เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 30 จากไป

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 30 จากไป at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 30 จากไป

 

 

ในห้องใต้หลังคา

 

หงกงกงหนังหัวลุกชัน จิตใจสับสนวุ่นวายอยู่ไม่นิ่ง

 

ในฐานะที่เป็นถึงขันทีชุดแดงแห่งวังหลวง หงกงกงย่อมรู้เป็นธรรมดาว่าสิ่งที่เรียกว่าการกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้นั้นเป็นเรื่องน่าหวั่นเกรงเพียงไร

 

ตัวตนนี้เป็นยอดฝีมือที่ปราบปรามทุกอย่างได้เพียงขยับตัว เหตุไฉนตระกูลเจินตระกูลหวู่แห่งเขาหวู่ตั้งจึงสามารถเพิกเฉยต่ออำนาจขององค์จักรพรรดิและต่อต้านคำสั่งได้? เหตุใดอาณาจักรเหมิ่งหยวนจึงครอบครองพื้นที่ทุ่งหญ้าอาณาเขตกว้างไกลไม่มีที่สิ้นสุดแถมยังหมายตาพื้นที่ราบทางตอนใต้และทางตอนกลางเอาไว้อีก?

 

ความน่ากลัวของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดนั้นอยู่ไกลเกินจินตนาการของทุกผู้คน

 

หงกงกงไม่ทันคิดด้วยซ้ำว่าสถานที่ที่ตกต่ำลงไปมากอย่างวัดเส้าหลินถึงกับมีจุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่งเชียวหรือ?

 

“หงกงกง…”

 

เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นผ่านม่านจากด้านใน แม้พระชายาลี่เฟยจะไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นแต่เธอก็กังวลเช่นกัน

 

หงกงกงคือคนสนิทของนาง หากปราศจากการคุ้มกันของหงกงกงเธอคงไม่รู้ว่าจะต้องตายไปแล้วกี่ครั้ง

 

แต่ครานี้หงกงกงซึ่งถือเป็นเสาหลักเป็นความมั่นใจของนางกลับแสดงท่าทีสั่นสะท้านและหวาดกลัวเช่นนี้

 

“อย่าตกใจไปเลยพระนาง…”

 

หงกงกงฝืนใจแสดงความเคารพโดยการก้มคำนับไปในทิศทางที่มีแต่อากาศว่างเปล่า

 

“ข้ารับใช้เฒ่าหงหยวนขอคารวะสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์…”

 

หงกงกงรู้สึกได้อย่างกระจ่างแจ้งว่าถึงระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดจะไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ การเคลื่อนไหวทั้งหมดในห้องใต้หลังคานี้ย่อมอยู่ภายใต้สายตาของอีกฝ่าย

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ถอนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว

 

หงกงกงในที่สุดก็หายใจหายคอได้เสียที จึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

 

“หงกงกงเกิดอะไรขึ้น?” เมื่อเห็นการแสดงออกของหงกงกง พระชายาลี่เฟยก็ถามขึ้นโดยพลันเมื่อตระหนักได้ว่าเรื่องราวอาจจะผ่านพ้นไปแล้ว

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

หงกงกงยิ้มอย่างขื่นขม “พระชายา สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์จากวัดเส้าหลินเพิ่งใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของท่านกวาดผ่านเข้ามา…”

 

“สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์?”

 

“จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์?”

 

พระชายาลี่เฟยงุนงง

 

แม้ว่านางจะเป็นชายาคนโปรดของจักรพรรดิถังแต่เธอก็ไม่ได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับศิลปะยุทธมากนัก

 

สำหรับลี่เฟย เธอรู้เพียงว่าจอมยุทธแบ่งออกเป็นเก้าระดับชั้น โดยระดับชั้นที่หนึ่งคือสูงที่สุดและระดับชั้นที่เก้าคือต่ำที่สุด

 

ส่วนอื่นๆ นอกเหนือจากนี้ นางย่อมไม่ทราบ

 

“พระชายา…”

 

หงกงกงรับรู้ได้ถึงความสงสัยของพระชายา หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงเรียนออกไปว่า “พระชายาเพียงรู้ไว้แค่ว่าสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์รูปนี้อยู่ในระดับเดียวกันกับจ้าวกงกงที่เคียงข้างพระวรกายของฝ่าบาท…”

 

“จ้าวกงกง…”

 

หัวใจของพระชายาลี่เฟยสั่นสะท้าน

 

นามของจ้าวกงกง สำหรับผู้คนในวังหลวงนั้นเป็นเพียงอันดับสองรองลงมาจากองค์จักรพรรดิ

 

แม้แต่พระชายาลี่เฟยก็ยังรู้ว่าจ้าวกงกงเป็นขันทีชุดม่วงที่มีอยู่เพียงคนเดียวในราชวงศ์ถัง และสถานะของเขาเทียบเสมอกันกับเหล่าองค์ชาย

 

ตอนนี้องค์จักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถังก็มีพระชนม์ชีพที่มากแล้ว เหล่าองค์ชายก็มีความคิดอ่านแตกต่างกันไป

 

แต่ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายแค่ไหน ตราบที่องค์จักรพรรดิถังยังไม่สวรรคตในเร็วๆ นี้ ต้าถังก็จะยังไม่วุ่นวาย

 

เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?

 

นั่นก็เป็นเพราะขันทีชุดม่วงข้างพระวรกายนี่แล

 

ด้วยอำนาจความแข็งแกร่งของขันทีชุดม่วงเพียงผู้เดียว ก็กดดันสภาขุนนางและกลุ่มก้อนอำนาจของเหล่าองค์ชายได้อยู่หมัด เป็นเหตุให้พวกเขาไม่กล้าที่จะก่อความไม่สงบใดๆ

 

ลี่เฟยไม่คาดคิดว่าในสายตาของหงกงกง สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์รูปนั้นจะสูงส่งถึงขนาดที่เทียบเท่ากับจ้าวกงกงเลยเชียวหรือ?

 

มันเหลือเชื่อมากจริงๆ

 

“หงกงกง หากมีผู้แข็งแกร่งเยี่ยงนี้อยู่ในวัดเส้าหลิน มิใช่ว่าเราจะตกอยู่ในอันตรายแล้วหรอกหรือ…”

 

จู่ๆ ลี่เฟยก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาแล้วถามด้วยโทนเสียงต่ำ

 

“พระนางอย่าได้เป็นกังวลจนเกินไป…” หงกงกงยิ้มขม “หากสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์รูปนั้นมีเจตนาฆ่าฟัน พวกเราย่อมไม่มีแม้แต่กระดูกหลงเหลืออยู่ไปเสียนานแล้ว และแม้ตัวจักรพรรดิถังเองจะได้ทราบความนั้น พระองค์ก็จะไม่ไต่ถามเรื่องราวใดต่อไปอีก”

 

การแสดงออกของขันทีเฒ่ามีความซับซ้อน

 

ไม่ว่าวังหลวงจะปรนเปรอ ปฏิบัติอย่างดีกับลี่เฟยมากเพียงใด แต่ก็จะไม่มีวันขัดแย้งกับจุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่งด้วยเรื่องของสตรีเพียงคนเดียวแน่

 

“พระชายา”

 

“ความจริงแล้วก็เป็นเรื่องดีที่มีสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ในวัดเส้าหลิน”

 

หงกงกงพูดเช่นนั้นแล้วก็หยุด จากนั้นจึงถอนหายใจออกมา “อย่างน้อยก็นับว่าเราปลอดภัย…”

 

 

“นี่มันน่าทึ่งมากจริงๆ!”

 

ยามเมื่อซูฉินใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ การรับรู้ในทุกสิ่งก็เข้ามาในจิตของเขาทั้งหมด

 

“อย่างไรก็ตาม ขันทีที่อยู่ข้างกายพระชายาลี่เฟยสามารถรับรู้การมีอยู่ของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้…”

 

ซูฉินงงงวยไปเล็กน้อย

 

มันชัดเจนมากตอนที่ขันทีแซ่หงรับรู้ได้ถึงจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขายามเมื่อแผ่จิตสัมผัสผ่านป่าไผ่เข้าไปในห้องใต้หลังคา

 

ซูฉินพลางครุ่นคิดหาเหตุผลอยู่สักพักใหญ่

 

เหตุผลหลักน่าจะเป็นเพราะเขาเพิ่งสำเร็จการควบแน่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ การปลดปล่อยจิตสัมผัสออกไปจึงมีการควบคุมที่ไม่ดีนัก

 

นอกจากนี้พลังจิตวิญญาณของหงกงกงก็ข้ามผ่านจอมยุทธทั่วๆ ไปไปมากแล้ว ดังนั้นเขาจึงสามารถตรวจพบร่องรอยทางจิตวิญญาณได้

 

หลังจากใช้เวลาอยู่ชั่วระยะหนึ่งซูฉินก็ทำความคุ้นเคยกับจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างยวดยิ่ง กลายเป็นเชี่ยวชาญมันอย่างแท้จริงเกิดเป็นความสบายใจขึ้นมาพร้อมกับสายลมอ่อนๆ ที่เข้ามาปะทะใบหน้า

 

 

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

เพียงกะพริบตาก็ผ่านไปเสียหลายเดือนแล้ว

 

ในช่วงเวลานี้ซูฉินกลับมาสู่ชีวิตตามปกติอีกครั้ง

 

สำหรับการที่สามารถกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้นั้นส่งผลกระทบต่อชีวิตเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

 

สุดท้ายแล้วแม้ว่าจะไม่มี ‘โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์‘ ซูฉินก็เชื่อมั่นว่าตนจะกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้ เพียงแค่ใช้เวลานานกว่านี้ก็เท่านั้น

 

ทรัพย์สมบัติอย่างหนึ่งที่ซูฉินมีอย่างเหลือเฟือก็คือเวลานี่แหละ

 

ปกติยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งจะมีช่วงชีวิตอยู่ได้ถึงสองร้อยปี แต่ซูฉินกลับมีอายุขัยถึงสี่ร้อยปี

 

มีเวลาเป็นร้อยปีแม้แต่หมูก็ยังกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์จนกลายเป็นเซียนได้เลยกระมัง นับประสาอะไรกับซูฉิน

 

“ถ้าต้องการจะบรรลุถึงระดับ ‘อรหันต์‘ นั้น จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ ความแข็งแกร่งของร่างกายสุดขั้ว และกำลังภายในสุดขีด จะขาดไปสักอย่างไม่ได้เลย”

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิคิดใคร่ครวญเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบัน

 

“ตอนนี้ข้ามีจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์แล้ว และร่างกายก็สมดุลด้วยหยินประสานหยางจนไปถึงขีดสุดแล้ว เหลือก็แต่เพียงกำลังภายในเท่านั้น…”

 

ดวงตาของซูฉินสว่างไสว

 

สำหรับยอดปรมาจารย์สักคนหนึ่งการจะไปแตะคอขวดของระดับตำนานยุทธนั้นยากเย็นแสนเข็ญเหมือนปีนขึ้นมาจากหุบเหวเพื่อไปสู่นภากว้าง แต่ซูฉินกลับแก้ไขปัญหาสำคัญในการไปถึงจุดนั้นได้ถึงสองสิ่งอย่างง่ายดาย หากเรื่องนี้หลุดออกไปกลัวว่าจะสร้างความตกตะลึงไปทั่วยุทธภพ

 

จะว่าไปแล้วซูฉินนับได้ว่าเป็นคนที่อยู่ใกล้กับคอขวดของระดับตำนานยุทธมากที่สุดคนหนึ่งในบรรดายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทั้งหลายในปัจจุบันนี้

 

 

วันถัดมา

 

ซูฉินไปที่ลานโพธิ์เพื่อลงชื่อเข้าใช้ตามปกติ

 

นับตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่เขาลงชื่อเข้าใช้แล้วได้รับ ‘โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์‘ ความถี่ที่ซูฉินแวะมาลงชื่อที่ลานโพธิ์ก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัย[1]

 

การลงชื่อที่ลานโพธิ์นั้นถึงขนาดผุด ‘โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์‘ ที่สามารถกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้ แล้วจะเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีโอสถที่ช่วยขัดเกลากำลังภายใน?

 

ด้วยมีความคิดเช่นนี้ ซูฉินจึงค่อยๆ เดินไปที่ลานโพธิ์ แต่ไม่ได้เร่งรีบอะไรนัก

 

ทันใดนั้น

 

ซูฉินก็หยุดลง

 

ไม่นานร่างขององค์หญิงแห่งต้าถังก็วิ่งเข้ามาหา

 

เมื่อคำนวณเวลาที่พระนางลี่เฟยและพลพรรคมาอาศัยอยู่ที่วัดเส้าหลินก็ยาวนานร่วมครึ่งปีแล้ว

 

แต่อย่างไรก็ตามในเวลาปกติพระนางลี่เฟยและหงกงกงแทบจะไม่ได้ออกมาจากป่าไผ่เลยจึงไม่ได้กระทบต่อกิจการภายในของวัดเส้าหลินแต่ประการใด

 

นอกจากนี้ลี่เฟยยังถูกส่งมาโดยองค์จักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถัง เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจึงจำต้องทำเป็นปิดตาข้างหนึ่งลง ตราบใดที่พระนางลี่เฟยไม่มีความคิดที่จะจากไป เขาก็จะปล่อยให้พระนางลี่เฟยอาศัยอยู่แบบนี้ต่อไป

 

สำหรับสิ่งที่วัดเส้าหลินจำต้องเป็นกังวลก็เพียงต้องส่งข้าวปลาอาหารให้ทุกวันเท่านั้น

 

“พระตัวน้อย พวกข้าอาจจะจากไปในเร็วๆ นี้แล้ว…”

 

องค์หญิงราชวงศ์ถังดวงตากลมโตกลายเป็นสีแดง เห็นได้ชัดว่าไม่เต็มใจเป็นอย่างยิ่ง

 

แม้ว่าจะมีพระพุทธรูปโบราณ โคมไฟสีน้ำเงินสวย ซึ่งอาจจะหรูหราและงดงามน้อยว่าในวังขององค์จักรพรรดิ

 

แต่อย่างน้อยที่วัดเส้าหลินก็ให้ความปลอดภัย และมีอิสระ

 

ไม่ต้องกังวลว่าสักวันหนึ่งจะถูกหมกร่างอยู่ในบ่อน้ำที่เหือดแห้งหรือเผลอกลืนยาพิษเข้าไป

 

“จะกลับไปแล้วหรือ?”

 

ซูฉินดูประหลาดใจ

 

“อื้อ นี่เป็นสิ่งที่หงกงกงได้กล่าวมา” องค์หญิงตัวน้อยพูดด้วยโทนเสียงต่ำ

 

 

—————————————————————–

[1] นัย อ่านได้ทั้ง ไน และ ไน–ยะ ในที่นี้ต้องการให้อ่านออกเสียงว่า ไน–ยะ เพื่ออรรถรส

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 30 จากไป

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 30 จากไป at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 30 จากไป

 

 

ในห้องใต้หลังคา

 

หงกงกงหนังหัวลุกชัน จิตใจสับสนวุ่นวายอยู่ไม่นิ่ง

 

ในฐานะที่เป็นถึงขันทีชุดแดงแห่งวังหลวง หงกงกงย่อมรู้เป็นธรรมดาว่าสิ่งที่เรียกว่าการกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้นั้นเป็นเรื่องน่าหวั่นเกรงเพียงไร

 

ตัวตนนี้เป็นยอดฝีมือที่ปราบปรามทุกอย่างได้เพียงขยับตัว เหตุไฉนตระกูลเจินตระกูลหวู่แห่งเขาหวู่ตั้งจึงสามารถเพิกเฉยต่ออำนาจขององค์จักรพรรดิและต่อต้านคำสั่งได้? เหตุใดอาณาจักรเหมิ่งหยวนจึงครอบครองพื้นที่ทุ่งหญ้าอาณาเขตกว้างไกลไม่มีที่สิ้นสุดแถมยังหมายตาพื้นที่ราบทางตอนใต้และทางตอนกลางเอาไว้อีก?

 

ความน่ากลัวของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดนั้นอยู่ไกลเกินจินตนาการของทุกผู้คน

 

หงกงกงไม่ทันคิดด้วยซ้ำว่าสถานที่ที่ตกต่ำลงไปมากอย่างวัดเส้าหลินถึงกับมีจุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่งเชียวหรือ?

 

“หงกงกง…”

 

เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นผ่านม่านจากด้านใน แม้พระชายาลี่เฟยจะไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นแต่เธอก็กังวลเช่นกัน

 

หงกงกงคือคนสนิทของนาง หากปราศจากการคุ้มกันของหงกงกงเธอคงไม่รู้ว่าจะต้องตายไปแล้วกี่ครั้ง

 

แต่ครานี้หงกงกงซึ่งถือเป็นเสาหลักเป็นความมั่นใจของนางกลับแสดงท่าทีสั่นสะท้านและหวาดกลัวเช่นนี้

 

“อย่าตกใจไปเลยพระนาง…”

 

หงกงกงฝืนใจแสดงความเคารพโดยการก้มคำนับไปในทิศทางที่มีแต่อากาศว่างเปล่า

 

“ข้ารับใช้เฒ่าหงหยวนขอคารวะสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์…”

 

หงกงกงรู้สึกได้อย่างกระจ่างแจ้งว่าถึงระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดจะไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ การเคลื่อนไหวทั้งหมดในห้องใต้หลังคานี้ย่อมอยู่ภายใต้สายตาของอีกฝ่าย

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ถอนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว

 

หงกงกงในที่สุดก็หายใจหายคอได้เสียที จึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

 

“หงกงกงเกิดอะไรขึ้น?” เมื่อเห็นการแสดงออกของหงกงกง พระชายาลี่เฟยก็ถามขึ้นโดยพลันเมื่อตระหนักได้ว่าเรื่องราวอาจจะผ่านพ้นไปแล้ว

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

หงกงกงยิ้มอย่างขื่นขม “พระชายา สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์จากวัดเส้าหลินเพิ่งใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของท่านกวาดผ่านเข้ามา…”

 

“สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์?”

 

“จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์?”

 

พระชายาลี่เฟยงุนงง

 

แม้ว่านางจะเป็นชายาคนโปรดของจักรพรรดิถังแต่เธอก็ไม่ได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับศิลปะยุทธมากนัก

 

สำหรับลี่เฟย เธอรู้เพียงว่าจอมยุทธแบ่งออกเป็นเก้าระดับชั้น โดยระดับชั้นที่หนึ่งคือสูงที่สุดและระดับชั้นที่เก้าคือต่ำที่สุด

 

ส่วนอื่นๆ นอกเหนือจากนี้ นางย่อมไม่ทราบ

 

“พระชายา…”

 

หงกงกงรับรู้ได้ถึงความสงสัยของพระชายา หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงเรียนออกไปว่า “พระชายาเพียงรู้ไว้แค่ว่าสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์รูปนี้อยู่ในระดับเดียวกันกับจ้าวกงกงที่เคียงข้างพระวรกายของฝ่าบาท…”

 

“จ้าวกงกง…”

 

หัวใจของพระชายาลี่เฟยสั่นสะท้าน

 

นามของจ้าวกงกง สำหรับผู้คนในวังหลวงนั้นเป็นเพียงอันดับสองรองลงมาจากองค์จักรพรรดิ

 

แม้แต่พระชายาลี่เฟยก็ยังรู้ว่าจ้าวกงกงเป็นขันทีชุดม่วงที่มีอยู่เพียงคนเดียวในราชวงศ์ถัง และสถานะของเขาเทียบเสมอกันกับเหล่าองค์ชาย

 

ตอนนี้องค์จักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถังก็มีพระชนม์ชีพที่มากแล้ว เหล่าองค์ชายก็มีความคิดอ่านแตกต่างกันไป

 

แต่ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายแค่ไหน ตราบที่องค์จักรพรรดิถังยังไม่สวรรคตในเร็วๆ นี้ ต้าถังก็จะยังไม่วุ่นวาย

 

เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?

 

นั่นก็เป็นเพราะขันทีชุดม่วงข้างพระวรกายนี่แล

 

ด้วยอำนาจความแข็งแกร่งของขันทีชุดม่วงเพียงผู้เดียว ก็กดดันสภาขุนนางและกลุ่มก้อนอำนาจของเหล่าองค์ชายได้อยู่หมัด เป็นเหตุให้พวกเขาไม่กล้าที่จะก่อความไม่สงบใดๆ

 

ลี่เฟยไม่คาดคิดว่าในสายตาของหงกงกง สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์รูปนั้นจะสูงส่งถึงขนาดที่เทียบเท่ากับจ้าวกงกงเลยเชียวหรือ?

 

มันเหลือเชื่อมากจริงๆ

 

“หงกงกง หากมีผู้แข็งแกร่งเยี่ยงนี้อยู่ในวัดเส้าหลิน มิใช่ว่าเราจะตกอยู่ในอันตรายแล้วหรอกหรือ…”

 

จู่ๆ ลี่เฟยก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาแล้วถามด้วยโทนเสียงต่ำ

 

“พระนางอย่าได้เป็นกังวลจนเกินไป…” หงกงกงยิ้มขม “หากสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์รูปนั้นมีเจตนาฆ่าฟัน พวกเราย่อมไม่มีแม้แต่กระดูกหลงเหลืออยู่ไปเสียนานแล้ว และแม้ตัวจักรพรรดิถังเองจะได้ทราบความนั้น พระองค์ก็จะไม่ไต่ถามเรื่องราวใดต่อไปอีก”

 

การแสดงออกของขันทีเฒ่ามีความซับซ้อน

 

ไม่ว่าวังหลวงจะปรนเปรอ ปฏิบัติอย่างดีกับลี่เฟยมากเพียงใด แต่ก็จะไม่มีวันขัดแย้งกับจุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่งด้วยเรื่องของสตรีเพียงคนเดียวแน่

 

“พระชายา”

 

“ความจริงแล้วก็เป็นเรื่องดีที่มีสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ในวัดเส้าหลิน”

 

หงกงกงพูดเช่นนั้นแล้วก็หยุด จากนั้นจึงถอนหายใจออกมา “อย่างน้อยก็นับว่าเราปลอดภัย…”

 

 

“นี่มันน่าทึ่งมากจริงๆ!”

 

ยามเมื่อซูฉินใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ การรับรู้ในทุกสิ่งก็เข้ามาในจิตของเขาทั้งหมด

 

“อย่างไรก็ตาม ขันทีที่อยู่ข้างกายพระชายาลี่เฟยสามารถรับรู้การมีอยู่ของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้…”

 

ซูฉินงงงวยไปเล็กน้อย

 

มันชัดเจนมากตอนที่ขันทีแซ่หงรับรู้ได้ถึงจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขายามเมื่อแผ่จิตสัมผัสผ่านป่าไผ่เข้าไปในห้องใต้หลังคา

 

ซูฉินพลางครุ่นคิดหาเหตุผลอยู่สักพักใหญ่

 

เหตุผลหลักน่าจะเป็นเพราะเขาเพิ่งสำเร็จการควบแน่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ การปลดปล่อยจิตสัมผัสออกไปจึงมีการควบคุมที่ไม่ดีนัก

 

นอกจากนี้พลังจิตวิญญาณของหงกงกงก็ข้ามผ่านจอมยุทธทั่วๆ ไปไปมากแล้ว ดังนั้นเขาจึงสามารถตรวจพบร่องรอยทางจิตวิญญาณได้

 

หลังจากใช้เวลาอยู่ชั่วระยะหนึ่งซูฉินก็ทำความคุ้นเคยกับจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างยวดยิ่ง กลายเป็นเชี่ยวชาญมันอย่างแท้จริงเกิดเป็นความสบายใจขึ้นมาพร้อมกับสายลมอ่อนๆ ที่เข้ามาปะทะใบหน้า

 

 

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

เพียงกะพริบตาก็ผ่านไปเสียหลายเดือนแล้ว

 

ในช่วงเวลานี้ซูฉินกลับมาสู่ชีวิตตามปกติอีกครั้ง

 

สำหรับการที่สามารถกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้นั้นส่งผลกระทบต่อชีวิตเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

 

สุดท้ายแล้วแม้ว่าจะไม่มี ‘โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์‘ ซูฉินก็เชื่อมั่นว่าตนจะกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้ เพียงแค่ใช้เวลานานกว่านี้ก็เท่านั้น

 

ทรัพย์สมบัติอย่างหนึ่งที่ซูฉินมีอย่างเหลือเฟือก็คือเวลานี่แหละ

 

ปกติยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งจะมีช่วงชีวิตอยู่ได้ถึงสองร้อยปี แต่ซูฉินกลับมีอายุขัยถึงสี่ร้อยปี

 

มีเวลาเป็นร้อยปีแม้แต่หมูก็ยังกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์จนกลายเป็นเซียนได้เลยกระมัง นับประสาอะไรกับซูฉิน

 

“ถ้าต้องการจะบรรลุถึงระดับ ‘อรหันต์‘ นั้น จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ ความแข็งแกร่งของร่างกายสุดขั้ว และกำลังภายในสุดขีด จะขาดไปสักอย่างไม่ได้เลย”

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิคิดใคร่ครวญเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบัน

 

“ตอนนี้ข้ามีจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์แล้ว และร่างกายก็สมดุลด้วยหยินประสานหยางจนไปถึงขีดสุดแล้ว เหลือก็แต่เพียงกำลังภายในเท่านั้น…”

 

ดวงตาของซูฉินสว่างไสว

 

สำหรับยอดปรมาจารย์สักคนหนึ่งการจะไปแตะคอขวดของระดับตำนานยุทธนั้นยากเย็นแสนเข็ญเหมือนปีนขึ้นมาจากหุบเหวเพื่อไปสู่นภากว้าง แต่ซูฉินกลับแก้ไขปัญหาสำคัญในการไปถึงจุดนั้นได้ถึงสองสิ่งอย่างง่ายดาย หากเรื่องนี้หลุดออกไปกลัวว่าจะสร้างความตกตะลึงไปทั่วยุทธภพ

 

จะว่าไปแล้วซูฉินนับได้ว่าเป็นคนที่อยู่ใกล้กับคอขวดของระดับตำนานยุทธมากที่สุดคนหนึ่งในบรรดายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทั้งหลายในปัจจุบันนี้

 

 

วันถัดมา

 

ซูฉินไปที่ลานโพธิ์เพื่อลงชื่อเข้าใช้ตามปกติ

 

นับตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่เขาลงชื่อเข้าใช้แล้วได้รับ ‘โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์‘ ความถี่ที่ซูฉินแวะมาลงชื่อที่ลานโพธิ์ก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัย[1]

 

การลงชื่อที่ลานโพธิ์นั้นถึงขนาดผุด ‘โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์‘ ที่สามารถกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้ แล้วจะเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีโอสถที่ช่วยขัดเกลากำลังภายใน?

 

ด้วยมีความคิดเช่นนี้ ซูฉินจึงค่อยๆ เดินไปที่ลานโพธิ์ แต่ไม่ได้เร่งรีบอะไรนัก

 

ทันใดนั้น

 

ซูฉินก็หยุดลง

 

ไม่นานร่างขององค์หญิงแห่งต้าถังก็วิ่งเข้ามาหา

 

เมื่อคำนวณเวลาที่พระนางลี่เฟยและพลพรรคมาอาศัยอยู่ที่วัดเส้าหลินก็ยาวนานร่วมครึ่งปีแล้ว

 

แต่อย่างไรก็ตามในเวลาปกติพระนางลี่เฟยและหงกงกงแทบจะไม่ได้ออกมาจากป่าไผ่เลยจึงไม่ได้กระทบต่อกิจการภายในของวัดเส้าหลินแต่ประการใด

 

นอกจากนี้ลี่เฟยยังถูกส่งมาโดยองค์จักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถัง เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจึงจำต้องทำเป็นปิดตาข้างหนึ่งลง ตราบใดที่พระนางลี่เฟยไม่มีความคิดที่จะจากไป เขาก็จะปล่อยให้พระนางลี่เฟยอาศัยอยู่แบบนี้ต่อไป

 

สำหรับสิ่งที่วัดเส้าหลินจำต้องเป็นกังวลก็เพียงต้องส่งข้าวปลาอาหารให้ทุกวันเท่านั้น

 

“พระตัวน้อย พวกข้าอาจจะจากไปในเร็วๆ นี้แล้ว…”

 

องค์หญิงราชวงศ์ถังดวงตากลมโตกลายเป็นสีแดง เห็นได้ชัดว่าไม่เต็มใจเป็นอย่างยิ่ง

 

แม้ว่าจะมีพระพุทธรูปโบราณ โคมไฟสีน้ำเงินสวย ซึ่งอาจจะหรูหราและงดงามน้อยว่าในวังขององค์จักรพรรดิ

 

แต่อย่างน้อยที่วัดเส้าหลินก็ให้ความปลอดภัย และมีอิสระ

 

ไม่ต้องกังวลว่าสักวันหนึ่งจะถูกหมกร่างอยู่ในบ่อน้ำที่เหือดแห้งหรือเผลอกลืนยาพิษเข้าไป

 

“จะกลับไปแล้วหรือ?”

 

ซูฉินดูประหลาดใจ

 

“อื้อ นี่เป็นสิ่งที่หงกงกงได้กล่าวมา” องค์หญิงตัวน้อยพูดด้วยโทนเสียงต่ำ

 

 

—————————————————————–

[1] นัย อ่านได้ทั้ง ไน และ ไน–ยะ ในที่นี้ต้องการให้อ่านออกเสียงว่า ไน–ยะ เพื่ออรรถรส

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+