เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 41 เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 41 เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 41 เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น

 

 

“ถะ…ท่านปู่ เมื่อครู่นี้ เราเพิ่งเจอผีกันไปรึ?”

 

เด็กชายพูดติดอ่าง ฟันสั่นกระทบเข้าหากัน

 

ยิ่งรู้น้อยเท่าไหร่ ชีวิตก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น ก็เหมือนกับตอนแรกที่เด็กน้อยไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยจึงไม่รู้สึกกลัว แต่ตอนที่ปู่ของเขาได้กล่าวเตือนสติมาแล้ว จะให้เขาทำตัวแบบเดิมอยู่ได้เยี่ยงไร

 

“ปู่ก็ไม่รู้หรอกว่าเราได้เจอผีเข้าให้แล้วหรือเปล่า”

 

“แต่คิดว่าเราได้พบกับผู้เชี่ยวชาญวิทยายุทธเข้าแล้วจริงๆ…”

 

ใบหน้าของชายชราเริ่มสงบลงมากขึ้น เขาหันไปมองเด็กน้อยแล้วพูดว่า “อีกอย่าง เหมือนชายคนนั้นจะกล่าวอะไรบางอย่างเอาไว้ด้วยสินะ?”

 

“เขากล่าวว่าอะไรกันนะ?”

 

เด็กชายตัวเล็กนิ่งคิดแล้วกล่าวตอบออกไปอย่างไม่รู้ตัว “เขากล่าวว่า หิมะจะตกหนักในเร็วๆ นี้ ให้พวกเรารีบกลับบ้านเสีย”

 

“หิมะตกหนัก?”

 

ชายชรามองขึ้นไปบนฟ้าแล้วกล่าวออกมาอย่างไม่มีความลังเลใจแม้แต่น้อย “รีบกลับกันเถอะ และอย่าได้ออกไปข้างนอกอีก”

 

 

 

ที่ตีนเขาหวู่หนาน

 

ซูฉินหยุดฝีเท้าแล้วมองไปที่ภูเขาลูกแรกของยงโจว (ภูมิภาคยง)

 

ซูฉินไม่ค่อยแน่ใจนักเพราะตอนเขาถามทางคู่ปู่หลานพวกเขาดูกลัวเอามากๆ

 

“นี่คือภูเขาหวู่หนานรึ?”

 

ซูฉินใช้ดวงตาแห่งสัจจะกวาดตามองช้าๆ

 

ด้วยดวงตาแห่งสัจจะ เขามองภูเขาหวู่หนานทั้งลูกและเห็นพลังฉีแผ่ออกมาทีละจุดๆ

 

ดวงตาแห่งสัจจะนั้นมีความสามารถในการมองทะลุไปถึงพลังฉีทั้งหมด

 

‘พลังฉี‘ คือสิ่งใด?

 

พลังฉีเป็นสสารที่เกิดจากการพันเกี่ยวกันระหว่างร่างกายและจิตวิญญาณของสิ่งมีชีวิต

 

คนธรรมดาก็มีพลังฉี ผู้ฝึกยุทธก็มีพลังฉี และแม้แต่ ‘อรหันต์‘ ก็มีพลังฉี

 

พลังฉีคือสิ่งที่แสดงเอกลักษณ์บางอย่างของบุคคล อาทิ พลังฉีของผู้ฝึกยุทธสายมารจะมืดมนและชั่วร้าย

 

ในตอนนี้ซูฉินเห็นว่าในส่วนลึกของภูเขาหวู่หนานเต็มไปด้วยกลิ่นอายของจอมยุทธฝ่ายมารเต็มไปหมด

 

“มันควรจะเป็นที่นี่”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

 

ถ้าศัตรูของตระกูลซูอย่าง  ‘เหยียนหั่ว ‘ กลายเป็นผู้คุมกฎของพรรคมารจริงๆ เขาจะต้องอยู่ที่นี่แน่ๆ

 

“ดูจากพลังฉีเหล่านี้แล้ว คนที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังไม่ถึงระดับชั้นที่หนึ่งเลย”

 

เพียงกวาดสายตาครู่เดียวซูฉินก็ทราบได้

 

ภายใต้การสังเกตจากดวงตาแห่งสัจจะ แม้ว่าจะเป็นตัวตนระดับ  ‘อรหันต์ ‘ ก็ยังยากที่จะซ่อนตัวจากซูฉิน

 

นอกจากนั้น ถ้าพรรคมารมีระดับตำนานยุทธอยู่จริง แล้วพวกมันจะถูกบีบให้ถอยร่นกลับมายังยงโจวได้อย่างไร ?

 

เพื่อป้องกันการเข้าใจพลาด ซูฉินยังคอยสังเกตต่อไปอีกชั่วโมงจนยืนยันแน่แล้วว่าไม่มียอดฝีมือคนใดในเขาหวู่หนานที่จะสามารถคุกคามเขาได้ ก่อนที่จะเดินขึ้นไปบนเขาอย่างช้าๆ

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

ซูฉินหยุดชะงักทันทีที่ขึ้นไปได้ครึ่งทาง

 

“นี่คือที่ตั้งของพรรคมาร ใครบุกรุกเข้ามาต้องนอนทอดร่างเป็นซากศพ !”

 

ชายฉกรรจ์สองคนเข้ามาปิดทาง แล้วมองมาที่ซูฉินอย่างมุ่งร้าย

 

สังเกตจากกลิ่นอายพลังฉี พวกเขาน่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธที่เพิ่งจะเข้าสู่ระดับขั้น

 

“ข้ากำลังตามหา  ‘เหยียนหั่ว ‘ ”

 

ซูฉินกล่าวออกอย่างใจเย็น

 

“ผู้คุมกฎเหยียน ?”

 

ทั้งสองมองหน้ากัน การแสดงออกของพวกเขากลายเป็นนอบน้อมขึ้นทันที

 

แม้ไม่รู้ว่าพระหนุ่มรูปนี้เกี่ยวข้องกับผู้คุมกฎเหยียนอย่างไร

 

แต่ผู้คุมกฎเหยียนก็เป็นหนึ่งในผู้คุมกฎพรรคมาร และไม่ใช่คนที่พวกเขาจะไปยั่วยุได้

 

นอกจากนี้ซูฉินยังเรียกชื่อ  ‘เหยียนหั่ว ‘ ออกมาตรงๆ ซึ่งเป็นชื่อเต็ม …

 

“เจ้ารอที่นี่ก่อน”

 

ชายคนนั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินออกไป

 

 

ในส่วนลึกของเขาหวู่หนาน

 

ในห้องโถงแห่งหนึ่ง

 

มีกลุ่มคนมากกว่าโหลกำลังนั่งรวมตัวกันภายใน

 

คนทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นจอมยุทธในสามระดับบนที่แฝงตัวอยู่

 

“เหยียนหั่ว เจ้าก้าวเข้าสู่สามระดับบนและกลายมาเป็นผู้คุมกฎของพรรคมารของพวกเรา เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่พรรคมารจะช่วยเจ้าแก้ปัญหาเกี่ยวกับตระกูลซู”

 

ชายคนที่นั่งอยู่ด้านหน้าสุดมองลงไปยังร่างที่อยู่เบื้องล่างตนและกล่าวคำช้าๆ

 

“รองหัวหน้าตระกูลซูสังหารพี่ชายข้า เลือดต้องล้างด้วยเลือด ความเป็นปรปักษ์ระหว่างข้าและตระกูลซูจะคงอยู่ตลอดไป”

 

เหยียนหั่วเป็นชายสูงวัยที่มีใบหน้ามืดมน และมีความเกลียดชังอยู่ท่วมท้น “ถ้าไม่ใช่เพราะว่าตระกูลซูไปหลบอยู่ข้างหลังผู้พิทักษ์ประจำเขต ข้าคงจะสามารถเข่นฆ่าล้างตระกูลซูไปได้ตั้งแต่สิบห้าปีก่อน”

 

เหยียนหั่วกระแทกเสียงในทุกๆ คำ

 

เมื่อสิบห้าปีก่อนเขาถึงความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในวิทยายุทธเข้าถึงระดับชั้นที่สี่ซึ่งมีเหตุให้เกิดเรื่องบาดหมางกับตระกูลซูอย่างรุนแรง

 

น่าเสียดาย

 

ในท้ายที่สุดผู้พิทักษ์ประจำเขตออกมาช่วยเหลือตระกูลซู

 

ผู้พิทักษ์ประจำเขตเป็นสมาชิกขุนนางอาวุโสขั้นสี่ของรัฐถัง เป็นตัวแทนความยิ่งใหญ่ของอาณาจักร เป็นตัวตนที่เกินมือเหยียนหั่วไปมาก เขาไม่สามารถรับมือได้ในเวลานั้น

 

“ผู้พิทักษ์ประจำเขต ?”

 

ชายที่นั่งอยู่หน้าสุดยิ้มหยันดูถูก “เมื่อนายท่านออกจากการปิดด่านฝึกตน จะเป็นวันที่พรรคมารของเราครอบครองโลก ถึงตอนนั้นผู้พิทักษ์ประจำเขตจะนับเป็นตัวอะไรได้ ?”

 

เมื่อชายคนด้านหน้าสุดพูดเช่นนั้นเขาก็หยุดไปชั่วครู่แล้วจึงพูดต่อ “เรื่องระหว่างเจ้ากับตระกูลซูย่อมเป็นเรื่องของพรรคมารของเราด้วย แต่เจ้าจำต้องรออีกสักหน่อย”

 

“ตอนนี้ประมุขพรรคกำลังจะออกจากการปิดด่านฝึกตน ความคับแค้นใจระหว่างเจ้ากับตระกูลซูต้องถูกระงับไว้ก่อนชั่วคราว และเมื่อใดที่ท่านประมุขออกมา เวลานั้นพรรคมารของพวกเราจึงจะลงมือ”

 

ชายด้านหน้ากล่าวเตือนเหยียนหั่วไม่ให้เขาใจร้อนทำตัวหุนหันพลันแล่น

 

“คำพูดของรองประมุข ข้าน้อยเหยียนหั่วขอน้อมรับ”

 

เหยียนหั่วกล่าวด้วยเสียงทุ้ม

 

แม้ว่าเขาจะกระเหี้ยนกระหือรือในการแก้แค้น แต่เขารู้ถึงลำดับความสำคัญดี และสถานการณ์ของประมุขพรรคตอนนี้อยู่ในช่วงสำคัญ ไม่ควรให้มีสิ่งผิดพลาดใดเกิดขึ้น

 

และตัวมันเองในฐานะของผู้คุมกฎของพรรคมารยามนี้ หากยังกล้าออกไปจัดการปัญหานี้ด้วยตัวเองถือว่ามีความผิดตามกฎของพรรคเป็นแน่

 

“ดีมาก”

 

ชายที่นั่งอยู่ด้านหน้าสุดเห็นได้ชัดว่าพอใจกับทีท่าของเหยียนหั่วมาก พยักหน้าแล้วกล่าวต่อ “นี่คือข่าวคราวเกี่ยวกับตระกูลซูที่ข้าได้หาข้อมูลมา”

 

“มันเป็นบันทึกรายชื่อของคนในตระกูลซูทั้งสองร้อยแปดคน”

 

ชายด้านหน้าสุดสะบัดนิ้วแล้วซองจดหมายก็ลอยมาตรงหน้าของเหยียนหั่ว

 

“ขอบคุณรองประมุขพรรค”

 

เหยียนหั่วดูมีความสุขเมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น

 

รองประมุขพรรคเริ่มทำการตรวจสอบข้อมูลของตระกูลซู เห็นได้ชัดว่าเขาพร้อมที่จะล้างแค้นให้จริงๆ

 

และด้วยพลังของพรรคมารที่หนุนหลัง ไยเหยียนหั่วยังจะต้องหดหัวหลบหน้าผู้พิทักษ์ประจำเขตอีก ?

 

เมื่อนึกได้แบบนั้น เหยียนหั่วก็เปิดซองจดหมายออกดูอย่างตื่นเต้น

 

“ท่านรองประมุขพรรค ?”

 

เหยียนหั่วขมวดคิ้วเล็กน้อย “เป็นระยะเวลาหลายปีมาแล้วที่ข้าได้ตรวจสอบตระกูลซู เมื่อสิบห้าปีก่อนศิษย์ตระกูลซูต่างแยกย้ายไปคนละทิศละทาง”

 

“ตลอดหลายปีมานี้ ศิษย์หลายต่อหลายคนกลับมารวมกลุ่มกันทีละคนๆ แต่กลับมีคนหนึ่งที่ยังไม่กลับมา”

 

“โอ้ ?” ดวงตาของชายที่นั่งอยู่คนแรกสุดสาดประกาย “ใครกัน ?”

 

“ลูกชายคนที่สามของตระกูลซู” เหยียนหั่วกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ซูฉิน !”

 

“ที่สืบทราบมาข้ารู้เพียงว่าซูฉินผู้นี้ได้เข้านมัสการกราบไหว้วัดเส้าหลิน ส่วนเรื่องอื่นข้าไม่ทราบรายละเอียดมากนัก” เหยียนหั่วมองไปที่ชายด้านหน้า

 

“วัดเส้าหลิน ?”

 

ชายที่นั่งอยู่ลำดับแรกขมวดคิ้วแล้วค่อยๆ คลายออก “ทุกคนต่างก็คิดว่าวัดเส้าหลินกำลังเสื่อมโทรมลง จะมีก็เพียงแต่พรรคมารของพวกเราเท่านั้นแหละที่รู้ว่ายังมียอดปรมาจารย์ฝีมือสูงส่งอยู่ในวัดเส้าหลิน”

 

“แต่ว่า”

 

“เพียงแค่รอท่านประมุขพรรคออกมาก่อน วัดเส้าหลินก็ไม่มีอะไรน่ากังวล”

 

ชายที่นั่งอยู่คนแรกไม่ได้ให้ความใส่ใจมากนัก

 

“ขอบคุณมากขอรับท่านรองประมุขพรรค”

 

เหยียนหั่วดีใจเป็นอันมาก รีบโค้งตัวคารวะ

 

ในตอนนั้นเอง

 

สาวกของพรรคมารก็ปรี่เข้ามา

 

“รองประมุขพรรค มีพระสงฆ์อยู่ด้านนอกบอกว่ากำลังตามหาผู้คุมกฎเหยียน”

 

“พระสงฆ์ ?”

 

ชายที่นั่งอยู่แถวแรกดูงุนงง

 

“ข้าไม่เคยรู้จักพระสงฆ์ใดมาก่อน” เหยียนหั่วกล่าวโดยไม่ต้องคิด

 

“ถ้าพระรูปนี้เป็นศิษย์ของวัดเส้าหลินล่ะก็ เราสามารถกุมตัวมันไว้ถามเรื่องลูกชายคนที่สามของตระกูลซูได้นี่”

 

เหยียนหั่วนึกอะไรบางอย่างออกแล้วก็พูดขึ้น

 

“ไม่เลว”

 

ชายที่นั่งอยู่ด้านหน้าพยักหน้าเล็กน้อยแล้วมองไปที่สาวกพรรคมาร กล่าวว่า “ไม่ต้องรีบร้อนจัดการ จำไว้ว่าต้องให้มันชีวิตอยู่ก่อน”

 

จอมยุทธพรรคมารคนอื่นๆ ในห้องโถงดูสงบเสงี่ยมและไม่ได้คิดว่าการตัดสินใจของรองประมุขพรรคผิดพลาดแต่ประการใด

 

ยงโจวเป็นที่ตั้งของพรรคมาร ไม่ต้องพูดถึงวัดเส้าหลินเลย แม้แต่พรรคฝ่ายธรรมะหลายต่อหลายสำนักในแถบนี้ก็ไม่สามารถทำอะไรพรรคมารได้

 

ขณะนี้ทุกคนในพรรคมารต่างรอให้พระรูปนั้นโดนลากตัวมา จากนั้นก็จะได้เริ่มทรมานทุกวิถีทางเพื่อเค้นข้อมูลของวัดเส้าหลินออกมา

 

มีเสียงสบายๆ ลอยมากับสายลม

 

“เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นหรอก …”

 

ทันทีที่เสียงดังขึ้น จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็กระจายตัวออกอย่างรวดเร็วครอบคลุมทั่วทั้งโถงประชุมในพริบตา

 

เห็นเป็นร่างพระหนุ่มสวมจีวรสีเทากำลังก้าวเดินอยู่ห่างออกไปนอกห้องโถงหลายร้อยเมตร

 

“ข้าได้มาที่นี่ด้วยตัวข้าเองแล้ว”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 41 เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 41 เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 41 เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น

 

 

“ถะ…ท่านปู่ เมื่อครู่นี้ เราเพิ่งเจอผีกันไปรึ?”

 

เด็กชายพูดติดอ่าง ฟันสั่นกระทบเข้าหากัน

 

ยิ่งรู้น้อยเท่าไหร่ ชีวิตก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น ก็เหมือนกับตอนแรกที่เด็กน้อยไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยจึงไม่รู้สึกกลัว แต่ตอนที่ปู่ของเขาได้กล่าวเตือนสติมาแล้ว จะให้เขาทำตัวแบบเดิมอยู่ได้เยี่ยงไร

 

“ปู่ก็ไม่รู้หรอกว่าเราได้เจอผีเข้าให้แล้วหรือเปล่า”

 

“แต่คิดว่าเราได้พบกับผู้เชี่ยวชาญวิทยายุทธเข้าแล้วจริงๆ…”

 

ใบหน้าของชายชราเริ่มสงบลงมากขึ้น เขาหันไปมองเด็กน้อยแล้วพูดว่า “อีกอย่าง เหมือนชายคนนั้นจะกล่าวอะไรบางอย่างเอาไว้ด้วยสินะ?”

 

“เขากล่าวว่าอะไรกันนะ?”

 

เด็กชายตัวเล็กนิ่งคิดแล้วกล่าวตอบออกไปอย่างไม่รู้ตัว “เขากล่าวว่า หิมะจะตกหนักในเร็วๆ นี้ ให้พวกเรารีบกลับบ้านเสีย”

 

“หิมะตกหนัก?”

 

ชายชรามองขึ้นไปบนฟ้าแล้วกล่าวออกมาอย่างไม่มีความลังเลใจแม้แต่น้อย “รีบกลับกันเถอะ และอย่าได้ออกไปข้างนอกอีก”

 

 

 

ที่ตีนเขาหวู่หนาน

 

ซูฉินหยุดฝีเท้าแล้วมองไปที่ภูเขาลูกแรกของยงโจว (ภูมิภาคยง)

 

ซูฉินไม่ค่อยแน่ใจนักเพราะตอนเขาถามทางคู่ปู่หลานพวกเขาดูกลัวเอามากๆ

 

“นี่คือภูเขาหวู่หนานรึ?”

 

ซูฉินใช้ดวงตาแห่งสัจจะกวาดตามองช้าๆ

 

ด้วยดวงตาแห่งสัจจะ เขามองภูเขาหวู่หนานทั้งลูกและเห็นพลังฉีแผ่ออกมาทีละจุดๆ

 

ดวงตาแห่งสัจจะนั้นมีความสามารถในการมองทะลุไปถึงพลังฉีทั้งหมด

 

‘พลังฉี‘ คือสิ่งใด?

 

พลังฉีเป็นสสารที่เกิดจากการพันเกี่ยวกันระหว่างร่างกายและจิตวิญญาณของสิ่งมีชีวิต

 

คนธรรมดาก็มีพลังฉี ผู้ฝึกยุทธก็มีพลังฉี และแม้แต่ ‘อรหันต์‘ ก็มีพลังฉี

 

พลังฉีคือสิ่งที่แสดงเอกลักษณ์บางอย่างของบุคคล อาทิ พลังฉีของผู้ฝึกยุทธสายมารจะมืดมนและชั่วร้าย

 

ในตอนนี้ซูฉินเห็นว่าในส่วนลึกของภูเขาหวู่หนานเต็มไปด้วยกลิ่นอายของจอมยุทธฝ่ายมารเต็มไปหมด

 

“มันควรจะเป็นที่นี่”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

 

ถ้าศัตรูของตระกูลซูอย่าง  ‘เหยียนหั่ว ‘ กลายเป็นผู้คุมกฎของพรรคมารจริงๆ เขาจะต้องอยู่ที่นี่แน่ๆ

 

“ดูจากพลังฉีเหล่านี้แล้ว คนที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังไม่ถึงระดับชั้นที่หนึ่งเลย”

 

เพียงกวาดสายตาครู่เดียวซูฉินก็ทราบได้

 

ภายใต้การสังเกตจากดวงตาแห่งสัจจะ แม้ว่าจะเป็นตัวตนระดับ  ‘อรหันต์ ‘ ก็ยังยากที่จะซ่อนตัวจากซูฉิน

 

นอกจากนั้น ถ้าพรรคมารมีระดับตำนานยุทธอยู่จริง แล้วพวกมันจะถูกบีบให้ถอยร่นกลับมายังยงโจวได้อย่างไร ?

 

เพื่อป้องกันการเข้าใจพลาด ซูฉินยังคอยสังเกตต่อไปอีกชั่วโมงจนยืนยันแน่แล้วว่าไม่มียอดฝีมือคนใดในเขาหวู่หนานที่จะสามารถคุกคามเขาได้ ก่อนที่จะเดินขึ้นไปบนเขาอย่างช้าๆ

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

ซูฉินหยุดชะงักทันทีที่ขึ้นไปได้ครึ่งทาง

 

“นี่คือที่ตั้งของพรรคมาร ใครบุกรุกเข้ามาต้องนอนทอดร่างเป็นซากศพ !”

 

ชายฉกรรจ์สองคนเข้ามาปิดทาง แล้วมองมาที่ซูฉินอย่างมุ่งร้าย

 

สังเกตจากกลิ่นอายพลังฉี พวกเขาน่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธที่เพิ่งจะเข้าสู่ระดับขั้น

 

“ข้ากำลังตามหา  ‘เหยียนหั่ว ‘ ”

 

ซูฉินกล่าวออกอย่างใจเย็น

 

“ผู้คุมกฎเหยียน ?”

 

ทั้งสองมองหน้ากัน การแสดงออกของพวกเขากลายเป็นนอบน้อมขึ้นทันที

 

แม้ไม่รู้ว่าพระหนุ่มรูปนี้เกี่ยวข้องกับผู้คุมกฎเหยียนอย่างไร

 

แต่ผู้คุมกฎเหยียนก็เป็นหนึ่งในผู้คุมกฎพรรคมาร และไม่ใช่คนที่พวกเขาจะไปยั่วยุได้

 

นอกจากนี้ซูฉินยังเรียกชื่อ  ‘เหยียนหั่ว ‘ ออกมาตรงๆ ซึ่งเป็นชื่อเต็ม …

 

“เจ้ารอที่นี่ก่อน”

 

ชายคนนั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินออกไป

 

 

ในส่วนลึกของเขาหวู่หนาน

 

ในห้องโถงแห่งหนึ่ง

 

มีกลุ่มคนมากกว่าโหลกำลังนั่งรวมตัวกันภายใน

 

คนทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นจอมยุทธในสามระดับบนที่แฝงตัวอยู่

 

“เหยียนหั่ว เจ้าก้าวเข้าสู่สามระดับบนและกลายมาเป็นผู้คุมกฎของพรรคมารของพวกเรา เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่พรรคมารจะช่วยเจ้าแก้ปัญหาเกี่ยวกับตระกูลซู”

 

ชายคนที่นั่งอยู่ด้านหน้าสุดมองลงไปยังร่างที่อยู่เบื้องล่างตนและกล่าวคำช้าๆ

 

“รองหัวหน้าตระกูลซูสังหารพี่ชายข้า เลือดต้องล้างด้วยเลือด ความเป็นปรปักษ์ระหว่างข้าและตระกูลซูจะคงอยู่ตลอดไป”

 

เหยียนหั่วเป็นชายสูงวัยที่มีใบหน้ามืดมน และมีความเกลียดชังอยู่ท่วมท้น “ถ้าไม่ใช่เพราะว่าตระกูลซูไปหลบอยู่ข้างหลังผู้พิทักษ์ประจำเขต ข้าคงจะสามารถเข่นฆ่าล้างตระกูลซูไปได้ตั้งแต่สิบห้าปีก่อน”

 

เหยียนหั่วกระแทกเสียงในทุกๆ คำ

 

เมื่อสิบห้าปีก่อนเขาถึงความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในวิทยายุทธเข้าถึงระดับชั้นที่สี่ซึ่งมีเหตุให้เกิดเรื่องบาดหมางกับตระกูลซูอย่างรุนแรง

 

น่าเสียดาย

 

ในท้ายที่สุดผู้พิทักษ์ประจำเขตออกมาช่วยเหลือตระกูลซู

 

ผู้พิทักษ์ประจำเขตเป็นสมาชิกขุนนางอาวุโสขั้นสี่ของรัฐถัง เป็นตัวแทนความยิ่งใหญ่ของอาณาจักร เป็นตัวตนที่เกินมือเหยียนหั่วไปมาก เขาไม่สามารถรับมือได้ในเวลานั้น

 

“ผู้พิทักษ์ประจำเขต ?”

 

ชายที่นั่งอยู่หน้าสุดยิ้มหยันดูถูก “เมื่อนายท่านออกจากการปิดด่านฝึกตน จะเป็นวันที่พรรคมารของเราครอบครองโลก ถึงตอนนั้นผู้พิทักษ์ประจำเขตจะนับเป็นตัวอะไรได้ ?”

 

เมื่อชายคนด้านหน้าสุดพูดเช่นนั้นเขาก็หยุดไปชั่วครู่แล้วจึงพูดต่อ “เรื่องระหว่างเจ้ากับตระกูลซูย่อมเป็นเรื่องของพรรคมารของเราด้วย แต่เจ้าจำต้องรออีกสักหน่อย”

 

“ตอนนี้ประมุขพรรคกำลังจะออกจากการปิดด่านฝึกตน ความคับแค้นใจระหว่างเจ้ากับตระกูลซูต้องถูกระงับไว้ก่อนชั่วคราว และเมื่อใดที่ท่านประมุขออกมา เวลานั้นพรรคมารของพวกเราจึงจะลงมือ”

 

ชายด้านหน้ากล่าวเตือนเหยียนหั่วไม่ให้เขาใจร้อนทำตัวหุนหันพลันแล่น

 

“คำพูดของรองประมุข ข้าน้อยเหยียนหั่วขอน้อมรับ”

 

เหยียนหั่วกล่าวด้วยเสียงทุ้ม

 

แม้ว่าเขาจะกระเหี้ยนกระหือรือในการแก้แค้น แต่เขารู้ถึงลำดับความสำคัญดี และสถานการณ์ของประมุขพรรคตอนนี้อยู่ในช่วงสำคัญ ไม่ควรให้มีสิ่งผิดพลาดใดเกิดขึ้น

 

และตัวมันเองในฐานะของผู้คุมกฎของพรรคมารยามนี้ หากยังกล้าออกไปจัดการปัญหานี้ด้วยตัวเองถือว่ามีความผิดตามกฎของพรรคเป็นแน่

 

“ดีมาก”

 

ชายที่นั่งอยู่ด้านหน้าสุดเห็นได้ชัดว่าพอใจกับทีท่าของเหยียนหั่วมาก พยักหน้าแล้วกล่าวต่อ “นี่คือข่าวคราวเกี่ยวกับตระกูลซูที่ข้าได้หาข้อมูลมา”

 

“มันเป็นบันทึกรายชื่อของคนในตระกูลซูทั้งสองร้อยแปดคน”

 

ชายด้านหน้าสุดสะบัดนิ้วแล้วซองจดหมายก็ลอยมาตรงหน้าของเหยียนหั่ว

 

“ขอบคุณรองประมุขพรรค”

 

เหยียนหั่วดูมีความสุขเมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น

 

รองประมุขพรรคเริ่มทำการตรวจสอบข้อมูลของตระกูลซู เห็นได้ชัดว่าเขาพร้อมที่จะล้างแค้นให้จริงๆ

 

และด้วยพลังของพรรคมารที่หนุนหลัง ไยเหยียนหั่วยังจะต้องหดหัวหลบหน้าผู้พิทักษ์ประจำเขตอีก ?

 

เมื่อนึกได้แบบนั้น เหยียนหั่วก็เปิดซองจดหมายออกดูอย่างตื่นเต้น

 

“ท่านรองประมุขพรรค ?”

 

เหยียนหั่วขมวดคิ้วเล็กน้อย “เป็นระยะเวลาหลายปีมาแล้วที่ข้าได้ตรวจสอบตระกูลซู เมื่อสิบห้าปีก่อนศิษย์ตระกูลซูต่างแยกย้ายไปคนละทิศละทาง”

 

“ตลอดหลายปีมานี้ ศิษย์หลายต่อหลายคนกลับมารวมกลุ่มกันทีละคนๆ แต่กลับมีคนหนึ่งที่ยังไม่กลับมา”

 

“โอ้ ?” ดวงตาของชายที่นั่งอยู่คนแรกสุดสาดประกาย “ใครกัน ?”

 

“ลูกชายคนที่สามของตระกูลซู” เหยียนหั่วกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ซูฉิน !”

 

“ที่สืบทราบมาข้ารู้เพียงว่าซูฉินผู้นี้ได้เข้านมัสการกราบไหว้วัดเส้าหลิน ส่วนเรื่องอื่นข้าไม่ทราบรายละเอียดมากนัก” เหยียนหั่วมองไปที่ชายด้านหน้า

 

“วัดเส้าหลิน ?”

 

ชายที่นั่งอยู่ลำดับแรกขมวดคิ้วแล้วค่อยๆ คลายออก “ทุกคนต่างก็คิดว่าวัดเส้าหลินกำลังเสื่อมโทรมลง จะมีก็เพียงแต่พรรคมารของพวกเราเท่านั้นแหละที่รู้ว่ายังมียอดปรมาจารย์ฝีมือสูงส่งอยู่ในวัดเส้าหลิน”

 

“แต่ว่า”

 

“เพียงแค่รอท่านประมุขพรรคออกมาก่อน วัดเส้าหลินก็ไม่มีอะไรน่ากังวล”

 

ชายที่นั่งอยู่คนแรกไม่ได้ให้ความใส่ใจมากนัก

 

“ขอบคุณมากขอรับท่านรองประมุขพรรค”

 

เหยียนหั่วดีใจเป็นอันมาก รีบโค้งตัวคารวะ

 

ในตอนนั้นเอง

 

สาวกของพรรคมารก็ปรี่เข้ามา

 

“รองประมุขพรรค มีพระสงฆ์อยู่ด้านนอกบอกว่ากำลังตามหาผู้คุมกฎเหยียน”

 

“พระสงฆ์ ?”

 

ชายที่นั่งอยู่แถวแรกดูงุนงง

 

“ข้าไม่เคยรู้จักพระสงฆ์ใดมาก่อน” เหยียนหั่วกล่าวโดยไม่ต้องคิด

 

“ถ้าพระรูปนี้เป็นศิษย์ของวัดเส้าหลินล่ะก็ เราสามารถกุมตัวมันไว้ถามเรื่องลูกชายคนที่สามของตระกูลซูได้นี่”

 

เหยียนหั่วนึกอะไรบางอย่างออกแล้วก็พูดขึ้น

 

“ไม่เลว”

 

ชายที่นั่งอยู่ด้านหน้าพยักหน้าเล็กน้อยแล้วมองไปที่สาวกพรรคมาร กล่าวว่า “ไม่ต้องรีบร้อนจัดการ จำไว้ว่าต้องให้มันชีวิตอยู่ก่อน”

 

จอมยุทธพรรคมารคนอื่นๆ ในห้องโถงดูสงบเสงี่ยมและไม่ได้คิดว่าการตัดสินใจของรองประมุขพรรคผิดพลาดแต่ประการใด

 

ยงโจวเป็นที่ตั้งของพรรคมาร ไม่ต้องพูดถึงวัดเส้าหลินเลย แม้แต่พรรคฝ่ายธรรมะหลายต่อหลายสำนักในแถบนี้ก็ไม่สามารถทำอะไรพรรคมารได้

 

ขณะนี้ทุกคนในพรรคมารต่างรอให้พระรูปนั้นโดนลากตัวมา จากนั้นก็จะได้เริ่มทรมานทุกวิถีทางเพื่อเค้นข้อมูลของวัดเส้าหลินออกมา

 

มีเสียงสบายๆ ลอยมากับสายลม

 

“เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นหรอก …”

 

ทันทีที่เสียงดังขึ้น จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็กระจายตัวออกอย่างรวดเร็วครอบคลุมทั่วทั้งโถงประชุมในพริบตา

 

เห็นเป็นร่างพระหนุ่มสวมจีวรสีเทากำลังก้าวเดินอยู่ห่างออกไปนอกห้องโถงหลายร้อยเมตร

 

“ข้าได้มาที่นี่ด้วยตัวข้าเองแล้ว”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+