เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 46 จะปกปักรักษาเจ้าให้มีแต่สุขสงบ

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 46 จะปกปักรักษาเจ้าให้มีแต่สุขสงบ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แสงแห่งพุทธคุณแผ่ซ่าน

 

คฤหาสน์ตระกูลซูถูกปกคลุมด้วยรัศมีแสงแห่งองค์ยูไล

 

ดอกบัวสีทองค่อยๆ ผลิบาน มันบริสุทธิ์ผุดผ่องและเป็นเงาวาววับราวกับกระจกเงา โดยไม่มีฝุ่นมาเปรอะเปื้อน

 

ร่างเงาคลุมเครือผสานเข้ากับรัศมีแสงแห่งพุทธะ ราวกับว่าเขากำเนิดขึ้นมาจากกลุ่มแสงอย่างไรอย่างนั้น

 

ขณะที่ร่างนี้เดินออกไป

 

เวลาดูเหมือนจะหยุดนิ่ง ทุกคนในคฤหาสน์ตระกูลซูรวมถึงมือสังหารในสามระดับบนเองยังรู้สึกถึงแรงกดดันที่น่าหวาดกลัว

 

กำลังภายในหยุดการโคจร

 

หัวใจเต้นช้าลง

 

เลือดในกายแทบจะแข็งตัว

 

“ไม่นะ!!”

 

“นี่คือ?”

 

เกิดคลื่นกระเพื่อมขึ้นในจิตใจของมือสังหารในสามระดับบน

 

เป็นกลิ่นอายที่น่าหวาดหวั่นอย่างไม่เคยพบเคยเจอ แม้แต่ยอดปรมาจารย์ที่มือสังหารในสามระดับบนเคยเจอมาก่อนก็ไม่ได้มีกลิ่นอายที่น่ากลัวเฉกเช่นนี้

 

ฝึบ!

 

ภายใต้การจ้องมองที่เต็มไปด้วยความทึ่งของมือสังหารในสามระดับบนคนนั้น

 

ด้วยก้าวย่างของร่างคลุมเครือที่ปกคลุมไปด้วยแสงพุทธะ มือสังหารคนแรกที่พุ่งเข้าหาซูเยว่หยุนก็ล้มลงกับพื้นพร้อมกับเสียงที่ดังตามมา

 

ร่างคลุมเครือก้าวขาอีกข้างและมือสังหารคนที่สองก็ล้มลงไป

 

เกือบจะพร้อมๆ กัน เมื่อร่างคลุมเครือก้าวไปได้เจ็ดก้าว มือสังหารทั้งเจ็ดคนก็ร่วงลงไปกับพื้นติดต่อกันโดยไม่ทันได้ตั้งตัวใดๆ

 

มือสังหารเหล่านี้ต่างมีความแข็งแกร่งที่แตกต่างกัน คนที่อ่อนด้อยที่สุดอยู่ในสามระดับกลาง และที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นคนในสามระดับบนอีกคนหนึ่ง

 

อย่างไรก็ตาม

 

ถ้านับกันด้วยระยะเวลาแล้ว ไม่ว่าจะสามระดับกลางหรือสามระดับบนเมื่ออยู่ต่อหน้าร่างรัศมีแสงก็ไม่มีใครสามารถต่อต้านได้เลย

 

หนึ่งก้าว พรากหนึ่งชีวิต

 

“ไม่ดีแล้ว!”

 

ในเวลาต่อมาหนังศีรษะของมือสังหารในสามระดับบนคนที่เหลือก็ชาวาบ

 

เพราะในขณะนี้มือสังหารทั้งหมดในลานเกือบจะตายไปจนหมดแล้ว จะเหลือก็แต่เพียงเขาที่ยังรอดชีวิตอยู่

 

เหตุผลที่มือสังหารในสามระดับบนคนนี้ยังไม่ตายไป เป็นเพราะเขาไม่ได้ลงมือใดๆ มีเพียงการสะกดซูชื่อหมินผู้นำตระกูลซูเอาไว้ด้วยไอพลังของเขา และอยู่ห่างจากแท่นพิธีที่ซูชื่อหมินและเจ้าบ่าวยืนอยู่ออกไปไกลมากที่สุด

 

แต่ก็เท่านั้น

 

ไม่ว่าจะอยู่ไกลออกไปแค่ไหน ร่างที่ปกคลุมด้วยแสงแห่งพุทธานุภาพก็กำลังจะก้าวเดินไปเป็นก้าวที่แปด

 

“วิ่ง!!”

 

มือสังหารคนสุดท้ายในสามระดับบนไม่ลังเลที่จะใช่วิชายุทธต้องห้ามทั้งหมดที่มี พยายามเอาชีวิตรอด

 

แม้ว่าวิชาต้องห้ามเหล่านี้จะสามารถเพิ่มพูนความแข็งแกร่งได้เป็นอย่างมาก แต่อันตรายที่แฝงเร้นก็มีมากเช่นกัน หลังจากช่วงเวลานี้แม้ว่าเขาจะสามารถรอดชีวิตไปได้ แต่ความแข็งแกร่งในระดับชั้นของเขาก็จะหล่นลงไป และถึงขนาดที่อาจจะกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ไปเลยก็ได้

 

ก็เท่านั้น

 

เมื่อเทียบกับความตายแล้ว ต่อให้ต้องจ่ายในราคาที่สูงกว่านี้มันก็คุ้มค่า

 

วิ้ง!!!

 

ดวงตาของมือสังหารในสามระดับบนเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานในทันที กำลังภายในที่หยุดโคจรไปแล้ว กลับมาหมุนวนอีกครั้ง

 

ช่วงเวลาถัดมา

 

ร่างคลุมเครือที่ปกคลุมไปด้วยแสงพุทธะก้าวขาเป็นก้าวที่แปด

 

จอมยุทธสามระดับบนที่เดิมทีเต็มไปด้วยความสุข ก็รู้สึกราวกับสวรรค์ถล่มโลกทลาย ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดนิ่ง ร่างทั้งร่างร่วงลงสู่พื้นเสียงดังสนั่น

 

หลังจากที่มือสังหารทั้งหมดถูกจัดการลง รัศมีพุทธก็ยังแผ่ขยายออกไปอย่างช้าๆ

 

ร่างหมอกคลุมเครือค่อยๆ เดินไปที่แท่นพิธี

 

“ท่านคือ…”

 

ซูเยว่หยุนเบิกตากว้างพยายามมองร่างอันสว่างไสวที่กำลังเดินเข้ามา

 

ช่างน่าเสียดายที่ซูเยว่หยุนสามารถรับรู้ได้เพียงว่าร่างคลุมเครือปกคลุมด้วยแสงตรงหน้านั้นสูงเพรียว

 

ส่วนลักษณะอื่นๆ เช่น หน้าตา เส้นผม ฯลฯ ไม่สามารถเห็นได้ชัดเจน

 

ซูเยว่หยุนไม่รู้ทำไมเธอจึงรู้สึกดีกับร่างที่คลุมเครือนี้ราวกับเป็นญาติสนิทที่เธอไม่ได้พบเจอมานานแสนนาน

 

แสงแห่งพุทธะแผ่ขจรขจาย

 

ร่างส่องแสงเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของซูเยว่หยุน

 

“ท่านคือใครกัน?”

 

ซูเยว่หยุนขยับตัวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว

 

แสงแห่งพุทธานุภาพปกคลุมไปทั่วทุกพื้นที่ ทุกคนต่างก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ เว้นไว้ก็แต่เพียงซูเยว่หยุน

 

ภายใต้แสงที่แทรกซึมเข้ามา ซูเยว่หยุนไม่ได้รู้สึกอึดอัดแต่อย่างไร กลับรู้สึกถึงความสบายใจเสียมากกว่า

 

“ข้าเป็นใครเช่นนั้นหรือ?”

 

ร่างคลุมเครือกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบแต่แฝงไปด้วยความรู้สึกสูญเสียอยู่ในที

 

เมื่อซูเยว่หยุนได้ยินคำกล่าวนั้น นางรู้สึกราวกับว่าบางส่วนในหัวใจเธอแตกสลาย รู้สึกราวกับว่าตนกำลังจะร่ำไห้

 

ในขณะที่ร่างคลุมเครือยกมือขึ้นถอดจี้หยกที่ห้อยคอของเขาอยู่ออกมา แล้ววางไว้บนมือของซูเยว่หยุน

 

“สวมสิ่งนี้ไว้ อย่าได้ถอดทิ้งไป มันจะทำให้เจ้าปลอดภัยและมีแต่ความสุข”

 

ซูเยว่หยุนจ้องที่จี้หยกในมือของเธออย่างว่างเปล่า ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี

 

จี้หยกนี้ดูธรรมดาเอามากๆ และเป็นธรรมดาที่บุตรีตระกูลซูอย่างซูเยว่หยุนน่าจะไม่ชอบจี้หยกชิ้นนี้สักเท่าไหร่

 

แต่ในเวลาที่ซูเยว่หยุนได้ถือจี้หยกชิ้นนี้ นางรู้สึกถึงความปลอดภัยขึ้นในหัวใจซึ่งอธิบายไม่ได้

 

เหมือนกับว่าสิ่งที่ร่างคลุมเครือพูดนั้นเป็นความจริง ที่ว่าการสวมจี้หยกนี้เอาไว้จะทำให้เธอปลอดภัยและสงบสุข

 

ซูฉินวางจี้หยกลงและมองซูเยว่หยุนเป็นครั้งสุดท้าย

 

จี้หยกที่เขาทิ้งไว้เบื้องหลังชิ้นนี้มิใช่จี้หยกธรรมดา

 

ก่อนที่จะออกจากวัดเส้าหลิน ซูฉินก็ฝึกฝนจนเชี่ยวชาญวิชาของมารพุทธะ [จิตมารแยกวิถี] โดยแยกจิตวิญญาณส่วนหนึ่งของตนเองมาใส่ไว้ในจี้หยก

 

เก้าร้อยปีก่อนมารพุทธะถูกผนึกไว้ด้วยฝ่ามือยูไล แต่ด้วยวิชาจิตมารแยกวิถีนี้ ในทุกๆ หนึ่งร้อยปีจะมีทายาทของมารพุทธะเกิดขึ้นหนึ่งคนซึ่งแต่ละครั้งก็เกือบจะทำลายวัดเส้าหลินลง

 

แม้ว่าซูฉินจะไม่สามารถเข้าถึงระดับเดียวกันกับมารพุทธะได้ แต่ด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่บรรจุอยู่ในจี้หยกชิ้นนี้ จะระเบิดพลังออกมาช่วยซูเยว่หยุนยามเมื่อตกอยู่ในอันตราย

 

ด้วยความแข็งแกร่งปัจจุบันของซูฉิน แม้จะเป็นเพียงแค่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์แต่พวกที่อยู่ต่ำกว่าระดับชั้นที่หนึ่งจะต้องถูกสังหารและแม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเองก็ต้องบาดเจ็บหนัก

 

ส่วนจุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่ง…

 

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่แบ่งมานี้ก็คงทำอะไรไม่ได้มากนัก

 

แต่คนที่อยู่ในระดับนั้นล้วนไม่ใช่คนโง่เง่า และย่อมรู้โดยธรรมชาติยามเมื่อเห็นจี้หยกว่าสิ่งนี้หมายถึงอะไร

 

คงไม่มีคนระดับสูงคนไหนที่จะมีเจตนาฆ่าหลังจากรู้ว่าซูเยว่หยุนมีคนหนุนหลังที่แข็งแกร่ง อย่างน้อยๆ ก็ในระดับเดียวกันกับตน

 

ต้องรู้ว่าเหล่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งระดับจุดสูงสุดมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นในยุทธภพ พวกเขาต่างกลัวกันและกัน และไม่เต็มใจที่จะต่อสู้เอาชีวิตกัน

 

เนื่องจากสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับยอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดคือการก้าวหน้าในทางการบ่มเพาะและทำลายคอขวดระดับตำนานยุทธ

 

นอกนั้นไม่ว่าจะเป็นอำนาจ? ทรัพย์สมบัติ? ความงาม?

 

ล้วนไม่มีคุณค่าพอให้สนใจในสายตาของพวกเขา

 

ตัวอย่างเช่น นักพรตจางจอมยุทธสายตรงจากเขาหวู่ตั้ง แม้ว่าเขาจะมีความแข็งแกร่งพอที่จะครองโลก แต่เขาก็ไม่ได้ก้าวเท้าออกจากเขาหวู่ตั้งเลย

 

และยังมีราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนผู้ที่สละตำแหน่งจากการครอบครองบัลลังก์ของอาณาจักรเหมิ่งหยวน

 

ดังนั้นจี้หยกที่ซูฉินทิ้งไว้ให้ซูเยว่หยุน ย่อมเป็นหนทางที่จะสามารถทำให้เธอปลอดภัยและมีความสุขได้จริงๆ

 

“ท่านคือใคร?”

 

“แล้วให้สิ่งนี้กับข้าทำไม…”

 

ซูเยว่หยุนพลันเงยหน้าขึ้น แต่ก็พบว่าร่างแสงที่คลุมเครือได้หายไปแล้ว

 

รัศมีแห่งองค์ยูไลหดหาย

 

ดอกบัวสีทองสลายไป

 

ความกดดันที่กดทับทุกคนเอาไว้ก็ถูกปลดออก

 

“แม่นางหยุน เจ้าสบายดีหรือไม่?”

 

เจ้าบ่าวหลี่เชิงเป็นคนแรกที่เข้าไปถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย

 

“ข้า…ข้าสบายดี”

 

ซูเยว่หยุนส่ายหัว กำจี้หยกในมือไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว แล้วกระซิบว่า “ราวกับข้าได้พบพี่ชายสามของข้า…”

 

“พี่สาม?”

 

เจ้าบ่าวตกตะลึง

 

เขารู้ว่าซูเยว่หยุนมีพี่ชายสาม แต่พี่ชายสามคนนี้หายตัวไปตั้งแต่สิบห้าปีก่อนแล้วมิใช่หรือ?

 

และในขณะนี้

 

แม้รัศมีแสงที่ปกคลุมอยู่จะหายไปแล้ว

 

แต่ทั่วทั้งคฤหาสน์ตระกูลซูกลับยังคงนิ่งเงียบ

 

จอมยุทธจำนวนนับไม่ถ้วนจากทั่วเมืองคังโจวต่างตื่นตะลึงกับเหตุการณ์เมื่อครู่

 

แม้ก่อนหน้านี้พวกเขาจะไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้

 

แต่การเคลื่อนไหวไม่ได้ ไม่ได้แปลว่ามองไม่เห็น

 

ร่างขมุกขมัวที่ปกคลุมด้วยแสงแห่งองค์ยูไลดูเหมือนพลังจะท่วมท้นจนถมโลกจนเต็มได้ เขาทั้งสูงสุดฟ้า ไพศาลสุดขอบเขต และยังแข็งแกร่งสุดหยั่ง…

 

“องค์ยูไล องค์ยูไล เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาแล้ว”

 

จอมยุทธหลายคนที่ค่อนข้างอ่อนแอฝืนตัวออกมาจากความตกใจได้อย่างยากลำบาก

 

“องค์ยูไล”

 

จอมยุทธคนอื่นๆ ยังคงสั่นสะท้านในใจ ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง

 

“เอ๊ะ?”

 

“พระรูปนั้นไปไหนเสียแล้ว?”

 

ชายหยาบโลนที่นั่งอยู่ใกล้กับซูฉินในทีแรก มองไปรอบๆ ด้วยความงงงวยเล็กน้อย

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 46 จะปกปักรักษาเจ้าให้มีแต่สุขสงบ

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 46 จะปกปักรักษาเจ้าให้มีแต่สุขสงบ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แสงแห่งพุทธคุณแผ่ซ่าน

 

คฤหาสน์ตระกูลซูถูกปกคลุมด้วยรัศมีแสงแห่งองค์ยูไล

 

ดอกบัวสีทองค่อยๆ ผลิบาน มันบริสุทธิ์ผุดผ่องและเป็นเงาวาววับราวกับกระจกเงา โดยไม่มีฝุ่นมาเปรอะเปื้อน

 

ร่างเงาคลุมเครือผสานเข้ากับรัศมีแสงแห่งพุทธะ ราวกับว่าเขากำเนิดขึ้นมาจากกลุ่มแสงอย่างไรอย่างนั้น

 

ขณะที่ร่างนี้เดินออกไป

 

เวลาดูเหมือนจะหยุดนิ่ง ทุกคนในคฤหาสน์ตระกูลซูรวมถึงมือสังหารในสามระดับบนเองยังรู้สึกถึงแรงกดดันที่น่าหวาดกลัว

 

กำลังภายในหยุดการโคจร

 

หัวใจเต้นช้าลง

 

เลือดในกายแทบจะแข็งตัว

 

“ไม่นะ!!”

 

“นี่คือ?”

 

เกิดคลื่นกระเพื่อมขึ้นในจิตใจของมือสังหารในสามระดับบน

 

เป็นกลิ่นอายที่น่าหวาดหวั่นอย่างไม่เคยพบเคยเจอ แม้แต่ยอดปรมาจารย์ที่มือสังหารในสามระดับบนเคยเจอมาก่อนก็ไม่ได้มีกลิ่นอายที่น่ากลัวเฉกเช่นนี้

 

ฝึบ!

 

ภายใต้การจ้องมองที่เต็มไปด้วยความทึ่งของมือสังหารในสามระดับบนคนนั้น

 

ด้วยก้าวย่างของร่างคลุมเครือที่ปกคลุมไปด้วยแสงพุทธะ มือสังหารคนแรกที่พุ่งเข้าหาซูเยว่หยุนก็ล้มลงกับพื้นพร้อมกับเสียงที่ดังตามมา

 

ร่างคลุมเครือก้าวขาอีกข้างและมือสังหารคนที่สองก็ล้มลงไป

 

เกือบจะพร้อมๆ กัน เมื่อร่างคลุมเครือก้าวไปได้เจ็ดก้าว มือสังหารทั้งเจ็ดคนก็ร่วงลงไปกับพื้นติดต่อกันโดยไม่ทันได้ตั้งตัวใดๆ

 

มือสังหารเหล่านี้ต่างมีความแข็งแกร่งที่แตกต่างกัน คนที่อ่อนด้อยที่สุดอยู่ในสามระดับกลาง และที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นคนในสามระดับบนอีกคนหนึ่ง

 

อย่างไรก็ตาม

 

ถ้านับกันด้วยระยะเวลาแล้ว ไม่ว่าจะสามระดับกลางหรือสามระดับบนเมื่ออยู่ต่อหน้าร่างรัศมีแสงก็ไม่มีใครสามารถต่อต้านได้เลย

 

หนึ่งก้าว พรากหนึ่งชีวิต

 

“ไม่ดีแล้ว!”

 

ในเวลาต่อมาหนังศีรษะของมือสังหารในสามระดับบนคนที่เหลือก็ชาวาบ

 

เพราะในขณะนี้มือสังหารทั้งหมดในลานเกือบจะตายไปจนหมดแล้ว จะเหลือก็แต่เพียงเขาที่ยังรอดชีวิตอยู่

 

เหตุผลที่มือสังหารในสามระดับบนคนนี้ยังไม่ตายไป เป็นเพราะเขาไม่ได้ลงมือใดๆ มีเพียงการสะกดซูชื่อหมินผู้นำตระกูลซูเอาไว้ด้วยไอพลังของเขา และอยู่ห่างจากแท่นพิธีที่ซูชื่อหมินและเจ้าบ่าวยืนอยู่ออกไปไกลมากที่สุด

 

แต่ก็เท่านั้น

 

ไม่ว่าจะอยู่ไกลออกไปแค่ไหน ร่างที่ปกคลุมด้วยแสงแห่งพุทธานุภาพก็กำลังจะก้าวเดินไปเป็นก้าวที่แปด

 

“วิ่ง!!”

 

มือสังหารคนสุดท้ายในสามระดับบนไม่ลังเลที่จะใช่วิชายุทธต้องห้ามทั้งหมดที่มี พยายามเอาชีวิตรอด

 

แม้ว่าวิชาต้องห้ามเหล่านี้จะสามารถเพิ่มพูนความแข็งแกร่งได้เป็นอย่างมาก แต่อันตรายที่แฝงเร้นก็มีมากเช่นกัน หลังจากช่วงเวลานี้แม้ว่าเขาจะสามารถรอดชีวิตไปได้ แต่ความแข็งแกร่งในระดับชั้นของเขาก็จะหล่นลงไป และถึงขนาดที่อาจจะกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ไปเลยก็ได้

 

ก็เท่านั้น

 

เมื่อเทียบกับความตายแล้ว ต่อให้ต้องจ่ายในราคาที่สูงกว่านี้มันก็คุ้มค่า

 

วิ้ง!!!

 

ดวงตาของมือสังหารในสามระดับบนเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานในทันที กำลังภายในที่หยุดโคจรไปแล้ว กลับมาหมุนวนอีกครั้ง

 

ช่วงเวลาถัดมา

 

ร่างคลุมเครือที่ปกคลุมไปด้วยแสงพุทธะก้าวขาเป็นก้าวที่แปด

 

จอมยุทธสามระดับบนที่เดิมทีเต็มไปด้วยความสุข ก็รู้สึกราวกับสวรรค์ถล่มโลกทลาย ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดนิ่ง ร่างทั้งร่างร่วงลงสู่พื้นเสียงดังสนั่น

 

หลังจากที่มือสังหารทั้งหมดถูกจัดการลง รัศมีพุทธก็ยังแผ่ขยายออกไปอย่างช้าๆ

 

ร่างหมอกคลุมเครือค่อยๆ เดินไปที่แท่นพิธี

 

“ท่านคือ…”

 

ซูเยว่หยุนเบิกตากว้างพยายามมองร่างอันสว่างไสวที่กำลังเดินเข้ามา

 

ช่างน่าเสียดายที่ซูเยว่หยุนสามารถรับรู้ได้เพียงว่าร่างคลุมเครือปกคลุมด้วยแสงตรงหน้านั้นสูงเพรียว

 

ส่วนลักษณะอื่นๆ เช่น หน้าตา เส้นผม ฯลฯ ไม่สามารถเห็นได้ชัดเจน

 

ซูเยว่หยุนไม่รู้ทำไมเธอจึงรู้สึกดีกับร่างที่คลุมเครือนี้ราวกับเป็นญาติสนิทที่เธอไม่ได้พบเจอมานานแสนนาน

 

แสงแห่งพุทธะแผ่ขจรขจาย

 

ร่างส่องแสงเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของซูเยว่หยุน

 

“ท่านคือใครกัน?”

 

ซูเยว่หยุนขยับตัวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว

 

แสงแห่งพุทธานุภาพปกคลุมไปทั่วทุกพื้นที่ ทุกคนต่างก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ เว้นไว้ก็แต่เพียงซูเยว่หยุน

 

ภายใต้แสงที่แทรกซึมเข้ามา ซูเยว่หยุนไม่ได้รู้สึกอึดอัดแต่อย่างไร กลับรู้สึกถึงความสบายใจเสียมากกว่า

 

“ข้าเป็นใครเช่นนั้นหรือ?”

 

ร่างคลุมเครือกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบแต่แฝงไปด้วยความรู้สึกสูญเสียอยู่ในที

 

เมื่อซูเยว่หยุนได้ยินคำกล่าวนั้น นางรู้สึกราวกับว่าบางส่วนในหัวใจเธอแตกสลาย รู้สึกราวกับว่าตนกำลังจะร่ำไห้

 

ในขณะที่ร่างคลุมเครือยกมือขึ้นถอดจี้หยกที่ห้อยคอของเขาอยู่ออกมา แล้ววางไว้บนมือของซูเยว่หยุน

 

“สวมสิ่งนี้ไว้ อย่าได้ถอดทิ้งไป มันจะทำให้เจ้าปลอดภัยและมีแต่ความสุข”

 

ซูเยว่หยุนจ้องที่จี้หยกในมือของเธออย่างว่างเปล่า ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี

 

จี้หยกนี้ดูธรรมดาเอามากๆ และเป็นธรรมดาที่บุตรีตระกูลซูอย่างซูเยว่หยุนน่าจะไม่ชอบจี้หยกชิ้นนี้สักเท่าไหร่

 

แต่ในเวลาที่ซูเยว่หยุนได้ถือจี้หยกชิ้นนี้ นางรู้สึกถึงความปลอดภัยขึ้นในหัวใจซึ่งอธิบายไม่ได้

 

เหมือนกับว่าสิ่งที่ร่างคลุมเครือพูดนั้นเป็นความจริง ที่ว่าการสวมจี้หยกนี้เอาไว้จะทำให้เธอปลอดภัยและสงบสุข

 

ซูฉินวางจี้หยกลงและมองซูเยว่หยุนเป็นครั้งสุดท้าย

 

จี้หยกที่เขาทิ้งไว้เบื้องหลังชิ้นนี้มิใช่จี้หยกธรรมดา

 

ก่อนที่จะออกจากวัดเส้าหลิน ซูฉินก็ฝึกฝนจนเชี่ยวชาญวิชาของมารพุทธะ [จิตมารแยกวิถี] โดยแยกจิตวิญญาณส่วนหนึ่งของตนเองมาใส่ไว้ในจี้หยก

 

เก้าร้อยปีก่อนมารพุทธะถูกผนึกไว้ด้วยฝ่ามือยูไล แต่ด้วยวิชาจิตมารแยกวิถีนี้ ในทุกๆ หนึ่งร้อยปีจะมีทายาทของมารพุทธะเกิดขึ้นหนึ่งคนซึ่งแต่ละครั้งก็เกือบจะทำลายวัดเส้าหลินลง

 

แม้ว่าซูฉินจะไม่สามารถเข้าถึงระดับเดียวกันกับมารพุทธะได้ แต่ด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่บรรจุอยู่ในจี้หยกชิ้นนี้ จะระเบิดพลังออกมาช่วยซูเยว่หยุนยามเมื่อตกอยู่ในอันตราย

 

ด้วยความแข็งแกร่งปัจจุบันของซูฉิน แม้จะเป็นเพียงแค่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์แต่พวกที่อยู่ต่ำกว่าระดับชั้นที่หนึ่งจะต้องถูกสังหารและแม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเองก็ต้องบาดเจ็บหนัก

 

ส่วนจุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่ง…

 

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่แบ่งมานี้ก็คงทำอะไรไม่ได้มากนัก

 

แต่คนที่อยู่ในระดับนั้นล้วนไม่ใช่คนโง่เง่า และย่อมรู้โดยธรรมชาติยามเมื่อเห็นจี้หยกว่าสิ่งนี้หมายถึงอะไร

 

คงไม่มีคนระดับสูงคนไหนที่จะมีเจตนาฆ่าหลังจากรู้ว่าซูเยว่หยุนมีคนหนุนหลังที่แข็งแกร่ง อย่างน้อยๆ ก็ในระดับเดียวกันกับตน

 

ต้องรู้ว่าเหล่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งระดับจุดสูงสุดมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นในยุทธภพ พวกเขาต่างกลัวกันและกัน และไม่เต็มใจที่จะต่อสู้เอาชีวิตกัน

 

เนื่องจากสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับยอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดคือการก้าวหน้าในทางการบ่มเพาะและทำลายคอขวดระดับตำนานยุทธ

 

นอกนั้นไม่ว่าจะเป็นอำนาจ? ทรัพย์สมบัติ? ความงาม?

 

ล้วนไม่มีคุณค่าพอให้สนใจในสายตาของพวกเขา

 

ตัวอย่างเช่น นักพรตจางจอมยุทธสายตรงจากเขาหวู่ตั้ง แม้ว่าเขาจะมีความแข็งแกร่งพอที่จะครองโลก แต่เขาก็ไม่ได้ก้าวเท้าออกจากเขาหวู่ตั้งเลย

 

และยังมีราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนผู้ที่สละตำแหน่งจากการครอบครองบัลลังก์ของอาณาจักรเหมิ่งหยวน

 

ดังนั้นจี้หยกที่ซูฉินทิ้งไว้ให้ซูเยว่หยุน ย่อมเป็นหนทางที่จะสามารถทำให้เธอปลอดภัยและมีความสุขได้จริงๆ

 

“ท่านคือใคร?”

 

“แล้วให้สิ่งนี้กับข้าทำไม…”

 

ซูเยว่หยุนพลันเงยหน้าขึ้น แต่ก็พบว่าร่างแสงที่คลุมเครือได้หายไปแล้ว

 

รัศมีแห่งองค์ยูไลหดหาย

 

ดอกบัวสีทองสลายไป

 

ความกดดันที่กดทับทุกคนเอาไว้ก็ถูกปลดออก

 

“แม่นางหยุน เจ้าสบายดีหรือไม่?”

 

เจ้าบ่าวหลี่เชิงเป็นคนแรกที่เข้าไปถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย

 

“ข้า…ข้าสบายดี”

 

ซูเยว่หยุนส่ายหัว กำจี้หยกในมือไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว แล้วกระซิบว่า “ราวกับข้าได้พบพี่ชายสามของข้า…”

 

“พี่สาม?”

 

เจ้าบ่าวตกตะลึง

 

เขารู้ว่าซูเยว่หยุนมีพี่ชายสาม แต่พี่ชายสามคนนี้หายตัวไปตั้งแต่สิบห้าปีก่อนแล้วมิใช่หรือ?

 

และในขณะนี้

 

แม้รัศมีแสงที่ปกคลุมอยู่จะหายไปแล้ว

 

แต่ทั่วทั้งคฤหาสน์ตระกูลซูกลับยังคงนิ่งเงียบ

 

จอมยุทธจำนวนนับไม่ถ้วนจากทั่วเมืองคังโจวต่างตื่นตะลึงกับเหตุการณ์เมื่อครู่

 

แม้ก่อนหน้านี้พวกเขาจะไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้

 

แต่การเคลื่อนไหวไม่ได้ ไม่ได้แปลว่ามองไม่เห็น

 

ร่างขมุกขมัวที่ปกคลุมด้วยแสงแห่งองค์ยูไลดูเหมือนพลังจะท่วมท้นจนถมโลกจนเต็มได้ เขาทั้งสูงสุดฟ้า ไพศาลสุดขอบเขต และยังแข็งแกร่งสุดหยั่ง…

 

“องค์ยูไล องค์ยูไล เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาแล้ว”

 

จอมยุทธหลายคนที่ค่อนข้างอ่อนแอฝืนตัวออกมาจากความตกใจได้อย่างยากลำบาก

 

“องค์ยูไล”

 

จอมยุทธคนอื่นๆ ยังคงสั่นสะท้านในใจ ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง

 

“เอ๊ะ?”

 

“พระรูปนั้นไปไหนเสียแล้ว?”

 

ชายหยาบโลนที่นั่งอยู่ใกล้กับซูฉินในทีแรก มองไปรอบๆ ด้วยความงงงวยเล็กน้อย

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+