เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 288 ความสําเร็จระ ดับเล็ก

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 288 ความสําเร็จระ ดับเล็ก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 288 ความสําเร็จระ ดับเล็ก

ไม่ใช่เพียงนิกายเทพเจ้าสายฟ้าเท่านั้น

แทบจะในเวลาเดียวกัน ทั้งตําหนักเทพเจ้าหิมะ นิกายเฮยหยวน และนิกายใหญ่แห่งอื่นๆ จากต่างแดน ก็ได้ส่งบรรพชนที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขามา

ณ เขตแดนน้ําแข็งขั้วโลกตอนเหนือ ไม่รู้ว่าด้านนอกตําหนักเทพเจ้าหิมะมีหญิงสาว ในชุดชาววังคนหนึ่งมายืนอยู่ตั้งแต่เมื่อใด

หญิงที่แต่งกายในชุดชาววังยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ กลิ่นอายดูอ่อนแอราวกับคนธรรมดาทั่วไป แต่ถ้ามองดีๆจะพบว่านัยน์ตาของหญิงสาวชุดชาววังมีเขตแดนน้ําแข็งกําลังเบ่งบานอยู่ภายใน

เมื่อเห็นหญิงในชุดชาววังผู้นี้ ศิษย์สาวกรวมถึงผู้อาวุโสทั้งหมดในตําหนักเทพเจ้าหิมะรีบออกไปด้านนอก ต่างพากันก้มลงกราบไหว้

“ท่านบรรพชน ที่ท่านตื่นขึ้นและเดินทางมาในครั้งนี้ เป็นเพราะจุดเปลี่ยนผ่านของกระแสปราณฉีที่กําลังจะมาถึงใช่หรือไม่?” รองหัวหน้า ตําหนักเทพเจ้าหิมะกล่าวถามหญิงในชุดชาววังอย่างระมัดระวัง

“มิผิด” หญิงสาวในชุดชาววังยังคงเฉยเมย ราวกับภูเขาน้ําแข็งที่จะอยู่ไปตราบชั่วนิจนิรันดร์และกระซิบคําต่อไปว่า “อย่างไรก็ตาม ตัวข้าและสหายเต่ําอีกสองสามคนจะไปพบตํานานยุทธแห่งอาณาจักรถังสักเล็กน้อย”

รองหัวหน้าตําหนักเทพเจ้าหิมะตกใจเล็กน้อย เมื่อได้ยินเรื่องนี้ กล่าวออกอย่างรวดเร็ว “แต่ท่านบรรพชนเพิ่งบอกว่าตํานานยุทธเมืองฉางอันเพิ่งจะทําลายพรรคหมีนดาบด้วยพลังของเขาเอง ความแข็งแกร่งของเขานั้นมิอาจหยั่งรู้ได้……”
รองหัวหน้าตําหนักเทพเจ้าหิมะลังเล และกล่าวออกอย่างไม่แน่ใจ

เมื่อนางรู้จากปากของหญิงสาวชุดชาววังว่าพรรคหมื่นดาบถูกทําลายลงภายใต้น้ํามือของซูฉิน นางก็ตกใจอย่างมาก

ตอนนี้พอได้ยินว่าบรรพชนต้องการจะพบซูฉิน ใจก็รู้สึกกังวลเล็กน้อย
“สบายใจได้”

หญิงที่แต่งกายด้วยชุดชาววังส่ายศีรษะเล็กน้อย และพูดอย่างดูถูก “พรรคหมื่นดาบสืบทอดมรดกมาเพียงสี่พันกว่าปีเท่านั้น จะเทียบกับตําหนักเทพเจ้าหิมะของเราได้เช่นไรกัน?”

“ในพรรคหมื่นดาบทั้งหมดตลอดช่วงสองพันปีที่ผ่านมา มีเพียงบรรพชนดาบเท่านั้นที่แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้”

“แต่กระนั้นร่างของบรรพชนดาบก็เสื่อมสลายไปนานแล้ว หากปราศจากการหล่อเลี้ยงจากร่างกาย จิตวิญญาณแรกกําเนิดก็เหมือนกับจอกแหนที่ไร้ราก จอมยุทธเช่นข้า หากต้องการจะใช้กระบวนท่าขั้นสูงสุดทั้งหลาย ก็ต้องอาศัยกายเนื้อ”

“บรรพชนดาบไม่มีกายเนื้อ ด้วยเพียงจิตวิญญาณแรกกําเนิด แน่นอนเขาสามารถรักษาพลังการต่อสู้ส่วนใหญ่ไว้ได้ แต่การต่อสู้ของจอมยุทธในระดับเดียวกัน ความผิดพลาดเพียงนิดอาจกระทบต่อผลแพ้ชนะได้แล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสูญเสียร่างกายเลยมิใช่หรือ?”

น้ําเสียงของหญิงสาวในชุดชาววังนั้นเรียบง่าย ไม่มีความผันผวนขึ้นลงแม้แต่น้อย

บรรพชนดาบเป็นเพียงร่างจิตวิญญาณแรกกําเนิด สามารถจัดการกับตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่อยู่ต่ํากว่าระดับการเปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับตัวตนระดับเดียวกัน ย่อมอ่อนแอกว่าเมื่อเข้าประมือ

เรื่องที่ซูฉินนั่นศีรษะบรรพชนดาบ หญิงสาวในชุดชาววังไม่แปลกใจ เพราะนางมั่นใจว่านางสามารถทําได้เช่นกัน ส่วนการทําลายพรรคหมื่นดาบ……

ท้ายที่สุดพรรคหมื่นดาบก็เป็นนิกายที่เซียนเทพปฐพีสร้างขึ้น ซูฉินสามารถทําลายพรรคหมื่นดาบได้ ความแข็งแกร่งของเขาจะต้องเหนือธรรมดาและแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้แล้วอย่างแน่นอน

แต่คราวนี้หญิงสาวในชุดชาววังไม่ได้ไปที่เมืองฉางอันเพียงลําพัง แต่ไปกับสหายเต่จากนิกายใหญ่แห่งอื่นๆอีกสองสามคน

ตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่แปลงจิตวิญญาณได้ แล้วรวมพลังกัน แม้ว่าซูฉินจะแข็งแกร่ง ตราบใดที่ไม่ได้เหยียบย่างเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี พวกเขาย่อมไม่หวั่นเกรงอย่างแน่นอน

นี่เป็นความมั่นใจอันใหญ่ยิ่งของหญิงสาวในชุดชาววัง

และในตอนนี้

ที่เมืองฉางอัน

ภายในวังหลวง

ซูฉินปิดด่านอยู่ชั่วระยะหนึ่ง หลังจากปรับสมดุลจิตวิญญาณแรกกําเนิดแล้ว เขาก็กลับไปยังพระราชวังตะวันออกเพื่อชี้แนะแนวทางการฝึกฝนให้กับตระกูลซู

เป็นเวลาหลายเดือนแล้วนับตั้งแต่ซูฉินเดินทางไปต่างดินแดน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่จะติดตามความคืบหน้าด้านวิทยายุทธของตระกูล

“ฉินเฮ่อ เจ้าทะลวงขั้นอีกแล้วงั้นหรือ?” ด้านนอกตําหนักชุนฝั่งขวา ซูชื่อหมินกําลังฝึกหมัดอรหันต์

หมัดอรหันต์เป็นเคล็ดหมัดมวยที่ซูฉินนําออกมาจากวัดเส้าหลิน มันเป็นวิธีการออกหมัดพื้นฐาน แต่ในขณะนี้เมื่ออยู่ในมือของซูชื่อหมิน มันมีท่วงท่าที่แตกต่างออกไป คล้ายคลึงกับผู้ทรงสมณศักดิ์ขอบเขตอรหันต์ตัวจริงเลยทีเดียว การเหวี่ยงหมัดเรียบง่ายและสง่างาม พลังฟ้าดินจํานวนมากหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกาย ปรับปรุงการฝึกฝนของซูชื่อหมินอยู่ตลอด

“ทะลวงขั้นเล็กน้อย” ซูฉินกล่าวอย่างสบายๆ

สําหรับตํานานยุทธขั้นสูงสุดคนอื่นๆ การแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดนั้นเรียกได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อก่อเกิดจิตวิญญาณแรกกําเนิดเท่ากับกําจัดโซ่ตรวนทางกาย เดินทางท่องทั่วไปได้หลายพันลี้ มันราวกับได้เกิดใหม่อีกครั้ง น่าเหลือเชื่ออย่างยิ่ง

แต่ในสายตาของซูฉินมันเป็นเพียงความก้าวหน้าเล็กน้อย” ไม่ใช่เรื่องน่าดีใจอะไรนัก

“ฉันเอ่อ ความก้าวหน้าเล็กน้อยของเจ้า ในสายตาคนธรรมดาอย่างเรา เกรงว่ามันจะเป็นความก้าวหน้าที่เทียบได้กับคนธรรมดาก้าวเดินไปจนถึงขอบเขตตํานานยุทธ……”

ขณะที่ซูชื่อหมินกําลังพูดไปนั้น เขาก็ยังคงออกหมัดอรหันต์อย่างต่อเนื่อง

“ท่านพ่อ ความแข็งแกร่งของท่านกําลังจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธในเร็ววันแล้ว” ซูฉินเหลือบมองหมัดอรหันต์ของซูชื่อหมิน รอยยิ้มพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้า

ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ซูชื่อหมินได้ไต่จากระดับชั้นที่ห้าจนมาเป็นปรมาจารย์ระดับชั้นที่สอง มีเพียงเส้นขั้นบางๆ ก่อนจะกลายเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง

แน่นอนว่านี่เป็นเพราะกระแสปราณฉี และเคล็ด วิชาร่วมกับโอสถศักดิ์สิทธิ์ที่ซูฉินมอบให้ แต่ ความอุตสาหะของซูชื่อหมินก็เป็นส่วนหนึ่งที่ สําคัญ

“แม้ว่าพ่อจะชอบวิทยายุทธ แต่ก็รู้ดีว่าความสามารถมีจํากัด แต่ตอนนี้ที่พ่อได้รับความช่วยเหลือจากฉันเอ่อ หากยังไม่มีการพัฒนา เห็นทีคงต้องกลับไปนอนอยู่บนกองเงินกองทองดีกว่า ลืมชีวิตที่ต้องดิ้นรนนี้ไปเสีย”

เมื่อซูชื่อหมินกล่าวเช่นนี้ เขาก็หยุดไปครู่หนึ่ง ราวกับกําลังคิดอะไรบางอย่าง ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย “น่าเสียดายที่หยวนเอ๋อไม่สนใจวิทยายุทธ ไม่เช่นนั้นคงจะลากตัวมาซ้อมมือกับพ่ออย่างแน่นอน”

หยวนเอ๋อ’ จากปากของซูชื่อหมินก็คือองค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์ถัง
เมื่อเทียบกับหลีหว่านที่หมกมุ่นอยู่แต่กับวิทยายุทธมาตั้งแต่เด็ก คอยเดินติดตามซูฉินตลอดทั้งวัน หลี่หยวนนั้นตรงกันข้าม ไม่สนใจเรื่องราวของวิทยายุทธเลย อุทิศตนให้กับวิชาการบ้านการเมืองเสียมากกว่า

“ทุกคนมีทางของตนเอง” ซูฉินส่ายศีรษะเล็กน้อย กล่าวออกมาเบาๆ

เขาให้ทางเลือกแก่หลี่หยวนไปแล้ว และอีกฝ่ายก็ยืนกรานที่จะไม่เดินไปในเส้นทางการฝึกยุทธ ดังนั้นซูฉินจึงไม่คิดจะพูดอะไรอีกต่อไป

หลังจากนั้น

ซูฉินก็พูดคุยกับซูชื่อหมินอีกนิดหน่อย แล้วก็ปลีกตัวเดินเล่นไปรอบๆวัง จากนั้นจึงกลับมายังโถงพระราชวังอันสูงตระหง่านอีกครั้ง

“จัดตั้งตะเกียงพุทธนี่เสียก่อน”

กระแสจิตจากซูฉินสั่นไหว ทันใดนั้นก็เห็นตะเกียงพุทธค่อยๆลุกไหม้ขึ้นอย่างช้าๆที่เบื้องหน้า

ตะเกียงพุทธนี้ คือตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณที่ซูฉินได้รับมาจากวิหารหมื่นพุทธ

เมื่อไส้ตะเกียงติดไฟแล้ว ไม่มีทางที่ใครจะบุกรุกเข้ามาได้

แน่นอนว่าเรื่องที่ไม่สามารถบุกเข้ามาได้ ก็ไม่ใช่ทุกกรณี อย่างน้อยตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณนี้ก็ไม่สามารถหยุดการรุกรานจากซูฉินได้

แต่ไม่ว่าอย่างไร ตะเกียงพุทธนี้ก็ยังเป็นสมบัติ พุทธคุณที่หายากชิ้นหนึ่ง

หลังจากแขวนตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณไว้บนยอดพระราชวังอันสูงตระหง่าน และปล่อยให้แสงพุทธคุณกระจายล้อมรอบโถงทั้งหมดแล้ว ซูฉินก็ดึงธงสีเหลืองออกมา
มันคือธงวู่ถู

ธงวู่ถูเป็นอาวุธวิเศษที่ซูฉินได้รับจากการลงชื่อเข้าใช้ที่แหล่งกําเนิดธาตุดิน ภายในมีค่ายกลขนาดใหญ่หลายประเภท ที่ต้องทําเพียงแค่ปักธงวู่ถูไว้เท่านั้น และค่ายกลจะทํางานโดยอัตโนมัติ ไม่จําเป็นต้องกังวลสิ่งใด
หวิ่ง!

เมื่อธงวู่ถูปักลงไปบนโถงหลัก ทันใดนั้นทั่วทั้งห้องโถงก็ถูกปกคลุมไว้ด้วยแสงสีเหลืองนวลจางๆ คล้ายสีของชั้นดิน

เมื่อถูกปกคลุมไว้ด้วยค่ายกลขนาดใหญ่ภายในธงวู่ถู พระราชวังสีดําใต้ดินทั้งหมดราวกับอันตรธานหายไปอย่างอย่างสิ้นเชิง แม้ตํานานยุทธขั้นสูงสุดจะชําเลืองสายตามองมา ก็ไม่สามารถสังเกตเห็นได้

“ไม่เลว”

“มันยังมาพร้อมลูกเล่นที่ซ่อนอยู่ด้วย” รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

แม้ด้วยความรู้เรื่องค่ายกลที่มีอยู่มากมาย การจะก่อตั้งค่ายกลขนาดใหญ่ที่ใช้ในการซ่อนเร้นย่อมง่ายดายเพียงแค่คิด

แต่เมื่อก่อตั้งค่ายกลฟ้าดินสําเร็จแล้ว จะต้องคอยปรับปรุงอยู่เป็นระยะจะไปเหมือนธงวู่ถูนี้ได้อย่างไร ตราบใดที่ตัวอาวุธไม่ถูกทําลาย ค่ายกลก็จะยังคงอยู่ตลอดไป นี่ไม่ใช่ว่าสะดวกสบายอย่างมากหรอกหรือ?

“ตอนนี้จิตวิญญาณแรกกําเนิดของข้าได้ถูกสร้างขึ้นมาแล้ว อาณาเขตก็มั่งคง ถึงเวลาที่จะทะลวงขอบเขตยอดอรหันต์แล้ว” ซูฉินนั่งขัดสมาธิ หยุดพักการฝึกมานั่งขบคิดแทน

“หากต้องการก้าวเข้าสู่ขอบเขตยอดอรหันต์ ต้องใช้จิตวิญญาณแรกกําเนิดหลอมรวมเข้ากับทะเลปราณดึงพลังฟ้าดินอันอนันต์มาหล่อเลี้ยงร่างกาย…”

“แต่ทะเลปราณนั้นมีทั้งจุดที่ลึกและจุดที่ตื้น พลังของทะเลปราณเขตล็กกับทะเลปราณเขตตื้นนั้นไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด”

ซูฉินครุ่นคิดเงียบๆ

เมื่อตํานานยุทธขั้นสูงสุดธรรมดาๆ มาถึงขอบเขตเชียนเทพปฐพี ตราบใดที่สามารถหลอมรวมเข้ากับทะเลปราณได้สําเร็จ นับว่าโชคดีอย่างยิ่งแล้ว จะกล้าพิจารณาเข้าไปในส่วนลึกของทะเลปราณได้อย่างไร

“เดิมที ข้าวางแผนจะใช้ภาพดวงตะวันขนาดมหึมาเป็นรากฐาน และใช้จิตวิญญาณแรกกําเนิดรวมเข้ากับทะเลปราณ”

“ภาพดวงตะวันขนาดมหึมามีแก่นแท้มาจากอีกาทองคําสามขา สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในธาตุไฟ มันสามารถนําจิตวิญญาณแรกกําเนิดของข้าไปสู่ส่วนที่ลึกที่สุดของทะเลปราณได้อย่างแน่นอน”

“แต่ตอนนี้ภาพดวงตะวันขนาดมหึมาของข้าเป็นเพียงขั้นเริ่มต้น ความสําเร็จระดับนี้ทําให้มีกลิ่นอายอีกาทองคําสามขา แต่ไม่สามารถมีบทบาทในการช่วยให้เข้าสู่ทะเลปราณได้…”

ซูฉินหรี่ตาลงเมื่อคิดถึงเรื่องนี้

หากเพียงแค่ต้องการก้าวเข้าสู่ขอบเขตยอดอรหันต์ ซูฉินสามารถทําได้ตั้งแต่อยู่ในแหล่งกําเนิดธาตุดินตอนที่เดินทางไปเยือนวิหารหมื่นพุทธ

แต่ซูฉินเลือกที่จะไม่ทํา

แม้แต่ในขอบเขตเซียนเทพปฐพี ก็มีความแตกต่างระหว่างระดับสูงและระดับต่ํา

หากซูฉินต้องการจะมุ่งหน้าเข้าสู่ขอบเขตนี้ เขาหวังว่าตนจะมีประสิทธิภาพยอดเยี่ยมจนทิ้งเซียนเทพปฐพีอื่นไว้เบื้องหลัง

“อย่างน้อยก็ต้องถึงความสําเร็จระดับเล็กในภาพดวงตะวันขนาดมหึมา จึงจะช่วยให้ข้าครอบครองความสามารถของอีกาทองคําสามขา และนั่นจะพาข้าไปสู่ห้วงลึกของทะเลปราณ”
ความคิดของซูฉินผันผวน

การฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมาแบ่งออกเป็นสามระดับ

เริ่มต้น ความสําเร็จระดับเล็ก ความสําเร็จชั้นยอด

ตราบใดที่ฝึกภาพดวงตะวันฯจนถึงความสําเร็จชั้นยอด เทียบเท่ากับฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมาได้จนสําเร็จครบถ้วนทุกกระบวนความ ในเวลานั้นซูฉินจะสามารถแปลงกายเป็นอีกาทองคําสามขา ซึ่งเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในด้านเปลวเพลิงได้ตามใจนึก

สําหรับการเข้าสู่ความสําเร็จระดับเล็ก….

ภาพดวงตะวันขนาดมหึมาในระดับเริ่มต้น สามารถทําให้ซูฉินมีกลิ่นอายของอีกาทองคําสามขา

และความสําเร็จระดับเล็ก ทําให้ซูฉินมีความสามารถพิเศษและพลังเหนือธรรมชาติบางอย่างของอีกาทองคําสามขา

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ซูฉินก็ได้ตรวจสอบพื้นที่ระบบ และมองไปยังจุดหนึ่ง โอสถศักดิ์สิทธิ์และสมบัติธาตุไฟกองซ้อนทับกันอยู่อย่างกับภูเขา

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โอกาสในการลงชื่อเข้าใช้ของซูฉินส่วนใหญ่ถูกใช้ไปภายในภูเขาไฟใต้ดินของเมืองอินจีในโลกถ้ําปีศาจทําให้ได้ โอสถธาตุไฟและสมบัติธาตุไฟมาเป็นจํานวนมาก
อย่างไรก็ตาม ซูฉินไม่แน่ใจว่าโอสถปีศาจธาตุไฟและสมบัติเหล่านี้จะสามารถผลักดันภาพดวงตะวันขนาดมหึมาเข้าสู่ความสําเร็จระดับเล็กได้หรือไม่

เนื่องจากเวลาในการลงชื่อเข้าใช้ภายในภูเขาไฟใต้เมืองอินจีแห่งโลกถปีศาจนั้นสั้นเกินไป

ถ้าเขามีเวลาอีกสักสิบปีในการลงชื่อเข้าใช้และได้รับโอสถและสมบัติธาตุไฟเพิ่มเติม ซูฉินมั่นใจว่าจะผลักดันภาพดวงตะวันขนาดมหึมาไปถึงความสําเร็จระดับเล็กได้

“ไม่ต้องสนใจ”

“ก็แค่ลองดูก่อน”

ซูฉินสงบใจลง และตัดสินใจทุกสิ่งด้วยหัวใจของเขาเอง

ต่อจากนั้น ซูฉินก็ปิดด่านฝึกตนอีกครั้ง

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ

พริบตาเดียวก็ผ่านไปหกเดือน ในช่วงระยะเวลาหกเดือนนี้ซูฉินได้กลืนกิน โอสถศักดิ์สิทธิ์ธาตุไฟและสมบัติจํานวนนับไม่ถ้วน จนผลักดันภาพดวงตะวันขนาดมหึมาเข้าใกล้ความสําเร็จระดับเล็กอย่างต่อเนื่อง

วันหนึ่ง

ซูฉินเปิดเปลือกตาของเขาขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ

ปร็ด!!

เสียงก้องคํารามพลันระเบิดออกมา และส่วนลึกภายในดวงตาของซูฉิน ดวงตะวันขนาดมหึมาที่ร้อนแรงแผดเผาก็โผล่ขึ้นมาจางๆ

ในส่วนลึกของดวงตะวัน อีกาทองคําสามขากู่ก้องคํารามโบยบินไปบนฟากฟ้า เปลวไฟอันน่าสะพรึงกลัวปะทุขึ้นในทันที แผดเผาฟ้าดินจนสิ้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 288 ความสําเร็จระ ดับเล็ก

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 288 ความสําเร็จระ ดับเล็ก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 288 ความสําเร็จระ ดับเล็ก

ไม่ใช่เพียงนิกายเทพเจ้าสายฟ้าเท่านั้น

แทบจะในเวลาเดียวกัน ทั้งตําหนักเทพเจ้าหิมะ นิกายเฮยหยวน และนิกายใหญ่แห่งอื่นๆ จากต่างแดน ก็ได้ส่งบรรพชนที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขามา

ณ เขตแดนน้ําแข็งขั้วโลกตอนเหนือ ไม่รู้ว่าด้านนอกตําหนักเทพเจ้าหิมะมีหญิงสาว ในชุดชาววังคนหนึ่งมายืนอยู่ตั้งแต่เมื่อใด

หญิงที่แต่งกายในชุดชาววังยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ กลิ่นอายดูอ่อนแอราวกับคนธรรมดาทั่วไป แต่ถ้ามองดีๆจะพบว่านัยน์ตาของหญิงสาวชุดชาววังมีเขตแดนน้ําแข็งกําลังเบ่งบานอยู่ภายใน

เมื่อเห็นหญิงในชุดชาววังผู้นี้ ศิษย์สาวกรวมถึงผู้อาวุโสทั้งหมดในตําหนักเทพเจ้าหิมะรีบออกไปด้านนอก ต่างพากันก้มลงกราบไหว้

“ท่านบรรพชน ที่ท่านตื่นขึ้นและเดินทางมาในครั้งนี้ เป็นเพราะจุดเปลี่ยนผ่านของกระแสปราณฉีที่กําลังจะมาถึงใช่หรือไม่?” รองหัวหน้า ตําหนักเทพเจ้าหิมะกล่าวถามหญิงในชุดชาววังอย่างระมัดระวัง

“มิผิด” หญิงสาวในชุดชาววังยังคงเฉยเมย ราวกับภูเขาน้ําแข็งที่จะอยู่ไปตราบชั่วนิจนิรันดร์และกระซิบคําต่อไปว่า “อย่างไรก็ตาม ตัวข้าและสหายเต่ําอีกสองสามคนจะไปพบตํานานยุทธแห่งอาณาจักรถังสักเล็กน้อย”

รองหัวหน้าตําหนักเทพเจ้าหิมะตกใจเล็กน้อย เมื่อได้ยินเรื่องนี้ กล่าวออกอย่างรวดเร็ว “แต่ท่านบรรพชนเพิ่งบอกว่าตํานานยุทธเมืองฉางอันเพิ่งจะทําลายพรรคหมีนดาบด้วยพลังของเขาเอง ความแข็งแกร่งของเขานั้นมิอาจหยั่งรู้ได้……”
รองหัวหน้าตําหนักเทพเจ้าหิมะลังเล และกล่าวออกอย่างไม่แน่ใจ

เมื่อนางรู้จากปากของหญิงสาวชุดชาววังว่าพรรคหมื่นดาบถูกทําลายลงภายใต้น้ํามือของซูฉิน นางก็ตกใจอย่างมาก

ตอนนี้พอได้ยินว่าบรรพชนต้องการจะพบซูฉิน ใจก็รู้สึกกังวลเล็กน้อย
“สบายใจได้”

หญิงที่แต่งกายด้วยชุดชาววังส่ายศีรษะเล็กน้อย และพูดอย่างดูถูก “พรรคหมื่นดาบสืบทอดมรดกมาเพียงสี่พันกว่าปีเท่านั้น จะเทียบกับตําหนักเทพเจ้าหิมะของเราได้เช่นไรกัน?”

“ในพรรคหมื่นดาบทั้งหมดตลอดช่วงสองพันปีที่ผ่านมา มีเพียงบรรพชนดาบเท่านั้นที่แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้”

“แต่กระนั้นร่างของบรรพชนดาบก็เสื่อมสลายไปนานแล้ว หากปราศจากการหล่อเลี้ยงจากร่างกาย จิตวิญญาณแรกกําเนิดก็เหมือนกับจอกแหนที่ไร้ราก จอมยุทธเช่นข้า หากต้องการจะใช้กระบวนท่าขั้นสูงสุดทั้งหลาย ก็ต้องอาศัยกายเนื้อ”

“บรรพชนดาบไม่มีกายเนื้อ ด้วยเพียงจิตวิญญาณแรกกําเนิด แน่นอนเขาสามารถรักษาพลังการต่อสู้ส่วนใหญ่ไว้ได้ แต่การต่อสู้ของจอมยุทธในระดับเดียวกัน ความผิดพลาดเพียงนิดอาจกระทบต่อผลแพ้ชนะได้แล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสูญเสียร่างกายเลยมิใช่หรือ?”

น้ําเสียงของหญิงสาวในชุดชาววังนั้นเรียบง่าย ไม่มีความผันผวนขึ้นลงแม้แต่น้อย

บรรพชนดาบเป็นเพียงร่างจิตวิญญาณแรกกําเนิด สามารถจัดการกับตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่อยู่ต่ํากว่าระดับการเปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับตัวตนระดับเดียวกัน ย่อมอ่อนแอกว่าเมื่อเข้าประมือ

เรื่องที่ซูฉินนั่นศีรษะบรรพชนดาบ หญิงสาวในชุดชาววังไม่แปลกใจ เพราะนางมั่นใจว่านางสามารถทําได้เช่นกัน ส่วนการทําลายพรรคหมื่นดาบ……

ท้ายที่สุดพรรคหมื่นดาบก็เป็นนิกายที่เซียนเทพปฐพีสร้างขึ้น ซูฉินสามารถทําลายพรรคหมื่นดาบได้ ความแข็งแกร่งของเขาจะต้องเหนือธรรมดาและแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้แล้วอย่างแน่นอน

แต่คราวนี้หญิงสาวในชุดชาววังไม่ได้ไปที่เมืองฉางอันเพียงลําพัง แต่ไปกับสหายเต่จากนิกายใหญ่แห่งอื่นๆอีกสองสามคน

ตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่แปลงจิตวิญญาณได้ แล้วรวมพลังกัน แม้ว่าซูฉินจะแข็งแกร่ง ตราบใดที่ไม่ได้เหยียบย่างเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี พวกเขาย่อมไม่หวั่นเกรงอย่างแน่นอน

นี่เป็นความมั่นใจอันใหญ่ยิ่งของหญิงสาวในชุดชาววัง

และในตอนนี้

ที่เมืองฉางอัน

ภายในวังหลวง

ซูฉินปิดด่านอยู่ชั่วระยะหนึ่ง หลังจากปรับสมดุลจิตวิญญาณแรกกําเนิดแล้ว เขาก็กลับไปยังพระราชวังตะวันออกเพื่อชี้แนะแนวทางการฝึกฝนให้กับตระกูลซู

เป็นเวลาหลายเดือนแล้วนับตั้งแต่ซูฉินเดินทางไปต่างดินแดน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่จะติดตามความคืบหน้าด้านวิทยายุทธของตระกูล

“ฉินเฮ่อ เจ้าทะลวงขั้นอีกแล้วงั้นหรือ?” ด้านนอกตําหนักชุนฝั่งขวา ซูชื่อหมินกําลังฝึกหมัดอรหันต์

หมัดอรหันต์เป็นเคล็ดหมัดมวยที่ซูฉินนําออกมาจากวัดเส้าหลิน มันเป็นวิธีการออกหมัดพื้นฐาน แต่ในขณะนี้เมื่ออยู่ในมือของซูชื่อหมิน มันมีท่วงท่าที่แตกต่างออกไป คล้ายคลึงกับผู้ทรงสมณศักดิ์ขอบเขตอรหันต์ตัวจริงเลยทีเดียว การเหวี่ยงหมัดเรียบง่ายและสง่างาม พลังฟ้าดินจํานวนมากหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกาย ปรับปรุงการฝึกฝนของซูชื่อหมินอยู่ตลอด

“ทะลวงขั้นเล็กน้อย” ซูฉินกล่าวอย่างสบายๆ

สําหรับตํานานยุทธขั้นสูงสุดคนอื่นๆ การแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดนั้นเรียกได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อก่อเกิดจิตวิญญาณแรกกําเนิดเท่ากับกําจัดโซ่ตรวนทางกาย เดินทางท่องทั่วไปได้หลายพันลี้ มันราวกับได้เกิดใหม่อีกครั้ง น่าเหลือเชื่ออย่างยิ่ง

แต่ในสายตาของซูฉินมันเป็นเพียงความก้าวหน้าเล็กน้อย” ไม่ใช่เรื่องน่าดีใจอะไรนัก

“ฉันเอ่อ ความก้าวหน้าเล็กน้อยของเจ้า ในสายตาคนธรรมดาอย่างเรา เกรงว่ามันจะเป็นความก้าวหน้าที่เทียบได้กับคนธรรมดาก้าวเดินไปจนถึงขอบเขตตํานานยุทธ……”

ขณะที่ซูชื่อหมินกําลังพูดไปนั้น เขาก็ยังคงออกหมัดอรหันต์อย่างต่อเนื่อง

“ท่านพ่อ ความแข็งแกร่งของท่านกําลังจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธในเร็ววันแล้ว” ซูฉินเหลือบมองหมัดอรหันต์ของซูชื่อหมิน รอยยิ้มพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้า

ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ซูชื่อหมินได้ไต่จากระดับชั้นที่ห้าจนมาเป็นปรมาจารย์ระดับชั้นที่สอง มีเพียงเส้นขั้นบางๆ ก่อนจะกลายเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง

แน่นอนว่านี่เป็นเพราะกระแสปราณฉี และเคล็ด วิชาร่วมกับโอสถศักดิ์สิทธิ์ที่ซูฉินมอบให้ แต่ ความอุตสาหะของซูชื่อหมินก็เป็นส่วนหนึ่งที่ สําคัญ

“แม้ว่าพ่อจะชอบวิทยายุทธ แต่ก็รู้ดีว่าความสามารถมีจํากัด แต่ตอนนี้ที่พ่อได้รับความช่วยเหลือจากฉันเอ่อ หากยังไม่มีการพัฒนา เห็นทีคงต้องกลับไปนอนอยู่บนกองเงินกองทองดีกว่า ลืมชีวิตที่ต้องดิ้นรนนี้ไปเสีย”

เมื่อซูชื่อหมินกล่าวเช่นนี้ เขาก็หยุดไปครู่หนึ่ง ราวกับกําลังคิดอะไรบางอย่าง ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย “น่าเสียดายที่หยวนเอ๋อไม่สนใจวิทยายุทธ ไม่เช่นนั้นคงจะลากตัวมาซ้อมมือกับพ่ออย่างแน่นอน”

หยวนเอ๋อ’ จากปากของซูชื่อหมินก็คือองค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์ถัง
เมื่อเทียบกับหลีหว่านที่หมกมุ่นอยู่แต่กับวิทยายุทธมาตั้งแต่เด็ก คอยเดินติดตามซูฉินตลอดทั้งวัน หลี่หยวนนั้นตรงกันข้าม ไม่สนใจเรื่องราวของวิทยายุทธเลย อุทิศตนให้กับวิชาการบ้านการเมืองเสียมากกว่า

“ทุกคนมีทางของตนเอง” ซูฉินส่ายศีรษะเล็กน้อย กล่าวออกมาเบาๆ

เขาให้ทางเลือกแก่หลี่หยวนไปแล้ว และอีกฝ่ายก็ยืนกรานที่จะไม่เดินไปในเส้นทางการฝึกยุทธ ดังนั้นซูฉินจึงไม่คิดจะพูดอะไรอีกต่อไป

หลังจากนั้น

ซูฉินก็พูดคุยกับซูชื่อหมินอีกนิดหน่อย แล้วก็ปลีกตัวเดินเล่นไปรอบๆวัง จากนั้นจึงกลับมายังโถงพระราชวังอันสูงตระหง่านอีกครั้ง

“จัดตั้งตะเกียงพุทธนี่เสียก่อน”

กระแสจิตจากซูฉินสั่นไหว ทันใดนั้นก็เห็นตะเกียงพุทธค่อยๆลุกไหม้ขึ้นอย่างช้าๆที่เบื้องหน้า

ตะเกียงพุทธนี้ คือตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณที่ซูฉินได้รับมาจากวิหารหมื่นพุทธ

เมื่อไส้ตะเกียงติดไฟแล้ว ไม่มีทางที่ใครจะบุกรุกเข้ามาได้

แน่นอนว่าเรื่องที่ไม่สามารถบุกเข้ามาได้ ก็ไม่ใช่ทุกกรณี อย่างน้อยตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณนี้ก็ไม่สามารถหยุดการรุกรานจากซูฉินได้

แต่ไม่ว่าอย่างไร ตะเกียงพุทธนี้ก็ยังเป็นสมบัติ พุทธคุณที่หายากชิ้นหนึ่ง

หลังจากแขวนตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณไว้บนยอดพระราชวังอันสูงตระหง่าน และปล่อยให้แสงพุทธคุณกระจายล้อมรอบโถงทั้งหมดแล้ว ซูฉินก็ดึงธงสีเหลืองออกมา
มันคือธงวู่ถู

ธงวู่ถูเป็นอาวุธวิเศษที่ซูฉินได้รับจากการลงชื่อเข้าใช้ที่แหล่งกําเนิดธาตุดิน ภายในมีค่ายกลขนาดใหญ่หลายประเภท ที่ต้องทําเพียงแค่ปักธงวู่ถูไว้เท่านั้น และค่ายกลจะทํางานโดยอัตโนมัติ ไม่จําเป็นต้องกังวลสิ่งใด
หวิ่ง!

เมื่อธงวู่ถูปักลงไปบนโถงหลัก ทันใดนั้นทั่วทั้งห้องโถงก็ถูกปกคลุมไว้ด้วยแสงสีเหลืองนวลจางๆ คล้ายสีของชั้นดิน

เมื่อถูกปกคลุมไว้ด้วยค่ายกลขนาดใหญ่ภายในธงวู่ถู พระราชวังสีดําใต้ดินทั้งหมดราวกับอันตรธานหายไปอย่างอย่างสิ้นเชิง แม้ตํานานยุทธขั้นสูงสุดจะชําเลืองสายตามองมา ก็ไม่สามารถสังเกตเห็นได้

“ไม่เลว”

“มันยังมาพร้อมลูกเล่นที่ซ่อนอยู่ด้วย” รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

แม้ด้วยความรู้เรื่องค่ายกลที่มีอยู่มากมาย การจะก่อตั้งค่ายกลขนาดใหญ่ที่ใช้ในการซ่อนเร้นย่อมง่ายดายเพียงแค่คิด

แต่เมื่อก่อตั้งค่ายกลฟ้าดินสําเร็จแล้ว จะต้องคอยปรับปรุงอยู่เป็นระยะจะไปเหมือนธงวู่ถูนี้ได้อย่างไร ตราบใดที่ตัวอาวุธไม่ถูกทําลาย ค่ายกลก็จะยังคงอยู่ตลอดไป นี่ไม่ใช่ว่าสะดวกสบายอย่างมากหรอกหรือ?

“ตอนนี้จิตวิญญาณแรกกําเนิดของข้าได้ถูกสร้างขึ้นมาแล้ว อาณาเขตก็มั่งคง ถึงเวลาที่จะทะลวงขอบเขตยอดอรหันต์แล้ว” ซูฉินนั่งขัดสมาธิ หยุดพักการฝึกมานั่งขบคิดแทน

“หากต้องการก้าวเข้าสู่ขอบเขตยอดอรหันต์ ต้องใช้จิตวิญญาณแรกกําเนิดหลอมรวมเข้ากับทะเลปราณดึงพลังฟ้าดินอันอนันต์มาหล่อเลี้ยงร่างกาย…”

“แต่ทะเลปราณนั้นมีทั้งจุดที่ลึกและจุดที่ตื้น พลังของทะเลปราณเขตล็กกับทะเลปราณเขตตื้นนั้นไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด”

ซูฉินครุ่นคิดเงียบๆ

เมื่อตํานานยุทธขั้นสูงสุดธรรมดาๆ มาถึงขอบเขตเชียนเทพปฐพี ตราบใดที่สามารถหลอมรวมเข้ากับทะเลปราณได้สําเร็จ นับว่าโชคดีอย่างยิ่งแล้ว จะกล้าพิจารณาเข้าไปในส่วนลึกของทะเลปราณได้อย่างไร

“เดิมที ข้าวางแผนจะใช้ภาพดวงตะวันขนาดมหึมาเป็นรากฐาน และใช้จิตวิญญาณแรกกําเนิดรวมเข้ากับทะเลปราณ”

“ภาพดวงตะวันขนาดมหึมามีแก่นแท้มาจากอีกาทองคําสามขา สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในธาตุไฟ มันสามารถนําจิตวิญญาณแรกกําเนิดของข้าไปสู่ส่วนที่ลึกที่สุดของทะเลปราณได้อย่างแน่นอน”

“แต่ตอนนี้ภาพดวงตะวันขนาดมหึมาของข้าเป็นเพียงขั้นเริ่มต้น ความสําเร็จระดับนี้ทําให้มีกลิ่นอายอีกาทองคําสามขา แต่ไม่สามารถมีบทบาทในการช่วยให้เข้าสู่ทะเลปราณได้…”

ซูฉินหรี่ตาลงเมื่อคิดถึงเรื่องนี้

หากเพียงแค่ต้องการก้าวเข้าสู่ขอบเขตยอดอรหันต์ ซูฉินสามารถทําได้ตั้งแต่อยู่ในแหล่งกําเนิดธาตุดินตอนที่เดินทางไปเยือนวิหารหมื่นพุทธ

แต่ซูฉินเลือกที่จะไม่ทํา

แม้แต่ในขอบเขตเซียนเทพปฐพี ก็มีความแตกต่างระหว่างระดับสูงและระดับต่ํา

หากซูฉินต้องการจะมุ่งหน้าเข้าสู่ขอบเขตนี้ เขาหวังว่าตนจะมีประสิทธิภาพยอดเยี่ยมจนทิ้งเซียนเทพปฐพีอื่นไว้เบื้องหลัง

“อย่างน้อยก็ต้องถึงความสําเร็จระดับเล็กในภาพดวงตะวันขนาดมหึมา จึงจะช่วยให้ข้าครอบครองความสามารถของอีกาทองคําสามขา และนั่นจะพาข้าไปสู่ห้วงลึกของทะเลปราณ”
ความคิดของซูฉินผันผวน

การฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมาแบ่งออกเป็นสามระดับ

เริ่มต้น ความสําเร็จระดับเล็ก ความสําเร็จชั้นยอด

ตราบใดที่ฝึกภาพดวงตะวันฯจนถึงความสําเร็จชั้นยอด เทียบเท่ากับฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมาได้จนสําเร็จครบถ้วนทุกกระบวนความ ในเวลานั้นซูฉินจะสามารถแปลงกายเป็นอีกาทองคําสามขา ซึ่งเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในด้านเปลวเพลิงได้ตามใจนึก

สําหรับการเข้าสู่ความสําเร็จระดับเล็ก….

ภาพดวงตะวันขนาดมหึมาในระดับเริ่มต้น สามารถทําให้ซูฉินมีกลิ่นอายของอีกาทองคําสามขา

และความสําเร็จระดับเล็ก ทําให้ซูฉินมีความสามารถพิเศษและพลังเหนือธรรมชาติบางอย่างของอีกาทองคําสามขา

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ซูฉินก็ได้ตรวจสอบพื้นที่ระบบ และมองไปยังจุดหนึ่ง โอสถศักดิ์สิทธิ์และสมบัติธาตุไฟกองซ้อนทับกันอยู่อย่างกับภูเขา

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โอกาสในการลงชื่อเข้าใช้ของซูฉินส่วนใหญ่ถูกใช้ไปภายในภูเขาไฟใต้ดินของเมืองอินจีในโลกถ้ําปีศาจทําให้ได้ โอสถธาตุไฟและสมบัติธาตุไฟมาเป็นจํานวนมาก
อย่างไรก็ตาม ซูฉินไม่แน่ใจว่าโอสถปีศาจธาตุไฟและสมบัติเหล่านี้จะสามารถผลักดันภาพดวงตะวันขนาดมหึมาเข้าสู่ความสําเร็จระดับเล็กได้หรือไม่

เนื่องจากเวลาในการลงชื่อเข้าใช้ภายในภูเขาไฟใต้เมืองอินจีแห่งโลกถปีศาจนั้นสั้นเกินไป

ถ้าเขามีเวลาอีกสักสิบปีในการลงชื่อเข้าใช้และได้รับโอสถและสมบัติธาตุไฟเพิ่มเติม ซูฉินมั่นใจว่าจะผลักดันภาพดวงตะวันขนาดมหึมาไปถึงความสําเร็จระดับเล็กได้

“ไม่ต้องสนใจ”

“ก็แค่ลองดูก่อน”

ซูฉินสงบใจลง และตัดสินใจทุกสิ่งด้วยหัวใจของเขาเอง

ต่อจากนั้น ซูฉินก็ปิดด่านฝึกตนอีกครั้ง

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ

พริบตาเดียวก็ผ่านไปหกเดือน ในช่วงระยะเวลาหกเดือนนี้ซูฉินได้กลืนกิน โอสถศักดิ์สิทธิ์ธาตุไฟและสมบัติจํานวนนับไม่ถ้วน จนผลักดันภาพดวงตะวันขนาดมหึมาเข้าใกล้ความสําเร็จระดับเล็กอย่างต่อเนื่อง

วันหนึ่ง

ซูฉินเปิดเปลือกตาของเขาขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ

ปร็ด!!

เสียงก้องคํารามพลันระเบิดออกมา และส่วนลึกภายในดวงตาของซูฉิน ดวงตะวันขนาดมหึมาที่ร้อนแรงแผดเผาก็โผล่ขึ้นมาจางๆ

ในส่วนลึกของดวงตะวัน อีกาทองคําสามขากู่ก้องคํารามโบยบินไปบนฟากฟ้า เปลวไฟอันน่าสะพรึงกลัวปะทุขึ้นในทันที แผดเผาฟ้าดินจนสิ้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+