรือไม่”

 

เมื่อหงกงกงพูดจบคำ เขาหยิบเอกสารสีทองออกมา จ้องหน้าเจ้าอาวาสฮุ่นเหวินอย่างเย็นชา

 

“ราชโองการจากองค์จักรพรรดิถัง?”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินพลันเงียบไป

 

หากเพียงพระสนมลี่บอกความประสงค์ที่จะฝึกฝนอยู่ในวัดเส้าหลินสักระยะ แบบนั้นเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินยังพอใช้กฎเกณฑ์ศีลธรรมของวัดมาปฏิเสธ

 

ทั้งหมดแล้วพระนางก็เป็นเพียงแค่พระสนม ถึงจะเป็นคนโปรดขององค์จักรพรรดิ แต่เธอจะทำสิ่งใดได้?

 

แต่ถ้าหากเป็นราชโองการจากองค์จักรพรรดิถัง เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินต้องรับมือกับปัญหาอย่างระมัดระวัง

 

ราชโองการจากจักรพรรดิถังคือสื่อแทนความประสงค์ขององค์มหาจักรพรรดิถัง

 

ตราบใดที่เส้าหลินได้ปฏิเสธไป นั่นเทียบเท่าได้กับการก่อการกบฏต่อองค์จักรพรรดิ

 

นั่นจะเป็นมหันตภัยร้ายต่อวัดเส้าหลิน เพราะวัดนั้นตั้งอยู่ในอาณาเขตของอาณาจักรต้าถัง

 

หลังจากตรึกตรองอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจะฝืนยิ้มและเค้นคำพูดออกมาได้ในที่สุด “ในเมื่อเป็นความปรารถนาขององค์จักรพรรดิถัง ฉะนั้นพระสนมลี่เฟยก็อยู่ที่นี่ได้…”

 

“พระสนมลี่เฟย?”

 

สายตาของซูฉินไปหยุดอยู่ที่เสลี่ยงหยก ด้วยความสามารถในการมองทะลุของดวงตาแห่งสัจจะ การแสดงออกที่แปลกพิกลก็ฉายออกทางสีหน้า

 

————————————————–

[1] กงกง เป็นชื่อตำแหน่งขันทีชั้นผู้ใหญ่เป็นขุนนางระดับสูงที่ทำหน้าที่ดูแลเรื่องราวฝ่ายในของพระราชสำนัก เชิญราชโองการจากองค์จักรพรรดิไปให้ขุนนางและดูแลขันทีชั้นผู้น้อย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+