เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 32 มารพุทธะ

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 32 มารพุทธะ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 32 มารพุทธะ

 

 

จริงๆ แล้วซูฉินไม่ได้มีแผนการจะไปยังเขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง ทั้งนี้เขายังรับรู้ได้อีกว่ามีกลิ่นอายจางๆ ของยอดปรมาจารย์อยู่ที่ภูเขาด้านหลังนี้

 

อย่างไรก็ตามหลังจากที่ซูฉินกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว ความเข้าใจในพลังของเขาสูงขึ้นมาก และการเข้าไปด้านในก็ไม่ใช่สิ่งที่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทั่วไปจะรู้สึกถึงตัวตนของเขาได้

 

“ไปดูสักหน่อยดีกว่า”

 

ซูฉินครุ่นคิดอยู่ครู่เดียวก็ตัดสินใจได้

 

ด้านนอกของเขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง มีภิกษุจำนวนมากคอยเดินตรวจตราตลอดเวลา และมีจำนวนมากกว่าหอคอยสะกดมารเสียอีก

 

ด้วยการรักษาความปลอดภัยระดับนี้ ต่อให้เป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งต้องการจะลอบเข้าไปที่ภูเขาด้านหลังก็มิอาจกระทำได้

 

แต่สำหรับซูฉินก็แค่เรื่องยุ่งยากที่แก้ได้ในไม่กี่ขั้นตอน

 

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ปล่อยรัศมีไปรอบกายหลายสิบฝ่ามือ ประจวบกับการปิดบังกลิ่นอายด้วยกายา ทั้งสองสิ่งผสานกันทำให้ซูฉินลัดเลาะหลบผ่านเหล่าสงฆ์ที่ลาดตระเวนข้ามมายังพื้นที่หวงห้ามด้านหลังภูเขาได้ในชั่วพริบตา

 

หลังจากเข้าไปในภูเขาด้านหลัง วิสัยทัศน์ของเขาก็แหลมคมขึ้นมาก ซูฉินระมัดระวังตัวขึ้นมาฉับพลันก่อนจะเดินเข้าไปยังส่วนลึก

 

“ความรู้สึกเช่นนี้?”

 

ซูฉินหยุดเดินกะทันหันแล้วกดนวดไปที่ระหว่างคิ้ว

 

ไม่รู้ว่าทำไม ยิ่งเดินลึกเข้าไปในพื้นที่ต้องห้ามภูเขาด้านหลัง องค์ยูไลทองคำที่เป็นสัญลักษณ์ของวิชาฝ่ามือยูไลก็กระจายแสงนวลออกมา

 

“จะต้องมีสิ่งที่เกี่ยวข้องกับฝ่ามือยูไลอยู่ในเขตหวงห้าม”

 

ซูฉินคาดเดา

 

ฝ่ามือยูไล เคล็ดวิชาฝ่ามือที่แข็งแกร่งที่สุดของวัดเส้าหลิน เป็นที่รู้จักกันในฐานะวิชาที่ถ่ายทอดมาจากองค์ยูไล แต่ก็ได้หายสาบสูญไปแล้วเมื่อเก้าร้อยปีก่อน

 

นอกจากการสูญเสียฝ่ามือยูไลไป เมื่อเก้าร้อยปีก่อนก็ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญที่ถึงขนาดเกือบจะทำลายวัดเส้าหลินลง

 

ภัยร้ายจากมารพุทธะ

 

ซูฉินมีความคิดเชื่อมโยงเหตุการณ์ในตอนนั้นว่าการหายไปของฝ่ามือยูไลจะต้องเกี่ยวข้องกับมารพุทธะ

 

“ฝ่ามือยูไลเป็นเคล็ดวิชาระดับ ‘อรหันต์‘ มีเพียงการบรรลุถึงระดับ‘อรหันต์‘ เท่านั้นจึงจะสามารถเข้าใจแก่นของฝ่ามือยูไลได้”

 

“และเก้าร้อยปีที่แล้วก็มีตัวตนอย่าง‘อรหันต์‘ อยู่รูปเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ในวัดเส้าหลิน แล้วภายหลังจึงค่อยๆ ล่วงลับไปเนื่องจากเหตุการณ์การปราบมารพุทธะ ผลก็คือการหายไปของฝ่ามือยูไล”

 

ความคิดของซูฉินวกวนไปมา พยายามที่จะสืบหาความจริงที่เกิดขึ้นเมื่อเก้าร้อยปีก่อน

 

“อรหันต์ในวัดเส้าหลินยามนั้นเพียงแต่ปราบปรามมารพุทธะ แต่ไม่ได้สังหารมัน แสดงว่าอรหันต์ผู้นั้นไม่สามารถสังหารมารพุทธะได้ และสามารถใช้เพียงวิธีสะกดเพื่อกำจัดมารพุทธะและภัยพิบัติต่อของเส้าหลินในรูปแบบนี้เท่านั้น”

 

ในขณะที่ซูฉินเดินเข้าไปส่วนลึกของภูเขาด้านหลัง

 

ไม่นานจากนั้น

 

เนินเขาสีทองซีดๆ ห้าลูกปรากฏในลานสายตาของซูฉิน

 

“นี่คือ?”

 

รูม่านตาของซูฉินหดตัวลง ใบหน้าขึ้นสี

 

หากมองจากระยะไกล เนินเขาสีทองทั้งห้าก็เหมือนนิ้วมือห้านิ้วที่ยืดออกไปจรดฟากฟ้า

 

ห้านิ้วเหยียดขึ้นจรดฟ้า เพื่อสะกดมาร!

 

“ฝ่ามือยูไล”

 

“นี่คือฝ่ามือยูไล!!!”

 

ซูฉินเงยหน้าขึ้น

 

เนินเขาทั้งห้านี้แม้จะมีไอพลังไม่ชัดเจน แต่มันก็เริ่มสะท้อนพลังกับองค์ยูไลทองคำที่หว่างคิ้วของซูฉิน

 

“ ‘อรหันต์‘ ในวัดเส้าหลินเมื่อเก้าร้อยปีก่อนใช้ฝ่ามือยูไลในการปราบมารพุทธะ!”

 

ซูฉินมั่นใจในเรื่องนี้มาก

 

ถ้าเป็นคนอื่นหรือแม้แต่เจ้าอาวาสสมัยปัจจุบันของวัดเส้าหลิน กลัวว่าคนเหล่านั้นจะไม่ได้นึกถึงฝ่ามือยูไลยามเมื่อมองไปที่เนินเขาทั้งห้าลูก

 

แต่ซูฉินมีมรดกตกทอดวิชาฝ่ามือยูไล

 

แม้จะใช้ออกมิได้ แต่ลมปราณของฝ่ามือยูไลก็ชัดเจนอยู่ในกมล

 

ด้วยความรวดเร็ว

 

ซูฉินก็มาถึงด้านหน้าเนินเขาทั้งห้าและพบร่างผอมแห้งนั่งขัดสมาธิอยู่

 

ร่างทั้งห้าสวมจีวร ปิดตาแน่น และแทบจะไม่มีลมหายใจปล่อยออกมาให้รู้สึกได้ ถ้าไม่ใช่เพราะเศษเสี้ยวลมหายใจ ซูฉินคงจะคิดไปว่าพระทั้งห้านี้มรณภาพไปนานแล้ว

 

“สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ห้ารูป?”

 

ซูฉินขมวดคิ้วเป็นปม

 

ร่างผอมแห้งทั้งห้าจะต้องเป็นสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับชั้นที่หนึ่งแน่ๆ แต่ไอพลังของพวกท่านนั้นแปลกมาก

 

จะว่ามีชีวิตก็ไม่เชิง จะตายไปแล้วก็ไม่ใช่อีก

 

“มันควรจะเป็นวิธีลับในการปล่อยให้ตนเองตกอยู่ในสถานะระงับพลังชีวิตเพื่อยืดอายุขัยออกไปรอเวลาที่จะตื่นขึ้น”

 

ซูฉินคาดเดาในใจ

 

ซูฉินเองก็ได้รับวิชาลับประเภทระงับพลังชีวิตมาเป็นโหล

 

ยามใดที่ใช้วิชาลับประเภทนี้ร่างกายจะแข็งเกร็งโดยสมบูรณ์ สูญเสียความเป็นไปได้ที่จะก้าวหน้าต่อไป ความคิดต่างๆ จะถูกระงับไว้ราวกับจมดิ่งสู่ความมืดมิดชั่วนิจนิรันดร์

 

สภาพเช่นนี้ถือเป็นเรื่องน่าเศร้าสำหรับทุกคน ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งยอมตายในการต่อสู้ดีกว่าจะยอมทนทุกข์ทรมานเช่นนี้

 

สำหรับสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าที่อยู่ด้านหน้าเนินเขาห้าเนินนั้น ทั้งหมดมีเหตุผลก็เพราะต้องป้องกันไม่ให้มารพุทธะหลุดออกจากตราประทับ ถูกบังคับกักขังอยู่ระหว่างสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้า

 

แน่นอนว่าด้วยพลังของสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้ายังห่างไกลจากความสามารถในการสะกดมารพุทธะ แต่มันจะเพียงพอก็ต่อเมื่อรวมพลังเข้ากับตราประทับที่ถูกประทับทิ้งไว้โดยฝ่ามือยูไล

 

“เฮ้อ….”

 

ซูฉินถอนหายใจเล็กน้อย

 

“มารพุทธะ…”

 

ซูฉินเบนสายตาแล้วมองไปที่เนินเขาสีทองจางๆ ทั้งห้า

 

ตอนที่ซูฉินเข้ามา ถึงแม้เนินเข้าสีทองซีดทั้งห้าลูกจะปลดปล่อยอำนาจกดทับทุกสรรพสิ่งออก เขาก็ยังรู้สึกได้ถึงไอมารที่ลึกล้ำด้านใน

 

“ยังไม่ตายแม้จะผ่านไปกว่าเก้าร้อยปีอย่างนั้นหรือ?”

 

ซูฉินขมวดคิ้ว

 

ตามการบันทึกของวัดเส้าหลิน แม้แต่การคงอยู่ของอรหันต์หรือตำนานยุทธอย่างมากสุดก็มีชีวิตอยู่ได้ถึงห้าร้อยปีเท่านั้น

 

ในเมื่อมารพุทธะถูกปราบโดยอรหันต์ นั่นหมายความว่าระดับพลังของมันย่อมไม่ต่างไปจากอรหันต์มากนัก ตามหลักเหตุผลแล้วหลังจากเก้าร้อยปีผ่านไป มารพุทธะควรจะไม่เหลือแม้ขี้เถ้าแล้ว จะมีไอพลังออกมาได้อย่างไร?

 

เมื่อซูฉินนึกถึงเรื่องนี้

 

ครืน!!

 

เนินเขาทั้งห้าก็สั่นไหวเล็กน้อย

 

พระภิกษุสวมจีวรสีทองปรากฏตัวขึ้นมองลงมาที่ซูฉินแล้วกล่าวว่า “ศิษย์สาวกแห่งองค์ยูไล ในเมื่อเจ้าสามารถเข้ามาถึงภูเขาด้านหลังแห่งนี้ได้ เจ้าย่อมต้องได้รับมรดกของข้าไป เข้ามาสิและสืบทอดเส้นทางสายพุทธสืบไป”

 

เสียงไพเราะเอื้อนเอ่ย

 

หากเป็นจอมยุทธทั่วไป แม้กระทั่งยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง ภายใต้น้ำเสียงอันเสนาะหูนี้จะต้องตกตะลึงยามเมื่อคิดไปถึงมรดกอันน่ามหัศจรรย์อยู่ด้านในส่วนลึกของภูเขาด้านหลัง

 

ตาของซูฉินสะท้อนสีสันแปลกๆ และตัวของเขาก็เดินลึกเข้าไปด้านในภูเขา

 

จากนั้นไม่นาน

 

ซูฉินก็มาถึงถ้ำพระพุทธ

 

มีพระพุทธรูปนับไม่ถ้วนเรียงรายไปทั่วทุกทิศทุกทาง และมีพลังพุทธคุณโอบล้อมพุทธรูปเหล่านั้น

 

“ในเมื่อเจ้าเป็นพุทธสาวก ไยไม่รีบคุกเข่าลงเสียเล่า!”

 

พระที่สวมจีวรสีทองปรากฏกายอีกครา

 

อย่างไรก็ตาม

 

ซูฉินไม่ได้สนใจและยังยืนอยู่แบบนั้น เขาถึงขนาดจ้องตรงไปที่พระรูปนั้น

 

“พุทธศาสนาให้ความสำคัญกับความเท่าเทียม ไฉนจึงต้องคุกเข่าเล่า?”

 

ซูฉินกล่าวคำอย่างสบายๆ

 

“ถูกต้อง” ราวกับกำลังคิดอะไรบางสิ่ง พระภิกษุชุดสีทองพยักหน้าเล็กน้อยแล้วมองไปที่ซูฉินอย่างเห็นด้วย “ด้วยอายุที่ต่ำกว่าสามสิบแต่มาถึงระดับชั้นที่หนึ่งแล้ว พรสวรรค์แฝงเร้นของเจ้าเพียงพอที่จะติดห้าอันดับแรกของวัดเส้าหลินในรอบหนึ่งพันปีเลยเชียวนะ”

 

“โอ้?”

 

ซูฉินมองไปที่พระจีวรสีทองอย่างสนอกสนใจ “แล้วท่านเป็นใครหรือ?”

 

“ฉายาทางธรรมของข้าก็คือ ‘ถัวอา‘ ‘ถัวอาหลัวฮั่น‘[1]”

 

ภิกษุจีวรสีทองพูดอย่างเคร่งขรึมและใจเย็น

 

อรหันต์‘ถัว‘ เป็นอรหันต์ที่ปราบมารพุทธะในวัดเส้าหลินเมื่อเก้าร้อยปีก่อน

 

แต่นั้นมาก็ไม่มีศิษย์คนใดขึ้นไปถึงระดับอรหันต์อีกเลย

 

“ถัวอา?”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉินราวกับเขาได้ยินเรื่องตลก

 

พระห่มคลุมจีวรสีทองขมวดคิ้วและกำลังจะเอ่ยบางอย่าง

 

อย่างไรก็ตาม

 

ในเวลาต่อมา

 

รอยยิ้มของซูฉินค่อยๆ จางหายไป เขามองอย่างเย็นชาและพูดบางอย่างที่ทำให้พระจีวรทองถึงกับเปลี่ยนสีหน้า

 

“ข้าควรจะเรียกเจ้าว่า‘มารพุทธะ‘เสียมากกว่าหรือเปล่า……”

 

 

———————————————————

[1] อาหลัวฮั่น (阿罗汉) หมายถึง พระอรหันต์

ในส่วนถัวอาเข้าใจว่าชื่อต้นคือถัว แล้วเติม อา (阿) ไปที่ท้ายชื่อเพื่อสื่อถึง ‘อาหลัวฮ่าน‘ อาจจะเป็นการย่อคำเพื่อใช้ในการตั้งฉายาธรรม หากเข้าใจผิดพลาดประการใดขออภัยไว้ในที่นี้ด้วยครับ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 32 มารพุทธะ

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 32 มารพุทธะ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 32 มารพุทธะ

 

 

จริงๆ แล้วซูฉินไม่ได้มีแผนการจะไปยังเขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง ทั้งนี้เขายังรับรู้ได้อีกว่ามีกลิ่นอายจางๆ ของยอดปรมาจารย์อยู่ที่ภูเขาด้านหลังนี้

 

อย่างไรก็ตามหลังจากที่ซูฉินกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว ความเข้าใจในพลังของเขาสูงขึ้นมาก และการเข้าไปด้านในก็ไม่ใช่สิ่งที่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทั่วไปจะรู้สึกถึงตัวตนของเขาได้

 

“ไปดูสักหน่อยดีกว่า”

 

ซูฉินครุ่นคิดอยู่ครู่เดียวก็ตัดสินใจได้

 

ด้านนอกของเขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง มีภิกษุจำนวนมากคอยเดินตรวจตราตลอดเวลา และมีจำนวนมากกว่าหอคอยสะกดมารเสียอีก

 

ด้วยการรักษาความปลอดภัยระดับนี้ ต่อให้เป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งต้องการจะลอบเข้าไปที่ภูเขาด้านหลังก็มิอาจกระทำได้

 

แต่สำหรับซูฉินก็แค่เรื่องยุ่งยากที่แก้ได้ในไม่กี่ขั้นตอน

 

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ปล่อยรัศมีไปรอบกายหลายสิบฝ่ามือ ประจวบกับการปิดบังกลิ่นอายด้วยกายา ทั้งสองสิ่งผสานกันทำให้ซูฉินลัดเลาะหลบผ่านเหล่าสงฆ์ที่ลาดตระเวนข้ามมายังพื้นที่หวงห้ามด้านหลังภูเขาได้ในชั่วพริบตา

 

หลังจากเข้าไปในภูเขาด้านหลัง วิสัยทัศน์ของเขาก็แหลมคมขึ้นมาก ซูฉินระมัดระวังตัวขึ้นมาฉับพลันก่อนจะเดินเข้าไปยังส่วนลึก

 

“ความรู้สึกเช่นนี้?”

 

ซูฉินหยุดเดินกะทันหันแล้วกดนวดไปที่ระหว่างคิ้ว

 

ไม่รู้ว่าทำไม ยิ่งเดินลึกเข้าไปในพื้นที่ต้องห้ามภูเขาด้านหลัง องค์ยูไลทองคำที่เป็นสัญลักษณ์ของวิชาฝ่ามือยูไลก็กระจายแสงนวลออกมา

 

“จะต้องมีสิ่งที่เกี่ยวข้องกับฝ่ามือยูไลอยู่ในเขตหวงห้าม”

 

ซูฉินคาดเดา

 

ฝ่ามือยูไล เคล็ดวิชาฝ่ามือที่แข็งแกร่งที่สุดของวัดเส้าหลิน เป็นที่รู้จักกันในฐานะวิชาที่ถ่ายทอดมาจากองค์ยูไล แต่ก็ได้หายสาบสูญไปแล้วเมื่อเก้าร้อยปีก่อน

 

นอกจากการสูญเสียฝ่ามือยูไลไป เมื่อเก้าร้อยปีก่อนก็ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญที่ถึงขนาดเกือบจะทำลายวัดเส้าหลินลง

 

ภัยร้ายจากมารพุทธะ

 

ซูฉินมีความคิดเชื่อมโยงเหตุการณ์ในตอนนั้นว่าการหายไปของฝ่ามือยูไลจะต้องเกี่ยวข้องกับมารพุทธะ

 

“ฝ่ามือยูไลเป็นเคล็ดวิชาระดับ ‘อรหันต์‘ มีเพียงการบรรลุถึงระดับ‘อรหันต์‘ เท่านั้นจึงจะสามารถเข้าใจแก่นของฝ่ามือยูไลได้”

 

“และเก้าร้อยปีที่แล้วก็มีตัวตนอย่าง‘อรหันต์‘ อยู่รูปเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ในวัดเส้าหลิน แล้วภายหลังจึงค่อยๆ ล่วงลับไปเนื่องจากเหตุการณ์การปราบมารพุทธะ ผลก็คือการหายไปของฝ่ามือยูไล”

 

ความคิดของซูฉินวกวนไปมา พยายามที่จะสืบหาความจริงที่เกิดขึ้นเมื่อเก้าร้อยปีก่อน

 

“อรหันต์ในวัดเส้าหลินยามนั้นเพียงแต่ปราบปรามมารพุทธะ แต่ไม่ได้สังหารมัน แสดงว่าอรหันต์ผู้นั้นไม่สามารถสังหารมารพุทธะได้ และสามารถใช้เพียงวิธีสะกดเพื่อกำจัดมารพุทธะและภัยพิบัติต่อของเส้าหลินในรูปแบบนี้เท่านั้น”

 

ในขณะที่ซูฉินเดินเข้าไปส่วนลึกของภูเขาด้านหลัง

 

ไม่นานจากนั้น

 

เนินเขาสีทองซีดๆ ห้าลูกปรากฏในลานสายตาของซูฉิน

 

“นี่คือ?”

 

รูม่านตาของซูฉินหดตัวลง ใบหน้าขึ้นสี

 

หากมองจากระยะไกล เนินเขาสีทองทั้งห้าก็เหมือนนิ้วมือห้านิ้วที่ยืดออกไปจรดฟากฟ้า

 

ห้านิ้วเหยียดขึ้นจรดฟ้า เพื่อสะกดมาร!

 

“ฝ่ามือยูไล”

 

“นี่คือฝ่ามือยูไล!!!”

 

ซูฉินเงยหน้าขึ้น

 

เนินเขาทั้งห้านี้แม้จะมีไอพลังไม่ชัดเจน แต่มันก็เริ่มสะท้อนพลังกับองค์ยูไลทองคำที่หว่างคิ้วของซูฉิน

 

“ ‘อรหันต์‘ ในวัดเส้าหลินเมื่อเก้าร้อยปีก่อนใช้ฝ่ามือยูไลในการปราบมารพุทธะ!”

 

ซูฉินมั่นใจในเรื่องนี้มาก

 

ถ้าเป็นคนอื่นหรือแม้แต่เจ้าอาวาสสมัยปัจจุบันของวัดเส้าหลิน กลัวว่าคนเหล่านั้นจะไม่ได้นึกถึงฝ่ามือยูไลยามเมื่อมองไปที่เนินเขาทั้งห้าลูก

 

แต่ซูฉินมีมรดกตกทอดวิชาฝ่ามือยูไล

 

แม้จะใช้ออกมิได้ แต่ลมปราณของฝ่ามือยูไลก็ชัดเจนอยู่ในกมล

 

ด้วยความรวดเร็ว

 

ซูฉินก็มาถึงด้านหน้าเนินเขาทั้งห้าและพบร่างผอมแห้งนั่งขัดสมาธิอยู่

 

ร่างทั้งห้าสวมจีวร ปิดตาแน่น และแทบจะไม่มีลมหายใจปล่อยออกมาให้รู้สึกได้ ถ้าไม่ใช่เพราะเศษเสี้ยวลมหายใจ ซูฉินคงจะคิดไปว่าพระทั้งห้านี้มรณภาพไปนานแล้ว

 

“สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ห้ารูป?”

 

ซูฉินขมวดคิ้วเป็นปม

 

ร่างผอมแห้งทั้งห้าจะต้องเป็นสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับชั้นที่หนึ่งแน่ๆ แต่ไอพลังของพวกท่านนั้นแปลกมาก

 

จะว่ามีชีวิตก็ไม่เชิง จะตายไปแล้วก็ไม่ใช่อีก

 

“มันควรจะเป็นวิธีลับในการปล่อยให้ตนเองตกอยู่ในสถานะระงับพลังชีวิตเพื่อยืดอายุขัยออกไปรอเวลาที่จะตื่นขึ้น”

 

ซูฉินคาดเดาในใจ

 

ซูฉินเองก็ได้รับวิชาลับประเภทระงับพลังชีวิตมาเป็นโหล

 

ยามใดที่ใช้วิชาลับประเภทนี้ร่างกายจะแข็งเกร็งโดยสมบูรณ์ สูญเสียความเป็นไปได้ที่จะก้าวหน้าต่อไป ความคิดต่างๆ จะถูกระงับไว้ราวกับจมดิ่งสู่ความมืดมิดชั่วนิจนิรันดร์

 

สภาพเช่นนี้ถือเป็นเรื่องน่าเศร้าสำหรับทุกคน ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งยอมตายในการต่อสู้ดีกว่าจะยอมทนทุกข์ทรมานเช่นนี้

 

สำหรับสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าที่อยู่ด้านหน้าเนินเขาห้าเนินนั้น ทั้งหมดมีเหตุผลก็เพราะต้องป้องกันไม่ให้มารพุทธะหลุดออกจากตราประทับ ถูกบังคับกักขังอยู่ระหว่างสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้า

 

แน่นอนว่าด้วยพลังของสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้ายังห่างไกลจากความสามารถในการสะกดมารพุทธะ แต่มันจะเพียงพอก็ต่อเมื่อรวมพลังเข้ากับตราประทับที่ถูกประทับทิ้งไว้โดยฝ่ามือยูไล

 

“เฮ้อ….”

 

ซูฉินถอนหายใจเล็กน้อย

 

“มารพุทธะ…”

 

ซูฉินเบนสายตาแล้วมองไปที่เนินเขาสีทองจางๆ ทั้งห้า

 

ตอนที่ซูฉินเข้ามา ถึงแม้เนินเข้าสีทองซีดทั้งห้าลูกจะปลดปล่อยอำนาจกดทับทุกสรรพสิ่งออก เขาก็ยังรู้สึกได้ถึงไอมารที่ลึกล้ำด้านใน

 

“ยังไม่ตายแม้จะผ่านไปกว่าเก้าร้อยปีอย่างนั้นหรือ?”

 

ซูฉินขมวดคิ้ว

 

ตามการบันทึกของวัดเส้าหลิน แม้แต่การคงอยู่ของอรหันต์หรือตำนานยุทธอย่างมากสุดก็มีชีวิตอยู่ได้ถึงห้าร้อยปีเท่านั้น

 

ในเมื่อมารพุทธะถูกปราบโดยอรหันต์ นั่นหมายความว่าระดับพลังของมันย่อมไม่ต่างไปจากอรหันต์มากนัก ตามหลักเหตุผลแล้วหลังจากเก้าร้อยปีผ่านไป มารพุทธะควรจะไม่เหลือแม้ขี้เถ้าแล้ว จะมีไอพลังออกมาได้อย่างไร?

 

เมื่อซูฉินนึกถึงเรื่องนี้

 

ครืน!!

 

เนินเขาทั้งห้าก็สั่นไหวเล็กน้อย

 

พระภิกษุสวมจีวรสีทองปรากฏตัวขึ้นมองลงมาที่ซูฉินแล้วกล่าวว่า “ศิษย์สาวกแห่งองค์ยูไล ในเมื่อเจ้าสามารถเข้ามาถึงภูเขาด้านหลังแห่งนี้ได้ เจ้าย่อมต้องได้รับมรดกของข้าไป เข้ามาสิและสืบทอดเส้นทางสายพุทธสืบไป”

 

เสียงไพเราะเอื้อนเอ่ย

 

หากเป็นจอมยุทธทั่วไป แม้กระทั่งยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง ภายใต้น้ำเสียงอันเสนาะหูนี้จะต้องตกตะลึงยามเมื่อคิดไปถึงมรดกอันน่ามหัศจรรย์อยู่ด้านในส่วนลึกของภูเขาด้านหลัง

 

ตาของซูฉินสะท้อนสีสันแปลกๆ และตัวของเขาก็เดินลึกเข้าไปด้านในภูเขา

 

จากนั้นไม่นาน

 

ซูฉินก็มาถึงถ้ำพระพุทธ

 

มีพระพุทธรูปนับไม่ถ้วนเรียงรายไปทั่วทุกทิศทุกทาง และมีพลังพุทธคุณโอบล้อมพุทธรูปเหล่านั้น

 

“ในเมื่อเจ้าเป็นพุทธสาวก ไยไม่รีบคุกเข่าลงเสียเล่า!”

 

พระที่สวมจีวรสีทองปรากฏกายอีกครา

 

อย่างไรก็ตาม

 

ซูฉินไม่ได้สนใจและยังยืนอยู่แบบนั้น เขาถึงขนาดจ้องตรงไปที่พระรูปนั้น

 

“พุทธศาสนาให้ความสำคัญกับความเท่าเทียม ไฉนจึงต้องคุกเข่าเล่า?”

 

ซูฉินกล่าวคำอย่างสบายๆ

 

“ถูกต้อง” ราวกับกำลังคิดอะไรบางสิ่ง พระภิกษุชุดสีทองพยักหน้าเล็กน้อยแล้วมองไปที่ซูฉินอย่างเห็นด้วย “ด้วยอายุที่ต่ำกว่าสามสิบแต่มาถึงระดับชั้นที่หนึ่งแล้ว พรสวรรค์แฝงเร้นของเจ้าเพียงพอที่จะติดห้าอันดับแรกของวัดเส้าหลินในรอบหนึ่งพันปีเลยเชียวนะ”

 

“โอ้?”

 

ซูฉินมองไปที่พระจีวรสีทองอย่างสนอกสนใจ “แล้วท่านเป็นใครหรือ?”

 

“ฉายาทางธรรมของข้าก็คือ ‘ถัวอา‘ ‘ถัวอาหลัวฮั่น‘[1]”

 

ภิกษุจีวรสีทองพูดอย่างเคร่งขรึมและใจเย็น

 

อรหันต์‘ถัว‘ เป็นอรหันต์ที่ปราบมารพุทธะในวัดเส้าหลินเมื่อเก้าร้อยปีก่อน

 

แต่นั้นมาก็ไม่มีศิษย์คนใดขึ้นไปถึงระดับอรหันต์อีกเลย

 

“ถัวอา?”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉินราวกับเขาได้ยินเรื่องตลก

 

พระห่มคลุมจีวรสีทองขมวดคิ้วและกำลังจะเอ่ยบางอย่าง

 

อย่างไรก็ตาม

 

ในเวลาต่อมา

 

รอยยิ้มของซูฉินค่อยๆ จางหายไป เขามองอย่างเย็นชาและพูดบางอย่างที่ทำให้พระจีวรทองถึงกับเปลี่ยนสีหน้า

 

“ข้าควรจะเรียกเจ้าว่า‘มารพุทธะ‘เสียมากกว่าหรือเปล่า……”

 

 

———————————————————

[1] อาหลัวฮั่น (阿罗汉) หมายถึง พระอรหันต์

ในส่วนถัวอาเข้าใจว่าชื่อต้นคือถัว แล้วเติม อา (阿) ไปที่ท้ายชื่อเพื่อสื่อถึง ‘อาหลัวฮ่าน‘ อาจจะเป็นการย่อคำเพื่อใช้ในการตั้งฉายาธรรม หากเข้าใจผิดพลาดประการใดขออภัยไว้ในที่นี้ด้วยครับ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+